คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : III
“คำสาป? ไร้สาระนะมิเรียม”
คริสติน่าขุดดินไปแล้วก็หัวเราะร่วนไปราวกับไม่ใส่ใจเรื่องเล่าจากปากเพื่อนตัวเองเท่าไรนัก
มิเรียมคาดเดาได้อยู่แล้วว่าปฏิกิริยาของหล่อนจะต้องเป็นเช่นนี้เมื่อได้ฟังเรื่องที่เธอเล่า
อันที่จริงเด็กสาวก็รู้ดีแก่ใจว่าเรื่องเช่นนี้ฟังดูยังไงก็เป็นเรื่องไร้สาระงมงาย
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด เธอจึงได้ติดใจสงสัยกับเรื่องเล่านี้นัก
บางทีอาจเพราะความแห้งแล้งกันดารอย่างไม่น่าเชื่อของเมืองนี้ทำให้เธอสงสัยใคร่รู้ถึงสาเหตุของมัน
และคำบอกเล่าของชายชราก็ดูคล้ายว่าเป็นคำตอบให้กับเรื่องนี้ได้
“ไม่รู้สิ ฉันว่าที่นี่มันแปลก ๆ นะ” มิเรียมพูดไปอย่างที่ตัวเองคิด
หวังเพียงได้ระบายความคับข้องใจกับใครสักคน
ซึ่งในทีนี่ก็มีเพียงคริสติน่าคนเดียวที่เธอสามารถคุยได้
แม้จะรู้ดีว่าหล่อนไม่ได้สนใจกับเรื่องที่เล่าเลยแม้แต่น้อย “ที่นี่ประสบภัยแล้ง แถมคนในหมู่บ้านยังดูเก่าแก่กันดาร
ยังกับว่าอยู่ในยุคกลาง เหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้นเลย”
“มิเรียม เราอยู่ในปี 1942 นะ
โลกนี้ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่มีคำสาปไร้สาระอะไรนั่นหรอก
ถ้าบอกว่าอเมริกาแอบมาทดลองอะไรแปลก ๆ ที่นี่ยังน่าเชื่อมากกว่า” คริสติน่ากล่าวหนักแน่น แสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อ ก่อนจะเว้นวรรคหอบหายใจชั่วครู่แล้วใช้มือปาดเหงื่อเหนียว
ๆ บนใบหน้าตัวเองออกเป็นรอบที่ร้อย “บอกเลยนะ
ไอ้เรื่องลึกลับประเภทแม่มด คำสาป ปีศาจ เป็นอะไรที่ฉันไม่เคยเชื่อเลยสักนิดเดียว เรื่องแบบนี้มันก็เป็นแค่นิทานหลอกเด็กขู่ให้คนสมัยก่อนกลัวเท่านั้นแหละ”
“ถ้าปีศาจเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก
งั้นพระเจ้าก็คงเป็นนิทานหลอกเด็กด้วยสินะ”
สองแม่ชีฝึกหัดสะดุ้งพร้อมกันเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา
และที่ชวนให้หวาดหวั่นเป็นพิเศษก็ตอนที่พบว่าแขกที่ว่านั่นคือแม่ชีผู้เป็นอาจารย์ มิเรียมเหล่มองชายผ้าคลุมสีดำที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างกล้า
ๆ กลัว ๆ แล้วจึงแลเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองมาที่เธออยู่เช่นกัน
“ซะ..ซิสเตอร์ซาร่า”
เจ้าของนามมีสีหน้าเรียบเฉย ยืนสงบนิ่งค้ำเหนือหัวดุจดังเสาต้นใหญ่ที่บดบังแสงแดดจ้าชั่วขณะ
หล่อนเลื่อนสายตาไปที่คริสติน่า ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง
“ปีศาจคือตัวแทนของความชั่วร้าย
และพระเป็นเจ้าก็คือของความดีงาม สองสิ่งเป็นดั่งเช่นคู่ขนาน หากเธอไม่เชื่อในการมีอยู่ของปีศาจ
นั่นก็เท่ากับว่าเธอไม่เชื่อถือในพระเจ้าด้วยเช่นกัน”
แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่แม่ชีฝึกสอนกล่าวเป็นการตั้งคำถามหรือแค่คำสั่งสอน
แต่ก็ไม่มีใครคิดจะปริปากอะไรออกมา มิเรียมมุ่นคิ้วอย่างว้าวุ่นใจ ไม่นึกว่าการแอบคุยอยู่สองคนจะกลายเป็นเรื่องเป็นราวไปเสียได้
ทั้งที่ตั้งใจคุยกันเงียบ ๆ แท้ๆ แต่ใครจะคาดคิดเล่าว่าจู่ ๆ จะมีแม่ชีสักคนเดินเข้าแปลงผักแล้วมาได้ยินเข้าจนได้
ช่างเป็นความบังเอิญที่จวบเหมาะอะไรเช่นนี้
“มิเรียม”
เด็กสาวสะดุ้งเป็นรอบที่สองเมื่อถูกแม่ชีซาร่าขานนามโดยตรง “ไหนเมื่อเธอเสร็จงานของตัวเองแล้ว
งั้นก็ตามฉันกลับเข้าไปในโบสถ์จะดีกว่านะ”
คริสติน่าหันขวับไปมองเพื่อนตัวเองด้วยแววตาที่บอกเป็นนัยว่า ‘ซวยแน่’ และไม่ต้องให้มีใครพูดออกมา มิเรียมก็รู้ได้ด้วยตัวเองแต่แรกอยู่แล้ว
เธอส่ายหน้าเล็กน้อยให้เพื่อนสาวของตนด้วยเชิงว่าไม่เป็นอะไร
ก่อนจะลุกขึ้นและเดินตามแม่ชีฝึกสอนไปโดยทันทีไม่อิดออด เพราะเกรงว่าหากอิดออดชักช้าอาจจะทำให้ตัวเองแย่ไปว่านี้
แม่ชีซาร่านับว่าเป็นแม่ชีที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาครูฝึกสอน
แม้จะไม่ได้มีบุคลิกที่เข้มงวดจริงจังเช่นแม่ชีอันนา
แต่อย่างไรเหล่าโนวิสก็ย่อมรู้สึกเกรงอกเกรงใจอยู่ดี มิเรียมเดินตัวเกร็งไปตลอดทาง
สายตาจับจ้องแผ่นหลังของสตรีตรงหน้าไม่วางตา ไม่รู้ว่าคำพูดไร้สาระเมื่อสักครู่จะพาให้ตัวเองโดนลงโทษอะไรหรือเปล่า
“เธอบอกว่าหมู่บ้านนี้มีคำสาปอย่างนั้นเหรอ?”
ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในโบสถ์แล้ว แม่ชีซาร่าก็หยุดฝีเท้าลงทันที พลอยให้เด็กสาวที่เดินตามหลังมาต้องพลอยหยุดกะทันหันไปด้วย
หล่อนเบี่ยงตัวหันมามองเธออย่างเต็มตา มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ทำให้มิเรียมรู้สึกประหลาดอยู่หน่อย
ๆ
“ใช่ค่ะ มีคนแถวนี้บอกฉันมาอย่างนั้น เขาพูดว่าที่นี่โดนสาปทำให้แห้งแล้ง
แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากกว่านั้น” เธอบอกไปตามตรง
ไม่คิดบิดพลิ้วเอาตัวรอด ในเมื่ออย่างไรอีกฝ่ายก็คงได้ยินจากปากเธอไปเยอะแล้วก่อนหน้านี้
“แล้วเธอเชื่อที่เขาบอกไหม?”
“ไม่หรอกค่ะ”
คราวนี้เด็กสาวรีบปฏิเสธทันที ออกจะร้อนรนเล็กน้อยด้วยซ้ำ เพราะถูกคริสติน่ามองว่างมงายก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าถูกแม่ชีที่เป็นผู้ฝึกสอนมองว่างมงายหรอก
“ฉันแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลก ที่ว่าครั้งหนึ่งที่แบบนี้ดูเหมือนจะเคยอุดมสมบูรณ์มาก่อน
แล้วจู่ ๆ ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร ต้นไม้ตาย น้ำก็แทบไม่มี มันดู...ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
“ทุกอย่างมีเหตุผลเสมอนั่นแหละ” แม่ชีซาร่าไม่ได้ดูมีท่าทางจับผิดหรือเข้มงวดแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามท่าทีของหล่อนผ่อนคลายลงไปจากตอนแรกมากโข ชวนให้มิเรียมรู้สึกแปลกใจ
และยิ่งแปลกใจเข้าไปอีกเมื่อได้ยินประโยคถัดไปจากปากคนตรงหน้า “ฉันเคยอยู่ที่นี่ตอนยังเด็ก ๆ และฉันก็ได้ยินเรื่องเล่าแบบที่เธอได้ยินมานั่นแหละ”
หญิงสาวยิ้มออกมาเล็กน้อย
ดูราวกับกำลังรำลึกความหลังหวานชื่นคืนสุขในวัยเยาว์ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นหมองหม่นไปในฉับพลัน
แววตาเหม่อลอยเสมือนคนตกอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง “ฉันอยู่ไม่ทันเห็นว่าที่นี่ยังมีต้นไม้หรอก
เพราะตั้งแต่จำความได้ ฉันก็เจอแต่ความแห้งแล้ง มองไปทางไหนก็มีแต่ดินและทราย
ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปเมืองโลว์แลนก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ทั้งผู้คนทั้งสถานที่ เหมือนเดิมไปหมด”
ไม่คาดคิดมาก่อนว่าแม่ชีซาร่าจะเป็นคนที่นี่ด้วยเช่นกัน มิเรียมคันปากขึ้นมาทันที
มีคำถามมากมายอยากจะถามเช่นที่เธออยากถามแก่ชายชราปริศนาก่อนหน้านี้
แต่รู้ดีว่ามันคงจะไม่เหมาะสมสักเท่าไร
จึงได้แต่รักษาอาการสำรวมและระงับความสงสัยเอาไว้อยู่ในใจเท่านั้น
และในเพียงครู่เดียว แม่ซีซาร่าก็ดูเหมือนจะกลับมาปกติอีกครั้งหนึ่ง หล่อนถอนหายใจแผ่วเบา
ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจมิเรียมที่อยู่ใกล้ ๆ “เอาเถอะ ฉันคงรบกวนเวลาเธอมากแล้ว
วันนี้เธอคงได้ออกแรงไปเยอะพอดู ฉันว่าเธอควรพักผ่อนสักหน่อยนะ”
มิเรียมขมวดคิ้วโดยทันที “ซิสเตอร์จะไม่ลงโทษฉันเหรอคะ?”
