คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Bang bang, he shot me down
เสียง ‘ปัง’ ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย ในช่วงที่สติกำลังหลุดลอยไปด้วยความตกใจ โดโลเรสก็ถูกเซบาสเตียนกระชากแขนพาออกไปจากตรงนั้น เด็กสาวจึงกลับมาได้สติอีกครั้งแล้วรีบก้าวเท้าวิ่งตามผู้เป็นประธานนักเรียนไปทันที
โดโลเรสเคยเห็นข่าวคนยิงกันมานักต่อนัก แต่ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้ ความหวาดกลัวปะปนกับความตกใจทำให้แข้งขาอ่อนแรงจนเกือบจะหกล้มอยู่หลายครั้ง โชคดีที่ประธานนักเรียนยังมีสติดีและพละกำลังแข็งแรงมากพอที่สามารถพาเธอมาได้โดยปลอดภัย
ทุกคนที่นี่ต่างก็พยายามพุ่งไปที่ทางออก แต่ก็พบว่าทุกช่องทางที่สามารถออกไปภายนอกนั้นถูกปิดอย่างแน่นหนา เสียงปืนที่ยังคงดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้แต่ละคนเริ่มร้องไห้และสวดภาวนาต่อพระเจ้า เกิดเป็นความโกลาหลราวคลื่นลมพายุขนาดย่อม ๆ ที่ยากจะสงบลงได้
“เวรเอ๊ย!” โดโลเรสได้ยินเสียงสบถของเซบาสเตียนดังอยู่ข้างหู “มาทางนี้”
ประธานนักเรียนหนุ่มพาเธอออกไปจากวงล้อมของกลุ่มคนที่สิ้นหวัง
เขาดูเป็นคนเดียวที่มีสติมากที่สุดในเวลานี้ แตกต่างจากโดโลเรสที่ยังคงงุนงง สับสน
และหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ชั่วขณะหนึ่งสายตาของเด็กสาวมองไปยังทิศทางฝั่งตรงข้าม
ทิศทางที่เสียงปืนดังขึ้น
แล้วเธอก็ได้เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อโค้ททหารสีดำและหมวกโม่งไหมพรมสีเดียวกันปกปิดใบหน้า ที่มือของเขามีปืนกระบอกใหญ่สีดำ ชายคนนั้นเดินอย่างใจเย็น ไม่มีท่าทีลังเลกับการเหนี่ยวไล่ปลิดชีวิตคน เหมือนว่านี่คือสิ่งที่เขาทำมาตลอด เป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันที่แสนจะคุ้นชินของยมทูตที่ไล่เก็บวิญญาณของผู้คนที่กำลังหนีตาย
ในชั่วขณะนั่นเอง บางสิ่งบางอย่างก็แวบเข้ามาในความคิดของโดโลเรส บางสิ่งบางอย่างที่เธอคุ้นเคยเกี่ยวกับชายคนนั้น บางสิ่งบางอย่างรบกวนจิตใจของเธออย่างยิ่งในเวลานี้ แม้จะไม่ได้เห็นหน้าแต่สัญชาตญาณกลับบอกได้อย่างชัดเจนว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร
ผู้ชายคนนั้นคือบิล
............................
