คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : IV
มีคนกำลังสวดมนต์
มิเรียมลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ความมึนงงพุ่งเข้าจู่โจมชั่วขณะ
และเมื่อมันได้จางหายไป เธอก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในบ้านหลังเก่า บ้านที่เธอได้เคยหลบหนีออกมานานนับปี
ห้องรับแขกที่แปะวอลล์เปเปอร์ลายดอกไม้สีเหลืองอ๋อยเธอยังจำมันได้ดีเสมอ
เธอเกลียดมันเสียยิ่งกว่าอะไรดี บ้านเฮงซวย ครอบครัวเฮงซวย
เด็กสาวกะพริบตาอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่าเบื้องหน้าของเธอนั้นมีแม่นั่งคุกเข่าอยู่
แม่ยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับเมื่อวันวานไม่มีผิดเพี้ยน ตัวใหญ่เทอะทะ นิยมสวมเสื้อเก่า
ๆ สีเข้ม ผิวกร่ำแดดจนออกแดงและใบหน้าที่ยับย่นด้วยริ้วรอยแห่งวัย ดวงตาของหล่อนปิดสนิทและสองมือประสานแน่น
ในขณะที่ริมฝีปากพร่ำท่องบทสวดมนต์ไปเรื่อย ดูคล้ายเช่นรูปสลักของแม่พระแห่งลูร์ด[1]
ฉับพลัน ผู้เป็นมารดาลืมตาขึ้น
หล่อนเงยหน้าขึ้นก่อนจะจ้องเขม็งมาที่เธอ
“อธิษฐานซะสิ ขออภัยต่อบาปของแกซะ!”
มิเรียมสะดุ้งโหยง หวาดกลัวเสียจนตัวสั่น ตอนนั้นเองที่แม่ยืนขึ้น
ก่อนจะใช้มือใหญ่ ๆ ของหล่อนกระชากแขนเธอให้เข้าไปใกล้
รุนแรงเสียจนเด็กสาวรู้สึกเหมือนกระดูกจะหลุดออกจากแขน
“ฉันบอกให้แกอธิษฐานเดี๋ยวนี้ สำนึกต่อสิ่งที่แกทำลงไปซะอีลูกชั่ว”
“ไม่!” เธอตะโกนออกมาในที่สุดด้วยน้ำเสียงทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ
เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นความโกรธเกรี้ยวก็เข้ามาแทนที่ความหวาดกลัว มิเรียมใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในการสะบัดแชนตัวเองออกจากการเกาะกุมของแม่
และเธอก็ทำได้ในที่สุด แต่ก็ยังรู้สึกปวดตุ้บ ๆ ที่แขนเหลือเกิน “แกต่างหากที่ควรจะสำนึกผิด อีแม่สารเลว!”
มิเรียมไม่ได้ตั้งใจจะพูดเช่นนั้น แต่คำพูดก็ออกมาจากปากของเธอเองโดยที่เธอไม่อาจควบคุมอะไรได้
แล้วแม่ก็ตาเบิกกว้างจนดวงตาปูดโปน
ยังกับว่าไม่เชื่อสายตา
ราวกับลูกสาวของหล่อนกลายเป็นใครอีกคนที่หล่อนไม่ได้รู้จักแต่อย่างใด แล้วถัดจากนั้นหล่อนก็ตัวสั่นอย่างหนัก—จนดูคลับคล้ายคลับคลาว่าหล่อนกำลังเต้น
แต่มิเรียมรู้ว่ามันไม่ใช่ หล่อนกำลังโกรธมากต่างหาก โกรธจนไม่อาจยืนอยู่เฉย ๆ ได้
ต้องแสดงออกด้วยการดิ้นพราด ๆ เหมือนปลาตัวเป็น ๆ ที่ถูกแม่ค้าในตลาดพยายามทุบหัวให้น็อก
นั่นเป็นสัญญาณเตือนภัย เหมือนกับเสียงหวูดดังลั่นก่อนหน้าที่พายุเฮอริเคนจะก่อตัวขึ้น
และเธอก็รู้ดีว่าอะไรจะตามมาหลังจากนี้
แม่ยกมือขึ้นแล้วเงื้อสุดแขน ฝ่ามืออันใหญ่โตแผ่กว่าจนดูเหมือนจะสามารถบดขยี้เธอได้