“ไม่หรอก แต่คนอื่นอาจจะไม่คิดเช่นนั้น
ฉะนั้นเวลาพูดอะไรก็ควรระวังหน่อยก็แล้วกัน”
แม่ชีสาวแย้มรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ มิเรียมประหลาดใจไม่น้อยกับท่าทีเป็นมิตรของอีกฝ่าย
เพราะโดยปกติแล้วเหล่าคณาจารย์ล้วนมีภาพลักษณ์เคร่งขรึมชวนให้ยำเกรงอยู่ตลอด
รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อนจึงนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าจะได้เห็นอย่างง่าย ๆ และเหนือสิ่งอื่นใด
คำพูดของแม่ชีซาร่าก็ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเมืองนี้ช่างเป็นเมืองที่แปลกโดยแท้
ไม่ว่าจะเป็นสภาพของเมืองหรือผู้คนของเมืองก็ตามที
................................
ร้อน ร้อนเหลือเกิน
เด็กสาวนอนกระสับกระส่ายไปมา
อุณหภูมิเพิ่มสูงอย่างเฉียบพลันให้ความรู้สึกราวกับกำลังอยู่ในเตาอบขนาดใหญ่
เม็ดเหงื่อผุดพรายจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มโฉก เมื่อร้อนรุ่มจนถึงจุดที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป
มิเรียมตัดสินใจลืมตาโพล่งทันควัน
แรกเริ่มเธอเห็นเพียงความมืดอยู่รายล้อม เด็กสาวดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า
ๆ แล้วทันใดนั้นรอบ ๆ ตัวจึงค่อย ๆ ปรากฏเงาร่างของบรรดาต้นไม้แห้งกรังเรียงราย
กิ่งก้านแตกแขนงหงิกงอประหนึ่งมือของปีศาจกำลังโอบล้อมจากทุกทิศทาง ตามมาด้วยกลุ่มก้อนของไฟที่จู่
ๆ ก็ลุกโชนเผาไหม้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าเธออย่างกะทันหัน ก่อนจะลามไล่ไปเป็นทอด ๆ
จนทั่วแห่งหนชโลมย้อมด้วยแสงไฟสว่างจ้าแดงฉาน
ร้อน ร้อน
ร่างกายของเด็กสาวไม่ได้สัมผัสเปลวเพลิงเลยแม้แต่นิด แต่กลับรู้สึกแสบร้อนทรมานอย่างเหลือหลายประดุจตัวเองเป็นต้นไม้ที่กำลังถูกเผาก็ไม่ปาน เธอหอบหายใจรุนแรง หวุดหวิดจะล้มกลิ้งอยู่หลายรอบด้วยความเจ็บปวดแต่ฝืนประคองตัวเองให้ยืนอยู่ต่อไปให้ได้
นัยน์ตากวาดมองกลุ่มไฟท่ามกลางความมืดอย่างกระวนกระวาย
ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้
นั่นเป็นความคิดแรกและความคิดเดียวที่ปรากฏขึ้นมาในหัว สัญชาตญาณบอกแก่เธอว่าเธอต้องรีบออกไปจากที่แห่งนี้ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ลงไปกว่านี้
ร่างแบบบางเดินสะเปะสะปะไปทั่ว ควานหาช่องว่างท่ามกลางเพลิงร้อนเพื่อหลุดไปจากที่นี่
และในคราวนั้นเองสายตาของเธอก็มองเห็นเข้ากับบางสิ่งที่อยู่ใจกลางกองเพลิงตรงหน้า
มันเป็นเงามืด เงาอันทะมึนมัวและสั่นไหวจนไม่อาจมองได้ชัดเจนว่าคืออะไรกัน
มันอยู่ในกองไฟอย่างนิ่งสงบคล้ายว่าไม่รู้สึกถึงความร้อนใด ๆ
เค้าหน้าสีดำหันมาที่เธออย่างเปิดเผย แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
แต่มิเรียมก็ตระหนักรู้ว่ามันกำลังมองมาที่เธออยู่
มันก้าวออกมาจากกองไฟ ตรงเข้ามาที่เธอด้วยความรวดเร็วอย่างน่ากลัว
เร็วเสียจนเด็กสาวไม่มีโอกาสได้ถอยหนี พริบตาเดียวมันก็มาถึงตัวเธอเสียแล้ว
กายเงาใหญ่สีดำทะมึนตัดกับสีสันของเพลิงส่องสว่างราวกับรัตติกาลและรุ่งอรุณได้มาอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน
สิ่งเดียวที่โดดเด่นเหนือความดำมืดของมันคือดวงตาสีเหลืองวาววับคู่นั้น
เสียงกระซิบไร้ที่มาดังพึมพำอยู่ในหูซ้ำไปซ้ำมา และเป็นเสียงที่มิเรียมฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
ชั่วขณะนั้นเงาดำคว้าจับเข้าที่แขนขวาของเธอ
แรงบีบมหาศาลราวกับจะทำให้กระดูกแขนหักเสียให้ได้ มิเรียมร้องโหยหวนด้วยความเจ็บอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ออกจากปากของเธอกลับเป็นเสียงพึมพำเฉกเช่นเสียงกระซิบในหู
ฟังดูเหมือนบทสวดบางอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินและไม่มีวันเข้าใจ
ฉับพลันเปลวเพลิงก็ก่อตัวขึ้น เริ่มจากมือของมันส่งมาสู่แขนของเธอ
ความร้อนจัดแล่นก่อตัวลุกลามรวดเร็วจนกลายเป็นเปลวเพลิงท่วมทั้งร่าง มิเรียมทั้งหวาดกลัวและเจ็บแสบเหลือเกิน
มองดูผิวหนังตัวเองที่กำลังถูกไฟเผาไหม้จนเดือดพล่าน เธอกรีดร้องขึ้นอีกคราว
และคราวนี้มันไม่ใช่เสียงพึมพำอีกแล้ว
“กริ๊ดดดดดดดดด!”
