คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : VIII
อีกครั้งที่เปลวไฟลุกโชนสว่างไสวในความมืด
เปลวไฟจากคบเพลิงในมือของชาวบ้านที่กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อต่อพิธีการสำคัญที่จะเริ่มต้นในอีกไม่ช้า บาทหลวงกุมสร้อยไม้กางเขนไว้แน่นในขณะที่ปากขยับสวดมนต์ตามหนังสือเล่มหนาในมืออีกข้าง คละเคล้าไปกับเสียงคำสาปแช่งจากหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกชายฉกรรจ์ฉุดกระชากขึ้นไปยังแท่นไม้ที่ถูกทำเป็นเครื่องหมายไม้กางเขนขนาดยักษ์ หล่อนสวมใส่เสื้อสกปรกมอมแมม เส้นผมถูกโกนจนโล้นเกลี้ยง เล็บถูกถอนออกจากนิ้วทุกนิ้ว รอยฟกช้ำจากการถูกทรมานปรากฏตามร่างกายพ้นจากร่มผ้า แต่ที่เด่นชัดที่สุดก็คือหมายเลข 666 บนข้อมือแขนขวาของหญิงสาว
หมายเลขของซาตาน...
หล่อนหัวเราะคิกคักในขณะที่แขนและขาของตัวเองถูกมัดตรึงกับไม้กางเขนไว้แน่น
ดวงตาสีเทาสวยงามเหมือนลูกแก้วกวาดไล่มองทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้อย่างเย้ยหยัน
บาทหลวงพร่ำพรรณนาถึงความชั่วร้ายของแม่มด สาวกรับใช้ของซาตาน สตรีผู้สมสู่กับปีศาจ
ทำพันธสัญญาเพื่อแลกเปลี่ยนกับเวทมนตร์คาถา ขายร่างกายและวิญญาณเพื่อตอบสนองความโลภของตัวเอง
“มีเพียงไฟเท่านั้นที่จะชำระล้างวิญญาณบาปให้กลับมาบริสุทธิ์ ชำระล้างหมู่บ้านให้พ้นจากภัยร้าย!”
บาทหลวงประกาศกร้าว ก่อนที่คบเพลิงในมือชาวบ้านจะโยนเข้าใส่หญิงสาวที่ถูกตรึงไม้กางเขน เปลวไฟลามเลียไปทั่วร่างของหญิงสาว เสียงกรีดร้องที่แสนทรมานสลับกับเสียงหัวเราะน่าขนลุก เนื้อหนังหลอมละลายติดกระดูกเป็นสีดำเข้ม กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งชวนให้รู้สึกอยากอาเจียน ไม่มีใครพูดอะไรสักคำนอกจากจับตาดูแม่มดที่จมอยู่ใต้กองไฟ หล่อนยังไม่ตายดี และยังไม่หยุดสาปแช่งจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
“อีกไม่นาน...อีกไม่นาน...พวกแกจะไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ประตูนรกจะเปิดต้อนรับพวกแกทุกคน วิญญาณของพวกแกจะต้องถูกแผดเผาไม่ต่างจากข้า ขอซาตานจงเจริญ”
.................................