พระพิโรธของพระเจ้าบดขยี้คนบาปให้แหลกลาญ จุดจบของโลกมาถึงแล้วหนอ
และจะไม่มีใครจะรอดพ้นจากไฟนรกไปได้ หล่อนกำลังจะฟาดมือลงมา
แต่มิเรียมไม่ได้ยืนเฉยเช่นทุกครั้งที่แม่โกรธ เธอจับแขนของแม่เอาไว้
แล้วผลักร่างหล่อนให้ออกห่างด้วยแรงทั้งหมดที่มี แม่ซวนเซจนเหมือนจะล้ม
แล้วหล่อนก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ใบหน้าของหญิงผู้แก่กว่ายามนี้บิดเบี้ยวด้วยโทสะ
เสียงคำรามเล็ดลอดเหมือนสัตว์ป่าดุร้าย
ยังกับว่าจะไม่มีทางหยุดจนกว่าจะตายกันไปข้าง
ไม่มีทางหยุดจนกว่าจะตายกันไปข้าง
ความเย็นเฉียบของโลหะปรากฏบนฝ่ามือ มิเรียมก้มมองมือตนเอง
เห็นมีดหั่นเนื้อเล่มใหญ่อยู่ในมือตัวเอง เด็กสาวพลันได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่นโสตประสาท
ไม่รู้ว่ามาจากแม่หรือมาจากเธอกันแน่ และด้วยความรวดเร็ว—โดยไม่แม้แต่จะหยุดคิดสักนิด
เธอจ้วงมีดเข้าใส่ร่างของแม่ที่พุ่งเข้ามาหา มีดกดลึกจนมิดด้าม เลือดไหลพรวดพราดชวนดูคล้ายกับก๊อกน้ำที่ถูกเผลอเปิดทิ้งเอาไว้
แล้วน้ำก็ไหลทะลักจนนองไปทั่ว สีแดงจัดได้ย้อมลายดอกไม้เหลืองอ๋อยบนผนังไปจนหมด
ดอกไม้น่าเกลียดหายไปแล้ว
และสีแดงช่างดูสวยงามเหลือเกิน เธอคิด
แทงเข้าไปอีก แทงเข้าไปอีก มีดกะซวกผ่านร่างของแม่ซ้ำไปซ้ำมา เลือดไหลมากเหลือเกินจนท่วมพื้น
ร่างของแม่กระตุกเฮือกก่อนจะเอนล้มลงไป จมไปกับกองเลือดเจิ่งนองของตัวเอง
เมื่อนั่นแหละที่มิเรียมได้สติอีกครั้ง เธอมองดูมือเปื้อนเลือดชุ่มโชกของตัวเองก่อนจะเริ่มร้องไห้ออกมา
ทั้งเสียใจและหวาดหวั่นจนตัวสั่นสะท้าน แข้งขาอ่อนแรงจนต้องคุกเข่าไปบนพื้น
เธอฆ่าคนไปแล้ว เธอฆ่าแม่ของตัวเอง เธอฆ่าพระเจ้า
“มีสิ่งใดที่ลูกอยากจะสารภาพแก่พ่อหรือไหม?”
เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นเหนือหัว เธอเงยหน้าขึ้น
แล้วได้เห็นบาทหลวงชราผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า ในมือของเขาถือไบเบิ้ลเล่มหนา
นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความเมตตามองตรงมาที่เธอ เด็กสาวสะอื้นไห้
สองมือเกาะแน่นที่ขาของผู้รับใช้แห่งพระเจ้าดุจดั่งเขาเป็นที่พึ่งเดียวที่มีในยามนี้
“คุณพ่อได้โปรดให้อภัยลูกด้วย
ลูกได้ทำบาปอันร้ายแรงลงไปแล้ว ลูกไม่..”
“ไม่มีการอภัยอีกต่อไปแล้วลูกเอ๋ย!” พลันเสียงนุ่มทุ้มก็เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง
นัยน์ตาเปี่ยมเมตตากลับกลายเป็นสีเหลืองวาวเหมือนกับดวงตาของงู
ไฟไร้ที่มาลุกไหม้ไบเบิ้ลในมือจนกลายเป็นตอตะโก บาทหลวงแสยะยิ้ม แล้วเธอก็มองเห็นเขี้ยวอันแหลมคมในปากของเขา
“แกจะต้องตกนรกหมกไหม้ชั่วกัลปาวสาน!
นรกเท่านั้นคือปลายทางของแก! พระเจ้าก็ช่วยแกไม่ได้! แกหนีข้าไม่พ้นหรอก!”
