คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : VI
หัวใจเต้นแรงจนสะเทือนสะท้านไปทั้งอก
รู้สึกราวกับจะหัวใจวายตายได้ในทุกวินาทีถัดจากนี้
เด็กสาวถอยหนีแต่ในที่สุดก็ล้มลงไปจนได้ด้วยความรีบร้อนลนลาน
ไอระอุจากความร้อนบนพื้นไม้แนบกับผิว ให้ความรู้สึกแสบร้อนจนต้องร้องโอดโอย
แต่ต้องรีบตะกายตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามา เหมือนกับในความฝันก่อนหน้านี้
จังหวะเดียวกัน น้ำหนักการลงฝีเท้าแบบเดียวกัน มันกำลังเข้ามาใกล้
และเธอก็รู้ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องมีใครบอก อย่างเช่นความคิดที่ปรากฏทุกครั้งเมื่อพบมันในความฝัน
ชัดเจนและเป็นธรรมชาติเหมือนกับสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของสัตว์
อย่าให้มันเข้าใกล้
อย่าให้มันจับตัวได้
เธอควรจะรีบหนีออกไปจากที่นี่
ก่อนที่จะต้องถูกเผาตายไปพร้อม ๆ กับโบสถ์ แต่มิเรียมรู้ว่าหากเธอหนีไปตอนนี้อย่างไรก็หนีไม่พ้นปีศาจตัวนั้นไม่พ้นแน่
มันจะควานหาเธออย่างง่ายดาย มันก็แค่สนุกกับการที่ปล่อยให้เธอได้ดิ้นรนหนีเล็ก ๆ
น้อย ๆ เท่านั้น เหมือนแมวไล่จับหนู
มันจะไม่ฆ่าหนูโดยทันทีแต่ไล่ตะปบไปเรื่อยจนกว่าหนูจะตายไปเอง เธอจำเป็นต้องหาสิ่งที่ป้องกันตัว
อะไรก็ได้ที่ทำให้ปีศาจเสียหลักและไม่กล้าเข้าใกล้ แต่สิ่งใดที่ปีศาจกลัวมากที่สุด?
คำตอบก็คือพระเจ้า
เธอวิ่งไปที่ห้องโถงใหญ่
ห้องแห่งการประกอบพิธีทางศาสนา
น่าประหลาดที่ห้องนี้ไม่มีไฟลุกลามมากนักเมื่อเทียบกับจุดอื่น ๆ ภายในโบสถ์
มิเรียมตรงไปยังแท่นบูชาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง คุกเข่าลงและประสานมืออธิษฐาน ค้นหาคำตอบและความช่วยเหลือ
อะไรก็ได้ที่จะช่วยให้เธอหลุดพ้นฝันร้ายที่กลายมาเป็นจริงได้สักที
หากความฝันเป็นสิ่งน่ากลัว
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้นับว่าน่ากลัวยิ่งกว่าใด ๆ เพราะนั่นคือปีศาจตัวจริง ที่ไม่ใช่นิทานหลอกเด็กหรือแค่สิ่งที่ถูกพูดถึงในไบเบิ้ล
เธอเคยฝันถึงมัน นึกกลัวถึงตัวตนของมัน
แต่ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมีตัวตนอยู่จริงแบบนี้ ปีศาจที่มีดวงตาเหมือนงู
และมืดมิดยิ่งกว่าความมืดใดบนโลก มันมีจริงและกำลังอยู่ที่นี่ ย่างขุมเข้าเตรียมจะเชือดเธอเป็นรายสุดท้าย
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ”
เธอสบถแล้วจึงสะอื้นไห้โฮ
จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่เข้าใจว่าเรื่องบ้า ๆ
ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ไฟไหม้โบสถ์ แม่ชีตายเกลื่อน และปีศาจบ้าเลือด
มันเกิดขึ้นรวดเดียวโดยไม่มีเวลาให้เธอได้เข้าใจและตั้งตัวแม้แต่นิด
พระเจ้า ได้โปรดเถอะพระเป็นเจ้า ได้โปรดช่วยลูกด้วย
มิเรียมนึกบทสวดมนต์ใดไม่ออก
ทำได้เพียงอธิษฐานอ้อนวอนอยู่ในใจ หวังให้เสียงของตนส่งไปถึงหูพระเจ้า ให้พระเจ้าผู้มีเมตตาเหนืออื่นใดประทานการช่วยเหลือให้เธอหลุดพ้นจากนรกบนดินสักที
คำพูดของแม่ชีซาร่าดังวนเวียนในห้วงความคิด “ปีศาจคือตัวแทนของความชั่วร้าย
และพระเป็นเจ้าก็คือของความดีงาม สองสิ่งเป็นดั่งเช่นคู่ขนาน
หากเธอไม่เชื่อในการมีอยู่ของปีศาจ
นั่นก็เท่ากับว่าเธอไม่เชื่อถือในพระเจ้าด้วยเช่นกัน” ตอนนี้ปีศาจปรากฏตัวขึ้นแล้ว
และมีเพียงพระเจ้าที่ช่วยได้ ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตที่เธอจะศรัทธาถึงพระเจ้าได้มากเท่านี้อีกแล้ว
แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา...ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเงียบงันเพียงเท่านั้น
อีกครั้งหนึ่งแล้วที่เธอถูกเมินเฉยจากพระเจ้า
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เฝ้าสงสัยและเจ็บปวด ตั้งแต่เด็กจนโต
ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่พระเจ้าจะตอบรับคำร้องขอความช่วยเหลือจากเธอ
ไม่เคยเลยแม้กระทั่งครั้งนี้ก็ตาม
