ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sweet Serial Killer.

    ลำดับตอนที่ #29 : Psycho

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 829
      104
      1 ม.ค. 63

    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ psycho red velvet moodboard




    วันนี้เป็นวันเสาร์ วันนัดหมายของคูเปอร์ที่โดโลเรสไม่คิดจะลืม หญิงสาวมาถึงก่อนเวลานัดประมาณครึ่งชั่วโมง นั่นเป็นเพราะหลังส่งลูคัสเข้านอนแล้วเธอก็แต่งตัวอย่างง่าย ๆ แล้วรีบออกมาทันที โดโลเรสก้มมองดูเวลาที่เดินไปอย่างช้าเชื่องผ่านนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วได้แต่ตั้งข้อสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดเธอจึงต้องร้อนรนกับอีแค่นัดดูหนังธรรมดา ๆ ด้วย หญิงสาวถอนหายใจเล็ก ๆ แล้วจึงหันไปดูเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกแผ่นใหญ่ที่ติดอยู่บนเสาหน้าทางเข้าโรงหนัง อดไม่ได้ที่จะใช้มือจัดแต่งเดรสยาวลายดอกไม้สีแดงโง่ ๆ ก่อนจะเสยผมตัวเองให้ดูเรียบร้อยมากขึ้น


    หน้าโรงหนังในยามดึกของคืนวันเสาร์มีคนพลุกพล่านมากกว่าที่คิดเอาไว้ เมื่อก่อนโดโลเรสไม่ใคร่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะ ๆ เท่าไร แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกเฉย ๆ เสียมากกว่า หญิงสาวเอนหลังพิงกำแพงที่อยู่ใกล้ ๆ คิดไปว่าคงตรงรออีกพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าที่อีกฝ่ายจะมา แต่กลายเป็นว่าเธอคิดผิดอย่างมหันต์ เมื่อสายตามองเห็นชายร่างสูงแสนคุ้นตาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนอย่างพอดิบพอดี และในทันทีที่เขามองเห็นเธอ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็มีรอยยิ้มกว้าง


    "ทางนี้ครับ"


    ร่างสูงที่คุ้นเคยโบกมือหยอย ๆ พร้อมกล่องป๊อปคอร์นและแก้วน้ำอัดลมในมือ โดโลเรสยอมรับว่าประหลาดใจไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าเขาจะมาก่อนเวลานัดเหมือนกัน แต่ก็ไม่ลืมที่จะเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ดีแลน คูเปอร์ดูดีเป็นพิเศษกับเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงยีนสีเทา และผมถูกเซตเป็นทรงอย่างดี


    คุณมาเร็วจัง ผมนึกว่าผมจะมาก่อนซะอีก


    คุณเองก็มาไวเหมือนกันนี่โดโลเรสยิ้มก่อนจะมองดูชุดของคนตรงหน้าอีกรอบ คุณดูดีนะ


    คุณก็เหมือนกัน


    ความเงียบเข้าปกคลุมรอบตัวคนทั้งคู่อีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันอย่างเก้อเขินไม่รู้จะทำอย่างไรดี สุดท้ายหญิงสาวก็แก้ปัญหาด้วยการช่วยชายตรงหน้าถือแก้วน้ำอัดลม เกรงใจอยู่นิดหน่อยเมื่อพบว่าคูเปอร์จัดการซื้อตั๋วให้เธอเรียบร้อยแล้ว แถมยังอุตส่าห์ซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำมาให้อีกต่างหาก


    ขอบคุณพระเจ้าที่คูเปอร์ไม่ได้เลือกหนังผีให้เธอดูเหมือนกับมุกจีบสาวดาษดื่นที่เคยเห็นในซิทคอมยามเย็น แนว ๆ ที่ว่าเลือกหนังผีเพื่อให้ผู้หญิงกลัวแล้วจะได้หลอกแต๊ะอั๋ง แต่อย่างไรก็ตามโดโลเรสก็ยังไม่คาดคิดอยู่ว่าตัวเองจะได้มานั่งในโรงเพื่อดูหนังรักโรแมนติกหวานแหววจ๋าอย่าง Sabrina[1] มันไม่ใช่แนวหนังที่เธอโปรด และก็ดูจะไม่ใช่แนวหนังที่คูเปอร์โปรดด้วย หรือบางทีเขาอาจคิดว่าผู้หญิงทุกคนคงจะชอบหนังรักกันหรอกมั้ง?