ณ เวลานั้น มิเรียมหวาดกลัวจนหัวหด
ร่างบอบบางถอยหนีจากสิ่งน่ากลัวตรงหน้าจนล้มกลิ้งไปบนพื้นเปื้อนเลือด
เสียงหัวเราะอันชั่วร้ายดังไล่มาพร้อม ๆ กับเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ย่ำมาใกล้
มันฟังดูเหมือนฝีเท้าของสัตว์มีกีบมากกว่าจะเป็นฝีเท้าของคน
ทำให้เด็กสาวต้องรีบตะกายหนีอย่างสุดชีวิต
บางอย่างในความคิดกำลังร้องเตือนแก่เธอว่าอย่าให้มันจับตัวเธอได้เป็นอันขาด
แต่เพียงแค่ชั่วพริบตา ปีศาจก็หายไป บ้านทั้งหลังก็หายไป ทุกอย่างหายไปแล้ว
สิ่งที่อยู่ในสายตาของเธอคือทุ่งหญ้าเขียวขจี เสียงลำธารไหลแว่วดังเข้ามาในหู
เธอหันไปมองตามเสียง พบกับลำธารที่มีน้ำใสสะอาด
และที่ฝั่งตรงข้ามของลำธารนั้นมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ออกดอกผลบานสะพรั่งงดงาม
ส่งกลิ่นหอมจำเริญใจลอยมาตามอากาศ
มิเรียมขมวดคิ้ว รู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าเหลือเกิน
แล้วเธอก็ตระหนักได้ในที่สุดว่าที่นี่คือที่เดียวกับลำธารของโลว์แลนด์ที่เธอต้องไปตักน้ำอยู่เป็นประจำ
เพียงแต่ว่าตอนนี้มันไม่ได้แห้งแล้งอีกต่อไปแล้ว
ในป่าใหญ่นั้นเธอได้เห็นบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว
ผ่านแมกไม้เขียวชอุ่มแล้วโผล่มายังลำธาร มันคืองูสีดำตัวใหญ่ มันชูคอขึ้นแล้วจ้องมองเธอจากอีกฟากของลำธารด้วยดวงตาสีเหลืองของมัน
ก่อนที่มันจะเลื้อยลงสายน้ำเชี่ยวกรากข้ามฝั่งมายังเด็กสาว
มิเรียมกลัวเหลือเกินว่าสัตว์มีพิษตัวนี้จะเข้ามากัดเธอ
เธอพยายามจะถอยหนีแต่กลับคล้ายว่ามีบางสิ่งตรึงรัดร่างเอาไว้ ไม่อาจหนีไปได้อีก
ครั้นแล้วเจ้างูนั่นก็มาถึงเธอจนได้ มันเลื้อยเข้าล้อมตัวเธอเอาไว้
ใช้ลำตัวยาวเหยียดพันไปรอบตัวเด็กสาวอย่างเชื่องช้า ดูราวกับอสรพิษตั้งใจจะกลืนกินเธอเป็นอาหาร
สัมผัสเย็นลื่นจากเกล็ดดำมะเมื่อมทำให้มิเรียมตัวสั่นด้วยความกลัว
แต่ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ได้กินเธออย่างที่คาดคิดไว้ หางของมันชูบางสิ่งขึ้นมาตรงหน้าเด็กสาว
สิ่งที่มันนำติดตัวมาด้วยตั้งแต่ต้น เสมือนว่าเป็นของขวัญที่มันมอบให้กับเธอ
สิ่งนั้นคือผลแอปเปิลสีแดง
มิเรียมรับสิ่งนั้นมาไว้ในมือ
แล้วงูตัวใหญ่ก็คลายการรัดรึงตัวเธอในที่สุด มันเลื้อยมาชูงอตรงหน้าเธอ
สายตาของสัตว์เลือดเย็นแสนอันตรายจ้องมาที่เธอ พลันความคิดหนึ่งก็ดังขึ้นในหัว ‘กินมันสิ’ เสียงนั้นทั้งอ่อนทุ้มและทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
เด็กสาวคล้ายตกอยู่ในห้วงภวังค์ อ้าปากกว้างก่อนจะกัดลงไปที่แอปเปิลสีแดงลูกนั้น
รสชาติของมันเหมือนกับเลือด
รสชาติคาวจัดชวนให้เด็กอยากอาเจียนเหลือเกิน
มิเรียมพ่นสิ่งที่อยู่ในปากออกมาในทันใด แล้วเธอก็พบว่าในมือของเธอไม่ใช่แอปเปิลอีกต่อไปแล้ว
หากแต่เป็นหัวใจมนุษย์ที่ยังคงเต้นระริกอยู่ต่างหาก เด็กสาวกรีดร้องออกมาในที่สุด
โยนหัวใจทิ้งด้วยความขยะแขยงอย่างเหลือทน
แล้วตอนนั้นเองงูดำก็ส่งเสียงฝ่อออกมา
ก่อนจะอ้าปากเผยเขี้ยวแหลมคมแล้วพุ่งกระโจนเข้ามากัดเธอทันที และในทันทีที่คมพิษเจาะเข้าสู่ร่างกาย
ความชาหนึบก็ปรากฏแผ่กว้างไปทั่วทุกส่วน ไม่แม้แต่จะรู้สึกเจ็บเลยด้วยซ้ำ
ร่างของเด็กสาวล้มลงไปบนพงหญ้าสีเขียว ไม่มีงูอีกต่อไปแล้ว เบื้องหน้าเธอมีเพียงแค่ท้องฟ้าสีแดงฉานและดวงดาวกำลังส่องแสงระยิบระยับอย่างสวยงาม