“เสียเวลาเปล่า
เขาไม่เคยสนใจใครจริง ๆ หรอก”
เสียงทุ้มดังขึ้นจากเบื้องหลัง
มิเรียมสะดุ้งโหยง ความกลัวสั่นสะท้านในจิตใจจนมือไม้สั่น เสียงนั่น
เสียงของมัน
เธอกลัวเสียจนไม่กล้าหันหลัง แต่คล้ายกับว่ามีบางอย่างบีบบังคับให้เธอจำต้องหันกลับไปอย่างช้า
ๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
มันยืนอยู่ตรงนั้น
แจ่มชัดอยู่ตรงหน้าเธอ ไม่เลือนรางเช่นในความฝัน
เธอเห็นมันได้อย่างชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ มันเหมือนมนุษย์ทุกประการ
มนุษย์ผู้ชายที่ตัวสูงและผอมแห้ง สวมสูทสีดำสนิทตัดกับผิวที่ขาวซีดจนดูเหมือนไม่มีเลือดไหลเวียน
และหน้าตาของมัน—มิเรียมเคยจินตนาการถึงปีศาจน่าเกลียดน่ากลัว
แต่สิ่งที่เธอเห็นนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของมันงดงามเหมือนกับรูปปั้นเทวดาที่ประดับอยู่ในโบสถ์ใหญ่โต
แฝงด้วยความสง่างามและความเย่อหยิ่งอยู่ในที ผมของมันเป็นสีส้มเข้ม
ดูคล้ายคลึงกับสีของเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ในขณะนี้
ส่วนตาของมันก็ไม่ได้เหมือนงูอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นดวงตามนุษย์ที่มีสองสี
ซ้ายสีฟ้าและขวาสีเหลือง สายตาของมันไม่ได้มองมาที่เธอ แต่กลับมองผ่านไปยังไม้กางเขนอันใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของเธอ
ดูเหม่อลอยเหมือนคนชราที่กำลังระลึกย้อนถึงความหลังครั้งหนุ่มสาวของตัวเอง
“...พระเจ้าไม่เคยสนใจใคร
แม้แต่ลูกชายของเขาเองก็ตาม” มันพูดอีกครั้ง
น้ำเสียงของมันแสดงความหนักแน่นและเย้ยหยันอย่างชัดเจน
“แกคืออะไรกันแน่?” มิเรียมเอ่ยอย่างหวาดหวั่นระคนด้วยความสงสัย
ถึงตอนนั้นเจ้าปีศาจก็หันมาให้ความสนใจเด็กสาวอีกครั้ง
ดวงตาสองสีของมันหรี่ลงเล็กน้อย พร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่นที่ประดับบนใบหน้า
“โอ้
ฉันมีหลายชื่อเลยแหละตลอดหลายปีมานี้ นับไม่ถ้วนเลยเชียวล่ะ”
มันหัวเราะแล้วแสร้งทำหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิด “ฉันอยู่ทุกที่และฉันเป็นทุกอย่าง
อันที่จริงสงครามโลกครั้งที่สองนี่เกิดขึ้นเพราะฉัน
เจ้าฮิตเลอร์นั่นนะเจ๋งไม่เบาเลยเชียว แต่ไม่ใช่แค่สงครามโลกครั้งที่สองหรอก
จะครั้งที่หนึ่ง หรือครั้งไหนๆ ก็ตาม ไหนจะการล่าอาณานิคม หรือการล้มสลายของราชวงศ์ต่าง
ๆ และการปฏิวัติทั่วทั้งโลกนั่นอีก พูดง่าย ๆ ว่าทุกความวุ่นวายอันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มนุษย์ก็ฝีมือฉันทั้งนั้นเลย”
มิเรียมยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูด
สีหน้าฉายชัดถึงความงุนงงสับสนในสิ่งที่ได้ยินจากปากปีศาจตรงหน้า
มันส่งเสียงจิ๊ในลำคอ
ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนักที่มนุษย์ตรงหน้าไม่เข้าใจสิ่งที่มันพูดเสียยืดยาว “เอาล่ะ
ฉันจะใบ้ให้อีกนิด ฉันคือดวงดาวที่ปรากฏในตอนเช้า
ไหนลองเดาสิว่าฉันคือใคร นี่ก็ใบ้สุด ๆ ล่ะนะ”
ดวงดาวที่ปรากฏในตอนเช้า? มิเรียมย่นคิ้ว
และความคิดหนึ่งก็ปรากฏวาบเข้ามาในหัวอย่างฉับพลัน
ลูซิเฟอร์
“โอ้ นึกออกแล้วสินะ”
มันล่วงรู้ในทันทีที่เห็นแววตาของเด็กสาวตรงหน้า
ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ใช้มือจัดแต่งสูทของตนแล้วกระแอมไอเบา ๆ เหมือนกับพิธีกรรายการทีวีชื่อดังที่กำลังกล่าวเปิดรายการเกมโชว์ของตัวเอง
“ฉันคงต้องพูดว่า...ยินดีที่ได้รู้จักสินะมิเรียม”
มันรู้ชื่อของเธอ
มิเรียมคิดแล้วเม้มปากแน่น
ตีสีหน้านิ่งเฉยแม้ว่าจะกลัวเสียจนอยากจะเป็นลมไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ความสงสัยมีมากกว่าความกลัว
ความสงสัยต่อการปรากฏตัวของปีศาจตนนี้
มีเหตุผลอะไรที่เขาถึงมาโบสถ์ที่นี่และเผาทั้งหมด มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องฆ่าแม่ชีทั้งหมด
มีหลายอย่างที่เด็กสาวอยากจะพูดมากมาย แต่สิ่งที่ออกจากปากกลับมีแค่คำว่า “ทำไม?”