    แต่หนังเรื่องนี้ก็ดีกว่าที่คิดเอาไว้ในความคิดของโดโลเรส พล็อตน้ำเน่าคลาสสิกเรื่องรักต่างชนชั้นและภาพขาวดำอันงดงามของออเดรย์ เฮปเบิร์นบนจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ชวนให้น่าติดตามรับชมเหลือเกิน หญิงสาวใจจดใจจ่อกับเรื่องราวที่เห็นจนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจับจ้องเธออยู่ โดโลเรสขมวดคิ้ว ไม่รีรอที่จะหันไปเผชิญกับสายตาคู่นั้น แล้วก็กลายเป็นว่าเธอสบตาเข้ากับคูเปอร์ที่นั่งข้าง ๆ พอดี


    ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยกับปฏิกิริยาที่ว่องไวของอีกฝ่าย เขาจึงแสร้งหยิบแก้วน้ำอัดลมขึ้นมาดูดอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ แต่ท่าทางแปลก ๆ นี่ก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของหญิงสาวไปได้


    หนังไม่สนุกหรือไงคะเธอถาม ไม่รู้ว่าเป็นคำถามจริงจังหรือหยอกเย้า แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด นั่นก็ทำให้ดีแลน คูเปอร์ เริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุข เขากระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะตอบ


    เปล่าหรอก มันสนุกมากเลย


    แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยความมืด มีเพียงแสงจากหน้าจอภาพยนตร์ที่ส่องสว่างพอจะเห็นทุกอย่างได้ลาง ๆ แต่ชายหนุ่มก็มองออกว่าโดโลเรสกำลังยิ้มอยู่ ต่างคนต่างก็รู้คำตอบที่แท้จริงเป็นอย่างดี หญิงสาวจึงไม่ได้รบเร้าถามอะไรเพิ่ม เธอหันกลับไปให้ความสนใจกับภาพยนตร์อีกครั้ง แม้จะรับรู้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่ยังลอบจ้องมองเธออยู่เป็นระยะก็ตาม


    หนังจบไปแล้ว พร้อมด้วยเข็มนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาเที่ยงคืนพอดีเป๊ะ ผู้คนค่อย ๆ ทยอยกันออกไปจนบริเวณโรงหนังกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง ดีแลน คูเปอร์ อาสาที่จะเดินไปส่งถึงที่บ้าน และโดโลเรสก็ไม่ได้ปฏิเสธ คนทั้งคู่เดินอย่างเงียบ ๆ ผ่านบ้านแต่ละหลังที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง สายลมตอนกลางคืนเย็นจนค่อนข้างหนาว ไม่มีคนหรือรถที่ผ่านมาเลย มีเพียงต้นไม้ข้างทางกับเสาไฟริมถนนที่ทำให้รู้สึกไม่เปลี่ยวจนเกินไปนัก


    ตลอดทางไม่มีการพูดคุยกันแต่อย่างใด ไม่มีแม้แต่การแตะต้องตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนมีระยะห่างเว้นเอาไว้แต่ก็ไม่มีความอึดอัดระหว่างกันให้รู้สึก ตรงกันข้ามกลับชวนให้รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก โดโลเรสกวาดตามองรอบตัวอย่างสังเกต มันคงเป็นเรื่องน่ากลัวแทบบ้าสำหรับเธอหากต้องมาเดินอยู่ตรงนี้เพียงลำพังอย่างเมื่อก่อน แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ในเมื่อตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ลำพังแต่มีนายตำรวจหนุ่มเดินด้วยกันอยู่ข้าง ๆ


    ฝีเท้าคนทั้งคู่หยุดลงเมื่อมาถึงหน้าบ้านของโดโลเรส หญิงสาวหันไปสบตาชายหนุ่ม อยากจะเอ่ยคำลาในแบบที่คนทั่วไปกระทำกัน แต่จู่ ๆ ก็เกิดอาการกลัวที่จะต้องบอกลาไปเสียเฉย ๆ ราวกับว่าความสงบสุขที่ได้รับก่อนหน้านี้จะเลือนหายไปถ้าหากชายคนนี้จากไป เธอจึงได้แต่นิ่งอึ้งอยู่เช่นนั้น ในขณะที่คนข้างกายเองก็ไม่ได้คิดจะบอกลาเช่นกัน ต่างคนต่างมองหน้าไม่พูดจาใด ๆ ดูราวกับมีบางสิ่งที่ติดค้างในใจแต่ไม่สามารถพูดออกไปได้


