คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Just a Kiss
“ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมาได้”
ปากบาง ๆ พร่ำบ่นไม่หยุดนับตั้งแต่ที่มาถึงศาลาหลังโรงเรียนอันเป็นที่นัดหมาย แม้ว่าตอนนี้ทั่วทั้งโรงเรียนจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่หนาวเย็นแต่ก็ไม่อาจทำให้จิตใจของเจ้าหล่อนเย็นตามลงไปได้เลย “ฉันเกลียดหมอไอเบิร์ตชะมัด”
พูดเสร็จก็แอบชำเหลืองมองบิลที่ยังคงนั่งนิ่งประดุจรูปปั้นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาไม่รู้สึกโกรธเคืองบ้างหรือไรกับสิ่งที่เธอเล่าให้ฟังไปเมื่อสักครู่ เพราะขนาดเธอเองในตอนนั้นยังรู้สึกโมโหแทบตายที่หมอไอเบิร์ตพูดแย่ ๆ ถึงบิลแบบนั้น “นายไม่โกรธเขาเลยเหรอ”
“ไม่หรอก ชินแล้วล่ะ”
“ชินแล้ว?” โดโลเรสเอ่ยทวนอีกรอบอย่างนึกประหลาดใจกับคำพูดของอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบคำถามด้วยการยักไหล่
“เธออาจมาใหม่เลยยังไม่รู้ ไม่มีใครที่นี่พูดถึงฉันในทางที่ดีหรอก”
บิลพูดอย่างไม่ยี่หระ แต่นั่นกลับทำให้โดโลเรสรู้สึกแย่แทนเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
อดคิดไม่ได้ว่าตลอดเวลาบิลต้องทรมานแค่ไหนกันกับคำพูดจาแย่ ๆ
ของคนอื่นที่กล่าวถึงตัวเองอยู่เสมอ
ไหนจะการโดนเหยียดหยามและกลั่นแกล้งในโรงเรียนนั่นอีก
ไม่รู้ว่าเขาสามารถอดทนกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน
สมมติว่าถ้าหากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดกับเธอขึ้นมา โดโลเรสคิดว่าตัวเองไม่มีทางจะอดทนได้เหมือนกับเขาแน่
ๆ
“ทำไมเธอถึงทำหน้าแบบนั้น” เด็กหนุ่มยิ้มขบขันก่อนจะเอามือมาแตะที่หว่างคิ้วของเธอ โดโลเรสถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังขมวดคิ้วอยู่
“ฉันก็แค่คิดว่า..ฉันคงกำลังอิจฉานายอยู่ล่ะมั้ง?”
“อิจฉาเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็นายกล้าหาญพอที่จะเถียงกับหมอไอเบิร์ตได้ แถมยังอดทนกับเรื่องแย่ ๆ ที่เจอได้อีก ฉันไม่มีทางทำแบบนายได้แน่ ๆ ” นั่นเป็นความคิดของเด็กสาวที่มีต่อเขามาตลอด ถ้าหากเธอกล้าหาญและอดทนได้สักเสี้ยวหนึ่งของบิลคงจะดีไม่น้อย “ฉันอยากจะเป็นอย่างนายบ้างจริง ๆ ”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ในตอนนั้นเองเขาก็หันมามองเธอ โดโลเรสสังเกตได้ว่าดวงตาของเขานิ่งเฉยจนไม่สามารถเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“เธออย่าเป็นเหมือนฉันเลยดีกว่านะ”
ไม่รู้นานเท่าไรที่โดโลเรสเอาแต่จ้องมองที่ดวงตาสีดำคู่นั้น คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอไม่อาจละสายตาออกไปได้ แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีเธอก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสแปลกใหม่ที่เย็นเฉียบบนริมฝีปากและความอุ่นร้อนจากลิ้นของเขาที่สอดแทรกเข้ามาในปากของเธออย่างนุ่มนวล
บิลกำลังจูบเธอ
........................
“นี่เธอโอเคหรือเปล่า?”