ปีศาจแสยะยิ้ม
ดวงตาทอสีเหลืองวาวโรจน์ชั่วขณะ ประหนึ่งผู้ที่รู้ความลับทั้งหมดของจักรวาล
ผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่ามนุษย์ตัวเล็ก ๆ
“ฉันมีแผนการยิ่งใหญ่
เป็นแผนการที่ได้ถูกวางเอาไว้อย่างเนิ่นนาน
ฉันเฝ้ารอวันเวลาที่เหมาะสมจนกระทั่งถึงตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”
ปีศาจผู้เคยเป็นเทวดาเงียบไปชั่วอึดใจ แต่สำหรับมิเรียม
ความเงียบของมันดูเหมือนยาวนานนับปี ความเงียบที่สะกิดความใคร่รู้ให้เพิ่มพูนขึ้น
มันยิ้มอีกครั้งเมื่อได้สบตากับหล่อน รับรู้ถึงความกระหายอยากเช่นเดียวกับอีฟตอนที่ได้ล่วงรู้ถึงความลับของผลไม้ต้องห้าม
“สาวน้อย สิ่งที่ฉันจะบอกเธอก็คือวันโลกาวินาศกำลังจะมาถึงแล้ว”
วันโลกาวินาศ[1]
สิ่งนี้ได้ถูกจารึกไว้ในไบเบิ้ล
อยู่ในหนังสือวิวรณ์เล่มสุดท้ายในคัมภีร์ มิเรียมจดจำได้เป็นอย่างดี
มันคือนิมิตวันสิ้นโลกจากยอห์นแห่งปัทมอส ตราประทับทั้งเจ็ดของพระเจ้าที่ถูกแกะออก
จตุรอาชาออกอาละวาด ทูตสวรรค์เป่าแตรทั้งเจ็ด ภัยพิบัติทั้งหลายแหล่โหมกระหน่ำทั่วทั้งโลก
และวันสิ้นโลกก็เกิดขึ้น ตามด้วยสงครามระหว่างพระเยซูกับมารศาสนา ตัวแทนแห่งความดีและความชั่วจะห่ำหั่นกันในท้ายที่สุด
มันเกิดขึ้นจริง ปีศาจยืนยันเช่นนั้น วันสิ้นโลก มนุษยชาติจะตายห่ากันหมด
เธอตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ชั่วขณะหนึ่งเธอคิดว่าตัวเองลืมแม้กระทั่งวิธีหายใจเลยด้วยซ้ำ
แต่ปีศาจก็ไม่ได้สนใจเด็กสาวแต่อย่างใด มันยังคงพูดต่อไปไม่หยุด เดินมาไปรอบ ๆ
ราวกับกำลังตื่นเต้นที่ได้เล่าแผนการของตัวเองให้ใครคนอื่นฟัง “แต่การจะมีวันโลกาวินาศ
จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญมาก ๆ อยู่หนึ่งอย่างที่ทำให้มันสมบูรณ์
ฉันต้องการลูกชายของฉัน ลูกชายของฉันจะเป็นคนที่ทำให้โลกนี้ล่มสลาย พวกเขาเรียกลูกชายฉันว่าสัตว์ร้าย
มารศาสนา ไม่ก็ศัตรูของพระคริสต์ เธอคงจะพอคุ้น ๆ อยู่บ้างใช่ไหมล่ะ? นั่นแหละเหตุผลที่ฉันมาที่นี่”
คราวนี้ปีศาจหยุดเดินในที่สุด
ก่อนจะผินหน้ามาที่มิเรียม เธอเห็นชัดเจนว่าตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นตาของงูแบบเดียวกับที่เธอเคยเห็นในฝันอยู่ตลอด
“ฉันมาที่นี่เพื่อเด็กในท้องของเธอ
ลูกชายของฉันเอง”
ทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ
อาการปวดท้องก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนมิเรียมเผลอทรุดลงไปกับพื้น เด็กสาวหน้าซีดเผือดในขณะที่สองมือจับแน่นบนหน้าท้องกลมมนของตัวเอง
สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวรุนแรงที่อยู่ในท้องตัวเอง เด็กคนนี้
เด็กที่กำลังเติบโตในท้องของเธอ มันคือศัตรูของพระคริสต์
โอ้พระเจ้า! เป็นไปไม่ได้
นี่มันเหลือเชื่อเกินกว่าจะเชื่อได้
“ไม่เอาน่า เธอรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องจริง”
เธอได้ยินเสียงของปีศาจ
ราวกับรู้ว่าเธอคิดอะไร และใช่ มันพูดถูก
มิเรียมคิดไปถึงอาการประหลาดบางประการที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ทั้งท้องที่ใหญ่โตรวดเร็วผิดปกติ และการแพ้สร้อยไม้กางเขนของตัวเอง
นี่ไม่ใช่อาการของคนท้องทั่วไปแน่ เธอสงสัยมานานแล้ว และทุกอย่างนี้อธิบายได้ด้วยคำตอบของมัน