ประธานนักเรียนหนุ่มผู้ยังมีสติพาเด็กสาวมาที่ห้องพักของภารโรง
เขาหวังว่าจะขอความเชื่อเหลือจากอีกฝ่ายให้พาออกไปจากที่นี่ได้
เพราะภารโรงเป็นคนเดียวเท่านั้นที่มีกุญแจและปืนประจำตำแหน่งไว้ยิงสัตว์ป่า
แต่ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไป ความหวังที่มีก็ต้องดับวูบลงทันทีเมื่อพบร่างไร้วิญญาณของภารโรงที่นอนจมกองเลือดอยู่พื้นห้อง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ” เด็กหนุ่มสบถหลังจากที่พบว่านอกจากภารโรงที่เสียชีวิตไปแล้ว
ปืนและกุญแจที่ควรมีอยู่ที่นี่ก็หายไปจากห้องเสียอย่างนั้น
ทันใดนั้นเซบาสเตียนก็ตระหนักได้ว่าทุกอย่างล้วนเป็นการวางแผนอย่างดีจากมือปืน อีกฝ่ายเลือกที่จะฆ่าภารโรงก่อนเป็นอันดับแรกแล้วหยิบกุญแจกับปืนไว้กับตัวเอง ก่อนจะปิดประตูขังทุกคนเอาไว้ในโรงเรียน และไล่ยิงคนอื่น ๆ ด้วยปืนที่เอามาจากภารโรงอีกที
ช่างเป็นแผนที่ง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะไม่มีใครในโรงเรียนตระหนักว่าสักวันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
เมื่อไม่ที่ทางไปต่อแล้ว เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะล็อกห้องให้เรียบร้อยแล้วหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา แต่ก็ต้องปามันทิ้งไปอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าแบตโทรศัพท์มือถือของตัวเองหมดไปแล้ว “เธอมีโทรศัพท์หรือเปล่า”
โดโลเรสไม่ได้เอ่ยปาก เธอเพียงส่ายหน้าในขณะที่นั่งอยู่เงียบ
ๆ ปฏิกิริยาของเด็กสาวทำให้เซบาสเตียนที่กำลังโมโหได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
เขาจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งแตะที่ไหล่ของเธอเบา
ๆ
“เธอโอเคหรือเปล่า?”
เป็นอีกครั้งที่โดโลเรสไม่ได้ตอบคำถามของอีกฝ่าย เธอคิดว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้คงพอจะบอกเขาได้ว่าเธอไม่โอเคอย่างแรง ภาพของคนที่ตายลงต่อหน้ายังคงชัดเจน เสียงปืนที่ดังกึกก้อง กลิ่นคาวเลือด เสียงร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิตปนกับเสียงสวดมนต์วิวอนต่อพระเจ้า โดยเฉพาะบิล ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เธอหวาดกลัวและเสียขวัญไม่น้อย
“บางทีเราอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้นะ”
“ทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้น?”
“นายก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่มีใครที่จะรอดจากที่นี่ เราทุกคนจะตายกันหมด เขาจะฆ่าพวกเราทั้งหมด!” ความอัดอั้นที่ปั่นปวนอยู่ในใจระบายออกมาอย่างสุดกลั้น โดโลเรสก้มหน้าลงก่อนจะร้องไห้โฮเหมือนเด็ก ๆ เมื่อรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความผิดของเธอทั้งหมด
เป็นเพราะเธอทำให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น เอาแต่ลังเลและเห็นแก่ตัวจนทำให้ทุกคนต้องมาตาย ถ้าหากเธอบอกตำรวจตั้งแต่แรกถึงสิ่งที่เห็น เรื่องทั้งหมดก็คงไม่ต้องลงเอยแบบนี้
เมื่ออีกฝ่ายร้องไห้ออกมาก็กลายเป็นเซบาสเตียนที่ต้องเป็นฝ่ายเงียบเสียเอง เด็กหนุ่มประคองใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นมาก่อนจะใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าออกไปอย่างแผ่วเบา
“เธอพูดถูก ฉันรู้ว่าเราอาจจะไม่รอดไปจากที่นี่”
“...”
“ฉันรู้ว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่ดีนัก แต่ฉันมีบางสิ่งที่อยากจะพูดกับเธอก่อนตาย”
“...”
“ฉันชอบเธอนะ”
ริมฝีปากของเขาแนบสนิทกับริมฝีปากของเธอ ไม่มีการรุกล้ำหรือคุกคาม เป็นเพียงแค่จุมพิตที่แสนธรรมดาในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่เหยียบย่างเข้ามาหาคนทั้งสอง จูบของเขาทำให้ชั่วขณะหนึ่งโดโลเรสสงบนิ่ง หลงลืมความทุกข์ ความเจ็บปวด และความหวาดกลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปัง!