    หลังจากที่เงียบอยู่นาน สุดท้ายโดโลเรสก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายพูดก่อน แต่ก็พูดได้เพียงแค่คำว่า "ฉัน.." เมื่อจู่ ๆ คนตรงหน้าก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วทาบริมฝีปากแนบชิด เป็นจูบที่นุ่มนวลและไม่ได้ให้ความรู้สึกคุมคามแต่อย่าง โดโลเรสไม่ได้ต่อต้าน เธอหลับตาลง ซึมซับความอบอุ่นตัดกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นจากเขา


    ร่างสูงถอนริมฝีปากออกมา เขาทำหน้าอึ้ง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง ดูไม่เหมือนกับนายตำรวจวัยสามสิบกว่าสักนิด แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่พึ่งจูบสาวครั้งแรกเสียมากกว่า


    "เอ่อ ขอโทษด้วยนะ คือ.."


    "ไม่เป็นไรหรอกโดโลเรสเสยผมอย่างเงอะงะไม่ต่างกัน งั้นฉันขอเข้าบ้านก่อนนะคะ"


    หญิงสาวรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าบ้านไปทันทีโดยไม่หันหลังกลับไป ทันทีที่ปิดประตูลงแล้ว ร่างบางก็ยืนพิงประตูก่อนจะยกมือขึ้นจับหน้าอกตัวเอง หัวใจเต้นรัวเร็วผิดจังหวะเหมือนกับพึ่งไปวิ่งมาสักสามกิโลเมตร โดโลเรสหลับตาลงอีกครั้ง นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่งยวด ความอุ่นร้อนยังตกค้างบนริมฝีปาก เธอแตะมันก่อนจะแตะที่ใบหน้าตัวเอง ต่อให้ไม่มีกระจกอยู่แถวนี้หญิงสาวก็รู้ได้ว่าตอนนี้ตัวเองหน้าแดงมากแค่ไหน


    เนิ่นนานแค่ไหนกันนะที่ปราศจากความรู้สึกเช่นนี้? เธอคิดไปเสียด้วยซ้ำว่าคงตายด้านกับผู้ชายไปแล้วนับตั้งแต่ที่เจอกับเหตุการณ์เลวร้ายมา เหมือนกับคนที่ตกในคำสาป ไม่อาจจะมีความสุขได้อีกในชีวิตนี้ จนกระทั่งวันที่ดีแลน คูเปอร์ ก้าวเข้ามาพร้อมความช่วยเหลือในเวลาที่เธอต้องการมากที่สุด เขาเป็นคนที่ไม่คิดรังเกียจเธอเลยแม้ว่าจะรู้ความจริงทั้งหมดของเธอแล้วก็ตาม นอกจากนี้ยังดีกับเธอและลูกเสมอ การเข้ามาของเขาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นหลายอย่างในชีวิต รวมไปถึงความรู้สึกของเธอเองเช่นกัน


    เสมือนฝันร้ายที่ผ่านพ้นไปแล้ว ตามด้วยฝันหวานแสนสุข เธอกลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่ใช่ความจริง จนกระทั่งในตอนที่เขาจูบเธอ นั่นได้แทนคำตอบของทุกสิ่งอย่างที่เธอต้องการแล้ว


    หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบา รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้ายามกดเปิดสวิตช์ไฟแล้วก้าวเข้าไปในห้องนอนตัวเอง แต่ฉับพลันรอยยิ้มก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ในทันทีที่แสงไฟสว่างโร่เผยให้เห็นบางสิ่งที่อยู่ในห้องนอนของเธอ


    บนผนังห้องนอนมีอักษรสีแดงขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า นังร่าน



    .................................



