คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : VII
ในทันทีที่ตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ มิเรียมก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน จ้องเขม็งยังอดีตอาจารย์สอนศาสนาของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วพลันนึกถึงได้ถึงความจริงข้อหนึ่งที่แม่ชีซาร่าเคยบอกกับเธอไว้ก่อนหน้านี้ หล่อนเป็นคนที่นี่ หล่อนเกิดและใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่ที่นี่ แท้จริงแล้วหล่อนคือส่วนหนึ่งในแผนการไม่ต่างจากคนเหล่านั้นเลย และนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้แม่ชีซาร่าเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ถึงตอนนี้ เพราะหล่อนเป็นพวกเดียวกับปีศาจมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!
การหยุดเดินของมิเรียมทำให้แม่ชีซาร่าเหลียวมองเด็กสาวอีกครั้ง สายตาประสานกันท่ามกลางความเงียบชั่วอึดใจ เพียงมองตาเท่านั้นต่างคนก็กระจ่างแจ้งถึงความคิดของอีกฝ่าย พลันสีหน้าของแม่ชีสาวก็แปรเปลี่ยน จากความสงบนิ่งผันเป็นความเกรี้ยวกราดในชั่วพริบตาเท่านั้น มือของหล่อนบีบแน่นที่ข้อมือคนอายุน้อยกว่า ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายถอยหนีเป็นครั้งที่สอง
“ฉันเจอนังนี่แล้ว!!”
หญิงสาวตะโกนเสียงดังลั่น ดึงดูดทุกความสนใจจากกลุ่มสาวกปีศาจในทันที มิเรียมใจกระตุกวาบเมื่อเห็นชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปยามนี้ล้วนหันมามองเธอเป็นตาเดียว นัยน์ตาวาววับประหนึ่งสิงโตเจอกวางหน้าโง่มาให้เชือดถึงที่ เด็กสาวรู้ได้ว่าความซวยครั้งใหญ่มาเยือนเสียแล้ว
“แม่งเอ๊ย!”
เด็กสาวสบถเมื่อเห็นว่าคนพวกนั้นเริ่มก้าวย่างมาที่เธออย่างไม่ช้าและไม่ไวนัก มิเรียมพยายามดึงมือตัวเองจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างร้อนรน แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจสู้แรงจับที่แน่นหนาของแม่ชีซาร่าได้เลย หนำซ้ำหล่อนยังออกแรงกดไปถึงกระดูกจนมิเรียมต้องเผลอร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ
สถานการณ์คับขันบีบให้สัญชาตญาณเอาตัวรอดเผยขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำเก่าผุดขึ้นเหมือนฟองน้ำเดือดแตกตัวอยู่เป็นร้อย ๆ ฟองในหัว มิเรียมนึกถึงเมื่อตอนที่โดนพี่ชายแท้ ๆ ตั้งใจจะทำมิดีมิร้าย แน่นอนว่าเรี่ยวแรงชายย่อมมากกว่าหญิง เขาออกแรงกดเธอไว้ได้อย่างง่ายดาย กักขังเธอด้วยแรงของเขาไม่ให้ขยับหนีไปไหนได้ เกือบจะข่มขืนเธอสำเร็จแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าเธอไม่กัดเขาเสียก่อน
ใช่ เธอกัดมันจนจมเขี้ยวเลย กัดเหมือนกับพวกหมาจนตรอกที่พร้อมสู้จนตัวตาย กัดจนเลือดไหลทะลักพรวดพราดเข้าปาก กระเดือกลิ้มรสชาติของที่เลือดเหมือนกับเหรียญเก่า ๆ ขึ้นสนิมอย่างไรอย่างนั้น
เด็กสาวก้มลงกัดเข้าที่แขนแม่ชีซาร่าโดยทันที กัดสุดแรงเกิดจนฝังคมเขี้ยวลึกลงไปในข้อมือของอีกฝ่าย แม่ชีซาร่ากรีดร้องลั่น รีบสะบัดมือออกอย่างว่องไว แรงเหวี่ยงของหล่อนทำให้ร่างของมิเรียมถลากระเด็นไปอีกฝั่ง เกือบจะล้มแล้วแต่ตั้งหลักได้เสียก่อน มิเรียมรีบหันไปมองหญิงสาว เห็นหล่อนสะอื้นโหยหวนในขณะที่กุมมืออันชุ่มไปด้วยเลือด ซึ่งคราวนี้เป็นเลือดของหล่อนเอง ไม่ใช่เลือดของใครอื่น
นี่คือโอกาสของการหนีรอด มิเรียมบ้วนเอาเลือดบางส่วนที่ค้างในปากลงพื้น ก่อนจะหันหลังโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิตโดยมีเสียงเอะอะโวยวายจากเบื้องหลังดังไล่ตามมา เด็กสาวตรงเข้าไปในความมืดฝั่งด้านหลังโบสถ์ที่ปราศจากผู้คน เหยียบย่ำฝ่าแปลงผักที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมลงแรงลงใจปลูกผักอย่างแข็งขัน แต่ไม่เคยมีสิ่งใดงอกเงยขึ้นมาเลย มีแค่หน้าผืนดินที่ถูกพรวนจนเละเท่านั้น
ดินแดนแห่งนี้ต้องคำสาป ผู้คนที่นี่ต้องคำสาป และตัวเธอเองก็ต้องคำสาป
“ตามหาตัวเธอให้ได้ เอาตัวเธอกลับมาเป็นๆ อย่าให้เธอได้หนีรอดไปได้เด็ดขาด!!!”