เสียงปืนที่ดังขึ้นอีกครั้งหน้าห้องทำให้คนทั้งคู่สะดุ้งเฮือก
กลอนล็อกประตูถูกทำลายไปแล้วด้วยลูกกระสุน
และตอนนี้ประตูก็เปิดออกกว้างเผยให้เห็นยมทูตชุดโค้ทดำที่กำลังถือปืนอยู่
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ทว่าดูเชื่องช้าอย่างยิ่งในสายตาของโดโลเรส
ในชั่วขณะนั้นเองเซบาสเตียนก็เคลื่อนตัวเองเข้ามากอดเด็กสาวเอาไว้แน่นเพื่อบดบังตัวเธอจากคมกระสุน
ปัง! ปัง! ปัง!
สิ่งแรกที่โดโลเรสสัมผัสได้คือเลือดจากเซบาสเตียนที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนตัวเธอ กลิ่นของเลือดที่ฉุนเหมือนกลิ่นเหล็ก ร่างของเขานิ่งสงบเช่นเดียวกับลมหายใจที่ขาดหายไป
เขาตายแล้ว
โดโลเรสทำได้เพียงพร่ำขอโทษเขาอยู่ในใจ
คนดีและมีอนาคตอย่างเขาไม่สมควรต้องมาตายอย่างนี้เลย
เขาไม่สมควรต้องมาตายเพื่อปกป้องคนไร้ค่าอย่างเธอเลย
จู่ ๆ ภายในใจก็เกิดความโกรธแค้นขึ้นมาชั่ววูบ เด็กสาวดันร่างไร้ชีวิตของประธานนักเรียนออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืนตรง จ้องเขม็งไปที่ชายชุดดำตรงหน้าอย่างเคียดแค้นและชิงชัง ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
“ทำไมถึงทำแบบนี้”
เขานิ่งอยู่นาน ก่อนจะยอมถอดหมวกโม่งที่สวมไว้ออกไป เป็นบิลจริง ๆ อย่างที่โดโลเรสคิดเอาไว้ เธอสบตาเขา จ้องมองไปยังดวงตาสีดำสนิทตรงหน้า และแล้วภาพความทรงจำครั้งเก่า ๆ ก็ไหลบ่าอย่างรวดเร็วราวกับวิดิโอเทปมวนเก่าที่ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนั้นเองที่เขายกปืนขึ้นมา...
คุณเคยโดนรถชนไหม?
โดโลเรสเคยโดนรถชนมาแล้วทั้งหมดสามครั้งในชีวิต แต่ครั้งที่เธอจดจำได้ดีที่สุดคือครั้งแรก ซึ่งเกิดขึ้นตอนเธออายุเจ็ดขวบเท่านั้น
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ วันที่อากาศร้อนจัดจนทำให้เหงื่อไหลเต็มตัว ระหว่างที่เธอนั่งเล่นอยู่ตรงสนามเด็กเล่น เธอก็ได้ยินเสียงกระดิ่งของรถขายไอติม และมองเห็นมันกำลังเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ตรงข้ามกับสนามเด็กเล่น
ในข่วงเวลานั้นเธอรู้สึกหิวกระหายไอติมเหลือเกิน เธอคิดถึงแต่รสชาติที่หวานจัดและเย็นเฉียบของไอติมรสช็อกโกแลต เด็กหญิงตัวน้อยจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่รถขายไอติมคันสีแดงสดใสนั้นราวกับโดนมนต์สะกด
โดยที่ไม่ทันได้เห็นว่ามีรถยนต์คันหนึ่งกำลังพุ่งมาที่เธอ
โดโลเรสจดจำสัมผัสนั้นได้ดี สัมผัสของโลหะที่ร้อนจัดของเครื่องยนต์ แล้วทันใดนั้นภาพทุกอย่างก็หมุนติ้วเสมือนว่าโลกใบนี้เป็นลูกข่างขนาดใหญ่ เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอย ลอยสูงเลยทีเดียว ก่อนที่ใบหน้าจะแนบกับพื้นถนนยางมะตอย เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดเดียว อันที่จริงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยด้วย เธอรู้แค่ว่าทุกอย่างถูกกลืนกินไปด้วยความมืดมิดอย่างเขื่องช้าจนเลือนหายไปจากสายตาของเธอ
ตอนนั้นเธอคิดว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาอีกวันหนึ่งในโรงพยาบาล พร้อมกับค่าทำขวัญก้อนใหญ่จากเจ้าของรถที่ชนเธอ
โดโลเรสกำลังรู้สึกแบบเดียวกันในตอนนี้ ตอนที่เห็นบิลพุ่งเข้ามาหาเธอเหมือนรถยนต์สีดำคันใหญ่คันนั้น เขาง้างมือข้างที่ถือปืนขึ้นมา ก่อนที่สัมผัสของโลหะหนักจะพุ่งกระแทกสู่หัวของเธอ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดำมืดสนิททันทีเหมือนท้องฟ้ากลางคืนที่ปราศจากแสงจันทร์และแสงดาว
...........................