ทำไมท้องฟ้าถึงกลายเป็นสีแดงกันนะ เธอคิดอย่างเคลิบเคลิ้มเมื่อได้จ้องมองผืนฟ้ากว้างใหญ่
รู้สึกสบายตัวอย่างประหลาดจนต้องยิ้มออกมา กลิ่นกำยานหอมฉุนลอยเข้าจมูกพาให้มึนเมาอย่างบอกไม่ถูก
เด็กสาวนอนแผ่หลาบนผืนหญ้านุ่มนิ่ม ผ่อนคลายเสียจนไม่อยากจะลุกขึ้นเลยแม้แต่น้อย
แล้วทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงมือของใครบางคนแตะต้องร่างกายของเธอ
มือนั้นหยาบกร้านและอุ่นจัดจนเหมือนกับไฟอ่อน ๆ
แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนแต่อย่างใด แสงดาวบนฟ้าบิดเบี้ยวพร่ามัวจนมิเรียมต้องกะพริบตาถี่รัว
และเมื่อลืมตาได้อย่างแจ่มแจ้งอีกครา เธอก็ไม่พบท้องฟ้าแล้ว
แต่กลับพบดวงตาคู่หนึ่งแทน ดวงตาสีเหลืองเฉกเช่นอสรพิษ
ความอุ่นจัดเข้าแนบชิดครอบคลุมเหนือร่างของเธอ
และในที่สุดเด็กสาวก็หลับไปอีกครั้งหนึ่ง...
....................................
เสียงพูดคุยเหมือนกับเสียงแมลงวันที่ต่อมหึง ๆ อยู่รอบหน้า
มันน่ารำคาญเสียจนมิเรียมจำต้องฝืนลืมตาตื่นในที่สุด ที่นี่ไม่ใช่ในบ้านหลังเก่าหรือในป่า
แต่เป็นห้องนอนเก่า ๆ ที่ได้รับอภินันทนาการจากโบสถ์แห่งโลว์แลนด์ และที่อยู่ใกล้
ๆ เธอที่สุดในเวลานี้คือแม่ชีซาร่าและคริสติน่า ทั้งสองคุยกันอยู่จนกระทั่งสังเกตเห็นว่าเธอได้สติในที่สุด
พวกเขาดูตกอกตกใจอย่างชัดเจน และแม่ชีซาร่าก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากถามคนแรกอย่างร้อนรน
“มิเรียม เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ” เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
เธอพยายามดันตัวเองขึ้นมาแต่ก็ต้องล้มกลับไปนอนลงตามเดิมในทันทีเมื่อไร้เรี่ยวแรงในการพยุงตัวเองอย่างสิ้นเชิง
เมื่อนั้นแหละที่ความปวดเมื่อยอย่างหนักได้ปรากฏขึ้น
ยังกับว่าพึ่งไปวิ่งมาราธอนสักสิบกิโลเมตรอย่างไรอย่างนั้น
มิเรียมนิ่วหน้าโดยทันทีด้วยความไม่สบายตัวอย่างยิ่ง
เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
“เธอเป็นลมแดดนะสิ โชคดีนะที่เป็นลมไปตรงกลางหมู่บ้านพอดี
ชาวบ้านเลยช่วยพาเธอมาส่งที่โบสถ์” แม่ชีซาร่าไขข้อข้องใจให้ในที่สุด
หล่อนส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าเด็กสาวพยายามจะลุกจากเตียงอีกครั้ง “ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกมิเรียม นอนพักต่อสักหน่อยเถอะจะได้ดีขึ้น
ตอนนี้ซิสเตอร์ชีอันนาทราบเรื่องแล้ว ท่านยินดีให้เธอพักผ่อนจนกว่าจะหายดี
ฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องงานหรือเรื่องการเรียนหรอก
คริสติน่าจะคอยดูแลเธออีกแรงจนกว่าเธอจะแข็งแรงนะ”
คริสติน่าพยักหน้ารัว ๆ ราวกับต้องการยืนยันคำพูดของแม่ชีซาร่า
มิเรียมจึงถอนหายใจก่อนจะยอมอยู่เฉย ๆ ในที่สุด “ฉันสลบไปนานแค่ไหนคะ”
“สองวันเต็มเลยล่ะจ้ะ” แม่ชีซาร่าตอบ
หล่อนลูบหัวโนวิชสาวบนเตียงเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าคริสติน่าแวบหนึ่ง
แล้วจึงพูดต่อ “งั้นเราทั้งคู่คงไม่รบกวนเวลาของเธอแล้วล่ะ
หลังจากเสร็จกิจธุระในฐานะโนวิชแล้ว คริสติน่าจะกลับเข้ามาดูแลเธอเอง
ระหว่างนี้เธอก็พักผ่อนให้เต็มที่นะ”
กล่าวจบหล่อนก็ส่งยิ้มอย่างมีเมตตาให้ก่อนจะเดินออกไป