เสียงประกาศอันเต็มไปด้วยโทสะจากลำโพงของโบสถ์ดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรี มิเรียมจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของลูซิเฟอร์ เธอเหลียวมองโบสถ์ที่ตกอยู่ใต้กองเพลิงอยู่ครู่หนึ่ง นึกสะท้อนใจเมื่อคิดได้ว่าไม่มีใครที่รู้จักเหลือรอดต่อไปอีกแล้ว ทั้งแม่ชีและโนวิส รวมไปถึงคริสติน่า เพื่อนเพียงคนเดียวที่เธอมี ทุกคนที่อยู่ในความทรงจำตั้งแต่เยาว์วัยล้วนตายหมดแล้ว บัดนี้ซากศพจมอยู่ใต้ไฟกองใหญ่ แหลกสลายเป็นซากไปพร้อมกับโบสถ์ ไม่มีแม้กระทั่งบทสวดส่งวิญญาณด้วยซ้ำ
เด็กสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มตัวเอง ก่อนจะออกวิ่งไปอีกครั้งอย่างสุดฝีเท้า โดยไม่คิดหันกลับไปมองเบื้องหลังอีกเลย
..............................
ยิ่งห่างไกลจากโบสถ์เท่าไร ความมืดยิ่งปรากฏชัดขึ้นทุกที สีดำของราตรีกาลกลืนกินทัศนวิสัยให้ย่ำแย่ลงจนเรียกได้ว่ามองอะไรแทบไม่เห็น การวิ่งต่อไปท่ามกลางความมืดรอบตัวนับว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก มิเรียมจึงเปลี่ยนมาเดินอย่างช้า ๆ และระมัดระวังมากขึ้น รอให้สายตาเริ่มคุ้นชินในความมืดจึงค่อยเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเล็กน้อย
เท้าทั้งสองข้างเจ็บปวดจากการเหยียบย่ำก้อนกรวดและเศษไม้ แต่เด็กสาวก็ไม่คิดหยุดเดินแม้แต่วินาทีเดียว ด้วยกลัวว่าหากชักช้าอาจจะทำให้คนพวกนั้นตามมาทันก็เป็นได้ มิเรียมกวาดตามองไปรอบ ๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าพอจะมองเห็นอะไรในความมืดได้บ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการมองเห็นที่ดีขึ้นเล็กน้อยก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะรอบตัวเธอมีเพียงแค่ผืนดินกว้างที่มีหญ้าแห้งขึ้นอยู่เป็นกระหย่อม ไม่มีจุดไหนที่บอกให้รู้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนในโลว์แลนด์ และไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหนถึงจะออกไปจากที่นี่ได้
สีดำเวิ้งว้างกว้างไกลราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ปราศจากแสงสว่างและสุ้มเสียงใด ๆ ทุกอย่างรอบตัวในเวลานี้เงียบเชียบเสียจนน่าแปลกใจ เสมือนว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้เลยนอกจากมิเรียมเพียงคนเดียวเท่านั้น ความเงียบและความมืดทำให้เธอนึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก จิตใต้สำนึกเกิดอาการหลอนประสาท หลายครั้งที่เธอรู้สึกเหมือนมีเงาบางอย่างเคลื่อนไหวในเงามืด แต่เมื่อหันไปมองก็ไม่พบสิ่งใดเลย
อาการปวดท้องกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ประหนึ่งแรงบีบรัดแน่นในช่องท้อง มิเรียมกรีดร้องก่อนจะทรุดลงกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว สองมือกุมท้องและบิดเร่าด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน เธอรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนตัวของมันอีกครั้ง เจ้าสัตว์ประหลาด ปีศาจ เด็กผีร้าย อะไรก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ มันแฝงอยู่ในร่างกายเหมือนปรสิต สูบกินเธอจากข้างในและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
อีกไม่นานมันจะออกมา อีกไม่นาน
ความเจ็บปวดยังไม่ทุเลาลง
แต่ถึงกระนั้นมิเรียมก็ยังกระเสือกกระสนคืบคลานไปข้างหน้าอย่างอ่อนแรง เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วทั้งใบหน้า
รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหมือนจะขาดใจ
เรี่ยวแรงส่วนใหญ่ของเธอถูกใช้ไปกับการหนีเอาตัวรอดจากกลุ่มปีศาจและสาวก
และยามนี้พละกำลังก็ร่อยหรอลงไปทุกทีพร้อมกับอาการปวดท้องที่คล้ายว่าถูกกระตุ้นอยู่เป็นระยะ
ช่างทรมานเหลือหลาย ลมหายใจของเด็กสาวติดขัด จิตใจเริ่มว้าวุ่นและประหวั่นพรั่นพรั่นพรึงต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งอารมณ์และความคิดตีกันในหัวจนยุ่งเหยิง
นี่เป็นความรู้สึกของคนที่กำลังจะตายหรือเปล่า?