เมื่อโดโลเรสลืมตาขึ้น เธอก็ได้รู้ว่านรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เธอนอนอยู่บนเตียงเก่าๆ ภายในห้องแคบๆ อันมืดสนิทแห่งหนึ่งที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่าง กลิ่นเหม็นอับคละคลุ้งและฝุ่นหนาที่กระจายตัวในอากาศทำให้รู้สึกแสบจมูกยามหายใจ ฉับพลันความปวดหัวหนึบทำให้ต้องขมวดคิ้ว เด็กสาวจึงยกมือขึ้นแตะหัวตัวเอง สัมผัสถึงความบวมที่ปรากฏบนขมับตรงจุดเดียวกับที่เขาใช้ปืนฟาดเธอ
เธอมึนงงอยู่นานก่อนจะรู้สึกถึงความหนักอย่างประหลาดตรงขาข้างช้าย แล้วเมื่อก้มไปมองก็พบว่าขาของเธอถูกพันธนาการด้วยโซ่ล่ามเส้นยาวที่ล็อกกุญแจแน่นหนา
บิลไม่ได้ฆ่าเธอ แต่เขาจับเธอมาขังไว้ที่นี่
ประตูถูกเปิดออก แสงจ้าที่ลอดเข้ามาทำให้เธอต้องปิดตาลงโดยอัตโนมัติ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าทั่วทั้งห้องตอนนี้สว่างขึ้นมาแล้วด้วยหลอดไฟเก่าๆ บนเพดาน และทำให้เธอได้เห็นชายที่ยืนอยู่ภายในห้องเต็มตา
บิลยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีดำจ้องมองเธอด้วยแววตาวาวโรจน์เหมือนกับสัตว์ป่า แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่โดโลเรสก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของความโกรธเกรี้ยวผ่านดวงตาคู่นั้น เด็กสาวหวนนึกถึงเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และมันก็ทำให้เธอหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
คนตัวสูงเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และทำให้โดโลเรสต้องถอยหนีไปจนชิดติดผนัง แต่เขาไม่ได้เข้ามาหาเธออย่างที่คิด เด็กหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงฝั่งตรงข้ามเธอ ก่อนจะคลี่แผ่นกระดาษที่อยู่ในมือขึ้นอ่านอย่างเงียบเฉียบ
โดโลเรสควรจะโล่งใจถ้าหากว่าเธอจำไม่ได้ว่ากระดาษแผ่นนั้นคือกระดาษของเธอเอง กระดาษที่เธอเขียนไว้ให้กับเซบาสเตียนเพื่อทีจะเตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องฆาตกร ถึงแม้ว่าในจดหมายจะไม่ได้ระบุชื่อแต่อีกฝ่ายก็คงรู้ดีว่าเรื่องราวในจดหมายเป็นเรื่องของเขาเอง
ความเงียบสงัดกำลังให้โดโลเรสกลายเป็นบ้า เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ได้แต่จ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนั้น เด็กสาวรู้สึกกลัวผู้ชายคนนี้จับใจ ชั่วขณะหนึ่งเธอก็คิดขึ้นมาว่าอีกฝ่ายในตอนนี้เหมือนเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งมากกว่าจะเป็นอดีตแฟนหนุ่มของเธอเอง
เธอไม่เคยเข้าใจเขาได้เลยแม้กระทั่งในตอนนี้ก็ตาม