และตามด้วยคริสติน่า
ซึ่งได้หันมามองเธออย่างเป็นห่วงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะออกไปจนพ้นสายตา
ความเงียบกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องอีกต่อไปแล้วนอกจากเธอ
มิเรียมลองขยับร่างกายตัวเองอีกครั้ง แล้วพบว่าเรี่ยวแรงเธอน้อยนิดอย่างเหลือเชื่อ
อดนึกประหลาดใจกับความอ่อนแออย่างกะทันหันของตนไม่ได้ ที่ผ่านมาเด็กสาวนับได้ว่ามีร่างกายแข็งแรงตลอด
เพราะต้องออกแรงทำงานเยอะตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่เคยล้มป่วยเลยสักครั้งเดียว
นี่จึงนับได้ว่าเป็นการป่วยอย่างจริงจังครั้งแรกในชีวิตเลยด้วยซ้ำ
แล้วความคิดก็หวนกลับมาถึงความฝันที่พึ่งได้ฝันไปในช่วงสิ้นไร้สติ
เธอรู้ดีว่านั่นเป็นฝันร้ายอย่างน่ากลัว แต่กลับจำอะไรเกี่ยวกับความฝันไม่ได้เลย
มันเหมือนกับเศษชิ้นส่วนของแก้วกาแฟที่แตกกระจายบนพื้น เห็นชัดแค่ชิ้นใหญ่ ๆ
ในขณะที่ชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายฝังตัวบนพรมหนา และถ้าหากไม่ระมัดระวังมันก็จะทิ่มตีนคุณเข้าอย่างจังโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมิเรียมก็พยายามควานหาเศษแก้วอย่างตั้งใจ
แต่กลับไม่พบสิ่งใดสักที
ในท้ายที่สุดเธอก็ยอมแพ้เมื่อความง่วงงุนเข้าจู่โจมอีกครั้ง
ทั้งที่พึ่งตื่นนอนไปไม่นานแท้ ๆ แปลกชะมัด นั่นเป็นความคิดสุดท้ายก่อนที่เธอจะลอยละล่องเข้าสู่การหลับใหลในที่สุด
และครั้งนี้เธอไม่ได้ฝันอีกต่อไป ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวโผล่มาให้เห็น เป็นการนิทราที่สงบที่สุดที่เด็กสาวได้รับนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
....................................
อาการเจ็บป่วยของมิเรียมไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างไร ซ้ำยังคล้ายว่าจะแย่ลงไปด้วยซ้ำ
เด็กสาวน้ำหนักลดลงไปมากโขในระยะเวลาไม่กี่วัน แม้จะเป็นคนที่มีรูปร่างผอมอยู่แล้วแต่ยามนี้กลับผอมสูบบักโกรกผิดหูผิดตา
และนอกเหนือจากน้ำหนักที่ลดอย่างแปลก ๆ แล้ว เธอยังรู้สึกโหยหิวอยู่ตลอดเวลา
หิวมากเสียจนบางทีก็คิดอยากจะแทะเนื้อไม้จากขาเตียงของตัวเองมากินเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่แม้ว่าจะกินอาหารไปมากแค่ไหน
ก็ดูเหมือนสารอาหารเหล่านั้นไม่ได้เข้าสู่ร่างกายเลยแม้แต่น้อย
ความประหลาดอีกอย่างหนึ่งคืออาการแพ้สร้อยคอตัวเอง
มิเรียมค้นพบเรื่องนี้ในตอนที่ตัวเองสวมใส่สร้อยคอไม้กางเขน
อันเป็นเครื่องประดับประจำตัวที่ถูกแจกจ่ายให้กับโนวิสใต้สังกัดของซิสเตอร์อันนา
ซึ่งในทันทีที่สร้อยเส้นนั้นคล้องอยู่ในคอ
ความรู้สึกปวดแสบปรากฏขึ้นฉับพลันจนเด็กสาวต้องรีบถอดทิ้ง
แล้วจึงได้พบว่ารอบคอของเธอบัดนี้เด่นชัดด้วยรอยแดงน่ากลัวเป็นรูปสร้อยคอไม้กางเขนที่พึ่งสวมไปเมื่อสักครู่
อาการเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแก่เธอมาก่อน สุดท้ายสร้อยกางเขนจึงถูกเก็บใส่ลิ้นชักและไม่เคยถูกหยิบขึ้นมาอีกเลย
การนอนหลับไม่สนิทก็นับเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นด้วย เมื่อเด็กสาวรู้สึกถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปอยู่ภายในตัวเธอเอง
