คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Break up
โดโลเรสรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนักที่ได้กลับมาเยือนโรงเรียนอีกครั้ง
อย่างแรกเลยคือสายตาของคนทั้งโรงเรียน ใช่แล้ว ทั้งโรงเรียนเลยนั่นแหละที่จ้องมองเธออย่างสอดรู้สอดเห็นแบบไม่ปิดบังเลยสักนิด ไร้มารยาทสิ้นดีเลย!
เด็กสาวแทบจะเป็นลมอยู่แล้วเมื่อตัวเองตกเป็นเป้าสายตาขนานใหญ่จากคนในโรงเรียน โดโลเรสเดาว่าข่าวการหายตัวไปของเธอก่อนหน้านี้คงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาเกิดอาการสนอกสนใจเธอได้มากมายขนาดนี้ นั่นทำให้โดโลเรสนึกหงุดหงิดแม่ตัวเองขึ้นมาที่เจ้าหล่อนทำให้การหนีออกจากบ้านของเธอกลายเป็นประเด็นใหญ่โตไปเสียได้
อย่างที่สองคือเธอพึ่งตระหนักได้ว่าเธอเอาแต่เป็นห่วงเซบาสเตียนจนลืมคิดถึงความปลอดภัยของตัวเองไปเสียสนิท เพราะไม่ใช่แค่ประธานนักเรียนที่ตกอยู่ในอันตราย แต่เธอเองก็ไม่ต่างกันเลย โดโลเรสพึ่งจะได้เจอศพในชั้นใต้ดินมาหมาด ๆ และรีบหนีออกมาจากบ้านโดยทันที แน่นอนว่าบิลต้องสงสัยและกำลังตามหาเธออยู่แน่ ถ้าเกิดเขาบังเอิญเห็นเธอในโรงเรียนเข้านั่นไม่เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ?
‘ช่างโง่จริง ๆ’ เธอก่นด่าตัวเองอย่างนี้ในใจมาได้หลายสิบรอบแล้ว แม้จะรู้ดีถึงความเสี่ยงแต่จะให้เผ่นกลับไปตอนนี้ก็ดูจะเป็นการกระทำที่น่าสงสัยเกินไปเสียหน่อย สิ่งที่ทำได้คือต้องพยายามระมัดระวังตัวไว้ให้ดีที่สุด และต้องหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบิลทุกทาง
โดโลเรสไม่กล้าอยู่คนเดียว
เธอเลยเกาะติดประธานนักเรียนทุกฝีก้าว อย่างน้อยมีสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวกระเทียมลีบ
ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็สามารถช่วยเหลือกันและกันได้
แต่เธอก็หวังว่ามันคงจะไม่มีเหตุฉุกเฉินหรอกนะ
“สีหน้าเธอดูไม่ดีเลยนะ”
เซบาสเตียนเอ่ยปากระหว่างที่เราทั้งคู่กำลังรับประทานอาหารกลางวัน และนั่นก็ทำให้โดโลเรสสะดุ้งเล็ก ๆ เพราะไม่คิดว่าประธานนักเรียนคนนี้จะตาดีถึงขนาดจับสังเกตความผิดปกติของเธอได้ง่ายดายแบบนี้
“ฉันแค่ไม่สบายนิดหน่อยนะ”
เธอปฏิเสธเพราะไม่อยากให้เขาชักไซร้ แต่ก็เหมือนว่าจะคิดผิดไปเสียแล้ว เพราะใบหน้าหล่อ ๆ นั่นแสดงอาการกังวลเต็มทีเมื่อโดโลเรสบอกว่าป่วย ก่อนจะยกฝ่ามือใหญ่แนบเข้าที่หน้าผากของเธออย่างร้อนรน
“ตัวเธอไม่ร้อนนะ แต่เย็นมาก ๆ ” เด็กหนุ่มพูดเสียงเครียด “หมดคาบนี้ไปห้องพยาบาลไหม”
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย”
โดโลเรสชักจะรำคาญขึ้นมานิด ๆ
กับความโอเวอร์ของอีกฝ่าย เธอจึงเสตามองไปทางอื่นเป็นการตัดบทสนทนาไปกลาย ๆ
และตอนนั้นเองเด็กสาวก็ต้องตกใจจนแทบจะหมดสติเมื่อมองเห็นใครอีกคนที่นั่งอยู่อีกมุมของโรงอาหาร