ตลอดที่ผ่านมาเธอกำลังท้องลูกของซาตานอยู่โดยไม่รู้ตัวเลย
แต่สิ่งหนึ่งที่เธอยังไม่รู้ก็คือมันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
นึกสิ
นึกย้อนเข้าไปอีก เธอหลับตาลง กดข่มความรู้สึกปวดท้องที่ปะทุเป็นระยะ ขุดเค้นความทรงจำของตัวเอง
สิ่งใดกันที่ผิดปกติ แล้วทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ น้ำ
ความผิดปกติมันเริ่มขึ้นจากตอนนั้น แก้วน้ำที่เธอได้รับจากผู้หญิงในหมู่บ้าน
น้ำที่ใสแจ๋วและเย็นฉ่ำ แท้จริงมันคือกับดักมาตั้งแต่แรก
พวกเขาวางยาเธอด้วยน้ำดื่ม แล้วหลังจากนั้นเธอก็ตั้งท้อง
“ฉันบอกไปแล้วไงทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว
การที่เธอถูกพาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
คนพวกนั้นเฝ้าจับตาดูเธอมาตลอดนั่นแหละ พวกเขานับถือบูชาฉันเพราะฉันให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
แค่ฉันบอกว่าจะทำให้เมืองนี้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
พวกเขาก็จับเธอมาถวายให้ฉันแล้ว”
คำพูดของมันตอกย้ำว่าเธอคิดถูก
ความเจ็บปวดในท้องค่อยบรรเทาเบาบางลงไปบ้างแล้ว แต่เด็กสาวก็หมดเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้งหลังจากที่รับรู้ความจริงทั้งหมด
มิเรียมเริ่มร้องไห้ เสียงสะอื้นแหลมเล็กฟังเหมือนเสียงโหยหวน
ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเรื่องเลวร้ายชั่วช้าเช่นนี้ต้องเกิดขึ้นแก่เธอด้วย
“ทำไมต้องเป็นฉัน
ทำไมถึงไม่เป็นผู้หญิงคนอื่น”
จอมมารขมวดคิ้ว
ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนักกับคำถามจากอีกฝ่าย มันดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แล้วมิเรียมก็หยุดร้องไห้ฉับพลันทันที
เมื่อนั้นมันถึงยอมเอ่ยปากอีกครั้ง
“เหตุผลนะเหรอ? มันก็เป็นเพราะคนในตระกูลของเธอนั่นแหละ นังสารเลวที่เคยขายวิญญาณให้ฉันเพื่อผู้ชาย
แต่สุดท้ายก็ผิดสัญญา หาบาทหลวงมาขับไล่ฉัน แล้วไอ้เวรนั่นก็ถึงกับยอมสละชีวิตเพื่อไล่ฉันลงนรก
ถึงแม้จะแค่ชั่วคราวก็เถอะ”
มิเรียมเบิกตากว้าง
นึกไปถึงเรื่องเล่าประจำตระกูลที่ได้ยินมาตั้งแต่เป็นเด็ก
เธอเคยคิดแค่ว่ามันเป็นนิทานไร้สาระที่ทำให้แม่งมงายจนเป็นบ้าเป็นหลัง แต่กลับกลายเป็นว่ามันคือเรื่องจริงทั้งหมด
และปีศาจที่ถูกพูดถึงในเรื่องเล่าก็คือตัวเดียวกับที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้นี่เอง
ปีศาจแสยะยิ้ม
สาแก่ใจอยู่ในทียามที่เห็นสีหน้าซีดเผือดของอีกฝ่าย สำหรับอดีตเทวดาที่ผันตัวมาเป็นปีศาจยิ่งใหญ่
การพลาดท่าพ่ายแพ้ต่อมนุษย์ชั้นต่ำถือเป็นความน่าอับอายเหลือคณานับ
เป็นหนี้ความแค้นที่รอการชดใช้ มันใช้นิ้วเรียวยาวเชยคางของเด็กสาวขึ้น
แล้วจ้องมองดูด้วยแววตาประหนึ่งพ่อที่มองลูกตัวเองด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“แค่คำสาปแช่งอย่างเดียวคงไม่พอ
ฉันต้องการการชดเชยสำหรับการละเมิดสัญญา
และเธอในฐานะลูกหลานก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบหนี้ของตระกูลด้วย ถูกต้องไหม? นี่คือเหตุผลที่ฉันเลือกเธอ หญิงพรหมจรรย์จากตระกูลวินสตัน ไม่มีใครเหมาะไปกว่าเธอแล้ว”
โอ้พระเจ้า!