เป็นความอึดอัดที่อธิบายไม่ถูก และทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวแม้แต่น้อย จนพาไม่นอนไม่เต็มอิ่มไปด้วย
เสมือนมีบางสิ่งกระตุ้นให้เธอต้องลืมตาตื่นในทุกครั้งที่นาฬิกาลูกตุ้มโบราณในโบสถ์ส่งเสียง
‘ตึง ตึง ตึง’
แจ้งเตือนเวลาที่ผ่านพ้นไปในทุกชั่วโมง มิเรียมจึงได้แต่หลับ ๆ ตื่น
ๆ ทุกค่ำคืนไปจนถึงเช้า เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดจนเริ่มชินชาขึ้นมาบ้าง ไม่มีอีกแล้วนิทรารมย์แสนสงบที่เคยได้รับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้
แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ฝันร้ายถึงปีศาจน่ากลัวอีก ซึ่งก็นับว่าดีมากแล้ว
เหล่าโนวิสร่ำลือกันไปว่ามิเรียมป่วยเป็นโรคประหลาดที่รักษาไม่หาย
และอาจต้องตายในเวลาไม่นานนัก บ้างก็ลือกันไปใหญ่โตว่าเธอติดเชื้อโรคระบาดอะไรสักอย่าง
จึงกลายเป็นว่าไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เด็กสาวเลยแม้แต่คนเดียว
และในเวลาไม่นานเธอก็ถูกจับย้ายให้มาอยู่คนเดียว แม้จะได้รับเหตุผลง่าย ๆ
ว่าเพื่อให้พักผ่อนอย่างสบายขึ้น แต่อันที่จริงเธอรู้ดีว่าการถูกย้ายออกจากห้องนอนรวมเป็นไปเพื่อความสบายใจของคนอื่น
ๆ ต่างหาก
เธอได้ที่อยู่ใหม่เป็นห้องคับแคบที่ครั้งหนึ่งคงเคยเป็นห้องเก็บของมาก่อน
มันเป็นห้องที่ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างด้วยซ้ำ มีเพียงประตูเข้าออกทางเดียวเท่านั้น
ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าห้องนี้เป็นห้องนอนหากข้างในไม่มีเตียงเล็ก ๆ ตั้งเอาไว้ กับโต๊ะไม้ผุพังริมหัวเตียงที่มีกระจกบานเก่ากับเชิงเทียนเกรอะน้ำตาเทียนวางไว้ด้านบนพอไม่ให้ดูโล่งมากเกินไปนัก
อันที่จริงเมื่อมองดูดี ๆ แล้วมันดูเหมือนกับคุกเล็กที่ไม่มีประตูล็อกเสียมากกว่า
มิเรียนคิดเช่นนั้น
คริสติน่าและแม่ชีซาร่าเป็นเพียงคนสองคนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมอยู่เป็นประจำ
ไม่ได้แสดงออกว่ารังเกียจดั่งเช่นที่คนอื่นเป็นกัน โดยเฉพาะแม่ซีซาร่าที่มักจะมาเยี่ยมพร้อมของกินที่ติดไม้ติดมือมาด้วย
เพราะมิเรียมไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะอาหารกับโนวิสคนอื่น ชีวิตของเด็กสาวในระยะหลังจึงวนเวียนอยู่แค่ภายในห้องคับแคบนี้
กิน นอน ตื่น สลับกันไป
เป็นช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายและไม่เข้าใจอย่างยิ่ง—ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอกันแน่
มิเรียมยืนอยู่หน้ากระจกตั้งโต๊ะ
จ้องมองสภาพน่าอดสูของตัวเองที่สะท้อนผ่านบานกระจกขุ่นมัว
เธอเห็นเด็กผู้หญิงรูปร่างผอมแห้ง ผิวกายซีดเซียวเหมือนไร้เลือด
และใต้ตาดำคล้ำโหลลึก ดูยังไงก็คล้ายกับศพที่ยังมีลมหายใจ สิ่งที่งดงามเพียงหนึ่งเดียวคือเรือนผมสีบลอนด์สตรอเบอร์รี่
เส้นผมคือสิ่งที่สวยที่สุดในร่างกายเธอเสมอ เด็กสาวรู้ดีในข้อนี้ ใคร ๆ
ก็ชมทุกครั้งที่ได้เห็นผมของเธอ ‘โอ้ เด็กคนนี้มีผมที่สวยมาก’
พวกเขาไม่เคยพูดอะไรถึงเธอเลยนอกจากเรื่องผมอย่างเดียว
เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คนทั่วไปจดจำเธอได้
นอกไปจากหน้าตาอันจืดชืดที่มองผ่านแค่สามนาทีก็สามารถลืมไปได้ง่าย ๆ
เด็กสาวแตะมือที่ใบหน้าทรุดโทรมของตัวเอง ครุ่นคิดถึงสารพัดข่าวลือที่ได้ยินจากโนวิสคนอื่น