คำทักทายากปากเซบาสเตียนทำให้เด็กสาวที่กำลังนอนแผ่บนโต๊ะอย่างไม่เกรงใจสายตาใครต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ โดโลเรสอ้าปากหาวแล้วส่ายหน้าเป็นคำตอบ โบกมืออีกนิดหนึ่งแล้วจึงแสร้งหลับตาต่อโดยไม่สนใจสิ่งใด
สาเหตุของการง่วงนอนครั้งนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่ทำให้ช็อคจนนอนไม่หลับทั้งคืน พอนึกถึงขึ้นมาอีกครั้งก็เกิดอับอายอยางบอกไม่ถูก รู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวที่ปากเหมือนมันพึ่งผ่านไปเมื่อไม่กี่วินาทีนี่แล้วนี่เอง
โดโลเรสก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้แค่ว่าจู่ ๆ ทุกอย่างเงียบไปเสียเฉย ๆ ตอนที่เธอสบตากับบิล จนกระทั่งเขาเข้ามาจูบเธอ นั่นเป็นจูบแรกในชีวิตของเธอ มันทั้งอ่อนหวานและนุ่มนวล แน่นอนมันทำให้เด็กสาวใจเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เธอทำอะไรไม่ถูกเลยด้วยซ้ำนอกจากนั่งตัวแข็งกำหมัดแน่น จนกระทั่งอีกฝ่ายผละออกมา ความอุ่นร้อนบนริมฝีปากทำให้รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน
บิลจูบเธอจริง
ๆ
อารมณ์หลากหลายตีกันอยู่ในหัว มันทั้งสับสน อับอาย เขิน และโกรธ พอตั้งสติได้อีกครั้งเธอก็พยายามทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น(แม้ว่าในใจจะรู้อยู่เต็มอกว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นไปแล้วก็ตาม) หันไปเอ่ยลาเขาก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปเลย และหลังจากนั้นเด็กสาวก็เอาแต่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนวิดิโอที่ถูกกรอเทป และไม่สามารถหยุดคิดถึงมันได้เลยแม้กระทั่งในตอนนี้ก็ตาม
“โดโลเรส”
“…”
“โดโลเรส!!”
“ค่ะ!”
เด็กสาวเจ้าของชื่อที่กำลังจิตใจล่องลอยถึงใครคนหนึ่งต้องสะดุ้งเฮือกรีบขานรับเสียงดัง ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเพื่อนร่วมชั้นก็พาให้รู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย
“ความแตกต่างระหว่างโอฟิเลียกับตัวละครอื่น ๆ ในแฮมเลต[1]คืออะไร”
“เพราะ...”
โดโลเรสได้แต่นั่งอึ้งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี เพราะไม่มีอะไรในหัวเลยสักอย่างในตอนนี้ เธอแทบจะไม่ได้ฟังในสิ่งที่อาจารย์สอนเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อเห็นแววตาจับผิดของอาจารย์ไบรอันเจ้าของวิชาวรรณกรรมก็พาให้รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ อย่างบอกไม่ถูก
“โอฟิเลียเป็นตัวละครเดียวในเรื่องที่มีจิตใจบริสุทธิ์ดีงาม” ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายโดโลเรสก็ได้ยินเสียงพูดเบา ๆ ดังขึ้น พอหันไปมองก็เห็นเซบาสเตียนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ส่งยิ้มมาให้ เด็กสาวจึงได้แต่นึกขอบคุณประธานนักเรียนอยู่ในใจก่อนจะรีบพูดออกไปทันที
“โอฟิเลียเป็นตัวละครเดียวในเรื่องที่มีจิตใจบริสุทธิ์ดีงามค่ะ” พอเห็นครูทำหน้าพึงพอใจโดโลเรสก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะรีบพูดต่อ “อาจารย์ค่ะ ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ”
“ตามสบายคุณโดโลเรส กลับมาแล้วก็ตั้งใจเรียนด้วยล่ะ”
อาจารย์ไบรอันแอบเหน็บแนมอยู่เล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าอนุญาต โดโลเรสจึงรีบลุกออกจากห้องไปทันที เพราะรู้ดีว่าฝืนเรียนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาถ้าหากยังง่วงอยู่แบบนี้ อย่างน้อยก็ออกไปล้างหน้าล้างตาให้ตัวเองสดชื่นเผื่อจะได้หายง่วงขึ้นมาบ้าง
ที่โถงทางเดินไม่ค่อยมีคนมากนักเพราะยังอยู่ในคาบเรียนอยู่ สองเท้าจึงก้าวผ่านระเบียงทางเดินอย่างไม่เร่งรีบนัก เป้าหมายของเธออยู่ที่ห้องน้ำด้านซ้ายของอาคาร แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหนไกลสายตาก็บังเอิญเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่อีกฝั่งของทางเดิน คนที่เธอไม่อยากจะเจอหน้าที่สุด...