มิเรียมอุทานในใจอีกครั้ง
แม้จะรู้ว่าพระเจ้าไม่มีทางช่วยเธอได้อีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้เธอตกอยู่ในเงื้อมือของปีศาจสมบูรณ์แบบ
ตั้งท้องลูกของมันที่จะออกมาทำลายโลกใบนี้ให้สิ้นซาก ศัตรูของพระคริสต์กำลังจะเกิดในอีกไม่ช้านานนี้
เธอรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณของแม่
ท้องที่ถูกเร่งให้เติบโตรวดเร็วเป็นสัญญาณของระยะเวลาการกำเนิดที่ย่นสั้นลงเรื่อย
ๆ บางทีอาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้
ด้วยเหตุนี้ปีศาจถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เพราะเวลาที่รอคอยกำลังจะมาถึงแล้ว และมันก็เฝ้ารอที่จะได้เห็นหน้าลูกชายของตัวเองอยู่
ไม่
จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้
นิ้วมือสัมผัสได้ถึงวัตถุบางสิ่งที่หล่นอยู่บนพื้น
อาการแสบร้อนทันทีที่แตะคล้ายว่าจะดึงสติให้กลับมาได้อีกครั้ง
มิเรียมคว้าจับสิ่งนั้นเอาไว้แน่นแม้ว่าจะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดเหมือนไฟไหม้มือ
เธอชูไม้กางเขนขนาดเล็กขึ้นตรงหน้าปีศาจ มันได้ผล อีกฝ่ายถอยหนีแทบจะทันที เด็กสาวจึงใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งหนึ่ง
ประสาททั้งหลายตื่นตัวฉับพลันยามจ้องมองยังปีศาจที่แสดงความหวาดกลัวอย่างชัดเจนต่อไม้กางเขนในมือเธอ
เธอขับไล่มันไปไม่ได้
เพราะการขับไล่ปีศาจถูกสงวนไว้เฉพาะบาทหลวงที่ได้รับการรับรองจากวาติกัน
แต่อย่างน้อยทำให้มันอ่อนแรงลงได้ มิเรียมคิดเช่นนั้นในขณะที่กัดฟันอดทนต่อความปวดแสบจากไม้กางเขนในมือตัวเอง
ไม้กางแขนนี้ไม่ได้ทำร้ายแค่ปีศาจเท่านั้น
แต่ยังทำร้ายเธอด้วยในฐานะของสตรีที่กำลังตั้งท้องลูกปีศาจผีนรก
แต่เธอจะปล่อยมันไม่ได้ สิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่สามารถปกป้องเธอจากปีศาจได้
แต่เป็นเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นที่จะได้รู้สึกเหนือกว่าปีศาจ
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ผู้เยาว์วัยไม่ทราบคือปีศาจถนัดอย่างยิ่งในเรื่องของการโกหกและเสแสร้ง
พริบตาเดียวความหวาดกลัวก็เลือนหายไปจากใบหน้ามัน
มันยิ้มอีกครั้งก่อนจะฉวยดึงไม้กางเขนออกออกจากมือของเด็กสาวด้วยความว่องไว
ทันทีที่ไม้กางเขนอยู่ในมือของปีศาจ ไฟไร้ที่มาก็ลุกไหม้ไม้กางเขนเป็นจุลในพริบตา
แค่ครู่เดียวเท่านั้น
ความหวังในการเอาตัวรอดก็พังทลายลงไปอย่างง่ายดาย มิเรียมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ในขณะที่อดีตทูตสวรรค์หัวเราะร่าก่อนจะหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างท้าทาย
“เธอคิดว่าเศษไม้แค่นี้จะทำอะไรฉันได้เหรอ
ดูถูกกันไปหน่อยแล้วมั้ง”
เวรเอ๊ย!