ในที่สุดมิเรียมก็ยอมแพ้ เธอหยุดการเคลื่อนไหวก่อนจะนอนราบไปกับพื้นดินที่แห้งแข็ง เศษฝุ่นและกลิ่นของดินโชยเข้าผ่านการหายใจจนต้องไอค่อกแค่ก เธออยากจะขยับตัวสักหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็เอาหน้าให้พ้นจากดินสักนิดก็ยังดี แต่เธอก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันหนักอึ้งไปหมด ท้ายที่สุดเด็กสาวก็ทำเพียงแค่นอนคุดคู้อย่างโดดเดี่ยว เฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างที่จะมาเยือน จะเป็นความตาย ปีศาจ พระเจ้า สงครามโลก หรืออะไรก็ตาม ไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว
ในตอนนั้นเองเธอเห็นแสงสว่าง สั่นไหวเลือนรางอยู่ไม่ไกลนัก แสงสว่างกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ในขณะที่มิเรียมทำได้แต่นอนแน่นิ่งแล้วมองอย่างฉงนสงสัย และเมื่อดวงแสงนั่นเข้าใกล้มากพอ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแจ่มชัดในหู แสงนั่นคือคบไฟ มีใครบางคนถือมันเอาไว้ เธอมองเห็นว่าใครบางคนกำลังมองเธออยู่
มิเรียมพยายามเพ่งมองคนคนนั้น แต่ตากลับจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ แทบจะประคองสติไว้ไม่อยู่ เป็นเวลาในจังหวะเดียวกับที่คนถือคบเพลิงก้มหน้าเข้ามาหา แล้วเธอก็ได้เห็นในที่สุด—เธอเห็นแม่ตัวเองที่ถือคบเพลิงแล้วกำลังฉีกยิ้มหวานมาให้
นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอได้เห็น แล้วดวงตาก็ค่อย ๆ ปิดลงโดยสนิทในที่สุด มิเรียมหวังจากส่วนลึกในใจว่านี่จะเป็นเพียงแค่ฝันร้ายอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น และเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างก็จะยังเป็นเหมือนเดิม เธอจะยังคงเป็นโนวิส และทุก ๆ คนก็ยังมีชีวิตอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าที่โบสถ์ที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ในเมืองต้องคำสาปบ้า ๆ นี่
ถ้าเพียงแต่มันจะเป็นแค่ความฝันที่ยาวนานในอีกค่ำคืนหนึ่งเท่านั้น
แต่ในท้ายที่สุด คนทุกคนก็ต้องตื่นขึ้นมาอยู่ดี
เวลาเหมือนว่าจะผ่านไปยาวนานเหลือเกินในตอนที่เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า
พ้นจากความมืดมาสู่แสงสว่าง แล้วตามมาด้วยความมึนเบลอเข้าจู่โจมระลอกใหญ่
ชั่วขณะหนึ่งเด็กสาวนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร หรือชื่ออะไร
มันเกิดขึ้นได้เสมอกับคนที่หมดสติกะทันหันหรือหลับลึกจนเกินไป
จนกระทั่งความทรงจำและประสบการณ์ได้หวนกลับเข้ามาอีกครั้งในช่วงเวลาที่ทุกอย่างสงบนิ่ง