แสงของเปลวไฟสว่างจ้าขึ้นเรื่อย ๆ เสียจนมิเรียมปวดลูกตาตัวเอง เด็กสาวลืมตาโพลงจากการหลับใหล ก่อนจะพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นหญ้าแห้งกรอบ รอบ ๆ ตัวมีเพียงต้นไม้ไร้ใบเหลือเพียงกิ่งก้านหงิกงอ เมื่อมองผ่านแสงสีแดงบนท้องฟ้าแล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกรายล้อมไปด้วยปีศาจก็ไม่ปาน
มิเรียมจำได้ว่าที่แห่งนี้คือป่าที่อยู่ตรงข้ามลำธารที่เธอเคยมาตักน้ำ
แต่เด็กสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน และไม่รู้ว่ามาโผล่อยู่ที่นี่ได้เช่นไร
เมื่อความทรงจำสุดท้ายของเธอคือการเดินย่ำผ่านทุ่งกว้างอันแห้งแล้งเพียงลำพัง
ท่ามกลางท้องฟ้าแดงดั่งเลือดและความเงียบงันน่าหวาดหวั่น
มิเรียมค่อย ๆ ลุกขึ้นในตอนที่เริ่มสังเกตได้ถึงแสงสว่างที่อยู่ข้างในป่าลึกเข้าไปอีก แสงสว่างแบบเดียวกับที่พึ่งได้เห็นในความฝันเมื่อครู่ แสงของกองไฟ และไฟไม่อาจกำเนิดขึ้นได้เองถ้าหากไม่มีใครสร้างมันขึ้นมา เธอรู้ได้ทันทีว่ามีใครคนอื่นอยู่ในป่าแห่งนี้ด้วย
แต่คนคนนั้นคือใคร? จะเป็นพวกคลั่งศาสนาหรือว่าพวกสาวกซาตานกันแน่ ไม่มีอะไรที่น่าไว้วางใจเลยสักนิดหลังจากที่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายมากมายภายในคืนเดียว เด็กสาวทั้งสับสนและลังเลใจ แต่ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจก้าวไปตามแสงไฟนั้นอย่างเงียบเชียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภาพตรงหน้าค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่ก้าวขา กองไฟขนาดใหญ่ส่องแสงสว่างเรืองรองท่ามกลางราตรีที่วิปริต เสียงพึมพำด้วยภาษาที่ไม่เข้าในประสานกันคล้ายท่วงทำนองของบทเพลง ในขณะที่หญิงสาวหน้าตาสวยงามหลายคนวิ่งไปรอบ ๆ กองไฟอย่างร่าเริง ประหนึ่งกำลังเต้นรำอย่างสนุกสนาน หากแต่พวกหล่อนทุกคนไม่ได้สวมเสื้อผ้าสักชิ้น ไม่เกรงกลัวต่อความร้อนแรงของกลุ่มเพลิงแม้แต่น้อย
ราวกับมนต์สะกดที่ไม่อาจพาให้ละสายตา หญิงสาวพวกนั้นดูยั่วยวนน่าดึงดูดแม้แต่กับสตรีด้วยกัน เหมือนเหล่านางไม้ในนิทานปรัมปราที่เคยได้ยินเมื่อตอนเป็นเด็ก เป็นอีกครั้งที่มิเรียมไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเดินเข้าไปในวงล้อมของบรรดาสตรีกลางป่า และฉับพลันเสียงก็เงียบลง พร้อมกับทุกคนที่หยุดเต้นรำ หนึ่งในกลุ่มหญิงสาวหันมามองที่เธอ ดวงตาสีเทาคู่นั้นเป็นประกายสะท้อนแสงเพลิง ก่อนจะค่อย ๆ ฉีกยิ้มหวานหยดย้อย
“พวกเรารอเธอมาตั้งนานแหนะ มาร้องเพลงด้วยกันสิ”
หญิงสาวคนนั้นก้าวออกจากวงก่อนจะคว้ามือมิเรียมเข้ามาอย่างสนิทสนม และเธอเองก็เกือบจะยอมเดินตามไปอย่างง่ายดายแล้ว แต่กลับมีความคิดบางอย่างที่ฉุดรั้งเอาไว้เสียก่อน “ฉันร้องเพลงแบบพวกคุณไม่เป็นเลย”
“อะไรกัน เธอเองก็เคยได้ยินมันมาก่อนแล้วนี่น่า จะร้องไม่เป็นได้ยังไง”
สิ้นคำพูดของหล่อน ความทรงจำก็พุ่งจู่โจมเข้ากะทันหัน เจ็บปวดยังกับถูกตีหัวด้วยท่อนไม้ มิเรียมครางเสียงหลงก่อนจะปรากฏความทรงจำอันเลือนรางขึ้นมาได้ ความฝันครั้งนั้นที่เธอได้เจอกับปีศาจตางูในกองไฟ เสียงพึมพำที่เหมือนกับบทสวดประหลาดดังก้องวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา และมิเรียมก็พึ่งจะตระหนักได้ว่าเสียงนั้นฟังดูไม่ต่างจากบทเพลงที่หญิงสาวเหล่านี้ขับร้องเลยแม้แต่น้อย
Sanguis Bibimus.
Corpus Edimus.
Tolle Corpus Satani!
Ave! Ave Versus Christus!
นี่เป็นบทสวดบูชาซาตาน และพวกหล่อนทุกคนก็เปลือยกายล่อนจ้อนเหมือนกับคนอื่นในหมู่บ้าน นั่นชัดเจนแล้วว่าคนเหล่านี้คือสาวกของปีศาจ!