บิล...
ทันทีที่สบตากับนัยน์ตาสีดำคู่นั้น
ภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ย้อนกลับมาเล่นงานเธออย่างรวดเร็วจนทำให้ทั่วทั้งตัวชาวาบไปชั่วขณะ
พอตั้งสติได้โดโลเรสก็รีบหลบตาอีกฝ่ายก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายหันกลับไปทางห้องเรียนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดโลเรสยอมรับอย่างภาคภูมิว่าเธอนั้นขี้ขลาด ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นเธอก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ ฉะนั้นแล้วเธอจึงยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาเลยสักนิด...
อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้!
“เดี๋ยวก่อน”
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ไล่ตามมาก็ยิ่งทำให้เด็กสาวต้องเร่งฝีเท้าของตัวเองขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่พ้นจนได้เมื่อถูกอีกคนกระชากมือให้หันไปหา เธอเห็นว่าบิลกำลังมองเธอด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังหงุดหงิดเล็กน้อย
"ฉันเรียกแล้วทำไมไม่ตอบ"
"..."
"อย่าเงียบสิ ฉันไม่ชอบแบบนี้เลยนะ"
โอโลเรสก็อยากจะตอบไปเหมือนกันว่าไม่ชอบสถานการณ์ตอนนี้เลย มันน่าอึดอัดสุด ๆ เมื่อต้องมาประจันหน้ากับคนที่ไม่อยากเจอแบบนี้ แต่จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ในเมื่อตอนนี้อยู่กันแค่สองคนแถมไม่มีใครอยู่แถวนี้อีกต่างหาก เด็กสาวเม้มปากแน่น พยายามดึงข้อมือออกจากคนตรงหน้าแต่อีกฝ่ายกลับบีบข้อมือเธอไว้แน่นจนเธอรู้สึกเจ็บ โดโลเรสจึงจำใจต้องมองหน้าเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ฉันต้องไปเรียนแล้วนะ ขอตัวก่อนนะ”
เด็กสาวพูดเสียงเรียบ หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมปล่อยเธอไปเสียที แต่แล้วโดโลเรสก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกคนตัวสูงกว่ากระชากตัวเธอให้เข้าไปใกล้ขึ้นอีก เด็กสาวหายใจติดขัดเมื่อสบตากับคนตรงหน้าใกล้ ๆ
เขากำลังโกรธ และดูน่ากลัวเอามาก ๆ
“เฮ้! เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
เสียงที่ดังขึ้นมาเหมือนเสียงสวรรค์ที่ฉุดโดโลเรสขึ้นมาจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เธอหันไปเห็นเซบาสเตียนที่ยืนทำหน้าเหรอหราอยู่ เด็กสาวจึงได้โอกาสสลัดตัวเองออกจากการเกาะกุมของบิลแล้วรีบเข้าไปหาประธานนักเรียนทันที
“นายมาได้ยังไงนะ” โดโลเรสถามเด็กหนุ่มผู้เข้ามาใหม่อย่างสงสัย อีกฝ่ายจึงยักไหล่ก่อนจะตอบ
“พอดีฉันเห็นเธอออกไปเข้าห้องน้ำนานผิดปกติ เป็นห่วงก็เลยออกมาตามนะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะเหวี่ยงใส่ประธานนักเรียนไปแล้วที่เขาทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์กันแบบนี้ แต่ตอนนี้การปรากฏตัวของเขาไม่ต่างอะไรกับเทวดาที่ยื่นมือลงมาช่วยชีวิต โดโลเรสแอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อหันกลับไปมองด้านหลังก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพบว่าบิลไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
เขาหายตัวไปเร็วมากเสียจนน่าตกใจ
“มีเรืองอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?” โดโลเรสหันไปหาประธานนักเรียน เห็นแววตาของเซบาสเตียนเต็มไปด้วยความสงสัย เธอรู้ว่าเขามีคำถามแต่เธอก็ขี้เกียจจะตอบจึงเลือกที่จะส่ายหน้าแทน
“ไม่มีอะไรหรอก รีบกลับห้องดีกว่านะ”
เด็กสาวไม่เปิดโอกาสให้ประธานนักเรียนได้ถามอะไรต่อ เธอรีบเร่งฝีเท้ากลับเข้าไปในห้องเรียนทันที แทบจะหมดกระจิตกระใจกับการร่ำเรียนไปโดยสิ้นเชิง ภาพสายตาที่โกรธเกรี้ยวของบิลฝังลึกลงไปในความทรงจำ นึกถึงทีไรในใจของเธอก็รู้สึกไม่ดีเลยสักนิดเดียว
............................