“มิเรียม!”
เด็กสาวเจ้าของชื่อทะลึ่งพรวดทันใด
ก่อนจะรับรู้ได้ว่ายามนี้ตัวเองอยู่บนเตียงภายในห้องนอนรวม
สายตาอันแปลกประหลาดจากเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ พุ่งตรงมาเธอเป็นตาเดียว
ไม่เว้นแม้แต่กับคริสติน่าผู้เป็นเพื่อนสนิท
หล่อนนั่งอยู่บนเตียงเดียวกันตรงหน้าเธอ
“เธอโอเคหรือเปล่า จู่ ๆ เธอก็กริ๊ดขึ้นมา
พวกเราตกใจหมดเลยนะ”
คริสติน่ายิงคำถามทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก” มิเรียมมองเพื่อนตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสักครู่เป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น
“ฉันแค่ฝันไม่ดีเท่าไร”
“นั่นคงเป็นฝันที่น่ากลัวมากแน่ ๆ “ คริสติน่าส่ายหัวก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
ราวกับเป็นเรื่องขบขันเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดจากเด็กสาวบนเตียง “นี่ก็เช้าพอดี ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ จะได้ไปหาซิสเตอร์กัน”
กล่าวจบคริสติน่าก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เฉกเช่นเดียวกับสายตาแปลก ๆ
จากคนอื่นที่หายไปด้วย ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปทำธุระของตนเองอีกครั้ง เหลือเพียงมิเรียมที่ยังนั่งอยู่บนเตียง
หัวใจเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ แม้จะรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน
แต่ความหวาดกลัวลึก ๆ ในใจก็ดูเหมือนจะไม่ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย
นี่ไม่ใช่ฝันร้ายครั้งแรกของเธอ ก่อนหน้านี้มิเรียมเคยมีความฝันถึงเงาดำประหลาดนี้มาแล้วตั้งแต่ยังเล็ก
และในฝันนั้นมันจะยืนมองดูเธออยู่ที่มุมไกล ๆ เสมอ
เธอเลิกฝันถึงมันไปก็ตอนที่ตัวเองหนีออกจากบ้านแล้วตัดสินใจสมัครเรียนเป็นแม่ชี
นั่นนับว่าผ่านมาได้เป็นปี ๆ แล้ว จนกระทั่งมาวันนี้ที่เธอได้ฝันถึงมันอีกครั้ง
และครั้งนี้มันไม่ได้อยู่ห่างไกลเช่นเคย มันเข้ามาถึงตัวเธอ
และจับเข้าที่แขนของเธอ สัมผัสเสมือนจริงนั่นชวนให้อกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างยิ่ง น่ากลัวยิ่งกว่าฝันครั้งใด
ๆ
มิเรียมยกแขนของตนขึ้นมา แขนข้างขวาอันเป็นข้างเดียวกับที่ถูกเจ้าเงาดำประหลาดแตะต้องจากในฝัน
ทันใดนั้นเด็กสาวก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจสุดขีด
เมื่อพบว่าที่แขนของตนในเวลานี้ปรากฏเป็นรอยรูปมือสีดำทาบทับอยู่ และนั่นก็ทำให้เธอสะดุ้งตกใจจนแทบจะตกเตียงเลยเสียด้วยซ้ำ
แต่เพียงแค่กะพริบตาเท่านั้น รอยรูปมือสีดำบนแขนก็ได้หายไปแล้ว
ราวกับว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เด็กสาวมองดูเรียวแขนขาวโลนของตัวเองด้วยความฉงน
จนกระทั่งเสียงเรียกชื่อจากคริสติน่าดังเป็นรอบที่สอง
เธอจึงจำใจต้องแบกร่างตัวเองลงมาจากเตียงในที่สุด
แม้ว่าจะยังมีความสงสัยติดค้างอยู่ในใจก็ตามที
................................
