ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์ลักขณา (涵芳仙)

    ลำดับตอนที่ #6 : ชีวิตในจวนสกุลหาน

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 65


    เช้าวันต่อมาฟางเซียนตื่นตั้งแต่กลางยามเหม่า โดยมีสองสาวเข้ามาช่วยอาบน้ำแต่งตัวจนปลายยามเฉินทั้งสองคนจึงพานางเดินมายังห้องอาหารของเรือนที่ยามนี้ใกล้ได้เวลาเต็มทีแล้ว

    “ฟางเซียนมาแล้วหรือลูก” นางเดินเข้ามาในห้องอาหารที่ตอนนี้นั้นมีทุกคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

    “ลูกขออภัยที่มาช้าเจ้าค่ะ”

    “ไม่ช้าหรอกลูกพ่อกับแม่เองก็เพิ่งมาถึง”

    “เซียนเซียนลูกมานั่งข้างแม่นี่เถอะ”

    “เจ้าค่ะท่านแม่” อาหารหลากหลายชนิดถูกนำขึ้นมาวางมีทั้งที่นางรู้จักและบางอย่างที่นางไม่รู้จัดเช่นกันแต่รสชาติของอาหารนั้นถือว่าค่อนข้างจะจืดชืดเลยทีเดียว นางต้องหาทางทำอาหารเองแล้วแต่จะเริ่มจากตรงไหนค่อยคิดอีกที

    หลังจากที่รับอาหารเช้าเสร็จแล้วเป็นช่วงกลางยามเฉินแต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่บิดาของนางต้องไปที่สำนักศึกษาส่วนน้องชายของนางนั้นขอตัวไปหยิบของที่ห้องของตนก่อนแล้ว ทั้ง 3คนจึงนั่งพูดคุยกันอยู่ที่โถงของเรือน สำนักศึกษานั้นเปิดในยามซื่อถึงยามเซิน เปิดเรียนเป็นเวลา 5วันและหยุดพัก 2 วัน และหยุดเป็นเวลา 30 วันหลังสอบเลื่อนชั้นในเดือนลิ่วเยว่และเดือนสือเอ้อเยว่จะว่าไปก็คล้ายที่ภพนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว

    “เซียนเซียนพ่อว่าลูกพักผ่อนอีกสัก 4-5 วันก่อนค่อยกลับไปเรียนที่สำนักศึกษาจะดีกว่าพ่ออยากมั่นใจว่าลูกหายดีแล้ว อีกอย่างอีกสองวันก็เป็นวันหยุดของสำนักศึกษาแล้ว” ผู้เป็นบิดานั้นเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงบุตรสาวที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา

    “แม่ก็เห็นด้วยกับท่านพ่อของเจ้า”

    “เพื่อให้พวกท่านสบายใจลูกพักก่อนก็ได้เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านแม่”

    “ดีแล้วๆ”

    “เอาล่ะได้เวลาที่พ่อต้องไปสำนักศึกษาแล้วเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ พี่ไปก่อนนะน้องหญิง”

    “เจ้าค่ะท่านพี่/เจ้าค่ะท่านพ่อ”

    การใช้ชีวิตในจวนสกุลหานของนางนั้นยังดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ แต่มีหลายอย่างให้ทำเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนักจากความทรงจำที่เพิ่มขึ้นมา หลังจากนางฟื้นขึ้นมาได้ 5วันก็กลับไปเรียนที่สำนักศึกษาและพบปะสหายของนางบ้าง อีกทั้งจากที่นางได้รับสำรับหลายมื้อเข้านางก็ยังไม่ชินกับรสชาติเสียที่แม้ว่าเมื่อก่อนนางก็กินเป็นปกติคงเป็นผลมาจากการหลอมรวมดวงจิตของนางละมั้ง

    ฟางเซียนปรึกษาท่านแม่ว่าตนเองนั้นอยากเริ่มฝึกทำอาหารแต่ด้วยสถานที่ในเรือนนั้นไม่เอื้ออำนวยนางอยากได้ห้องครัวที่คล้ายกับห้องครัวในอีกภพหนึ่งจึงขอให้ท่านไปพูดคุยกับท่านพ่อเรื่องที่นางจะขอสร้างเรือนขึ้นในเขตของจวน หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ได้ความว่าเช่นนั้นอย่างไรเสียก็สร้างเรือนเพิ่มขึ้นให้นางแล้วก็ให้สร้างเพิ่มให้น้องชายของนางไปด้วยเลยเพราะเขาเองก็โตขึ้นทุกวันเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นบิดามารดาอาสาจะเป็นคนออกให้เอง