ท่ามกลางความกลัวจนแทบบ้าที่กำลังคุกคามจิตใจ
แต่ก็เจือไปด้วยโทสะที่ปรากฏชัดขึ้น มิเรียมคิดแวบหนึ่งว่าเธออยากจะต่อยหน้าซาตานฉิบหาย
ต่อยแรง ๆ แบบที่เธอเคยต่อยหน้าแม่ก่อนจะหนีออกจากบ้าน ต่อยให้เลือดกลบปากแล้วถีบซ้ำเข้ายอดหน้า
มันเป็นความบ้าบิ่นที่เกิดขึ้นจากการถูกกดดันอย่างหนัก อะดรีนาลีนหลั่งพลุ่งพล่าน
เค้นเอาพลังเฮือกสุดท้ายในการเอาชีวิตรอดจากเรื่องบ้า ๆ ทั้งหมด
และโดยที่ปีศาจไม่ทันตั้งตัว—เธอต่อยมันเข้าเต็มแรงทั้งหมดที่มี
เสียง ‘ผัวะ’
ของหมัดที่กระทบเนื้อหนังดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ปีศาจชะงักงันไปในทันที
มือยาวสัมผัสใบหน้าข้างที่โดนต่อย
เด็กสาวรู้ว่าแรงของเธอไม่อาจทำอะไรกับมันได้หรอก แต่อย่างน้อยให้มันได้นิ่งครู่หนึ่งก็ยังดี
มิเรียมหันไปมองอ่างหินที่บรรจุน้ำเสก[2]ที่ตั้งอยู่ข้างแท่นบูชา
ปีศาจกลัวน้ำเสกเรื่องนี้ใครก็รู้กันดี แต่กับลูซิเฟอร์นั้นเธอก็ไม่แน่ใจนัก
ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางอื่นแล้ว เธอตัดสินใจผลักอ่างหินนั่น มันหนักแต่เธอก็ยังสามารถผลักมันจนล้มลงไปได้
อ่างหินแตกกระจายพร้อมน้ำเสกที่สาดกระเด็นเข้าใส่จอมปีศาจ
บังเกิดไอควันกรุ่นก่อตัวขึ้นทั่วร่างมัน
น้ำศักดิ์สิทธิ์แผดเผาเนื้อหนังสัตว์นรกประหนึ่งน้ำร้อนจัดก็ไม่ปาน
“อ๊ากกกกกกก”
ปีศาจกรีดร้องโหยหวน
เจ็บปวดทรมานเหลือแสน ตัวของมันสั่นกระตุกอย่างน่ากลัว คราวนี้มันได้ผลจริง ๆ
ไม่เหมือนกับไม้กางเขนนั่น มิเรียมตัดสินใจออกวิ่งหนีไปโดยทันทีก่อนที่มันจะหันมาจัดการเธอได้
เด็กสาววิ่งเหยียบย่ำผ่านลูกไฟที่อยู่บนพื้น
แสบร้อนเหลือประมาณแต่ก็จำต้องอดทนไว้อย่างยิ่ง สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องหนีให้พ้นจากโบสถ์ให้ไวที่สุด
หนีจากไฟนรก หนีจากผีนรก
เป็นโชคดีที่โบสถ์นี้ใช้ประตูและหน้าต่างเป็นไม้แทนที่จะเป็นกระจกสี
มิเรียมจึงตัดสินใจกระโจนหนีออกมาทางหน้าต่างที่อยู่ใกล้ที่สุดและยังไม่ติดไฟ
แต่ระยะห่างระหว่างหน้าต่างกับพื้นล่างด้านนอกนั้นสูงพอดู ทันทีที่พ้นหน้าต่าง เด็กสาวก็ล้มกลิ้งไปบนพื้นอย่างแรง
รู้สึกเจ็บและจุกไปทั่วทั้งร่างกาย
แต่จะเสียเวลาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
เธอดันตัวเองลุกขึ้นอีกครั้งอย่างทุลักทุเล
ร่างเต็มไปด้วยรอยถลอกปอกเปลือกเลือดไหลซิบ ๆ มิเรียมย่นหน้าด้วยความเจ็บปวดก่อนจะฝืนเดินโงนเงนท่ามกลางความมืด
มีเพียงแสงจากเพลิงที่กำลังลุกไหม้โบสถ์ที่ช่วยนำทางเธอให้ตรงไปสู่ประตูหน้าโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกลนัก
อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น
ยิ่งเข้าใกล้ประตูโบสถ์เท่านั้น เธอก็ยิ่งได้ยินเสียงประหลาดบางอย่างชัดเจนขึ้น มันเป็นเสียงเหมือนมีใครหลายคนรวมตัวกันพึมพำอะไรสักอย่าง เหมือนกับบทสวดแปลกประหลาดที่ไม่ใช่ของศาสนาคริสต์อย่างที่ร่ำเรียนมา
เด็กสาวหยุดฝีเท้าลงในทันที
พอดีกับที่สายตาได้มองเห็นกลุ่มคนที่ยืนอออยู่เต็มทางเข้าโบสถ์ พวกเขาพากันสวดมนต์กันไม่หยุดปาก
ในมือถือคบเพลิงและถังน้ำมันที่คาดว่าเป็นต้นเพลิงที่ทำให้โบสถ์ถูกเผาไหม้
ร่างกายเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้า และที่เด่นชัดที่สุดคือสัญลักษณ์ 666
สีดำที่ปรากฏอยู่บนหน้าผากบ้าง บนแขนบ้าง
มันเป็นสัญลักษณ์แบบเดียวกับที่อยู่บนข้อมือขวาของเธอตอนนี้
มิเรียมจดจำใบหน้าของคนเหล่านั้นได้แม่นยำ
พวกเขาล้วนแต่เป็นคนในหมู่บ้านแห่งนี้ ทั้งชายชราที่เธอเคยเจอตอนไปตักน้ำที่ลำธาร
ผู้หญิงผมดำที่ให้เธอกินน้ำที่วางยาเอาไว้ คุณหมอที่มาตรวจร่างกายของเธอ และคนอื่น
ๆ ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนชรา ทุก ๆ คนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด
คนพวกนี้คือสาวกของซาตาน เป็นส่วนหนึ่งในแผนการเหล่านี้มาตลอด โดยที่เธอไม่เคยตระหนักรู้เลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งวันนี้