มิเรียมกะพริบตาถี่รัวก่อนจะให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เธอพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนพื้นดินอีกแล้ว แต่กำลังยืน—ไม่สิ เธอไม่ได้ยืน แต่ร่างกายกลับตั้งตรงเพราะถูกมัดติดกับแท่งไม้ที่ถูกปักบนดินอีกที แขนทั้งสองข้างถูกจับกางจนสุดแล้วมัดติดกับไม้กระดาน ส่วนขาถูกรวบมัดติดกันกับไม้เช่นกัน เด็กสาวกวาดตามองแขนขาที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกอย่างตกใจ ตระหนักได้ว่าตัวเองถูกตรึงเข้ากับไม้ที่ถูกทำเป็นไม้กางเขนขนาดใหญ่ ห้อยตะแลงไม่ต่างจากตัวรูปปั้นพระเยซูตรึงกางเขนในโบสถ์เลยแม้แต่น้อย
นี่ไม่ใช่ความฝัน นี่คือความเป็นจริง เธอตื่นขึ้นมาเพียงเพื่อที่จะพบกับความเป็นจริงที่โหดร้ายกว่าความฝัน ความจริงที่ว่าตอนนี้เธอก็คงถูกพวกปีศาจจับได้เสียแล้ว
เด็กสาวได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง เป็นเสียงในแบบเดียวกับที่ได้ยินก่อนที่จะหมดสติ แต่คราวนี้มีหลายคนไม่ใช่คนเดียว มิเรียมตื่นตระหนักอย่างยิ่งในยามที่จ้องมองกลุ่มคนแปลกหน้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ ทีแรกเธอคิดว่าคนพวกนี้เป็นสาวกซาตานปีศาจและกำลังคิดจะทำอะไรแผลง ๆ ที่คาดเดาไม่ได้ แต่ในเวลาไม่นานนักเด็กสาวก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูไม่เหมือนกับสาวกปีศาจที่เธอเคยเห็น พวกเขาสวมใส่ชุดอย่างปกติ ไม่ได้เปลือยกายล่อนจ้อน และร่างกายก็ไม่มีสัญลักษณ์ 666 อย่างเช่นคนอื่นในหมู่บ้าน นอกจากนี้จำนวนคนพวกนี้มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ดูน้อยนิดถ้าเทียบกับบรรดาสาวกปีศาจจำนวนมากที่เธอเห็นที่โบสถ์ก่อนที่จะหนีออกมา
พวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกับสาวกปีศาจ
ความจริงข้อนี้ทำให้เด็กสาวดีใจเป็นอย่างมาก ตระหนักได้ว่านี่เป็นโอกาสที่จะเอาตัวรอด ไม่ลังเลที่จะรีบร้องตะโกนขอความช่วยเหลือทันที “ได้โปรดเถอะค่ะ ช่วยฉันด้วย คนพวกนั้น...พวกสาวกปีศาจ พวกเขาตามล่าฉันอยู่ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะเอาฉันไปทำอะไรบ้าง ช่วยปล่อยฉันออกไปทีก่อนที่พวกเขาจะกลับมา”
คนพวกนั้นดูไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเมื่อได้พบคำบอกเล่าจากมิเรียม พวกเขายืนนิ่งเฉยไม่กระดิกกระเดี้ย ชั่วขณะหนึ่งมิเรียมเกิดสับสนว่าคนพวกนี้เป็นมนุษย์หรือเป็นหุ่นกันแน่ แต่ตอนนั้นเองที่ชายคนหนึ่งเดินแทรกกลุ่มมาอยู่ด้านหน้าสุด เขาเป็นคนแคระร่างเตี้ยม่อต้อ ผิวคล้ำกรำแดด ใบหน้าเหี่ยวย่นมีรอยบากขนาดใหญ่พาดผ่านนัยน์ตาซ้ายที่เป็นสีขาวล้วน คนแคระเหลือกตาจ้องเธอ และมิเรียมก็สัมผัสได้ถึงคลื่นความเกลียดชังจากแววตาแปลกประหลาดคู่นั้น
“เธอไม่น่าตื่นขึ้นมาตอนนี้เลยนะ” ชายคนนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งน่ากลัว “ถ้าหลับต่อไปคงจะไม่เจ็บเหมือนตอนตื่นหรอก”
มิเรียมไม่เข้าใจคำพูดของชายคนนี้ จนกระทั่งเขาหยิบมีดเล่มยาวขึ้นมา เมื่อนั้นเธอจึงได้รู้ว่ากำลังจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้น บางทีอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก
“พวกคุณกำลังจะทำอะไร!”