บางทีสิ่งที่พวกเขาพูดอาจจะเป็นจริงก็ได้ เธอกำลังเป็นโรคร้ายแรงบางอย่าง
และจะตายในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ จบสิ้นความทรมานบนโลกใบนี้
ไม่แน่ว่าความตายอาจมาเยือนตอนเธอกำลังอยู่ในช่วงหลับ ๆ ตื่น ๆ แล้วพาเธอเข้าไปสู่นิทรายาวนานอันเป็นนิรันดร์
โดยไม่ต้องมีการสะดุ้งตื่นยามราตรีอีกต่อไป หรือไม่ก็มันอาจจะมาตอนเธอกำลังเดิน
จู่โจมฉับพลันจากเงามืดไม่ให้รู้ตัว เหมือนสัตว์ร้ายโจมตีเหยื่อ
ตะครุบเธอด้วยอุ้งมือใหญ่ให้เธอล้มกลิ้งไปกับพื้น แล้วครอบคลุมร่างกายเธอด้วยความดำมืด
ฉุดกระชากเหยื่อแสนโอชะไปสู่โลกหลังความตายในที่สุด มีหลากหลายวิธีการสำหรับความตาย
และสิ่งที่มนุษย์ทำได้คือการ ‘รอ’ เท่านั้น
แต่มิเรียมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เธอรอคือความตาย
หรืออะไรที่เลวร้ายกว่านั้นกันแน่
บางสิ่งบางอย่างกำลังกรีดร้องบ้าคลั่ง
ส่งเสียงเตือนให้รู้ถึงภัยที่กำลังจะมาถึง เหมือนกับเสียงหวูดเตือนภัย
ความรู้สึกที่โผล่มาอย่างกะทันหันแบบเดียวกับก่อนที่แม่จะลงมือตีเธอ มิเรียมใจหล่นไปที่ตาตุ่ม
อันตราย มีอะไรสักอย่างจะเกิดขึ้นในไม่ช้านานนี้ ภัยร้ายกำลังจะมา
เธอรู้สึกถึงมัน ชัดเจนแต่ก็ขุ่นมัวในเวลาเดียวกัน
และไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ฉับพลันประตูห้องก็เปิดออก และเสียงร้องก็เงียบลงไป
เบื้องหลังบานประตูเป็นแม่ชีอันนาและแม่ชีซาร่ายืนข้างกัน
แต่สิ่งที่แปลกออกไปเห็นจะเป็นคนแปลกหน้าอีกหนึ่งคนที่มิเรียมไม่คุ้นเคย
เขาเป็นชายวัยกลางคน ผิวคล้ำเข้มและผมขึ้นสีดอกเลา
แต่งกายด้วยชุดที่ดูดีแต่ก็ยังถือว่าเก่าอยู่มาก เดาได้ว่าน่าจะเป็นใครสักคนหนึ่งจากในหมู่บ้านแห่งนี้
“มิเรียม” แม่ชีอันนาเอ่ยปากเป็นคนแรก
น้ำเสียงนุ่มนวลกว่าปกติ หล่อนเดินเข้าไปใกล้โนวิสสาว
ใกล้มากพอที่มิเรียมจะเห็นสายตาเวทนาจากหญิงสูงวัยกว่า
ยามที่หล่อนได้มองสภาพย่ำแย่ของเด็กสาวเต็มสองตา “เธอเป็นยังไงบ้าง
รู้สึกดีขึ้นมาบ้างไหม”
เด็กสาวพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ ก่อนจะหันไปจดจ้องชายแปลกหน้าอีกครั้งด้วยความสงสัย
และแม่ชีซาร่าก็สังเกตได้ หญิงสาวจึงเป็นฝ่ายพูดบ้าง “ชายคนนี้ชื่อว่าคุณโทมัส
เขาเป็นหมอประจำหมู่บ้านแห่งนี้มายาวนานมากแล้ว เราเลยขอให้เขามาช่วยดูอาการเธอนะ”
แม่ชีซาร่าหันไปพยักหน้าให้กับชายวัยกลางคน เมื่อนั้นเขาจึงยอมเข้ามาใกล้เธอ ก่อนจะส่งยิ้มมาให้จนเห็นรอยตีนกายับย่นเต็มไปหน้า
“ขออนุญาตนะครับ” เขาใช้นิ้วแตะเข้าที่ชีพจรของเธอ
กดลงไปด้วยแรงที่ไม่หนักไม่เบา แล้วจึงเอ่ยปากถามอย่างเป็นการเป็นงาน “ก่อนหน้านี้มีอาการเป็นยังไงบ้างครับ”
มิเรียมย่นคิ้ว
ขุดคุ้ยเอาความทรงจำเกี่ยวกับอาการป่วยอันประหลาดของตัวเอง
ก่อนจะบอกแก่ผู้เป็นแพทย์ไป “จู่ ๆ ฉันผอมลงไปมาก แต่กลับรู้สึกหิวตลอดเวลา
กินมากเท่าไรก็ไม่อิ่ม แล้วก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยค่ะ
รู้สึกอึดอัดเหมือนมีอะไรอยู่ข้างในตัวก็ไม่รู้”
เธอหลีกเลี่ยงที่จะบอกถึงอาการแพ้สร้อยไม้กางเขนของตัวเองให้หมอฟัง
เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปดีไหมในเมื่อห้องนี้ยังมีแม่ชีทั้งสองคนอยู่ด้วย
ถึงตรงนี้ชายผู้นั้นก็ขมวดคิ้วบ้าง เขาจัดการใช้มืออีกข้างกดไปตามท้องของเธอโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