จะออกไปทางประตูโบสถ์ตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด
คนพวกนี้จะต้องมารุมทึ้งเธอแน่ถ้ามันเห็นเธอ มิเรียมค่อย ๆ ก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบด้วยจิตใจประหวั่นสะพรึงกลัว
แล้วในตอนนั้นเองแผ่นหลังของเธอก็ชนเข้ากับร่างของคนอีกคนที่ยืนเบื้องหลัง เด็กสาวเบิกตากว้างทันที
หัวใจแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะเมื่อพบว่ามีใครอื่นอีกนอกจากเธอ
มิเรียมกลั้นใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะค่อย
ๆ หันหลังกลับไปอย่างช้า ๆ แล้วเธอก็พบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็คือแม่ชีซาร่า สีหน้าหล่อนดูตกใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นเธออยู่ตรงหน้า
“มิเรียม!” หญิงสาวหอบหายใจรุนแรง ดูเหนื่อยอ่อนระคนตื่นเต้นหวาดกลัว
สองมือของผู้เป็นแม่ชีคว้าจับที่แขนของมิเรียมไว้แน่น “ฉันนึกว่าเธอจะไม่รอดแล้วซะอีก”
คำพูดของหล่อนไม่ต่างอะไรกับความคิดของมิเรียมในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
ภาพของบรรดาศพแม่ชีและแม่ชีฝึกหัดที่เสียชีวิตเกลื่อนกลาดในโบสถ์ที่ได้เห็นก่อนหน้านี้ทำให้เด็กสาวไม่คิดว่าจะมีคนอื่นจากในโบสถ์ที่รอดชีวิตอีกแล้วนอกจากเธอเท่านั้น
เด็กสาวเกาะจับอีกฝ่ายไว้แน่นไม่แพ้กัน สองมือตะกุยตะกายโถมเข้าใส่แม่ชีซาร่า ราวกับเป็นแหล่งยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้
ในคราวคับขันที่กำลังถูกแวดล้อมท่ามกลางปีศาจและเหล่าพรรคพวกของมันที่หมายมั่นเด็กในท้องของเธอ
“ซิสเตอร์ค่ะ
ปีศาจ..ฉันเห็นปีศาจ มันอยู่ข้างในนั้น มันฆ่าทุกคน”
เด็กสาวกระหืดกระหอบบอกเล่าเหตุการณ์กึ่ง
ๆ สะอื้นไห้ สติแตกอย่างสมบูรณ์แบบหลังจากได้เผชิญความจริงอันยากที่จะเชื่อซึ่งถาโถมเข้ามาในคราวเดียว
การตั้งสติแล้วพาตัวเองหลบหนีออกมาได้จนถึงตอนนี้จึงนับว่าเป็นความพยายามอย่างสูงแล้วสำหรับเธอ
ร่างเล็ก ๆ สั่นสะท้านและอ่อนแรง โน้มเอียงคล้ายว่าจะล้มเหล่ไม่ล้มเหล่
เป็นโชคดีที่แม่ชีซาร่ายังคงจับตัวมิเรียมเอาไว้จึงไม่ทำให้เธอเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน
“ใจเย็น ๆ
ก่อนมิเรียม” แม้สีหน้าหญิงสาวจะดูตื่นกลัวอยู่เช่นเดิม
แต่น้ำเสียงกลับฟังดูสงบอย่างน่าเชื่อ พลอยทำให้มิเรียมเริ่มรู้สึกสงบลงไปด้วยบ้าง
“ฉันคิดว่าคงมีแค่เราสองคนที่ยังรอด เราควรรีบออกไปจากที่นี่ได้แล้ว
ก่อนที่จะมีใครรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้”
แม่ขีซาร่ากล่าวอย่างเป็นการเป็นงาน
และมิเรียมก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะเธอคิดสิ่งใดที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ราวกับความสามารถในการรับรู้ถูกปิดกั้นไปชั่วขณะ เด็กสาวถูกจับจูงมือให้ตามคนอายุมากกว่าไป
โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนจะพาออกไปยังที่แห่งใด
ความหวาดกลัวทำให้มิเรียมกอดแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
พยายามอยู่ใกล้ชิดหล่อนไว้ให้มากที่สุด
การอยู่ใกล้แม่ชีซาร่าทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
เพราะหล่อนถือว่าเป็นเพียงคนรู้จักของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังเหลือรอดอยู่มาถึงตอนนี้
แต่สัมผัสเปียกชุ่มจากแขนของแม่ชีซาร่าทำให้ความคิดที่กระเจิดกระเจิงก่อนหน้านี้ของมิเรียมกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
เด็กสาวก้มลงมองแขนที่เธอกอดอยู่ พบว่ามันชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงทั่วทั้งแขน
และตอนนี้เลือดเหล่านั้นก็เปรอะเปื้อนตัวเธอไปด้วยเช่นกัน
น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกหรือสังเกตถึงมันมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้ เด็กสาวเบิกตากว้าง
เผลอปล่อยมือจากแขนอีกฝ่ายแล้วผงะถอยห่างในทันที
“ซิสเตอร์ค่ะ คุณบาดเจ็บอยู่เหรอ?”