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พระอาทิตย์ก็โผล่พ้นจากขอบฟ้าทอแสงอย่างเต็มดวง
นี่คงเป็นข้อดีเพียงข้อเดียวของเมืองโลว์แลนด์ การเป็นเมืองแล้งทำให้มันไม่เคยได้สัมผัสความมืดครึ้มหมองมัวของเมฆฝน
ไม่ว่าจะมองไปในทิศทางใดก็พบเจอแต่ความสว่างไสว เหมือนว่าจะสดใส—ถ้าหากเมืองนี้มีต้นไม้อยู่บ้างสักต้นสองต้น
ไม่ได้แห้งแล้งโล่งเตียนเช่นนี้
ขบวนแม่ชีฝึกหัดนักปลูกผักเคลื่อนตัวออกจากโบสถ์ ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
คริสติน่าคันปากยิบ ๆ ยามลอบสังเกตใบหน้าที่เหมือนอยู่ในภวังค์ของมิเรียม
ดูเหมือนความเครียดบางประการจะส่งผลให้เจ้าตัวดูไม่สดใสเลยแม้แต่น้อยในเช้าวันนี้
และอาการนี่อาจจะเกี่ยวพันกับฝันร้ายที่เธอพูดถึงตอนตื่นนอนก็ได้
คริสติน่าเริ่มรู้สึกเป็นห่วงอยู่นิดหนึ่ง หล่อนจึงเอ่ยปาก “เธอโอเคหรือเปล่ามิเรียม”
มิเรียมคล้ายว่าจะได้สติ เด็กสาวเบนสายตาไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองก่อนจะส่ายหน้าทันควัน
“ไม่เป็นไรหรอก”
ไม่มีประโยชน์จะเล่าเรื่องเช่นนี้ให้คริสติน่าฟัง
หล่อนจะมองเป็นเพียงเรื่องไร้สาระเท่านั้น
อันที่จริงไม่ว่าใครก็คงคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระไปกันหมดนั่นแหละ
เด็กสาวที่โตมาจนอายุสิบแปดแล้วแท้ ๆ แต่กลับประสาทแดกกลัวจนหัวหดกับอีแค่ฝันร้ายบ้า
ๆ นั่น มิเรียมคิดเช่นนั้นจึงตัดสินใจที่จะเงียบและตั้งอกตั้งใจกับการทำหน้าที่ของตัวเองแทน
เธอแก้ปัญหาความสงสัยในใจของตัวเองด้วยการยัดคำว่าไร้สาระให้แก่มันด้วยเช่นกัน
หวังจะให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นบ้างหลังจากฝันร้ายและภาพหลอนแปลก ๆ นั่น
อย่างน้อย ๆ มันก็ได้ผลบ้าง
การมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับงานที่ต้องออกแรงกายอย่างมากพาให้หายฟุ้งซ่านพอสมควร อากาศที่นี่ร้อนแห้งเหลือหลาย
เศษฝุ่นดินตลบทุกครั้งที่กะเทาะและขุดแซะ ทั่วทั้งหน้าและแขนเปรอะเปื้อนด้วยดินแห้งปนหยาดเหงื่อ
ทั้งหมดนี้ช่างเป็นกิจกรรมที่ช่วยฆ่าเวลาได้ดีอย่างยิ่ง เวลาพ้นผ่านจากนาทีไปเป็นชั่วโมงไปโดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ
กว่าจะรู้ตัวอีกทีงานในมือก็เสร็จลงเรียบร้อยพร้อมเวลาเที่ยงตรงเช่นเดียวกับเมื่อวันก่อน
มิเรียมเงยหน้าขึ้นจากหลุมดินที่สุด
แล้วพบว่าตัวเองยังคงเป็นบุคคลที่ทำงานเสร็จได้เป็นคนแรกเฉกเช่นเคย เด็กสาวกวาดสายตามองคนอื่น
ๆ ก่อนจะเกิดเป็นความรู้สึกประหลาดเหลือเกินเมื่อตัวเองกลายเป็นคนเดียวที่ได้ลุกขึ้นยืนในขณะที่คนอื่น
ๆ ก้มหน้าก้มตาจนหน้าแทบจะมุดดินอยู่แล้ว
“อธิษฐานซะสิ ขออภัยต่อบาปของแกซะ!”
เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทำให้เด็กสาวสะดุ้งโหยงโดยพลัน
นั่นเป็นเสียงของแม่
ทั้งเสียงและประโยคที่เธอได้ยินมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยในทุกครั้งก่อนที่แม่จะลงโทษเธอ
และยามนี้เธอก็ได้ยินมันอีกครั้งอย่างเต็มสองหู มิเรียมหันซ้ายแลขวา ไม่พบสิ่งใดที่ผิดแปลกไปจากเดิม
ทุกคนยังตั้งหน้าตั้งตากับการขุดดินของตัวเองต่อไป
ก็แค่หูแว่วเท่านั้น มิเรียมปลอบใจตัวเองแม้ว่าจะกำลังตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
แม่คือผู้มีอิทธิพลต่อตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักกี่ปีก็ตาม หากนึกถึงแม้เพียงเศษเสี้ยวของหล่อนก็มักจะพาให้หวาดหวั่นหรือย่ำแย่ทางใจได้เสมอ
เด็กสาวสูดลมหายใจ
รวบรวมความคิดให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งก่อนจะหยิบเอาฝักบัวอันเก่าขึ้นมาเพื่อที่จะออกไปตักน้ำยังลำธารแห่งเดิม
คงมีเพียงแค่การทำงานเท่านั้นแหละที่จะทำให้หายฟุ้งซ่านได้
ร่างบอบบางเยื้องย่างย่ำผ่านละอองดินสู่พื้นอิฐที่ปูเป็นทางเดินรอบโบสถ์อย่างโดดเดี่ยว
ไมมีผู้ใดอยู่หน้าและไม่มีผู้ใดอยู่ข้างหลัง ความเงียบทำให้ใจสงบและทำให้ฟุ้งซ่านได้ในเวลาเดียวกัน
มิเรียมตระหนักรู้เป็นอย่างดีหลังจากที่มักถูกมารดาจับขังอยู่ในห้องสวดมนต์บ่อยครั้ง
เด็กสาวตัดสินใจฮัมเพลงทำลายความเงียบลง อันที่จริงไม่ควรจะเรียกว่าเพลงด้วยซ้ำ
เป็นเพียงแค่ท่วงทำนองส่ง ๆ ที่บังเอิญว่าคิดได้ในหัวเท่านั้น ซึ่งเธอได้ค้นพบมาตั้งแต่เด็กว่ามันเป็นการผ่อนคลายง่าย
ๆ ที่ได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