เด็กสาวพยายามตะโกนแต่น้ำเสียงกลับออกมาเบากว่าที่คาดไว้ บางเบาจนเหมือนกระซิบ เธอหันไปพยายามดึงแขนออกจากเชือกที่ถูกมัด ดิ้นรนที่จะหลุดรอด แต่ก็เป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ เชือกไม่หลุดซ้ำยังเสียดสีกับข้อมือจนเป็นรอยถลอกเลือดซึมพาให้เจ็บปวดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
คนพวกนั้นยังคงสงบนิ่งอย่างรอคอย เหมือนกับแขกในงานศพที่กำลังเฝ้ารอให้ถึงเวลาบาทหลวงสวดส่งวิญญาณแล้วฝังศพลงดินเสียที คนแคระหยิบหนังสือเก่า ๆ เล่มหนาขึ้นมาเปิด มันคือหนังสือไบเบิ้ล นิ้วหยาบกร้านไล่ตามแผ่นกระดาษเหลืองกรอบก่อนจะเปล่งเสียงที่แหบแห้งออกมา
“เมื่อครั้งพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขน ถูกรายล้อมด้วยคนบาปที่คอยเยาะเย้ยถากถาง ต้องทนทุกข์ทรมานหนักหนา ทรงร้องเสียงดังว่า ‘พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?’ แล้วจึงสิ้นพระชนม์ พวกคนบาปคิดว่าพระเยซูตายแล้ว แต่ในท้ายที่สุด ท่านก็ได้ฟื้นคืนจากความตายอีกครั้ง เพื่อที่จะบอกแจ้งแก่เหล่าสาวกผู้ภักดีว่า ‘สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว ดังนั้นจงไปสร้างสาวกจากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอนเราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค’ “
กล่าวเสร็จชายผู้นั้นก็ปิดหนังสือลงแล้วซุกไว้ในเสื้อตัวเอง มืออีกข้างแกว่งมีดไปมา สะท้อนกับแสงจากคบเพลิงเป็นเงาสีส้มวิบวับเปล่งประกาย “ความทรมานของพระเยซูต่อหน้าคนบาปคือบททดสอบจากพระเป็นเจ้า ท่านทรงเฝ้ามองและทดสอบพวกเราเสมอ ทดสอบว่าเราจะถูกชักจูงไปสู่ความชั่วช้าโดยปีศาจและคนบาปหรือไม่? พวกเราคือกลุ่มบุคคลที่ผ่านการทดสอบจากพระเป็นเจ้าแล้ว เราซึ่งภักดีต่อพระเจ้าสุดหัวใจ เราคือผู้ถูกเลือกให้ทำหน้าที่อันสำคัญ หน้าที่แห่งการปกป้องมวลมนุษยชาติ จงอย่างได้กังขาและลังเลอีกเลย มั่นใจเสียเถิดว่าพระเจ้าทรงต้อนรับเราให้เข้าสู่อาณาเขตของพระองค์เป็นแน่”
“อาเมน”
เสียงตอบรับประสานกึกก้องชวนขนลุก
สายตามุ่งมั่นตั้งใจของคนทั้งหมดเพ่งมองไปยังเด็กสาวที่ถูกตรึงกางเขนเป็นตาเดียว
คนแคระแสยะยิ้มโชว์ฟันเหลืองอ๋อย ก่อนจะใช้มีดเล่มยาวในมือชี้ไปยังมิเรียม
“บัดนี้เวลาที่เรารอคอยได้มาถึงเวลา เวลาที่จะได้กระทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ได้รับมอบหมายจากพระเยโฮวาห์ เฉกเช่นที่พระเยซูได้รับมอบหมายหน้าที่อันยิ่งใหญ่จากพระบิดา โอ้พระเจ้าผู้เป็นใหญ่! อยู่เหนือใครในใต้หล้า จงอย่าให้ปีศาจมีชัยเหนือพระองค์ มาเถิดพวกเรา จงฆ่านางแพศยาผู้ตั้งครรภ์ศัตรูของพระคริสต์ ผ่าท้องนางออกมา ควักเอาปีศาจร้ายจากนรกผู้เกิดจากบาปราคะมาทำลายเสียให้แหลกเหลว แล้วจากนั้นจงเผานางและบุตรเสีย อย่าให้โอกาสพวกมันได้มีชีวิตมาล้างผลาญมนุษย์ จงทำลายล้างบาปโสมมด้วยเลือดและไฟ ทำให้แผ่นดินของเรากลับมาสะอาดบริสุทธิ์อีกครั้ง ทำให้ดินแดนนี้กลับสู่อ้อมอกของพระเป็นเจ้าด้วยความยินดีเถิด”
เสียงประกาศกร้าวเรียกเสียงเฮให้ดังอีกระลอก คราวนี้มิเรียมจึงเข้าใจได้สักทีว่าคนพวกนี้เป็นใครและต้องการจะทำอะไรกันแน่ คาดไม่ถึงว่าจะหนีจากปีศาจเพื่อได้มาเจอกับคนบ้าที่นี่ พวกคลั่งศาสนาที่กระหายอยากจะฆ่าเธอและสิ่งประหลาดในท้องเสียเต็มแก่ เด็กสาวหวั่นกลัวจนตัวสั่นเมื่อมองเห็นมีดเล่มยาวในมือชายคนแคระ มันแหลมคมและเงาวาวเหมือนถูกลับคมมาเป็นอย่างดีเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ เดาได้เลยว่าถ้าแตะที่ปลายคมของมันเพียงนิดเดียวเลือดก็ไหลได้ง่าย ๆ แล้ว