ดวงตาของแม่ชีเหลือบมองแขนตัวเอง
ราวกับไม่รู้ตัวเช่นกันว่ามีเลือดบนแขนตัวเอง
หล่อนจัดการใช้ปลายเสื้อเช็ดข้อมือตัวเองอย่างลวก ๆ ก่อนจะหันไปตอบเด็กสาว “ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ
มันแค่เป็นรอยเปื้อนเท่านั้น”
มือเรียวของหญิงสาวคว้าจับที่แขนของมิเรียมอีกครั้ง
ราวกับต้องการรีบร้อนออกไปจากตรงนี้จนไม่อยากเสียเวลาแม้แต่นิดเดียว แต่ทว่าในจังหวะที่แขนของอีกฝ่ายยกขึ้นมา
มิเรียมก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างอยู่ภายใต้ข้อมือของอีกฝ่าย
มันเป็นช่วงเวลาแค่ครู่เดียวเท่านั้น
แต่สิ่งที่เห็นกลับประทับตรึงลงในใจของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว
สัญลักษณ์ 666
สัญลักษณ์แบบเดียวกับที่ปรากฏอยู่บนตัวของชาวบ้านข้างนอกนั่น
สัญลักษณ์ที่เธอเองก็มีอยู่บนแขนเช่นกัน และแม่ชีซาร่าก็มีมันด้วย
อยู่บนแขนข้างเดียวกับที่เธอมีเลยด้วยซ้ำ มันคือสัญลักษณ์ของสัตว์นรก
ตัวแทนของการถูกตีตราเป็นสมบัติของปีศาจ
แม่ชีซาร่าเป็นสาวกของซาตาน!
_______________
Talk:กลับมาอัพอย่างจริงจังแล้วครับ ด้วยเหตุผลสองข้อ
1.เขียน back to the 70s จบแล้ว
2.เขียน Town of Sinfulness จบแล้ว!!!
จริงๆคิดว่าจะยาวกว่านี้ แต่พอเขียนไปเขียนมาก็จบใน58หน้าเอสี่ซะอย่างงั้น ถือว่าน้อยมาก แต่ก็ขยายไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว อาจเพราะว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในคืนเดียวเท่านั้น รายละเอียดต่างๆเลยไม่สามารถต่อให้ยาวได้เหมือนนิยายเรื่องยาวเรื่องอื่น กลายเป็นนิยายขนาดสั้นแทน
ถือว่าจบโปรเจคใหญ่ไปได้สองโปรเจคแล้ว หลังจากน้ก็แค่ทยอยลงให้จบ และเริ่มงานใหม่(ฮ่า) เตรียมพบกับโปรเจคหน้า by x-kira กันนะฮะ ใบ้ว่าเป็นแนวคอมเมดี้อีกแล้ว เน้นไมมีสาระ เพราะเขียนเครียดๆมาเยอะแล้ว อยากผ่อนคลายสมองแบบไม่คิดไรมากบ้าง
[1]
วันโลกาวินาศ(Apocalypse) เป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งจากคัมภีร์วิวรณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของไบเบิ้ลภาคพันธะสัญญาใหม่
ที่ถูกเขียนขึ้นโดยยอห์นแห่งปัทมอส ซึ่งได้กล่าวถึงนิมิตเกี่ยวกับวันสิ้นโลกและการกำเนิดโลกใหม่หลังการทำลายล้างโลก รวมถึงนครบริสุทธิ์ที่จะมีให้กับผู้ที่ภักดีต่อพระเจ้าเท่านั้น
[2]
น้ำเสก
เป็นน้ำที่ผ่านการเสกจากบาทหลวง ถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
แต่ชาวคริสต์ไม่นิยมเรียกว่าน้ำมนต์แบบชาวพุทธ จะเรียกเป็นน้ำเสกแทน
เพราะถือว่าใช้บทภาวนาในการเสกน้ำ
ความคิดเห็น