นับแต่นั้นโดโลเรสก็หลบเลี่ยงที่จะเจอหน้าบิลทุกทางไม่ว่าจะที่โรงเรียนหรือที่สถานบำบัดจิต
ไม่พบเจอและไม่พูดคุย
มันเป็นวิธีหนีปัญหาที่แสนจะสิ้นคิดแต่ก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่เธอนึกออก
เธอไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรเวลาที่เจอหน้าเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร
มันสับสนและวุ่นวายไปหมด เธอคิดว่าการไม่เจอหน้าเขาคงสามารถทำให้รู้สึกสงบได้มากกว่านี้
น่าตลกที่สุดท้ายเธอก็ต้องทำตามที่หมอไอเบิร์ตบอกจนได้ ไม่ใช่เพราะว่าเห็นด้วย แต่เพราะโดโลเรสรู้ตัวดีว่าเธอลำบากใจที่จะเจอหน้าเขาหลังจากที่เราจูบกับไป
แต่ถึงจะไม่ได้เจอหน้ากันก็ตาม บิลก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างร้ายกาจต่อความคิดเธออยู่ดี โดโลเรสมักจะนึกถึงเขาอยู่เสมอ แม้กระทั่งเวลานอนก็ฝันถึงเขา ฝันถึงดวงตาสีดำสนิทที่โกรธเกรี้ยวของเขาในคราวนั้น คล้ายกับว่าบิลได้ฝังตัวตนของเขาลงไปในความคิดเธอ และมันน่าหงุดหงิดที่เธอไม่สามารถลบมันออกไปได้เลย
โดโลเรสพยายามจะทำตัวเองให้ดูวุ่นวายตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่าน เธอแสร้งทำตัวเป็นมิตรมากขึ้น นั่นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับประธานนักเรียนอย่างเซบาสเตียนพัฒนาไปด้วยเพราะเธอยอมที่จะพูดคุยและไปไหนมาไหนกับเขาแทนที่จะเอ่ยปากไล่หรือเดินหนีไปเหมือนแต่ก่อน เด็กสาวคิดว่าการเริ่มทำตัวสนิทกับคนอื่นอาจช่วยทำให้เธอเลิกคิดถึงบิลได้บ้าง
แต่สุดท้ายเธอก็รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิดเดียว
กริ๊งงงงงงงงง!
เสียงกริ่งบอกเวลาหมดคาบเรียนสุดท้ายของวันดังขึ้น โดโลเรสพ่นลมหายใจก่อนจะหันมาเก็บข้าวของบนโต๊ะอย่างลวก ๆ แล้วลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันจะได้ออกจากห้องก็เจอกับประธานนักเรียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหมือนจะดักรออยู่
“คืนนี้มีปาร์ตี้ที่บ้านของแซค เธออยากไปหรือเปล่า?”