สติที่ขาดหายไปชั่วคราวได้กลับคืนมาอีกครั้ง
มิเรียมถอยหนีอย่างหวาดกลัว แต่ทว่าหญิงสาวทั้งหลายกลับไม่ได้มีท่าทีคุกคามจู่โจมเหมือนเช่นสาวกคนอื่นแต่อย่างใด
พวกหล่อนสงบนิ่งเยือกเย็น ในขณะที่เจ้าของดวงตาสีเทายังคงจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานเป็นมิตรค้างอยู่บนใบหน้าไม่แปรเปลี่ยน
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก เราไม่มีทางทำอันตรายอะไรเธออยู่แล้ว และเราจะไม่ให้ใครมาทำอันตรายเธอด้วย”
น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนแม่ที่ปลอบใจลูกคล้ายกับจะทำให้มิเรียมสงบลงได้
แต่ก็ยังไม่ละซึ่งความหวาดระแวงต่อสิ่งตรงหน้า เธอรู้สึกได้ว่าคนพวกนี้ไม่ปกติ
ไม่เหมือนกับสาวกปีศาจก่อนหน้านี้ที่พบเจอมา
อาจเป็นเพราะความสวยงามอ่อนโยนที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริง
ยังกับภาพในฝันหรือจินตนาการมากกว่าความเป็นจริง
และนั่นทำให้พวกหล่อนดูน่ากลัวยิ่งกว่าพวกคนเสียสติที่เด็กสาวพึ่งจะหนีพ้นมาเสียอีก
“ดูนั่นสิ”
เสียงของหญิงสาวผู้เป็นปริศนาเอ่ยขึ้น ก่อนที่ทุกสายตาจะเงยหน้ามองไปยังเบื้องบน มิเรียมมองตามแล้วก็พบว่าต้นไม้ที่แห้งตายเหล่านี้กำลังเริ่มเปลี่ยนไป เปลือกไม้สีเทากลายมาเป็นสีน้ำตาลเข้ม ใบไม้งอกเงยรวดเร็วปกคลุมทั่วทั้งป่าที่เคยแห้งแล้ง แม้แต่ใบหญ้าแห้งกรอบตามพื้นก็กลายเป็นหญ้าเขียวชอุ่มแสนนุ่ม เสียงของน้ำไหลหลากดังแว่วมาจากฝั่งลำธาร ทุกอย่างกลับมาอุดมสมบูรณ์ภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ราวกับว่าความแห้งแล้งที่เห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่ความจริง
“ท่านทำตามที่ได้กล่าวไว้ ท่านผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ ความแข็งแกร่ง และความรุ่งโรจน์แด่ผู้ที่ศรัทธาต่อท่าน”
บทสวดดังขึ้นอีกคำรบด้วยสีหน้าปลาบปลื้มและอิ่มเอมใจของทุกคน
หญิงสาวผู้นั้นลดสายตากลับมามองที่มิเรียม ดวงตาสีเทายามนี้แวววาวจนดูเหมือนกับว่าเรืองแสงได้ในความมืด
“ทุกสิ่งที่เธอปรารถนาจะเป็นจริง เพียงแค่เธอยอมรับในตัวท่าน ยอมรับถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ท่านมอบให้แก่เธอ ความเลวร้ายจะเปลี่ยนเป็นสุขสมชั่วนิรันดร์ เพียงแค่เธอตอบตกลงเท่านั้น...”