แต่ความบันเทิงใจเล็ก ๆ จำต้องหยุดลงชั่วคราวเมื่อดวงตามองเห็นผู้เป็นอาจารย์ที่กำลังเดินมาจากอีกฟากหนึ่ง
ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่คือแม่ชีซาร่า มิเรียมจึงเบี่ยงฝีเท้าของตัวเองเพื่อหลบทางให้อีกฝ่าย
แต่กลายเป็นว่าแทนที่หล่อนจะเดินผ่านเลยไป หล่อนกลับหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าเธออย่างพอดิบพอดี
“มิเรียม”
หญิงสาวมองแม่ชีฝึกหัดที่อยู่ตรงหน้าแล้วเลิกคิ้วขึ้นคล้ายว่าประหลาดใจ “จะออกไปข้างนอกอย่างนั้นเหรอ”
“ค่ะซิสเตอร์” เด็กสาวค้อมหัวเล็กน้อยยามพูด
แสดงความนอบน้อมตามแบบฉบับของคนอายุน้อยกว่า ก่อนที่มืออีกข้างจะยกฝักบัวเป็นตัวช่วยยืนยันคำพูดตัวเอง
“ฉันทำในส่วนปลูกเสร็จแล้ว เลยต้องไปตักน้ำต่อค่ะ”
กลายเป็นว่าสายตาของเจ้าหล่อนไม่ได้โฟกัสที่ฝักบัวในมือมิเรียมแม้แต่น้อย
แม่ชีซาร่าขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะดึงข้อมือของคนอายุน้อยกว่าเข้ามาใกล้กะทันหัน มิเรียมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนึกตกใจอยู่พอสมควร
แต่ก็ยังมีสติมากพอที่จะไม่เผลอชักข้อมือกลับมาเสียก่อน ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างสูงต่อแม่ชีรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ตัวเองด้วย
“แขนของเธอไปโดนอะไรมา” น้ำเสียงเข้มงวดดังขึ้น
เด็กสาวจึงมีโอกาสได้สังเกตในสิ่งที่อีกฝ่ายเห็น บนข้อมือข้างขวาของเธอยามนี้ปรากฏเป็นรอยวงกลมเล็ก
ๆ สีคล้ำเข้มที่เหมือนจะเป็นรอยช้ำ เมื่อเห็นดังนั้นมิเรียมจึงเป็นฝ่ายที่ต้องขมวดคิ้วบ้าง
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีรอยเช่นนี้อยู่ที่แขนของตนด้วยหากแม่ชีซาร่าไม่ทักขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันคิดว่าน่าจะไปกระแทกอะไรบางอย่างตอนขุดดินนะคะ”
เธอพิเคราะห์รอยช้ำบนมืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคาดเดาเช่นนั้น
ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอโดยไม่รู้ตัวอยู่แล้ว โดยเฉพาะในการทำงานขุดดินปลูกที่ต้องใช้แรงเยอะเช่นนี้
อาจมีไปกระแทกดินหรือกระแทกด้ามส้อมพรวนดินก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
แม่ชีซาร่ายังคงไม่ปล่อยมือจากเรียวแขนของเด็กสาว
นิ้วโป้งของหล่อนสัมผัสแผ่วเบาไปตรงรอยช้ำนั้น
น่าประหลาดที่เธอไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อยแม้จะถูกแตะต้องตรง ๆ ที่รอยช้ำก็ตาม ดวงตาสีเข้มจากคนอาวุโสกว่าจดจ้องมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พลอยทำให้มิเรียมเกร็งจนไม่กล้าขยับตัวไปด้วย
เป็นเวลาครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่อีกฝ่ายจะยอมปล่อยมือจากเธอ
“ระมัดระวังตัวด้วยมิเรียม ร่างกายของเธอมีค่า
หากบาดเจ็บไปคงไม่ดีแน่”
หล่อนกล่าวตักเตือนเช่นนั้นก่อนจะยอมปล่อยมือจากแขนของเธอในที่สุด
และเคลื่อนตัวจากไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าให้ได้ยิน แปลกชะมัด
มิเรียมนึกในใจพลางเหลียวหลังมองเจ้าของผ้าคลุมสีดำที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ
แต่ก็ตัดสินใจได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ เธอหันกลับมาเหล่มองรอยช้ำที่มืออีกเล็กน้อยก่อนจะเดินทางต่ออีกครั้งทันที
จุดหมายปลายทางนับว่าอยู่ห่างไกล ฉะนั้นยิ่งเดินทางได้ไวเท่าไรก็ยิ่งดี
เมื่อผ่านพ้นเขตแดนของโบสถ์
เด็กสาวก็ก้าวเดินไปตามทางด้านนอกอย่างชำนาญ ถึงแม้ว่าจะได้ออกจากที่นี่ไปเพียงแค่ครั้งเดียวแต่เธอก็สามารถจดจำเส้นทางได้แม่นยำแล้ว
ซึ่งไม่นับว่ายากเย็นอะไรนักเมื่อพบว่าที่นี่แทบจะไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
มองไปทางไหนก็มีแต่ความว่างเปล่าโล่งเตียน
สิ่งเดียวที่เป็นจุดสนใจอันเด่นชัดที่สุดก็หนีไม่พ้นหมู่บ้านเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางคนแห้งแล้ง
เตือนให้ตระหนักรู้ว่าดินแดนแห่งนี้ยังพอมีชีวิตหลงเหลืออยู่บ้าง
มิเรียมระมัดระวังตัวเป็นพิเศษยามที่ต้องผ่านเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนั้น
เพราะยังคงจดจำได้ดีถึงสภาพของหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความหดหู่เงียบเหงา และรวมถึงสายตาแปลก