โดโลเรสหรี่ตาลงอย่างคนกำลังนึกคิด เธอยังจำชื่อเพื่อนในห้องไม่ค่อยได้เท่าไรนัก แต่ก็พอจะคุ้นอยู่ว่าแซคน่าจะเป็นหนึ่งในนักกีฬาของโรงเรียนที่เป็นเพื่อนกับเซบาสเตียนอีกที
พวกกลุ่มเด็กหนุ่มสุดฮอตของโรงเรียนนั่นแหละ
“ไม่” โดโลเรสเอ่ยปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด จริงอยู่ที่เธอเริ่มจะสนิทกับเซบาสเตียนบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ดีเสียเมื่อไร แค่จินตนาการถึงกลุ่มคนที่ไม่รู้จักมารวมตัวกันเยอะ ๆ กลิ่นเหล้าและบุหรี่เหม็น ๆ กับเสียงเพลงดัง ๆ ก็ทำให้อยากจะอาเจียนเสียแล้ว
“อ้าว? ทำไมล่ะ”
“ฉันก็แค่ไม่ชอบปาร์ตี้นะ”
“สมกับเป็นเธอจริง ๆ ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่พร้อมจะให้ผู้หญิงแถวนี้ดิ้นตายกันเป็นแถบ ๆ “แอนตี้โซเซี่ยลตัวแม่เลยนะ”
‘ความจริงแล้วยิ่งกว่าแอนตี้โซเซี่ยลซะอีกเถอะ’ โดโลเรสคิดในใจ ก่อนจะปั้นหน้ายิ้มสดใสให้อีกฝ่าย “ยังไงก็ขอบใจนะที่ชวน”
“อืม งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
เมื่อประธานนักเรียนจากไปแล้วโดโลเรสจึงรู้สึกหายใจหายคอได้คล่องมากขึ้น ยังไงก็ยังคงไม่ชินกับการคุยกับคนอื่นสักทีโดยเฉพาะคนโด่งดังอย่างเซบาสเตียน ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะสนิทกันมากขึ้นก็จริงแต่มันก็เป็นแค่การแสร้งทำของเธอเสียมากกว่า การต้องฝืนเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองมันก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย แตกต่างจากตอนอยู่กับบิลที่เธอสามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร
นั่นไง สุดท้ายก็คิดถึงบิลขึ้นมาอีกจนได้
เด็กสาวส่ายหน้ากับความคิดของตัวเอง ตอนนั้นเองจู่ ๆ ร่างกายก็ต้องเซกะทันหันเมื่อถูกใครบางคนกระชากอย่างแรง โดโลเรสเบิกตากว้างอย่างตกใจ ยังไม่ทันจะเอ่ยปากโวยวายก็ถูกมือใหญ่ปิดปากจนมิด เด็กสาวจึงทำได้เพียงแค่ดิ้นคลุกคลักอยู่ในอ้อมแขนของคนปริศนาที่พยายามลากตัวเธอไปหลังอาคารเรียน
ในหัวของโดโลเรสคิดไปต่าง ๆ นา ๆ เธอนึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย อาจจะโดนปล้นหรือไม่ก็กำลังโดนกลั่นแกล้งอยู่ จนกระทั่งเมื่อคน ๆ นั้นยอมปล่อยเธอเป็นอิสระ เด็กสาวจึงรีบหันไปมองคนที่จับตัวเธอมา ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายคือบิลนั่นเอง
“นายจับฉันมาทำบ้าอะไร!” การเจอกับบิลอีกครั้งควรจะทำให้เธอรู้สึกประหม่า แต่ตอนนี้โดโลเรสกลับโกรธเสียมากกว่า เพราะตอนแรกเธอกลัวแทบตายตอนที่โดนใครก็ไม่รู้ลากตัวมาโดยไม่บอกไม่กล่าวอย่างนี้
“ฉันขอโทษ” คนตรงหน้าเอ่ยปากด้วยสีหน้าที่ดูจะไม่ค่อยรู้สึกผิดเท่าไรนัก “ก็เธอเอาแต่หลบหน้าฉันนี่น่า ถ้าฉันไม่ทำอย่างนี้ก็คงจะไม่ได้เจอเธอหรอก”
โดโลเรสอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเถียงอะไรเพราะเขาพูดถูกเรื่องที่ว่าเธอหลบหน้าเขา เด็กสาวจึงเลือกที่จะเดินหนีแต่ก็โดนคนตัวสูงกว่าที่รู้ทันเข้ามาขวางทางเอาไว้ได้
“ถ้าคิดอยากจะหลบหน้ากันต่อไปแบบนี้ก็เชิญเลย ต่อให้เธอจะหนีฉันแค่ไหน แต่ฉันก็จะตามเธออยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ฉันจะไม่หยุดทุกอย่างไว้แค่นี้แน่”
“...”