หล่อนยื่นมือมาตรงหน้าเธอ ชั่วขณะที่มิเรียมมองไปที่มือนั้น เธอเห็นเลข 666 ประทับชัดเจนบนแขนที่ขาวเนียนของอีกฝ่าย ฉับพลันในหัวก็ปรากฏภาพของแม่ที่นอนจมกองเลือดอยู่ในห้องสวดมนต์ ต่อหน้ารูปภาพพระเยซูที่มองลงมาด้วยสีหน้าสิ้นหวัง ภาพของบรรดาพี่ชายที่อ้วกออกมาเป็นเลือดและตะเกียกตะกายดิ้นรนตายอย่างทรมาน โดยเฉพาะกับเคน—ไอ้สารเลวที่คิดจะข่มขืนเธอ มันตายอย่างทรมานที่สุด เลือดไหลออกจากทั้งตา จมูก และปาก เหมือนกับซากของหมาที่ตายข้างถนนจากรถชน
นั่นคือความปรารถนาส่วนลึกในใจที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มาเนิ่นนาน ความปรารถนาอันชั่วร้ายผิดบาปที่มิเรียมไม่อาจยอมรับได้ เธออยากให้พวกมันทุกคนตาย ตายอย่างทรมานที่สุด
“ไม่! ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น”
มิเรียมตะโกนจนเหมือนกับกรีดร้อง ภายในหัวหายไปฉับพลัน และทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง บรรดาหญิงสาวสวยตรงหน้าที่เคยเห็นก็กลายเป็นหญิงชราอัปลักษณ์ ผิวหนังเหี่ยวย่นเป็นชั้น ๆ เปื้อนไปด้วยเมือกสีเขียวเยิ้ม นิ้วมือเป็นกรงเล็บยาวเหยียด จมูกงองุ้มยืดยาวผิดมนุษย์
พวกมันไม่ใช่แค่สาวกปีศาจทั่วไป แต่พวกมันคือแม่มด
“อย่าได้ดิ้นรนหนีไปเลย ยังไงเสียเธอก็หนีไม่พ้นอยู่ดี แค่ยอมรับมันซะ”
“ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!” “ยอมรับมันซะ!”
หญิงชราตะโกนประสานเป็นเสียงเดียวกันดังก้องไปทั่วทั้งป่า มิเรียมวิ่งหนีออกไปอีกครั้งในขณะที่เสียงของพวกมันยังคงดังไล่หลังมา แสงสว่างเริ่มน้อยลงทุกทีที่เธอห่างไปจากกองไฟเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดรอบตัวก็ไร้ซึ่งแสงใด ๆ และไร้ซึ่งแม่มดไล่ติดตามมา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจเอาเสียงของพวกมันออกไปจากความคิดได้เลย
แค่ยอมรับมันซะ
อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความรู้สึกนี้หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง นานเท่าไรแล้วนะที่เธอเอาแต่วิ่งไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ หลีกหนีจากพวกมันทั้งหมดโดยไร้จุดหมาย หาทางออกไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดไปได้อีกนานแค่ไหนด้วยตัวคนเดียวเช่นนี้
หรือทั้งหมดนี่จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด? เธอไม่ควรจะหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่ต้น หนีจากนรกอีกที่เพื่อมาเจอนรกที่ใหม่ ไม่มีที่ไหนเลยที่เรียกว่าบ้านได้อย่างแท้จริง เธอถูกทอดทิ้งจากคนทั้งโลกไปเสียแล้ว และไม่มีใครช่วยเธอได้อีก แม้แต่กับพระเจ้าก็ตาม
“ทุกสิ่งที่เธอปรารถนาจะเป็นจริง เพียงแค่เธอยอมรับในตัวท่าน ยอมรับถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ท่านมอบให้แก่เธอ ความเลวร้ายจะเปลี่ยนเป็นสุขสมชั่วนิรันดร์ เพียงแค่เธอตอบตกลงเท่านั้น...”