เธอนึกถึงตอนยังเด็ก ที่มีช่วงหนึ่งที่ครอบครัวไม่มีเงินจะซื้อไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้า แม่จึงต้องเลือกไก่ในเล้ามาขึ้นโต๊ะคืนนี้ แม่ถือมีดแล้วรวบคอไก่ตัวหนึ่งที่ดิ้นรนตีปีกไปมาอย่างที่จะเอาชีวิตรอด แต่มือของแม่ใหญ่โตและแข็งแรงมาก แม่ใช้มีดเล่มนั้นบาดที่คอหอยของมันเป็น ๆ ระหว่างพร่ำบทสวดมนต์ส่งวิญญาณให้ไก่ แผลเปิดกว้างเลือดไหลทะลักพรวดพราดจากคอหอย มันยังคงดิ้นไม่หยุดจนเลือดสาดกระจายไปทั่ว เปรอะเต็มหน้าและมือของแม่ เธอจำได้ว่ามันไม่ต่ำกว่ายี่สิบนาทีกว่าที่มันจะแน่นิ่งไปในที่สุด แล้วแม่ก็จับมันถอนขนเกลี้ยง ควักไส้ และล้างข้างในจนหมด ก่อนจะย่างมันจนสุกเกรียมส่งกลิ่นหอม ไม่เหลือเค้าเดิมจากตอนมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย
เธอกำลังจะกลายเป็นแบบนั้น กลายเป็นไก่ที่ถูกจับเชือดและย่างเกรียมพร้อมเอาขึ้นโต๊ะในวันขอบคุณพระเจ้า มิเรียมจินตนาการถึงตอนที่มีดเล่มนั้นกรีดผ่าไปบนท้องของเธอด้วยฝีมือของพวกคลั่งศาสนา แล้วเธอก็ดิ้นเร่า ๆ จนเลือดกระจายไปทั่วเหมือนไก่ที่อยู่ในมือแม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นจะต้องใช้เวลากี่นาทีกว่าที่จะตาย? บางทีอาจจะนานกว่ายี่สิบนาทีก็ได้
มิเรียมไม่เคยนึกอิจฉาไก่ในมือแม่มากเท่ากับวันนี้เลย เธอขอยอมเป็นไก่ที่ถูกเชือดตายตั้งแต่ตอนนั้นยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ต่อเพื่อต้องมาเจออะไรแบบนี้เสียอีก
มันเป็นช่วงเวลาของการสิ้นหวัง หรือการยอมแพ้ต่อโชคชะตาเฮงซวย มิเรียมไม่ส่งเสียงร้องโวยวายอย่างที่มนุษย์มักทำกันเวลาที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอเหนื่อยและกลัวเกินกว่าจะดิ้นรนต่อไปอีก ในเมื่อยังไงก็ไม่เห็นทางรอดอยู่ดี แขนขาที่ถูกรัดแน่นก็เจ็บจนระบมไปหมด สิ่งเดียวที่จะร้องขอย่อมไม่ใช่การขอชีวิต แต่เป็นการขอให้มันจบลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
คนแคระที่เหมือนกับหัวหน้ากลุ่มไม่ได้เป็นคนลงมือเอง
เขายื่นมีดในมือให้กับชายอีกคนหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่า
ชายคนนั้นจับมีดในมืออย่างแน่นกระชับ ดูก็รู้ว่าเป็นพวกที่ใช้มีดมาชาญชำนาญ
อาจจะเคยทำหน้าที่เป็นคนฆ่าสัตว์ที่เชือดคอสัตว์มาแล้วหลายศพ เขาเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่มั่นใจเต็มเปี่ยม
ระคนไปกับความภาคภูมิใจที่จะได้เป็นคนลงมีดฆ่าผีนรกและแม่ของมันในคราวเดียว
แล้วหลังโลกนี้ก็จะกลับมาสงบสุขอย่างที่ควรเป็น พระเจ้าจะตกรางวัลครั้งใหญ่ให้พวกเขา
จบด้วยข้อความ ‘แฮปปี้เอนดิ้ง’ ในหน้านิยาย
มิเรียมเหลือกตากว้างในขณะที่มีดเงาวับสวยงามเล่มนั้นเคลื่อนเข้ามา เธอไม่ปริปากสักคำแต่ส่งเสียงกรีดร้องอยู่ในใจ
พระเจ้า! ไม่ อย่า โอ้ได้โปรด อย่าทำแบบนี้
มีดกำลังจะปักบนท้องเธออยู่แล้วหากไม่มีเสียงประหลาดดังขึ้นเสียก่อน
มันเป็นเสียงหลายเสียงที่ผสมผสานระหว่างโหยหวนกับขู่กรรโชก
เหมือนกับเสียงร้องสัตว์อะไรสักอย่างที่ไม่สามารถจินตนาการหน้าตาออกได้
แต่เพียงแค่ฟังเสียงเหล่านี้ก็ทำให้ขนลุกชูชันอย่างหวาดกลัวได้ง่าย ๆ