จนทำให้เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อย แต่ไม่นานนักเขาก็ชักมือออกอย่างว่องไวประหนึ่งแตะต้องของร้อนก็ไม่ปาน
ความลนลานฉายชัดในแววตาชั่วขณะหนึ่ง
และนั่นก็ชัดเจนมากพอที่มิเรียมจะสังเกตเห็นได้ชัดเจน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เด็กสาวถามในทันที ไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจกับท่าทางแปลก ๆ
ของหมอคนนี้พิกล
ชายวัยกลางคนไม่ได้ให้คำตอบในทันที
เขาหันไปล้วงเอาไฟฉายจากในย่ามของตัวเองขึ้นมา
ก่อนปุ่มเปิดก่อนจะหันมาบอกกับเธอว่า “อาจจะแสบตานิดหนึ่ง แต่ทนเอาหน่อยนะครับ” พูดเพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็ใช้นิ้วโป้งดึงเปลือกตาของเธอขึ้น
ก่อนที่แสงสีเหลืองเจือส้มจากกระบอกไฟฉายจะสาดเข้ามาในม่านทัศนียภาพ
เกิดเป็นแสงสว่างวาบจนมองไม่เห็นอะไรไปชั่วขณะ
ในช่วงเวลานั้น
แสงสีเหลืองส้มทำให้เธอนึกไปถึงกองไฟขนาดใหญ่ในความฝันครั้งเก่า เธอมองเห็นเงาทะมึนดำมืดที่ดำรงอยู่ท่ามกลางไฟอันสว่างจ้า
สงบนิ่งและสง่างาม นัยน์ตาเหลืองวาวจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา
เสียงกระซิบไม่ได้ศัพท์อื้ออึ้งอยู่ในหู
ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้งในยามที่ผู้เป็นแพทย์กดปิดแสงไฟฉายของตน
มิเรียมใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะปรับสายตาให้กลับมาเป็นปกติ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการตาลายชั่วคราวหรืออย่างไรกันแน่
เด็กสาวเห็นว่าสีหน้าของหมอดูมีความปีติยินดีอย่างน่าประหลาด แต่เมื่อกะพริบตาอีกที
สีหน้าของอีกฝ่ายก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจังแทน
ความเงียบก่อเกิดขึ้นชั่วอึดใจ ชายวัยกลางคนถอนหายใจ
คล้ายกับว่าดูหนักใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้มองหน้าเด็กสาวอีกแล้ว
แต่เลือกที่จะหันไปสบตากับแม่ชีอันนาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แทน
“ผมคิดว่านี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก
ผมไม่เคยพบเจอลักษณะอาการเช่นนี้จากผู้หญิงคนไหนที่ผมเคยตรวจมาก่อน มันเป็นอะไรที่ชัดเจนเป็นอย่างมาก
ชัดเจนจนผมไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ”
“หมายความว่ายังไงกันคะ” แม่ชีอาวุโสเร่งรัด
แสดงความร้อนรนอย่างชัดเจนหลังจากได้ฟังคำพูดกำกวมจากชายเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้ ผู้เป็นหมอถอนหายใจอีกคำรบ
ถึงตรงนี้มิเรียมเริ่มจะใจคอไม่ดีขึ้นมาเสียแล้ว
ลางสังหรณ์กำลังร้องเตือนว่าสิ่งที่หมอจะพูดหลังจากนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแล้ว
ซึ่งสิ่งที่เธอคาดเดาไว้ก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
“ผมคิดว่าเธอกำลังตั้งท้องอยู่ครับ”
____________________
[1]
แม่พระแห่งลูร์ด
(Our Lady of Lourdes) เป็นหนึ่งในสมัญญาพระนางมารีย์พรหมจารี มาจากการประจักษ์ของพระแม่มารีย์ต่อเด็กหญิงแบร์นาแด็ต
ซูบีรู เมืองลูร์ด ประเทศฝรั่งเศส โดยแม่พระแห่งลูร์ดมักจะถ่ายทอดออกมาเป็นรูปวาดและรูปปั้นของพระนางมารีย์ที่กำลังสวดภาวนา
ความคิดเห็น