    เรือนใหม่ของนางนั้นเป็นพื้นที่ด้านหลังเรือนของท่านพ่อและท่านแม่สามารถเดินอ้อมผ่านสวนดอกไม้ของท่านแม่เข้าไปได้โดยไม่ต้องผ่านเรือนใหญ่เป็นพื้นที่กว่าคนละ 10หมู่ เขตกันของเรือนทั้งสองนั้นถูกกั้นด้วยต้นชาฮกเกี้ยนเป็นต้นไม้ที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาตัดแต่งเป็นรั้วบ้านในอีกภพของนาง นอกจากจะไม่ทิ้งใบที่โคนต้นแล้วยังอึดถึกทนมากและโตเร็วและสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากนำมาทำเป็นรั้วต้นไม้จะได้พุ่มที่แน่นหนาแต่ก็มีพื้นที่เว้นไว้สำหรับผ่านไปมาได้

    และเป็นท่านพ่อที่ติดต่อนายช่างที่มีฝีมือในเมืองให้เพียงแต่นางเป็นคนกำหนดรูปแบบทุกอย่างเองอุปกรณ์ในยุคนี้นั้นถือว่าไม่ได้มากมายแต่มีให้เลือกใช้ได้พอสมควร

    “แบบที่คุณหนูให้มาข้าไม่เคยพบเห็นเลยขอรับ หากสร้างเสร็จตามรูปแบบเรือนทั้งสองหลังนี้คงเป็นผลงานชิ้นที่ดีที่สุดของพวกข้าเลยขอรับ” หลังจากที่นางนำแบบให้ท่านพ่อท่านแม่ดูทั้งสองก็ตกใจเป็นอย่างมากไม่คิดว่านางจะมีความสามารถทางด้านนี้ด้วยอีกอย่างเรือนของน้องชายนางนั้นเมื่อเห็นแบบที่นางทำออกมานางก็ถูกน้องชายขอร้อง ให้ช่วยเขียนแบบให้เรือนด้วยเพียงแต่ห้องครัวของเรือนนั้นมีขนาดเล็กกว่าของนางมากแต่ทำห้องตำราให้ใหญ่กว่าเรือนของนางเกือบเท่าตัวเลยทีเดียวอีกทั้งยังมีลานฝึกยุทธที่หลังเรือนอีกด้วย

    “ฝากพวกท่านด้วยนะเจ้าค่ะ ขาดเหลือสิ่งใดท่านสามารถบอกกล่าวข้าได้เลยนะเจ้าค่ะ”

    “ได้ขอรับคุณหนูพวกข้าจะทำให้เต็มที่เลยขอรับท่านวางใจได้” นับจากวันนั้นก็เป็นเวลากว่าสามเดือน เรือนของนางจึงแล้วเสร็จพวกเขาจึงย้ายไปสร้างเรือนของน้องชายนางเป็นที่ต่อไปถือว่าช่างในสมัยนี้นั้นทำงานรวดเร็วเป็นอย่างมากอีกทั้งงานที่ได้นั้นก็ประณีตและเหนือความคาดหวังของนางไปมากเช่นกัน

    เรือนของฟางเซียนนั้นด้านหน้าถูกทำให้เป็นสวนดอกไม้ กลางสวนถูกทำให้เป็นน้ำพุจำลองในส่วนนี้นางนั้นก็อดทึ่งในความสามารถของพวกเขาไม่น้อยเลยทีเดียวเส้นทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินยาวประมาณ 30ชุนแล้วโรยด้วยเห็นเม็ดเล็กๆ ตามร่องแผ่นหิน เส้นทางถูกแบ่งออกเป็นสองทางล้อมน้ำพุเข้าไปประกบเป็นทางเดียวกันจนถึงหน้าเรือนของนางที่ขึ้นเป็นบันได 5ขั้นตัวเรือนถูกสร้างด้วยไม้และเป็นสีขาวทั้งหลังสีที่ใช้ล้วนได้มาจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่และมีที่กำเนิดต่าง ๆกัน บางสีเป็นธาตุจากดินบางสีได้จากสัตว์ จากกระดูก เขา งา เลือดบางสีได้จากพืชลักษณะของสีที่นำมาใช้มักจะทำเป็นผงละเอียดนำมาผสมกับวัสดุอื่นเพื่อให้ยึดเกาะผิวหน้าวัตถุได้ดีได้แก่ กาวหรือยางไม้