หรือบางที...เธอควรจะยอมแพ้สักที ยอมแพ้ต่อการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ สิโรราบต่อความยิ่งใหญ่ของซาตาน เป็นส่วนหนึ่งของมันอย่างจำยอม พอแล้วซึ่งการหลบหนีหรือต่อต้านอันสิ้นหวังของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
หรือบางที...อาจมีวิธีที่ดีกว่านั้นในการหนีจากชะตากรรมที่โหดร้ายเหล่านี้ ปลดปล่อยเธอจากภาระอันน่าชัง และช่วยชีวิตมวลมนุษยชาติเอาไว้
ฆ่าศัตรูของพระคริสต์ซะ ก่อนที่มันจะกำเนิดขึ้นมาทำลายโลกนี้
ก้อนหินก้อนใหญ่ถูกหยิบคว้าไว้ในมือ
มิเรียมเผลอกำมันไว้แน่นจนเหลี่ยมคมของมันบาดเข้าที่มือ
เลือดไหลหยดลงบนใบหญ้าเขียวสด สายตาเด็กสาวมองไปที่หน้าท้องกลมนูน ที่ ๆ
ปีศาจนรกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เธอสูดลมหายใจเข้าออกถี่รัวอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ก่อนจะเงื้อมือที่ถือหินสูงขึ้นให้มุมที่แหลมคมที่สุดอยู่ตรงปลาย
แทงมันเข้าไป เพียงแค่กดมันลงไปเท่านั้น จบชีวิตบุตรและมารดาแห่งปีศาจไว้เพียงเท่านั้น บางทีพระเจ้าอาจจะยอมรับเธอขึ้นสวรรค์เมื่อตายไป บางทีเธออาจได้จารึกชื่อเป็นมรณสักขี[1] ไม่ใช่หญิงบาปชั่วช้าอย่างที่พวกแม่ชีหรือมารดาของเธอเรียกเธอเช่นนั้น
ช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังเป็นเช่นนี้นี่เอง สีสันแห่งความมืดบอดก่อตัวในความคิด ไร้ซึ่งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ นี่คือความรู้สึกของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย ยืนอยู่ที่สุดปลายเชือกของชีวิต คนพวกนี้ห่างไกลจากคำว่าขี้ขลาดมากนัก เพราะมันต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาลในการจบชีวิตตัวเอง และต้องอดทนกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะจบลง
และสุดท้ายมิเรียมก็ค้นพบว่าตัวเองเป็นได้แค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น
ก้อนหินถูกปล่อยหลุดจากมือตามด้วยเสียงร้องสะอื้นไห้ เธอยังไม่อยากตาย ยังเด็กเกินกว่าที่จะทำใจละทิ้งชีวิตตัวเองไปได้ และที่สำคัญคือความทรมานที่น่าหวาดกลัวที่สุด ต้องทิ่มแทงตัวเองกี่รอบกว่าที่จะทะลวงไปถึงบุตรแห่งซาตานได้ และต้องใช้เวลาอีกเท่าไรในการรอคอยความตายที่คืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้า ขณะที่เลือดค่อย ๆ ไหลออกมาจนหมดตัว ความเจ็บปวดจะยาวนานแค่ไหนกันกว่าที่จะได้ตายสมใจอย่างแท้จริง
เธอทำไม่ได้ เธอไม่แข็งแกร่งพอสำหรับการเสียสละครั้งนี้
ความเห็นแก่ตัว ความกลัว ความรัก ความเมตตา ความโลภ และความโกรธ ล้วนเป็นสันดานของมนุษย์แท้จริงมาช้านาน สิ่งมีชีวิตที่เคยบริสุทธิ์ซึ่งถูกปนเปื้อนด้วยมลทินนับตั้งแต่อดัมและอีฟเลือกที่จะกัดกินแอปเปิ้ลเข้าไป จนกลายมาเป็นเช่นพวกเราในทุกวันนี้
คงจะมีก็แต่พระเยซูเท่านั้นแหละที่ยอมทรมานจนตายเพื่อมนุษย์ และดูเหมือนนั่นจะเป็นการตายที่เสียเปล่าเสียแล้วเมื่อศัตรูของพระคริสต์เริ่มแข็งแกร่งขึ้นทุกที มิเรียมสัมผัสมันได้จากภายในท้องของตัวเองที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนดูคล้ายสตรีใกล้คลอด
ใกล้เข้ามาแล้ว การล่มสลายของมวลมนุษยชาติ
มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางรอดเสียทีเดียว มิเรียมคิดเช่นนั้นในตอนที่นึกถึงป้ายไม้ผุพังข้างทางที่เขียนว่า ยินดีต้อนรับสู่โลวแลนด์ หมู่บ้านแห่งนี้ต้องคำสาป ตกอยู่ใต้อำนาจปีศาจอย่างสมบูรณ์ เด็กสาวรู้ว่าถ้าหากเธอต้องการจะรอดพ้นจากมัน เธอต้องไปให้พ้นจากที่นี่ พ้นจากแดนนรกบนดิน ไปสู่ที่ ๆ อำนาจของมันไม่อาจเข้าถึงได้
แต่ชาวบ้านพวกนั้นคงไม่ยอมให้เธอออกไปจากที่นี่ง่าย ๆ แน่
มิเรียมย่ำเท้าตรงไปในป่าอย่างไร้ทิศทาง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปที่ไหน แต่จิตใต้สำนึกกระตุ้นให้เธอเดินต่อไป เป็นสัญชาตญาณของการดิ้นรนตัวรอดที่สิ้นหวัง อย่างน้อยดีกว่านั่งรอความตายเฉย ๆ เสียงกรอบแกรบดังแผ่วเบาเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ตามแมกไม้ แต่มิเรียมกลับมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง เสียงนกฮูกร้องทำให้เธอสะดุ้งจนเกือบหัวใจจะวาย ไม่มีอะไรน่าไว้วางใจ ทุกย่างก้าวเหมือนกำลังเดินอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด
เสียแต่ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่ว่าจะความเยาว์วัย ไร้เดียงสา และความบริสุทธิ์ใต้ร่มเงาของพระเป็นเจ้า บัดนี้สาดกระเซ็นไปด้วยบาปเหมือนกับสีดำที่ถูกราดบนกำแพงขาวสะอาด ความคิดอันหนักอึ้งราวกับหินก้อนใหญ่ที่ถ่วงขาทั้งสองขาของเด็กสาวให้เดินช้าลง ประตูนรกเตรียมเปิดต้อนรับเธอแล้ว ซาตานที่มีพิเศษสำหรับคนบาปเสมอ และเธอจะต้องอยู่ใต้ผืนแดนชั่วร้ายนั้นไปชั่วกัลปาวสาน
อากาศในยามค่ำคืนแตกต่างจากตอนกลางวันสิ้นดี มันทั้งเปียกชื้นและเย็นยะเยือก อาจเป็นเพราะความอุดมสมบูรณ์ของป่าที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หรืออาจจะเป็นจากเธอเองที่หวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บที่อธิบายไม่ได้ ถึงอย่างนั้นเม็ดเหงื่อก็ยังผุดพรายทั่วร่างกาย เปียกชุ่มทั่วเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่เลอะไปด้วยเลือด เหงื่อและเลือด สองสิ่งที่เป็นตัวแทนของชีวิต ตัวแทนของคำสาปจากพระเจ้าที่มีให้กับมนุษย์คนแรกผู้บังอาจล่วงละเมิดกฎของพระองค์
เสียงของผู้คนยังคงดังแว่วจากที่ไกล ๆ เหมือนเสียงบทสวดผสมเสียงกรีดร้องโหยหวนน่าขนลุก ยังกับเสียงของวิญญาณอันทุกข์ทรมานในขุมนรก มิเรียมเดินมาได้สักพักแล้วแต่ทว่าก็ยังไม่อาจหลุดพ้นจากป่าได้สักที ราวกับว่าต้นไม้มากมายกำลังงอกเงยทอดยาวไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรที่ใช้นำทางได้เลยนอกไปจากเสียงน้ำจากลำธารที่แว่วเข้ามา เริ่มจากแผ่วเบาจนกระทั่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามการก้าวเดินอันไม่หยุดหย่อน เธอรู้สึกได้ถึงดินแข็งกระด้างที่นิ่มขึ้น ก่อนที่สายตาจะมองเห็นลำธารเบื้องหน้าชัดเจน
เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ทีเดียวเมื่ออดีตลำธารแห้งขอดที่ครั้งหนึ่งเด็กสาวเคยต้องลำบากปีนป่ายลงไปตักน้ำอันน้อยนิดเพื่อไว้รดแปลงผัก บัดนี้ถูกเติมเต็มจนเอ่อล้นมาถึงตลิ่ง สีของน้ำดำสนิทไปกับรัตติกาลอันแดงสลัวใต้เงาจันทร์ ความกระหายอยากปรากฏชัดขึ้นหลังจากที่ผ่านการเดินทางอันทรหดมาจนถึงตอนนี้ ร่างของเด็กสาวคุกเข่าลงกับพื้นดินก่อนจะใช้สองมือจ้วงตักน้ำจากลำธารขึ้นมาดื่มอย่างมูมมาม น้ำสะอาดไร้รสชาติและกลิ่นคาวโคลน บริสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ ความสดชื่นเพียงเล็กน้อยที่เข้ามาทดแทนความเหนื่อยล้านั้นไม่ต่างอะไรจากสวรรค์เลยสำหรับคนที่กำลังเผชิญนรกบนดินเฉกเช่นเธอ