    ทุกสิ่งอย่างเลวร้ายลงไปอีก


    เหมือนกับฝันหวานอันแสนสุขที่ทันใดนั้นมันก็กลับกลายเป็นฝันร้ายน่าสยองอีกครั้ง


    ประโยค ‘นังร่าน’ สีแดงเข้มประหนึ่งเลือดที่ถูกเขียนขึ้นบนผนังห้องนอนไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายเลยแม้แต่น้อย โดโลเรสกรีดร้อง วิ่งออกจากบ้านด้วยความกลัวจนแทบเสียสติ จนกระทั่งตอนที่ดีแลน คูเปอร์ เข้ามากอดเธอไว้ เขาปลอบใจเธออยู่นานก่อนจะขันอาสาที่จะไปเช็กดูในห้องนอนให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดหรือใครที่เป็นอันตรายอยู่  แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ออกมาจากห้องนอนด้วยสีหน้างุนงงแล้วบอกแก่หญิงสาวว่า ไม่มีอะไรอยู่บนผนังห้องนอนเลยนะครับ


    แต่โดโลเรสรู้ว่ามันต้องมี เธอเห็นมันด้วยตาตัวเองชัดเจนแจ่มแจ้ง เธอจึงไม่อาจทำใจให้เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายได้ หญิงสาวจึงกลับเข้าไปในห้องนอนตัวเองอีกครั้ง แล้วก็พบว่าคูเปอร์พูดถูกต้อง ไม่มีตัวอักษรบนผนังแล้ว ไม่มีความผิดปกติใด ๆ อื่นที่น่าสงสัย ภายในห้องดูเหมือนเดิมทุกประการ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือจิตใจของเธอเอง


    เป็นไปไม่ได้ที่มันจะหายไป ในเมื่อเธอเห็นมันเต็มสองตาแท้ ๆ โดโลเรสไม่ได้โกหก เธอรู้ดีว่ามันเคยมีอยู่บนผนังห้องนอนของเธอ แต่หญิงสาวก็ไม่สามารถหาเหตุผลอื่นใดให้ใครเชื่อได้ ในเมื่อเธอไม่มีหลักฐานเลยด้วยซ้ำ มีเพียงคำพูดและความตื่นตกใจของหญิงสาวเท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย


    นายตำรวจหนุ่มยังคงพยายามปลอบใจโดโลเรสที่หวาดกลัว แต่เธอรู้ดีถึงความเคลือบแคลงใจผ่านทางแววตาของเขา แม้ไม่เอ่ยปากก็พอคาดเดาได้ว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องนี้ เขาไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด บางทีเขาอาจจะคิดไปเสียด้วยซ้ำว่าเธอคิดไปเองทั้งหมด หรือยิ่งแย่กว่านั้น เขาอาจจะคิดว่าเธอเป็นบ้าก็ได้


    บางทีคูเปอร์คงจะคิดถูก บางทีสิ่งที่เห็นอาจจะเป็นแค่ภาพหลอนน่ากลัวเหมือนกับที่หมอไอเบิร์ตมักพร่ำบอกเสมอเวลาที่เธอเห็นอะไรผิดปกติไปจากเดิม หลายครั้งที่เธอมักจะหลอนว่าเห็นบิลอยู่ตามมุมต่าง ๆ ในบ้าน หรือเห็นหน้าลูคัสกลายเป็นหน้าบิล หรือไม่ก็เสียงแปลกประหลาดที่ทำให้หวาดกลัวจนหัวหด ไม่แปลกเลยหากคนนอกจะคิดว่าเธอเป็นบ้า


    แต่จะมั่นใจได้ยังไงกันเล่าว่ามันเป็นภาพหลอน ถ้าหากทั้งหมดเป็นเรื่องจริงเล่า ถ้าหากว่าบิลอยู่รอบ ๆ ตัวเธอตลอดเวลา แล้วกลั่นแกล้งให้เธอต้องประสาทเสียด้วยข้อความบ้า ๆ บนผนังนั่น เมื่อคิดดี ๆ แล้วอะไรก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่แล้วจะมีใครที่ช่วยเหลือเธอได้ละ ในเมื่อทุกคนคิดไปแล้วว่าเธอเป็นแค่อีบ้าคนหนึ่งเท่านั้น


    โดโลเรสกำลังสับสนอย่างถึงที่สุด เพราะไม่อาจแยกแยะได้แล้วว่าสิ่งใดในชีวิตเธอเป็นความจริงหรือแค่ภาพลวงตากันแน่ ความคาดหวังถึงชีวิตที่สงบสุขดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เธอได้เห็นสายตาที่ดีแลน คูเปอร์ มองเธอในครั้งนั้น มันทำให้หญิงสาวรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก หวั่นกลัวเหลือเกินว่าเขาจะรังเกียจความผิดปกตินี้แล้วหนีห่างจากเธอไป เหลือเพียงแต่เธอที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวอีกครั้งหนึ่ง