    ต่อจากบันไดขึ้นไปเป็นระเบียงล้อมไปถึงด้านข้างทางขวามือฝั่งที่เป็นห้องรับแขกและเป็นทางเชื่อมไปยังศาลากลางสระบัวโดยที่ไม่ต้องลงจากเรือน นางตั้งใจไว้ว่าจะทำเป็นที่สำหรับตั้งโต๊ะน้ำชาเล็กๆ ที่กลางศาลา เปิดประตูเข้าไปเป็นห้องโถงที่ใช้ในการรับแขกที่ตรงกลางถูกวางด้วยชุดรับแขกที่นางสั่งทำขึ้นด้านหลังเป็นเตาผิงที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเหมาะสมกับพื้นที่พอดี และมีตู้สำหรับวางสิ่งของต่าง ๆ

    ถัดเข้าไปเป็นประตูที่ถูกเจาะใส่บานกระจกกั้นอยู่เป็นห้องครัวมีขนาดใหญ่เท่ากับสองห้องมารวมกัน และมีห้องน้ำส่วนหลังห้องที่ถูกสร้างเลียนแบบอีกภพแม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญแต่นางก็มีความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ข้างๆ เป็นห้องเก็บของ ห้องครัวมีโต๊ะสำหรับทานอาหารวางอยู่ ถัดเข้าไปเล็กน้อยเป็นโต๊ะหินอ่อนที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเหมือนเป็นขั้นบันไดสองขั้นมาวางไว้ด้านที่ต่ำกว่าหันเข้าไปทางโต๊ะหินอ่อนที่ทำติดกับผนังห้องครัวที่มีถูกทำให้เป็นอ่างล้างมือ ขวามือเป็นโต๊ะที่เป็นช่องที่นางทำไว้เป็นเตาสำหรับทำอาหารที่ก่อไฟด้านล่างและเป็นปล่องควันขึ้นด้านบนหากมองจากด้านนอกนั้นจะเห็นเป็นปล่องควันอันเดียวกับของเตาผิง

    ทางฝั่งขวามือของโถงรับแขกถูกทำประตูกั้นไว้เป็นทางเดินห้องแรกเป็นห้องนอนเล็กที่ห้องน้ำในตัว ถัดมาเป็นห้องตำรา และสุดท้ายเป็นห้องนอนใหญ่ที่เป็นห้องนอนของนางเองในห้องน้ำมีส่วนที่เป็นอ่างล้างหน้าและกระจกเงาที่ไม่ได้เป็นสีเหลืองเช่นที่นางเคยอ่านเจอ ถัดเข้าไปหลังประตูกระจกกั้นเป็นอ่างอาบน้ำที่เป็นไม้เคลือบเงาและมีส่วนที่เป็นถังน้ำสำหรับล้างตัว

    ด้านนอกชายคาของเรือนที่ถูกทำเป็นรางน้ำไว้เพื่อรองน้ำฝนลงไปในโอ่งดินที่หลังเรือน มีโอ่งดินขนาดใหญ่ที่สูงเกือบเท่าหลังคาเรือนนางนำมาไว้รองน้ำสำหรับใช้ในเรือนกว่า 3ใบถูกตั้งบนฐานเพื่อที่จะไม่ต้องขนน้ำเข้าไปใช้ในเรือนแต่เป็นการทำท่อเพื่อที่จะต่อเข้าไปและมีระแนงไม้กันล้อมไว้อีกที สาวใช้คนอื่น ๆ นั้นพักที่เรือนเดิมแต่เสี่ยวมี่กับเสี่ยวหมิงนั้นมีเรือนเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นที่ด้านหลังเรือนของนางให้ทั้งสองคน ผ่านมาหลายวันเรือนของนางก็ตกแต่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพร้อมให้นางย้ายเข้ามาอยู่