ๆ จากคนที่นั่นด้วย อันที่จริงเธอไม่ใคร่สบายใจนักที่จะต้องผ่านที่นี่ไป
แต่เพราะมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะไปถึงลำธารได้
จึงทำได้เพียงแค่เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเพื่อจะได้ผ่านพ้นไปจากหมู่บ้านนี้ไวขึ้นไปด้วย
แต่การณ์กลับตรงกันข้าม ในทันทีที่มาถึงหมู่บ้าน เด็กสาวก็พบว่าเมืองเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวาที่ได้เห็นเมื่อตอนนั้นได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
นับตั้งแต่เสียงหัวเราะดังแว่วมาตามสายลม และผู้คนหลายคนที่พาจับกลุ่มสนทนากันอยู่นอกบ้านของตน
บางส่วนก็ทำกิจกรรมในส่วนของตนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บ้างก็ร้องรำทำเพลง
บ้างก็เล่นหมากรุก หรือไม่ก็อ่านหนังสือ ส่วนเด็ก ๆ
ที่อายุยังน้อยก็พากันเล่นวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน
แปลกชะมัด
เป็นอีกครั้งที่ความคิดนี้ได้แล่นเข้ามาในหัว มิเรียมหยุดเดินอย่างไม่รู้ตัว
มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตนด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้นกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้เห็น
และในตอนนั้นเอง ตัวตนของเธอก็ถูกสังเกตเห็นโดยหญิงสาวผู้หนึ่งในหมู่บ้านเข้าจนได้
หล่อนไม่ได้มองเธอด้วยสายตาประหลาด ๆ เช่นก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
ซ้ำยังยิ้มแย้มแจ่มใสเสียด้วย มิเรียมรู้สึกเกร็งเล็กน้อยยามที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาเธอ
“ท่านคงเป็นแม่ชีที่มาใหม่สินะจ๊ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “กำลังจะไปที่ไหนเหรอจ๊ะ?”
“ฉันจะไปตักน้ำที่ลำธารค่ะ” มิเรียมตอบตามมารยาท
แม้จะเกร็งอยู่บ้างกับการสนทนากับคนแปลกหน้าแต่ก็ยังไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอย่างสุภาพให้คนตรงหน้า
ทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น หญิงสาวผู้นั้นก็เบิกตากว้าง
ก่อนจะยกมือทาบอกตัวเองคล้ายว่าไม่เชื่อ “ตายจริง ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
แบบนี้เนี่ยนะต้องลงไปตักน้ำในลำธารคนเดียว ปกติที่นั่นมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่ลงไปได้นะจ้ะ”
มิเรียมอยากจะตอบไปว่าไม่ใช่แค่เธอเพียงคนเดียวหรอกที่ต้องลงไปตักน้ำที่นั่น
แม่ชีฝึกหัดคนอื่นก็ต้องทำเช่นเดียวกันเพราะมันเป็นหน้าที่ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไป
อีกฝ่ายก็ดึงข้อมือของเธอขึ้นมาซะก่อน
สายตาของหล่อนมองไปที่รอยช้ำก่อนจะทำสีหน้าที่ดูตกอกตกใจหนักกว่าเดิม “ดูนี่สิ! มีรอยช้ำด้วย”
“มันเกิดจากตอนทำงานนะคะ
ที่โบสถ์เราต้องปลูกผักและรดน้ำให้มันทุกวัน”
คำพูดของเธอดูจะเรียกความสงสารจากคนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก
หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะใช้ฝ่ามือของตนตบเบา ๆ ที่หลังมือของแม่ชีฝึกหัด “ท่านควรจะพักสักหน่อยนะจ๊ะ
อย่างน้อย ๆ ก็แวะกินน้ำกินท่าที่นี่ก่อนก็ได้
เดินเท้าฝ่าแดดฝ่าลมมาแบบนี้คงจะเหนื่อยแย่”
“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันต้องไปทำงานให้เสร็จเรียบร้อย
คงพักไม่ได้หรอก”
มิเรียมบอกปัดอย่างรวดเร็วด้วยความเกรงใจอย่างยิ่ง แต่หญิงสาวตรงหน้ายังคงจับแขนของเธอไว้ไม่ปล่อย
และก็ยังไม่ละความพยายามในการรบเร้าแม้แต่น้อย “อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย เดี๋ยวฉันจะให้สามีเป็นคนจัดการให้
ท่านพักสักหน่อยเถอะจ้ะ แค่เล็กน้อยคงไม่น่าเป็นปัญหาหรอกนะจ๊ะ”
การพูดจาของหล่อนทำให้เธอใจอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย
และอันที่จริงหล่อนก็ไม่ได้กล่าวผิดนักกับเรื่องของความเหนื่อยยากในการเดินทางไปตักน้ำที่ลำธาร
แดดร้อน ๆ ของที่นี่ทำให้เธอรู้สึกกระหายน้ำอย่างเหลือทน ไหนจะความเมื่อยล้าจากเท้าที่ต้องเดินเและจากแขนที่ต้องแบกฝักบัวใส่น้ำนั่นอีก
แม้ที่ผ่านมาจะอดทนได้ดีกว่าคนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รู้สึกเหนื่อยเสียหน่อย
เพียงแต่เธอไม่เคยมีโอกาสได้พักอย่างจริงจังเลยนับตั้งแต่ที่มาอยู่ที่นี่
คิดได้เช่นนั้นมิเรียมก็ถอนหายใจแผ่วเบา
แค่พักสักนิดก็คงไม่เสียหายหรอกมั้งนะ?