เสียงที่เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มาทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักในทันที คนในกลุ่มคลั่งศาสนาต่างแตกตื่นและหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย ไม่นานนักเจ้าของเสียงน่ากลัวเหล่านั้นก็โผล่กระโจนจากเงามืดโดยรอบอย่างปุบปับฉับพลัน ปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นพวกสาวกปีศาจที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้าในมือถือทั้งของมีคมและไม้แหลม ทันทีที่เผยตัวสู่แสงสว่าง พวกมันก็พุ่งโรมรันใส่กลุ่มคนตรงหน้าทันทีโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
นี่คือการต่อสู้ระหว่างผู้ศรัทธาในพระเจ้าและปีศาจ ตัวแทนความดีงามและความชั่วร้าย ผู้คนยื้อยุดฉุดกระชากกันอุตลุด ห้ำหั่นฆ่าฟันกันอย่างบ้าคลั่งไร้ปรานี มีดและไม้จ้วงแทงผ่านเลือด เนื้อ และกระดูก ท่ามกลางเสียงกรีดร้องเจ็บปวดทรมาน โลหิตไหลนองอาบกระจายย้อมทุกหนทุกแห่งให้เป็นสีแดงเข้ม แม้แต่ตัวมิเรียมเองก็ตาม เลือดของใครต่อใครสาดกระเซ็นเข้าใส่จนทั่วร่างกายแปดเปื้อนด้วยสีสันจากของเหลวคาวเหม็น แต่ยามนี้เธอกลับรู้สึกมึนงงมากเกินกว่าจะรู้สึกตกใจหรือขยะแขยงกับการสังหารนองเลือดตรงหน้าตอนนี้
ใครบางคนแก้มัดให้กับเด็กสาวแล้วดึงตัวเธอลงมาจากไม้กางเขน เธอเห็นหน้าเขาไม่ชัดเพราะเลือดบดบังใบหน้าเขาเกือบครึ่ง แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น แท่งไม้แหลมก็ปักเข้าที่หน้าอกเขาด้วยฝีมือของคนแคระน่ากลัว หลังจากจัดการกับสาวกปีศาจเรียบร้อยแล้ว มันก็หันมาจ้องเธอเขม็ง ดวงตาข้างซ้ายสีขาวของมันตัดกับสีแดงเข้มข้นของเลือดชัดเจน
มันขยับปากเหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง มิเรียมได้ยินเพียงแค่คำว่า “ในนามของพระเป็นเจ้า...” ก่อนที่คำพูดของคนแคระประหลาดจะถูกรบกวนด้วยเสียงร้องแหลมแสบแก้วหูจากคนรอบข้าง แล้วจากนั้นร่างเล็ก ๆ ที่น่าเกลียดน่ากลัวก็พุ่งเข้ามาหาเธอพร้อมเงื้อไม้แหลมในมือจนสุดแขน เป้าหมายของมันอยู่ที่ท้องของเธอ
คราวนี้มิเรียมเป็นฝ่ายกรีดร้องบ้าง เธอรีบถอยหนีฆาตกรบ้าเลือดตรงหน้าอย่างทุลักทุเล เลือดเหลว ๆ และคนจำนวนมากที่กำลังชุลมุนในการฆ่ากันเองทำให้ทุกอย่างยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่ในช่วงเวลาคับขันนี้เอง ก็ได้มีสาวกปีศาจคนหนึ่งโผล่เข้ามาขวางกั้นคนแคระเอาไว้ แล้วใช้มีดฟันเข้าไปที่หน้าของมันอย่างว่องไว บังเกิดรอยแผลบากสดใหม่เพิ่มอีกหนึ่งรอยตรงหน้ามัน แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็กระโจนเข้าใส่กันและกันอย่างแค้นเคือง
มิเรียมกลับมาตั้งสติได้อีกครั้งหลังจากผ่านเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่
เธอกวาดตามองความโกลาหลเบื้องหน้าอย่างสะพรึงและครุ่นคิด
แล้วจึงเริ่มเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้ง พวกคริสเตียนผู้ภักดีต่อพระเจ้าตั้งใจจะฆ่าเธอให้ตายห่าไปซะ
ในขณะที่พวกสาวกปีศาจนรกมาเพื่อช่วยชีวิตเธอ เธอจะตายไม่ได้ตราบใดที่ยังตั้งท้องศัตรูของพระคริสต์อยู่
นั่นเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องฆ่ากันและกัน ไม่ต่างกับวิญญาณร้ายจากขุมนรกที่จิกทึ้งเนื้ออีกฝ่ายมากัดกินแก้กระหายอยาก
สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือนรกบนดินอย่างแท้จริง
แต่กลายเป็นว่าความวุ่นวายที่มากเกินไปก็ทำให้การทำตามเป้าหมายเป็นไปได้ยากต่อทั้งสองฝ่าย พวกเขาต่างวุ่นอยู่กับการต่อสู้และรับมือกับศัตรูจนไม่ทันสังเกตเห็นมิเรียม นั่นเป็นข้อดีที่ก็กลายเป็นข้อเสียด้วยเช่นกันเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเธอกำลังอยู่ท่ามกลางคนบ้าที่ฆ่ากันเอง และมีโอกาสสูงที่จะตายอยู่กลางดงคนพวกนี้หรือโดนจับตัวไปตอนไหนก็ได้ถ้าหากไม่รีบหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อคิดถึงจุดจบที่เป็นไปได้สองทาง ไม่ว่าจะถูกฆ่าผ่าท้องจนตายหรือถูกจับส่งให้ซาตาน ล้วนก็เป็นหนทางที่ฉิบหายสำหรับเธอทั้งนั้น และเธอก็ไม่ต้องการจะเลือกเลยสักทางเดียว