“รู้เรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้ว?” สุดท้ายเขาก็พูดขึ้น น้ำเสียงอันเย็นเยียบทำให้เธอหนาวสั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาของเขาทำให้โดโลเรสไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจด้วยซ้ำ
“สักพักหนึ่งแล้ว”
เด็กหนุ่มขยำกระดาษในมือทิ้งก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เธออีกครั้ง โดโลเรสอยากจะถอยหนี แต่ตอนนี้แผ่นหลังเธอแนบชิดกับผนังเก่าๆ ไปแล้ว ไม่มีที่ใดหลงเหลือให้เธอได้หลบหนีจากภยันอันตรายตรงหน้าได้อีกแล้ว
ทันใดนั้นร่างบอบบางก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นของนิ้วมือคนตรงหน้าที่กำลังไล้ผ่านแก้มเธอไปอย่างเชื่องช้า
“เธอรู้ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน เธอรู้ดี” น้ำเสียงพึมพำแผ่วเบาคล้ายกับพูดกับตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นโดโลเรสก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน “แต่เธอกลับทรยศฉัน! เธอทิ้งฉันแล้วเลือกมัน เลือกไอ้ประธานนักเรียนคนนั้น เธอแฉฉันให้มันรู้ เธอมันนังสารเลว นังกระหรี่”
“ไม่ใช่..”
เพี๊ยะ!
คำพูดของเด็กสาวถูกกลืนหายไปทันทีที่ฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบนแก้มของเธอ
ความเจ็บปวดผสมหวาดกลัวบีบคั้นให้โดโลเรสต้องร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
“ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องชอบมัน ฉันคิดไว้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องทิ้งฉัน” เสียงพึมพำดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเสียงที่ฟังดูน่ากลัวเหลือเกินในความคิดของโดโลเรส “เพราะไม่มีใครรักฉันเลย ฉันเลยฆ่ามันทั้งหมด”
เขายิ้มแล้วตบหน้าเธออีกครั้ง และตบอีกครั้งเมื่อเธอร้องไห้หนักขึ้น
โดโลเรสจึงจำต้องหยุดร้องไห้ลงชั่วคราว เธอเม้มปากแน่น ร่างกายสั่นสะท้านเป็นระยะจากการฝืนกลั้นสะอื้นในลำคอ
รู้สึกได้ถึงรสของเหล็กจากเลือดที่อยู่ในปากและความแสบร้อนตรงข้างแก้มที่โดนตบ
แต่ตอนนั้นเองคนตัวสูงก็พุ่งเข้ามากอดเธอเอาไว้แน่น ความตื่นกลัวทำให้โดโลเรสพยายามดิ้นออกจากวงแขนนั้น แต่ยิ่งดิ้นอีกฝ่ายก็ยิ่งรัดร่างเธอไว้แน่นขึ้นไปอีก จนสุดท้ายเธอก็ต้องเป็นฝ่ายหยุดนิ่งเสียเองอย่างยอมแพ้ ริมฝีปากอันเย็นชืดของบิลพรมจูบตรงขมับของเธอราวกับต้องการจะปลอบประโลมการกระทำที่เลวร้ายก่อนหน้านี้
“แต่ฉันจะไม่ฆ่าเธอ ฉันจะไม่มีวันฆ่าเธอ”
เสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหูทำให้โดโลเรสต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เธอไม่ได้ต้องการเช่นนี้เลย เธอปรารถนาให้เขาฆ่าเธอให้ตายเสียยังดีกว่า
_____________________
ความคิดเห็น