บิลนั่งอยู่ตรงนั้น เขากำลังมองเธออยู่ ทันทีที่ได้สบตากับดวงตาสีดำคู่นั้นความรู้สึกขนลุกเย็นวาบก็ไล่มาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โดโลเรสรีบหันหน้าหนีอีกฝ่ายทันที เธอทั้งอึดอัดและหวาดกลัว นึกอยากจะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็ทำไม่ได้
เขาจะรู้หรือเปล่าว่าเธอรู้เรื่องที่เขาเป็นฆาตกรแล้ว
ถ้าหากเขารู้แล้วเขาจะทำยังไงกับเธอ จริงอยู่ที่เธอและเขาเป็นแฟนกันแต่นั้นก็ไม่ได้รับประกันว่าเธอจะรอดเสียหน่อย
บางทีเขาอาจจะจะฆ่าปิดปากเธอเหมือนที่ฆ่าคนอื่นแล้วจับยัดใส่ถุงดำโยนทิ้งข้างถนนเหมือนขยะไร้ค่าก็ได้
ภาพเลือดที่แห้งกรัง กลิ่นเหม็นเน่า และศพของคุณนายฮันเตอร์ในถุงขยะสีดำผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ สารพัดความคิดแย่ ๆ ในหัวทำให้เด็กสาวนึกอยากจะอาเจียนอาหารกลางวันที่พึ่งกินไปเมื่อสักครู่ออกมา โดโลเรสลุกพรวดก่อนจะโกยอ้าวออกไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงเรียกของประธานนักเรียน
เธอไม่สามารถทนอยู่ตรงนั้นได้อีกสักวินาทีเดียว
ความเครียดและความหวาดกลัวส่งผลให้รู้สึกปวดมวนไปทั่วตัวและเย็นสะท้านราวกับยืนตัวเปล่าท่ามกลางหิมะ ทันทีที่มาถึงห้องน้ำโดโลเรสก็พุ่งเข้าไปที่ชักโครกห้องแรกสุด ทรุดตัวนั่งลงอย่างหมดเรี่ยวแรงและอ้วกเอาทุกสิ่งทุกอย่างภายในกระเพาะอาหารออกมา
เธอหอบหายใจรุนแรง โกยเอาอากาศเข้าปอดให้ได้มากที่สุดเหมือนกับคนที่พึ่งโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำ โดโลเรสใช้เวลาอยู่หลายนาทีกว่าจะรวบรวมเรี่ยวแรงลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งแล้วตรงไปที่ก๊อกน้ำ จัดการเปิดก๊อกแล้ววักน้ำขึ้นมาล้างหน้าหวังจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างสักนิดหนึ่ง
“บ้าเอ๊ย!”
เด็กสาวสบถ
เธอรู้ว่าอาการทางจิตของตัวเองกำลังกำเริบ มันมักจะโผล่มาทุกครั้งที่เธออ่อนแอ
คอยตามหลอกหลอนเธอเหมือนภูติผีปีศาจ
โดโลเรสอยากจะขังตัวเองไว้ในห้องน้ำจนกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียน
แต่เด็กสาวรู้ดีว่าเธอซ่อนตัวอยู่ในนี้ตลอดไม่ได้ ถ้าเธอหายตัวไปประธานนักเรียนจอมเวอร์นั่นคงจะวิ่งวุ่นตามหาเธอเหมือนคนบ้าแน่
ๆ
โดโลเรสจ้องมองตัวเองในกระจก มองใบหน้าที่อมทุกข์และหมองคล้ำเหมือนศพของตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มดีขึ้นมาบ้างแล้วจึงยอมที่จะออกไปข้างนอกอีกครั้ง
แต่เมื่อก้าวขาออกไปจากห้องน้ำแล้ว โดโลเรสก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่ควรจะออกมาเลย
บิลยืนอยู่หน้าห้องน้ำ เธอรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังรอเธออยู่ เด็กสาวแทบอยากจะวิ่งกลับเข้าไปแล้วล็อกกลอนประตูเสีย แต่เธอทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะถ้าเธอแสดงอาการหวาดกลัวขึ้นมาทุกอย่างอาจจะแย่ลงก็ได้
เวรเอ๊ย!
ไม่ ห้ามแสดงอาการลนลานอย่างเด็ดขาด อย่าทำให้เขาผิดสังเกต
“ฉันไม่เห็นเธออยู่ที่บ้าน มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ?”
บิลถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แบบที่มักจะทำเป็นประจำ โดโลเรสจึงคาดเดาไม่ได้ว่าเขารู้หรือไม่รู้เรื่องที่เธอเจอศพแล้ว เธอจึงแสร้งทำตัวให้เป็นปกติ เพราะไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม สิ่งที่ช่วยให้เธอรอดได้คือต้องโกหกหน้าตายให้แนบเนียนที่สุด
“แม่ของฉันมาที่บ้านนาย ฉันไม่รู้ว่าหล่อนรู้ได้ไงว่าฉันอยู่กับนาย” โดโลเรสนิดไปครู่หนึ่งเพราะกำลังประมวนคำโกหกในหัว “ตอนแรกฉันก็ไม่ยอมหรอก แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าฉันควรจะคุยกับแม่ตรง ๆ ดีกว่าหนีปัญหา เลยยอมกลับไปกลับแม่ ฉันขอโทษนะที่ไม่ได้บอกนายก่อน คือมันค่อนข้างกะทันหันนะ”
โดโลเรสไม่ใช่คนที่เก่งอะไร แต่เธอมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าตัวเองเป็นนักโกหกที่ยอดเยี่ยม เธอมักจะโกหกได้อย่างไหลลื่นและเป็นธรรมชาติจนเคยโดนแม่ค่อนขอดว่าเป็นนักแสดงระดับออสการ์ เธอควรจะภาคภูมิใจกับสกิลการโกหกของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องใช้มันต่อหน้าแฟนหนุ่มที่พ่วงตำแหน่งฆาตกรไว้ด้วย
“เธอทำฉันเป็นห่วงนะรู้ไหม เธอเล่นหายไปดื้อ ๆ แบบนั้น ฉันนึกว่าเธอจะเป็นอะไรไปซะอีก”
แม้บิลจะเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่โดโลเรสรู้ก็คือเขาเป็นห่วงเธอจริง ๆ และนั่นก็ทำให้เธอใจอ่อน ความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่แค่แวบหนึ่งจริง ๆ เพราะเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นฆาตกร เธอก็เลือกที่จะสร้างกำแพงของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งทันที
จริงอยู่ที่เธอยังรักเขา แต่ถ้าจะต้องให้คบกับคนที่เป็นฆาตกร เธอทำไม่ได้หรอก
“บิล ฉันมีเรื่องต้องพูดกับนาย” โดโลเรสสูดลมหายใจ ถึงเธอจะโกหกเก่งก็จริง แต่ครั้งนี้เป็นการโกหกที่ยากที่สุดในชีวิตเลย “ฉันกำลังจะย้ายจากที่นี่แล้วก็คงจะไม่กลับมาแล้ว ฉันไม่อยากเก็บเป็นความลับเพราะไม่อยากให้นายรู้สึกแย่ถ้าฉันปิดบัง และฉันคิดว่า...”
เหมือนจู่ ๆ สมองก็หยุดประมานผลไปกะทันหัน และโดโลเรสก็รู้สึกว่าประโยคนี้ช่างพูดได้ยากเย็นยิ่งนัก ยิ่งเมื่อสบตากับคนตรงหน้าทุกอย่างก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เด็กสาวต้องใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียวกว่าที่จะพูดออกไปได้
“เราควรเลิกกันดีกว่า”
โดโลเรสลอบมองคนตัวสูงกว่าอย่างนึกระแวง เธอกลัวว่าเขาจะโกรธเธอหรือนึกสงสัยกับการตัดความสัมพันธ์อย่างกะทันหันครั้งนี้ แต่ท่าทีอันสงบนิ่งของเขาก็ทำให้เธอเดาไม่ออกอยู่ดีว่าเขารู้สึกอย่างไร
ท่ามกลางความเงียบที่เนิ่นนาน แม้จะผ่านไปได้ไม่กี่นาที แต่โดโลเรสก็รู้สึกเหมือนเวลายาวนานราวกับผ่านไปหลายสิบชั่วโมง เด็กสาวจึงเริ่มเกิดอาการลนลานมากขึ้นเรื่อย ๆ กับความเงียบที่น่าอึดอัดนี้
หรือว่าเขาจะจับผิดเธอได้แล้ว? เขาคงจะไม่ได้โกรธเคืองหรือสงสัยในตัวเธอขึ้นมาหรอกนะ
“ฉันเข้าใจ” บิลเอ่ยปากขึ้นจนได้ “ก็คิดไว้แล้วว่าสักวันต้องเป็นแบบนี้”
เขาพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ ไม่มีท่าทีโวยวายหรือตีโพยตีพายอย่างที่คิด มันทำให้โดโลเรสประหลาดใจอย่างยิ่งและก็แอบโล่งใจในเวลาเดียวกัน เธอลอบถอนหายใจ รู้สึกเบาสบายขึ้นเป็นกองเมื่อการสนทนาครั้งนี้ดูจะผ่านไปได้ด้วยดี
แต่ในตอนนั้นเองจู่ ๆ อีกฝ่ายก็เข้ามาสวมกอดเธออย่างกะทันหัน โดโลเรสสะดุ้งเล็กน้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งตัว บิลกอดเธอเอาไว้แน่นจนรู้สึกอึดอัด แต่เธอก็ไม่กล้าพอที่จะบอกกับเขาจึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
“ฉันรักเธอนะ”
เขากระซิบที่ข้างหูก่อนจะผละออกจากเธอแล้วเดินจากไปเงียบ ๆ ทิ้งให้โดโลเรสยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกอันหลากหลายและสับสนอยู่ภายในใจ แน่นอนว่าเธอรู้สึกโล่งใจที่ทุกอย่างจบลงได้เสียที แต่ก็เสียใจที่ต้องบอกเลิกเขาทั้งที่ยังรักอยู่
ทำถูกแล้ว แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว…
ถึงจะบอกตัวเองแบบนั้น แต่ในใจกลับไม่รู้สึกดีเลยสักนิดเดียว
................................
ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบลงแล้ว ราบเรียบเหมือนกับท้องทะเลที่ปราศจากคลื่นลม โดโลเรสคิดอย่างนั้น
ถึงแม้การบอกเลิกจะทำให้รู้สึกเศร้าอยู่เสียหน่อย แต่การตัดบิลออกจากชีวิตก็ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากกว่าเดิม ไม่ต้องคอยระแวงหน้าระแวงหลังหรือสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้ายตอนกลางคืนอีกแล้ว
และวันที่รอคอยก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เพราะวันพรุ่งนี้เป็นวันที่โดโลเรสจะได้ออกจากเมืองนี้เพื่อกลับไปอยู่ในสถานบำบัดจิตอีกครั้งหนึ่งเสียที
เธอไม่รู้ว่าหมอไอเบิร์ตพูดอะไรกับแม่ของเธอบ้าง หล่อนจึงยินยอมให้เธอกลับไปที่สถานบำบัดจิตอีกครั้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรโดโลเรสก็รู้สึกขอบคุณหมอไอเบิร์ตจากใจจริงที่เขาทำตามที่พูดไว้ ไม่ได้ทอดทิ้งให้เธอต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมานในโลกภายนอกนี้ นั่นทำให้เด็กสาวรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยที่ก่อนหน้านี้ได้พูดจาไม่ดีกับอีกฝ่ายไป เธอคิดว่าพรุ่งนี้จะขอโทษหมอไอเบิร์ตดูกับสิ่งแย่ ๆ ที่เคยทำกับเขาเอาไว้ แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นเธอมีสิ่งอื่นที่ยังต้องทำเสียก่อน
แต่ก่อนจะจากไป โดโลเรสก็เลือกจะกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้ง ทั้งที่เมื่อสองวันก่อนยังคิดไว้อยู่เลยว่าจะไม่ยอมเยื้องย่างกลับเข้ามาที่นี่อีกแท้ ๆ แต่คนเราก็มักจะผิดสัญญาเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี้ จะมีสักกี่คนเชียวที่ทำได้อย่างที่คิดไว้
สาเหตุที่โดโลเรสกลับมาที่โรงเรียนอีกครั้งก็เป็นเพราะว่าเธออยากจะบอกลาประธานนักเรียนเสียหน่อยก่อนที่จะไปจากที่นี่ ความจริงเธอตั้งใจจะบอกเขาตั้งแต่ที่มาโรงเรียนครั้งก่อนแล้ว แต่เพราะดันไปเจอบิลเสียก่อน เธอก็เลยตกใจจนต้องชิ่งกลับบ้านไปเสียก่อนโดยไม่บอกกล่าวอะไรกับอีกฝ่ายเอาไว้
เซบาสเตียนอาจเป็นคนที่น่ารำคาญ และทำให้เธอเกลียดขี้หน้าเขาได้ในหลาย ๆ ครั้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในสังคมไฮสคูล จนควรจะถูกจัดให้อยู่ในหมวดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกหมายเลขแปดด้วยซ้ำ สรุปง่าย ๆ ก็คือว่าเขาเป็นคนดีมาก เธอจึงอยากจะขอบคุณแล้วก็บอกลาเขาเท่านั้นแหละ
แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กสาวกำลังคิดหนักคือเรื่องที่เซบาสเตียนกำลังจะเป็นหนึ่งในเหยื่อของบิล แม้ว่าโดโลเรสไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายพวกนี้อีกแล้ว แต่ก็ยังเป็นห่วงประธานนักเรียนเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าควรจะบอกเขาอย่างไรดีกับเรื่องเหล่านี้ เพราะครั้งก่อนที่เตือนเขาไปเขาก็ดูจะไม่ใส่ใจเท่าไรนัก ถ้าหากพูดเรื่องนี้อีกก็ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อคำพูดบ้า ๆ บอ ๆ ของเธอไหม