"ได้โปรดเถอะ” บิลเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ ความใกล้ชิดบังคับให้โดโลเรสต้องมองหน้าเขาอย่างเสียไม่ได้ เด็กสาวเห็นว่าดวงตาสีดำคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสลด ใบหน้าแสดงถึงความสับสนชัดเจน ก่อนที่สองมือจะเลื่อนมาจับที่หัวไหล่ของเธอ “ฉันไม่อยากให้เธอทำแบบนี้กับฉันเลยนะ”
“...”
“ฉันคิดถึงเธอจนจะบ้าตายอยู่แล้วรู้หรือเปล่า”
“...”
“ถ้าเธอรังเกียจฉัน ฉันก็ขอโทษ แต่อย่าทำตัวห่างเหินกับฉันแบบนี้อีกเลยนะ”
มันช่างเป็นเรื่องยากลำบากมากจริง ๆ กับการยืนอยู่ต่อหน้าบิล คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านพ้นมาด้วยหัวใจที่สั่นไหวแล้วต้องแสร้งปั้นหน้านิ่งเหมือนว่าไม่รู้สึกอะไร ความสับสนและอึดอัดตีตื้นในหัวจนคล้ายว่าจะทำให้หายใจไม่ออก ความจริงแล้วสิ่งที่เธอทำไปไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจเขา แต่เพราะเธอแค่กำลังหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดแปลกบางอย่างของตัวเองเท่านั้น
“ฉันไม่ได้รังเกียจนายหรอก ฉันแค่..ทำตัวไม่ถูกเท่านั้นเอง”
“ทำตัวไม่ถูกเรื่องอะไรล่ะ?”
ถ้าตาไม่ฝาดโดโลเรสเห็นว่าคนตรงหน้ายิ้มออกมาแวบหนึ่ง เด็กสาวจึงรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังพยายามจะยั่วยุให้เธอพูด ’เรื่องนั้น’ ออกมา แม้จะนึกหงุดหงิดกับความเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าแต่ในเวลานี้ยังไงก็คงจะหลีกเลี่ยงต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เด็กสาวจึงจำใจต้องพูดออกไปอย่างหงุดหงิดเล็ก ๆ ที่เสียรู้คนตรงหน้า
“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ นายจูบฉันไง! นายจูบฉันทำไมล่ะ?”
ในคราวแรกบิลมองหน้าเธอด้วยสายตาที่เหมือนกับมองตัวประหลาดก็ไม่ปาน เขาเหมือนจะอยากหัวเราะแต่ก็ไม่ยอมหัวเราะ สุดท้ายก็แค่ยิ้มออกมา แต่รอบยิ้มนั้นแตกต่างไปจากทุกที มันเป็นรอยยิ้มของเขาที่สดใสที่สุดที่โดโลเรสเคยเห็นมา
“ไม่เห็นจะเข้าใจยาก ฉันจูบเธอก็เพราะว่าฉันชอบเธอยังไงล่ะ”
โดโลเรสพึ่งเข้าใจคำว่า ‘ตกใจจนเข่าอ่อน’ เป็นยังไง เพราะเธอแทบจะทรุดลงไปแล้วถ้าหากว่าบิลไม่ได้จับตัวเธอเอาไว้ก่อน เหมือนทุกสิ่งในร่างกายหยุดทำงานไปชั่วขณะอย่างกับคอมพิวเตอร์ที่กำลังเออร์เรอร์เพราะโดนไวรัส เด็กสาวตั้งตัวไม่ติดเพราะไม่คิดว่าเขาจะสามารถพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาได้หน้าตาเฉย แต่เมื่อคิดถึงความกล้าหาญของเขาหลายอย่างก่อนหน้าแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหนักถ้าหากบิลจะพูดออกมาได้โดยไม่กังวลอะไรแบบเธอ
นานทีเดียวกว่าที่โดโลเรสจะเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงออกไปให้กลับมาได้อีกครั้ง เธอควานหาเสียงในลำคอของตัวเองก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างยากลำบาก
“ทำไม...นายถึงชอบฉันล่ะ”
“ฉันชอบเธอก็เพราะชอบ ไม่เห็นต้องมีเหตุผลนี่น่า” คราวนี้เขาเลิกยิ้มแล้ว ใบหน้าขาวซีดกลับมานิ่งเฉยเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น “งั้นฉันควรถามกลับไหมว่าทำไมเธอชอบฉัน?”