มิเรียมเกือบจะอุทานว่า “ขอบคุณพระเจ้า” แล้ว หากไม่นึกขึ้นมาได้เสียก่อนว่าความอุดมสมบูรณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากปีศาจหาใช่พระเจ้าไม่
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่มายาของปีศาจไว้ล่อหลอกคนโง่เขลาที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเท่านั้น เป็นนรกที่ถูกฉาบหน้าให้สวยงามเหมือนสวนสวรรค์อีเดน ดั่งเช่นผลไม้สวยสดที่ภายในถูกหนอนกัดแทะแทบไม่เหลือ เมืองทั้งเมืองนี้ถึงจุดจบไปนานแล้ว ทุกตารางนิ้วถูกสาป เต็มไปด้วยความชั่วร้ายทุกอณู นี่คือเมืองของคนบาป
ครั้งหนึ่งสมัยที่สงครามยังไม่เกิด ความสงบสุขปกคลุมภายในใจของมนุษยชาติ ก่อนที่ชีวิตคนเป็นล้านคนจะถูกคร่าไปภายในเวลาไม่กี่ปีถัดจากนั้น มิเรียนเคยได้ฟังคำสอนจากบาทหลวงผู้ที่อ้าแขนรับเธอเข้าสู่ร่มเงาศาสนา บาทหลวงบอกกับเธอว่าปีศาจมีจริง มันแฝงตัวอยู่กับเราเหมือนปรสิต อยู่ข้างในสมองและหู รอคอยที่จะจู่โจมในช่วงเวลาที่จิตใจเราอ่อนล้าและหวาดกลัว เพื่อกระซิบกระซาบชักจูงเราสู่การทำความชั่ว ฉะนั้นแล้วอารมณ์ที่อันตรายที่สุดจึงไม่ใช่ความโกรธ แต่คือความกลัว เพราะความกลัวสามารถผลักดันให้มนุษย์คนหนึ่งทำอะไรที่เลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างเช่นฮิตเลอร์ที่กลัวการมีอยู่ของชาวยิวจนเลือกที่จะกักขังทรมานและกำจัดชาวยิวผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย
จงอย่ากลัว ยืนหยัดสู้กับปีศาจด้วยใจที่เข้มแข็ง เอาชนะมันด้วยศรัทธาแรงกล้าต่อพระผู้เป็นเจ้า เมื่อนั้นชัยชนะจักเป็นของเรา
สายไปเสียแล้วสำหรับเธอ เพราะความกลัวครอบงำเด็กสาวนับตั้งแต่ที่ปีศาจปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ศรัทธาที่มีแก่พระเจ้าถูกทำลายย่อยยับไปหมดแล้วเมื่อคำอ้อนวอนไม่ได้รับการตอบรับ มิเรียมจินตนาการถึงเสียงหัวเราะของมันต่อการพ่ายแพ้ของเธอ และการดิ้นรนอย่างโง่เขลาที่จะเอาตัวรอดจากที่นี่ไปให้ได้ เหมือนครั้งที่เธอหนีออกมาจากครอบครัวแสนเลวของตัวเองในวัยเยาว์
เมื่อความกลัวดำเนินมาถึงจุดสูงสุด ก็ไม่มีอะไรต้องเสียอีกต่อไปแล้ว นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ ที่แม้แต่เทวดาหรือปีศาจก็ไม่มีทางเข้าใจได้
สายตาเหม่อลอยไปที่ลำธารตรงหน้า มือเล็กลูบแผ่วเบาตรงสัญลักษณ์ 666 ที่ข้อมือ ก่อนจะใช้เล็บจิกเข้าไปคราเดียว ขูดขยี้เอาเนื้อหนังที่ถูกตีตราออกไปให้ได้มากที่สุดราวกับกำลังชำระล้างสิ่งสกปรกโสโครก เลือดไหลอาบย้อมแขนถูกเจือจางลงอย่างรวดเร็วผ่านน้ำในลำธาร ความเจ็บแสบทรมานเป็นสิ่งเดียวที่ฉุดรั้งสติที่หลุดลอยให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งหนึ่ง
เธอจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน ไม่อย่างเด็ดขาด!
_____________________
[1] มรณสักขี หมายถึงคริสต์ศาสนิกชนที่สละชีพหรือถูกฆ่าเพื่อปกป้องความเชื่อทางศาสนาของตน และเมื่อเสียชีวิตแล้วจะได้ถูกยกย่องให้เป็นนักบุญ(Saint)ที่ได้รับความเคารพและมีบทบาทอย่างมากในทางศาสนา
ความคิดเห็น