เด็กสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยน่าย ยิ่งขบคิดก็ยิ่งปวดหัว นี่แหละความวุ่นวายของการเป็นคนดีเกินไป ถ้าหากเธอชั่วกว่านี้อีกสักนิดคงไม่ต้องมาปวดหัวกับเรื่องของคนอื่นแบบนี้หรอก
โดโลเรสกำลังเดินอยู่ในห้องโถงของโรงเรียน ในมือของเธอมีสีกระดาษที่ถูกพับเรียบร้อยเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า มันคือจดหมายที่เธอตั้งใจเขียนไว้ให้เซบาสเตียน มันเป็นจดหมายเตือนภัยจากเธอ เด็กสาวไม่ได้เขียนชื่อไว้ในจดหมายเพราะไม่ต้องการให้เขารู้ว่าใครคือคนเขียน เธอคิดว่าจะสอดกระดาษแผ่นนี้ไว้ในล็อกเกอร์ของอีกฝ่ายอย่างเงียบเฉียบโดยไม่ให้ใครรู้ อาจจะเป็นวิธีที่งี่เง่าไปเสียหน่อยแต่อย่างน้อยก็ถือว่าได้เตือนเขาไปแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ตัวเซบาสเตียนเองว่าจะทำยังไงต่อไปหลังได้หลังจดหมายนี้
โดโลเรสวางแผนไว้เป็นอย่างดี แต่เมื่อมาถึงหน้าล็อกเกอร์จริง ๆ ทุกอย่างที่คิดไว้ก็พังโครมทันทีเหมือนกำแพงที่ถูกทุบ เพราะดันเจอประธานนักเรียนยืนอยู่หน้าล็อกเกอร์ของตัวเองเสียอย่างนั้น
“โดโลเรส!” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกใจก่อนที่จะเดินตรงเข้ามาหา “เธอหายตัวไปอีกแล้วนะ ฉันโทรไปที่บ้านก็ไม่มีใครรับเลย เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ”
เด็กสาวรีบซ่อนจดหมายไว้ทันที แม้ในใจจะลนลานแต่ก็แสร้งฉีกยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ..”ไม่มีอะไรหรอก” โดโลเรสปฏิเสธ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี้เป็นโอกาสอันดีที่เธอจะได้บอกลาเขาอย่างที่ตั้งใจไว้เสียที “นี่ ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายนะ”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ฉันจะมาลานาย เพราะฉันจะออกจากที่นี่แล้ว”
“ได้ไงกัน! ทำไมเธอถึงจะออกไปล่ะ” น้ำเสียงเคร่งขึ้งเหมือนประหลาดใจระคนโกรธอยู่ในที เป็นปฏิกิริยาที่คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้นเมื่อเธอพูดออกไปเช่นนั้น
แต่ในระหว่างที่เธอกำลังคิดหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลอยู่
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ ก็เกิดเสียง 'ปัง' ดังสนั่นขึ้นภายในห้องโถงโรงเรียน
ดังมากเสียจนทำให้หูอื้อไปชั่วขณะ เหมือนกับเสียงพลุที่มักจะได้ยินช่วงปีใหม่ แต่คงไม่มีใครบ้ามาจุดพลุในห้องโถงโรงเรียนแบบนี้แน่
โดโลเรสคิด
ความตกใจทำให้เธอหลงลืมสิ่งที่กำลังทำอยู่ไปเสียสนิท เด็กสาวกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าผู้คนที่นี่กำลังแตกตื่นวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง
เกิดอะไรขึ้น เด็กสาวยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในตอนนั้นเองดวงตาสีเขียวก็ได้เห็นต้นเหตุแห่งความแตกตื่นที่เกิดขึ้น มันคือร่างของนักเรียนชายคนหนึ่งที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นห้องโถง โดยมีเลือดที่ไหลนองจนย้อมทั้งพื้นให้กลายเป็นสีแดงฉาน...
มีคนยิงกันในโรงเรียน!
ความคิดเห็น