    บางทีชีวิตของเธอคงไม่สามารถหลุดพ้นจากคำสาปร้ายได้ มันจะฝังติดตัวอยู่ในจิตวิญญาณไปตลอดกาล ไม่อาจมอดไหม้ ไม่อาจลบล้าง ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายก็ไม่อาจมีความสุขได้อยู่ดี...


    คืนนั้นเธอฝันร้ายอีกแล้ว ฝันถึงเรื่องเดิมเหมือนที่เคยฝัน อันที่จริงเธอไม่เคยฝันร้ายมานานแล้วนับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่เมืองนี้ แอลกอฮอล์เป็นตัวช่วยที่ดีเสมอสำหรับการนอนหลับ และถัดจากแอลกอฮอล์ก็มีดีแลน คูเปอร์ เธอยอมรับว่าการเข้ามาของเขาช่วยทำให้เธอไม่ได้เผชิญกับฝันร้ายมาหลายเดือนแล้ว จนกระทั่งมันได้เผยตัวขึ้นมาอีกครั้งในเวลาที่เธออ่อนแอที่สุด


    เธอฝันถึงตอนที่ตัวเองแอบหนีออกจากบ้านของบิลครั้งแรก วิ่งไปในป่ายามค่ำคืนด้วยเท้าที่ว่างเปล่า เศษกรวดหินทิ่มแทงจนเลือดไหลเป็นทาง เจ็บปวดทรมานยิ่งยวดจนต้องหลั่งน้ำตา แต่เธอยังคงกัดฟันวิ่งต่อไปท่ามกลางความทรมานนี้ แม้ไม่ได้หันหลังไปมองแต่เสียงย่ำเท้าที่ไล่หลังมาติด ๆ ก็พอจะบอกได้ว่าบิลกำลังอยู่ข้างหลังเธอนี้เอง


    ทุกอย่างจบลงเมื่อเสียงปืนดังขึ้น เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ท่อนขาชาวาบและเจ็บปวดเฉียบพลัน เลือดไหลนองจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีแดง บิลยืนค้ำเธอเหมือนเสาสูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านไม่มีวันล้ม ใบหน้าเจือจางขมุกขมัวเหมือนเป็นวิญญาณร้ายมากกว่าเป็นคน เขาก้มหน้าลงมาหาเธอที่นอนอยู่บนพื้นดินเหมือนสัตว์บาดเจ็บ เสียงกระซิบแผ่วเบาชัดเจนข้างหู


    นังร่าน


    ฝันร้ายหวนกลับมาพร้อมกับความรู้สึกเลวร้ายที่เธอพยายามหลบหนีจากมันมานาน แต่ตอนนี้มันวิ่งตามเธอทัน แล้วพร้อมจะฉุดเธอให้จมห้วงอเวจี เตือนให้หญิงสาวตระหนักรู้ว่าอย่าฝันที่จะได้ไปเผยอหน้าอยู่บนสวรรค์อย่างเป็นสุข เพราะวิญญาณของเธอเป็นวิญญาณบาปที่ไม่อาจกลับไปบริสุทธิ์ได้อีกแล้ว แม้ว่าจะอ้อนวอนขออภัยโทษจะพระเจ้ามากเท่าไรก็ไม่อาจได้รับการอภัย และคนบาปต้องคู่ควรกับนรกเท่านั้น


    เช้าวันอาทิตย์ไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก ก้อนเมฆสีเทาจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ส่งผลให้วันนี้ดูมืดครึ้มกว่าทุกวัน ได้ยินผ่านข่าวจากพยากรณ์อากาศเมื่อคืนว่ากำลังมีพายุเข้า ให้ระมัดระวังการออกจากบ้านในช่วงนี้ บางทีอาจจะมีฝนหลงฤดูที่ทำให้เมืองทั้งเมืองหนาวยิ่งขึ้นกว่าเดิม แต่โดโลเรสไม่ได้สนใจสิ่งใดนัก เธอสวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มออกจากบ้านพร้อมด้วยร่มติดตัว แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าโบสถ์คริสเตียนแห่งเดียวในเมืองนี้ เธอมองคนหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาที่กำลังทยอยเข้าไปด้านใน นึกประหลาดใจที่พบว่ามีคนมาโบสถ์มากกว่าทีคิดเอาไว้แม้ว่าสภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวยให้ออกจากบ้านก็ตาม