มิเรียมยอมเดินตามหญิงสาวผู้นั้นไปในที่สุด
ตลอดทางมีผู้คนมากมายที่หันมามองที่เธอพร้อมส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ มิเรียมจึงส่งยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน
เกิดอาการเก้อเขินเล็กน้อยที่กลายเป็นจุดสนใจ
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอัดอึดเหมือนก่อนหน้านี้ตอนมาที่นี่ครั้งแรก บรรยากาศที่ดีขึ้นของที่นี่พาให้เด็กสาวรู้สึกดีตามไปด้วย
เรือนผมสีดำสนิทของหญิงสาวกระพือไหวเป็นจังหวะยามที่หล่อนก้าวนำทางพาเธอมาเรื่อย
ๆ จนมาถึงหน้าบ้านเก่า ๆ หลังหนึ่ง
ซึ่งดูโดดเด่นเหนือบ้านหลังอื่นเพราะเป็นเพียงหลังเดียวเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นด้วยหินสีเทาที่ดูแข็งแกร่งทนทาน
ซึ่งมิเรียมเดาว่าคงเป็นบ้านของหญิงสาวผู้นั้น
หล่อนไม่ได้พาเธอเข้าไปในบ้านแต่อย่างใด
แต่จัดแจงให้เธอนั่งเก้าอี้อยู่ข้างนอกพร้อมกับเอ่ยปากขอตัวเข้าไปในบ้าน
และเพียงไม่นานหญิงสาวก็กลับออกมาพร้อมกับแก้วสีน้ำตาลเข้มใบโตที่บรรจุน้ำเต็มเปี่ยม
ก่อนจะยื่นมันให้แก่เธอ
“ดื่มน้ำสักนิดก่อนเถอะจ๊ะ”
มิเรียมมองแก้วน้ำในมือตน
ประหลาดใจนักที่พบว่าน้ำข้างในใสสะอาดเป็นอย่างยิ่ง ผิดจากน้ำขุ่น ๆ
ที่ลำธารอย่างสิ้นเชิง
นี่คงเป็นน้ำที่มีราคามากอย่างไม่น่าสงสัยเมื่อเทียบกับความแห้งแล้งของที่นี่
เมื่อคิดเช่นนั้นมิเรียมก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงเจ้าของบ้านอย่างลังเล
และอีกฝ่ายก็เหมือนจะรับรู้ความคิดเธอได้เป็นอย่างดี หล่อนจึงพยักหน้าเป็นการยืนยันความตั้งใจตัวเอง
เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงยอมดื่มน้ำจากแก้วในที่สุด
อากาศร้อนจัดทำให้ลำคอของเธอแห้งเป็นผง มิเรียมจึงกระดกดื่มน้ำเปล่าด้วยความกระหายจนหมดแก้วภายในเวลาอันรวดเร็ว
ความเย็นฉ่ำจากปลายลิ้นไหลลงคอชวนให้รู้สึกดียิ่ง
เพียงแค่แก้วเดียวเท่านั้นความเมื่อยล้าที่มีก็เลือนหายและถูกแทนที่ด้วยความสดชื่นโดยพลัน
นับว่านานเลยทีเดียวที่เธอไม่ได้ดื่มน้ำสะอาดเช่นนี้หลังจากที่ได้มาอยู่เมืองที่แสนแห้งแล้งแห่งนี้
“เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ”
อีกฝ่ายจับจ้องเธอไม่วางตา เด็กสาวจึงได้หันไปมองหญิงสาวผู้มีน้ำใจอีกครั้ง
หวังจะเอ่ยปากขอบคุณ แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก จู่ ๆ สายตาของเธอก็เกิดพร่ามัวชั่วขณะ มิเรียมสะบัดหัวเล็กน้อย
และพยายามกะพริบตาถี่รัวหวังจะให้ตัวเองมองเห็นชัดขึ้น แต่นั่นไม่ช่วยอะไรเลย
ซ้ำร้ายการมองเห็นกลับยิ่งแย่ลงไปอีก มิเรียมลุกขึ้นจากเก้าอี้แต่ก็ต้องกลับไปนั่งตามเดิมเมื่อพบว่าร่างกายหนักอึ้งเป็นอย่างยิ่งจนไม่อาจทรงตัวได้
และในเวลาไม่นานนักร่างบอบบางก็เอนไถลไปกองกับพื้นในทันที
จิตใต้สำนึกกรีดร้องโหยหวน ความหวาดกลัวเกาะกุมในทุกสติสติสัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่
มีบางอย่างที่ไม่ปกติกำลังเกิดขึ้นกับเธอ มิเรียมนึกอยากส่งเสียงร้อง
แต่กลับไม่มีอะไรออกมาจากริมฝีปากแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าร่างกายทุกส่วนกำลังค่อยๆ
หยุดการทำงานลงไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความพร่ามัวในดวงตา มิเรียมมองเห็นเงาของชาวบ้านที่กำลังมุงล้อมรอบเธออยู่
ก่อนที่จะทุกอย่างจะดับมืดไปอย่างฉับพลัน
ประหนึ่งแสงเทียนสุดท้ายที่ถูกสายลมกระโชกแรงแรงพัดพาเข้าใส่จนมอดหายไป
__________________
ความคิดเห็น