“ฉะ..ฉัน” เป็นอีกครั้งที่โดโลเรสต้องอำอึ้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี ราวกับว่าสมองของเธอมันหยุดทำงานไปตั้งแต่ตอนที่ได้ยินคำว่า ‘ชอบ’ แล้ว
“เธอกลัวงั้นเหรอ?” บิลพูด ดวงตาสีดำจ้องมองเธอราวกับรู้ว่าภายในใจของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “ทำไมเธอถึงต้องกลัวด้วยล่ะ”
“คือ..ฉันไม่เคยชอบใครมาก่อน” โดโลเรสก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด “ฉันไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง”
นี่เป็นครั้งแรกที่โดโลเรสยอมเปิดปากพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน เธอรู้ว่าตัวเองก็รู้สึกกับบิลไม่ต่างจากที่เขารู้สึกกับเธอ เธอรู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เขาจูบเธอในครั้งนั้นแล้ว หัวใจของเธอไม่เคยเต้นแรงมากขนาดนั้นมาก่อนเลยในชีวิต มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้สึก และมันก็ทำให้เธอเกิดกังวลขึ้นมากับความผิดแปลกที่เกิดขึ้น
เด็กสาวมักจะหวาดกลัวกับอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิมหรือสิ่งใหม่ที่ไม่เคยพบเจอ
และทุกครั้งเธอเลือกที่จะหลบหนีมากกว่าจะเผชิญหน้ากับมัน หมอไอเบิร์ตบอกว่ามันเป็นอาการของโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้าที่เธอเป็นอยู่
มันจึงกลายเป็นเหมือนเรื่องปกติสำหรับเธอไปแล้วกับการเอาแต่หนีจากปัญหาไปเรื่อย ๆ
เพื่อให้หลุดพ้นจากความวิตกกังวลเหล่านั้น
จนกระทั่งตอนนี้เธอจึงรู้ว่าไม่สามารถหลีกหนีได้เหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว...
“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ก็แค่ทำตัวเหมือนเดิมนั่นแหละ” น้ำเสียงที่ดังอยู่ใกล้ ๆ ทำให้สติและความคิดกลับมาอีกครั้ง เขาเข้าใกล้เธอมากจนหน้าผากอันเย็นเฉียบของเขาแนบชิดกับหน้าผากเธอ “แค่เธอชอบฉันและฉันชอบเธอ แค่นั้นก็พอแล้ว”
คราวนี้ริมฝีปากของเราสัมผัสกันอีกครั้ง เนิ่นนานกว่าเดิม อ่อนหวานกว่าเดิม นุ่มนวลกว่าเดิม และดูดดื่มกว่าเดิม และโดโลเรสก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่สามารถหนีได้อีกแล้วจริง ๆ เพราะบิลไม่ยอมให้เธอหนีไปไหนได้เลย
____________________
[1] แฮมเลต(Hamlet) เป็นบทละครแนวโศกนาฏกรรมเขียนขึ้นโดยวิลเลียม เชกสเปียร์ เรื่องเกี่ยวกับเจ้าชายแฮมเลตของเดนมาร์ก ที่ต้องการจะแก้แค้นกษัตริย์คลอดิอัสผู้เป็นลุงที่ฆ่าพ่อของเขาแล้วชิงบัลลังก์ไปเป็นของตัวเอง โอฟิเลียเป็นคนรักของแฮมเลตที่ต้องทกข์ทรมานจากการแก้แค้นของแฮมเลตจนกลายเป็นคนเสียสติ
Talk:ช่วงนี้อาจจะอัพเดตนิยายเรื่องนี้ช้าหน่อยนะครับ เพราะคนเขียนต้องแต่งนิยายสามเรื่องพร้อมกันเลยแยกสมองไม่ทัน 555
สำหรับแฟนคลับนิยายเรื่องนี้ สามารถติดตามผลงานอื่นของผู้เขียน ความคืบหน้าต่างๆ และตามทวงงานได้ที่แฟนเพจผมนะครับ
ความคิดเห็น