    โดโลเรสไม่ใช่คนเคร่งครัดในศาสนา อันที่จริงต้องบอกว่าเธอไม่เชื่อในพระเจ้าหรอก แต่หลังจากผ่านเรื่องเฮงซวยทั้งหมด เธอก็คิดว่าบางทีคำโกหกโง่ ๆ อย่างพระเจ้ามีจริงก็ช่วยเยียวยาจิตใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางทีมนุษย์ก็แค่อยากได้ที่พึ่งทางใจเท่านั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีจริงหรือเปล่าก็เถอะ


    หญิงสาวแทรกตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคนในเมืองอย่างแนบเนียน พอดีกับที่เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อบาทหลวงขึ้นไปยืนบนแท่นพิธี ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มสวดมนต์พร้อมกัน ยกเว้นเพียงแต่โดโลเรสที่ได้แต่ยืนอยู่นิ่ง ๆ เพราะไม่รู้คำสวดเลยแม้แต่น้อย เธอห่างหายจากพระเป็นเจ้ามานานมากจนลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว


    เธอแสร้งพึมพำเพื่อไม่ให้ดูผิดแปลกจากคนทั่วไปที่มาโบสถ์มากนัก ในขณะที่ดวงตาก็มองดูคนอื่นไปเรื่อย ๆ เห็นแต่ละคนที่ตั้งใจท่องบทสวดก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นคนนอกที่เข้ามาผิดที่ผิดทาง ผู้หญิงอมทุกข์ผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่สุงสิงกับใคร ไม่น่าจดจำ เป็นส่วนเกินที่ไม่มีใครต้องการและไม่อาจเป็นส่วนหนึ่งกับสังคมใดได้ ไม่มีที่ยืนสำหรับคนอย่างเธอบนโลกใบนี้ เหมือนเศษผงเล็กจ้อยที่ลอยเคว้งคว้างในจักรวาลกว้างไกลและไร้ตัวตน


    ไร้ตัวตน นี่คงเป็นคำนิยามที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับเธอ


    พิธีมิสซาวันอาทิตย์จบแล้ว คนอื่นๆ รีบร้อนกันแยกย้ายกลับบ้านตัวเองก่อนจะมีพายุเข้า ยกเว้นเพียงแค่โดโลเรสที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองดูรูปปั้นพระเยซูถูกตรึงกางเขนขนาดเท่าคนจริง ทั้งเนื้อหนังที่เปรอะเปื้อนด้วยเลือด กระดูกซี่โครงปูดโปนเพราะความผ่ายผอม มงกุฎหนามแหลมคมบนศีรษะ ดูเหมือนจริงเสียจนน่าขนลุก  


    พระเยซูยอมสละชีพเพื่อบาปของมนุษย์ทุกคนใครบางคนพูดประโยคที่แปะอยู่เหนือประตูทางเข้าโบสถ์ โดโลเรสยังคงจ้องไปที่รูปปั้นพระเยซู แต่ก็รับรู้ได้โดยไม่ต้องมองว่าอีกฝ่ายหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ เธอ เช่นเดียวกับที่รู้ว่าเขาเป็นใครเธอรู้สึกยังไงบ้างที่ได้ยินประโยคนี้


    ในที่สุดเธอก็ยอมหันหน้าไปมองหมอไอเบิร์ตจนได้ น่าประหลาดที่โดโลเรสคิดว่าภาพลักษณ์และกลิ่นอายของเขาในเวลานี้ดูเข้ากับบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์อย่างไม่น่าเชื่อ สมแล้วที่เธอเคยล้อเลียนเขาเมื่อก่อนว่าเป็นบาทหลวงในคราบจิตแพทย์