เด็กสาวตัดสินใจก้มตัวลงต่ำ
ซ่อนตัวเองจากสายตาของคนอื่น ๆ แล้วค่อย ๆ
คลานไปกับพื้นดินที่อ่อนนุ่มเป็นโคลนจากเลือดที่เจือนองไปทั่ว หลายครั้งที่เธอต้องคลานทับไปกับศพหรือเศษชิ้นส่วนร่างกายที่กระจัดกระจายบนพื้น
กลิ่นเนื้อสดดิบกลมกลืนไปกับคาวเลือดเป็นหนึ่งเดียว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังคลานท่ามกลางซากหมูในโรงฆ่าสัตว์ขนาดใหญ่
มิเรียมนึกอยากจะอ้วกเหลือเกินแต่ก็ต้องฝืนอดกลั้นอาไว้ เธอเคยเห็นคนตายมาแล้วนั่นคือพ่อของเธอเอง แต่มันไม่ใช่การตายที่น่าสยดสยองอย่างที่เป็นอยู่นี้เลยสักนิด ไม่ใช่ซากศพและเครื่องในที่ฉีกขาดกระจายเป็นชิ้น ๆ และก็ไม่ใช่เลือดจำนวนมากขนาดนี้ หญิงสาวเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นในระหว่างที่คลานไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว แต่สำหรับเธอแล้ว นี่กลับรู้สึกเหมือนชั่วนิรันด์เลยด้วยซ้ำ ชั่วนิรันด์แห่งความอุบาทว์โสโครกที่ไม่เคยคิดว่าจะได้มาเจอ
หลังจากความยาวนานจนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ในที่สุดเธอก็ออกมาพ้นจากวงล้อมนรกบนดินจนได้ แต่นั่นก็ทำให้เด็กสาวเกือบจะหมดเรี่ยวแรงเลยด้วยซ้ำ แข้งขาสั่นไปหมดตอนที่พยายามจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง แม้จะพยายามทรงตัวให้มั่นคงแต่ขาก็ยังไม่หยุดสั่นสักที ถึงอย่างนั้นมิเรียมก็รู้ว่าไม่อาจอยู่เฉย ๆ ได้อีกแล้ว เด็กสาวรีบร้อนคว้าเอาคบเพลิงที่อยู่แถวนั้นติดมือไปด้วย แล้วจึงวิ่งออกไปจากที่นี่ทันทีก่อนที่ใครจะสังเกตเห็น
ขาที่ยังสั่นทำให้หวิดจะหกล้มหลายรอบ แต่มิเรียมก็ยังประคองตัวเองเอาไว้ได้ เธอวิ่งไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งถึงจุดที่รู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไป เด็กสาวจึงหยุดฝีเท้าลงในที่สุด และสิ่งแรกที่เธอทำคือการอ้วกออกมา พ่นเอาเศษอาหารและน้ำย่อยออกมาจนหมดไส้หมดพุง เช่นเดียวกับความขยะแขยงและกลิ่นของศพจากเมื่อครู่นี้ มันออกไปพร้อมกับอ้วกแล้ว เธอรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย และดีขึ้นอีกเมื่อได้สูดอากาศอย่างเต็มปอด อากาศที่ไร้กลิ่นคาวเหม็นชวนอ้วก เธอไม่เคยนึกโหยหามันมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต
มิเรียมพักหอบหายใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และคราวนี้เธอก็ได้เห็นบางอย่างที่ผิดปกติอย่างชัดเจน
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ควรจะมืดสนิท บัดนี้กลับสว่างประหลาดด้วยแสงแดงฉานจากพระจันทร์เต็มดวงสีแดง อีกาหลายร้อยตัวร้องระงมแล้วพากันบินว่อนเป็นวงกลมขนาดใหญ่เต็มผืนฟ้า ก่อนที่ท้ายที่สุดพวกมันจะทิ้งตัวจากฟ้าตกลงมาตายเกลื่อนพื้นดินจนหมด
ดวงอาทิตย์จะถูกเปลี่ยนเป็นความมืด และดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด ก่อนวันที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง[1]
ตามที่ไบเบิ้ลได้กล่าวไว้ สัญญาณแห่งวันสิ้นโลกกำลังเริ่มขึ้นแล้ว
________________________
Talk:สุขสันต์วันตรุษจีนกับตอนใหม่ของเรื่องนี้แทนอั่งเปาจากใจผม หวังว่าจะถูกใจกันนะครับ
ความคิดเห็น