    ฉันคงรู้สึกเสียใจ เพราะสำหรับฉันแล้วนี่เป็นการตายที่ไร้ประโยชน์ที่สุด เธอพูดอย่างที่คิด การตายเพื่อทุกคนของเยซูไม่มีค่าอะไรเลยในเมื่อมนุษย์ก็ยังคงทำบาปไม่หยุดหย่อน จมดิ่งในก้นบึ้งของบาปเหมือนกับก้อนหินที่ถูกปาลงทะเลสาบลึก อย่างไรวิญญาณมนุษย์ก็ไม่มีทางสะอาดขึ้นมาหรอก อย่างน้อย ๆ ก็เธอคนหนึ่งล่ะ


    เธอไม่เคยคิดเสียสละเพื่อคนอื่นบ้างเหรอ


    ไม่หรอก ถ้าฉันจะตาย ฉันคงตายเพื่อตัวเองมากกว่า นี่คงเป็นความเห็นแก่ตัวได้มั้ง โดโลเรสคิดก่อนจะก้มลงมองข้อมือของตัวเองที่มีร่องรอยบาดแผลจากการพยายามฆ่าตัวตายเมื่อครั้งเยาว์วัยอยู่เต็มข้อมือ เธอไม่เคยคิดจะยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อใครทั้งนั้น สิ่งเดียวที่จะทำให้เธอสละชีวิตตัวเองได้คือความต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์เพียงเท่านั้น นี่แหละคือการตายเพื่อตัวเอง ไม่ใช่ใครหรือเหตุผลใดอื่น


    ชายวัยกลางคนพยักหน้า ไม่ได้ดูแปลกใจกับคำตอบเพราะรู้อยู่แล้วว่าหล่อนย่อมคิดเช่นนี้ สิ่งที่น่าแปลกใจคือการเจอเธอที่นี่ต่างหาก เธอดูไม่ใช่คนประเภทที่จะเข้าโบสถ์ ฉันประหลาดใจที่เธอนัดเจอฉันที่นี่นะ


    ฉันคิดว่าที่นี่มันก็สงบดี โดโลเรสไล่สายตามองทั่วโบสถ์อีกครั้ง และในฉับพลันก็ดูเหมือนจะเห็นคำว่า นังร่านปรากฏขึ้นตรงผนังโบสถ์ แต่เพียงแค่แวบเดียวทุกอย่างก็หายไป แล้วมันก็ทำให้เธอกลัวจนตัวสั่น อีกอย่างฉันไม่ค่อยอยากอยู่บ้านเท่าไรด้วย


    เธอหยุดสั่นก็ตอนที่ไอเบิร์ตเอามือแตะไหล่เธอ แล้วจู่ ๆ เธอก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมา แต่ก็เลือกที่จะอดกลั้นเอาไว้ ฉันเป็นคนบ้าไอเบิร์ต ไม่ว่าจะกี่ปีมันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย


    รอยยิ้มอันคลุมเครือปรากฏบนใบหน้าคนอายุมากกว่า ดูคาดเดาไม่ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทุกคนล้วนมีความบ้าอยู่ในตัว อยู่ที่ว่าจะมีมากหรือน้อยเท่านั้นเอง


    หญิงสาวหันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่ไม่เชื่อถือต่อคำพูดของเขาอย่างแรง คุณจะบอกว่าจิตแพทย์อย่างคุณก็มีความบ้าด้วยเหรอ?”


    ไอเบิร์ตพยักหน้าแทนคำตอบ “ไม่ใช่แค่ฉันหรอก เขานิ่งไปชั่วคราว แต่ดูไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไรนักกับการเผยความลับของตนให้อีกฝ่ายฟัง จิตแพทย์บางคนก็ยังต้องพึ่งจิตแพทย์ด้วยกันเองเลยนะ


    ทุกคนล้วนย่อมมีปัญหาเป็นของตัวเองเสมอ ไม่เว้นแม้แต่จิตแพทย์ที่คอยให้คำปรึกษาปัญหาแก่คนอื่นก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่โดโลเรสเรียนรู้จากสิ่งที่ไอเบิร์ตบอกเล่า เธอควรจะรู้สึกแย่กับเขา แต่กลายเป็นว่าความลับของเขากลับทำให้เธอยิ้มออกมานิด ๆ เมื่อค้นพบว่าตัวเองไม่ใช่เพียงคนเดียวที่มีปัญหา และการได้รู้ว่ามีใครสักคนที่ไม่ต่างกันก็ทำให้รู้สึกดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ


    ฉันขอพูดตรง ๆ นะโดโลเรส ไม่ใช่ในฐานะจิตแพทย์ แต่เป็นในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นห่วงเธอ ฉันคิดว่าเธอกำลังหมกมุ่นกับบิลมากไปนะ


    โดโลเรสไม่พูดอะไรออกมาสักคำ นั่นอาจเป็นเพราะเธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง ไอเบิร์ตรู้ดีเสมอในทุกเรื่องของเธอ มันทำให้เธอหงุดหงิดบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าความรู้ดีของเขาช่วยเหลือเธอได้เสมอในยามที่เธอต้องการ


    เขาเคยกดเธอให้อยู่ใต้อำนาจเขาจนเธอเคยชิน เขาฝังตัวตนของเขาลงในจิตสำนึกของเธอ แล้วเธอก็ปล่อยให้เขามีอิทธิพลเหนือเธอตลอดเวลาแม้ว่าเขาจะไม่อยู่แล้วก็ตาม จนทำให้สิ่งนั้นกำลังทำลายชีวิตเธอไปเรื่อย ๆน้ำเสียงใสกระจ่างของชายวัยกลางคนฟังดูไม่ต่างจากบาทหลวงที่กำลังเทศนา ฉันช่วยเธอได้อยู่แล้ว แต่คงไม่ได้มากหรอก เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอนะ และฉันรู้ว่าเธอเองก็รู้ว่าควรต้องทำยังไง


    โดโลเรสเม้มปากแน่น ใช่ เธอคิดว่าเธอรู้นะ


    อย่าปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นอยู่เหนือเธอ อย่าให้ชื่อของเขาทำให้เธอหวาดกลัว ถ้าเธออยากจะมีชีวิตของตัวเอง เธอต้องสลัดเขาออกไปจากชีวิตของเธอให้ได้ เพราะนี่คือชีวิตของเธอไม่ใช่ของเขา และเขาก็ไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ที่จะมาทำอะไรเธอได้อีกแล้ว


    แสงแดดค่อย ๆ ลอดผ่านกระจกสีในโบสถ์เกิดเป็นสีสันหลากสี ดูเหมือนพายุอึมครึมที่ควรจะมีตามข่าวพยากรณ์อากาศได้หายไปแล้ว ปรากฏเพียงท้องฟ้าปลอดโปร่งและดวงอาทิตย์สว่างไสว เสมือนว่าไม่เคยมีความมืดครึ้มปกคลุมทั่วท้องฟ้ามาก่อน


    โดโลเรสไม่เคยคิดชอบพระอาทิตย์เลย มันสว่างเกินไปสำหรับคนมืดหม่นอย่างเธอ แต่ตอนนี้มันต่างกันออกไป หญิงสาวพึ่งจะรู้ตัวว่าเธออยู่กับความมืดมานานเกินไปจนไม่อาจรับรู้ได้ถึงความสวยงามของแสงสว่างที่เธอหลีกเลี่ยงมานาน และตอนนี้เธอก็ได้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว


    หญิงสาวจดจ้องไปที่หมอไอเบิร์ตเหมือนกับที่มองพระเยซูถูกตรึงกางเขน หลายความรู้สึกเอ่อล้นท่วมท้น ทุกถ้อยคำของเขาฝังแน่นอยู่ในจิตใจและความคิดของเธอ คำแนะนำที่เหมือนกับแสงสว่างที่ไม่เคยคิดว่าต้องการมาก่อน


    หากต้องการหลุดพ้นจากบาป ก็จงอย่าปล่อยให้ปีศาจมีอำนาจเหนือตน



    __________________



    [1] Sabrina(1954) เป็นเรื่องเกี่ยวกับซาบริน่า หญิงสาวลูกสาวคนขับรถที่ตกหลุมรักเดวิดลูกชายคนเล็กตระกูลเศรษฐีที่เป็นนายจ้างของเธอ แต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้จึงจำต้องไปเรียนต่อที่ปารีส และเมื่อกลับมาที่บ้านอีกครั้งเธอก็กลายเป็นสาวสวยจนทำให้เดวิดตกหลุมรัก แต่ก็ถูกขัดขวางด้วยครอบครัวเศรษฐี นำโดยไลนัสที่เป็นพี่ชายคนโต ที่สุดท้ายก็ตกหลุมรักซาบริน่าเสียเอง


               
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×