    “เรือนของลูกตกแต่งเรียบร้อยแล้วหรือเซียนเซียน” เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดนางจึงมีโอกาสมานั่งพูดคุยกับมารดา

    “เรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”

    “เช่นนั้นก็คงเหลือแค่เรือนของซางเหยียนสินะไม่รู้ว่าสร้างถึงไหนแล้ว แม่ก็ไม่ได้ไปดูเลย”

    “จากที่ลูกเห็นก็คืบหน้าไปมากแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ไม่น่าจะเกินจากเรือนของลูกมากเท่าไหร่”

    “แล้วนี่น้องชายของลูก ไปไหนเสียแล้วเล่า”

    “คงจะไปอยู่แถวๆ เรือนที่กำลังสร้างอยู่นั่นแหละเจ้าค่ะท่านแม่” ส่วนท่านพ่อของนางนั้นก็คงจะอยู่ที่ห้องตำราในเรือนอีกเช่นเคย

    “แล้วลูกจะย้ายไปอยู่ที่เรือนเลยหรือไม่”

    “เจ้าค่ะท่านแม่ลูกจะได้ตกแต่งสวนด้านหน้าแล้วก็พักที่นั่นเลย”

    “ตามใจเจ้า หากต้องการคนงานเพิ่มก็เรียกไปใช้ได้เลยแล้วอย่าลืมไปแจ้งแก่ท่านพ่อของเจ้าด้วยเล่า”

    “เจ้าค่ะท่านแม่”

    สวนน้ำพุหน้าเรือนของนางนั้นถูกปลูกด้วยดอกไม่หลากหลายชนิดที่เหมาะสมกับสภาพอากาศแต่ที่มีมากที่สุดคือเหม่ย์กุยฮวาหรือก็คือดอกกุหลาบที่ถูกนำมาปลูกหลากและหลากสายพันธุ์ ต่อมาเรือนนั้นก็ถูกเรียกว่าเรือนเหม่ย์กุยฮวาซึ่งก็ถือว่าเป็นชื่อที่ดีเนื่องจากกุหลาบเป็นไม้ดอกอีกหนึ่งชนิดที่สื่อความหมายในทางที่ดี อย่างภพนั้นในแถบยุโรปที่ถือว่ากุหลาบเป็นดอกไม้แห่งความรัก และถูกยกย่องให้เป็นราชินีแห่งดอกไม้ คือรูปสวย มีกลิ่นหอม และความหมายดี ในเมืองไทยปลูกกุหลาบได้หลายชนิดอย่างกุหลาบอังกฤษ กุหลาบฝรั่งเศส ซึ่งบ้างก็ถูกปรับปรุงสายพันธุ์ให้ทนแดดฝนในเขตร้อนชื้นได้ แต่จะออกดอกสวยสะพรั่งในช่วงหน้าหนาวมากกว่า

    เวลาล่วงเลยมาจนอีก 3เดือนข้างหน้าจะถึงวันเกิดของนางอีกครั้งแล้ว ฟางเซียนนั้นเกิดเดือนสืออีเยว่ วันที่ 17 ครั้งนี้นางจะอายุครบ 16ปีแล้วและเป็นช่วงเวลาที่นางจากภพนั้นมีเป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันวันเวลาที่ผ่านมานางมีเรื่องให้ทำอยู่ตลอดเวลาเมื่อถึงเวลานี้นางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวนางนั้นยังไม่ได้ขอพรข้อสุดท้ายเลยด้วยซ้ำไม่รู้ท่านปู่จะลืมนางไปแล้วหรือยัง

    ‘นังหนูนี่ ถึงข้าจะแก่แต่ข้าก็ไม่ได้ขี้ลืมขนาดนั้นหรอกนะเป็นเจ้าเองต่างหากที่ลืมเลือนไป’ เสียงบ่นจากท่านเทพชราที่ได้ยินความคิดของนางในขณะนี้บ่นขึ้นแม้คนที่ถูกบ่นจะไม่ได้ยินเลยก็ตาม

    จากนี้นางตั้งใจที่อยากจะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองหลังจากที่ได้ลองทำอาหารส่วนใหญ่ของผู้คนที่นี่และกิจการของนางในครั้งนี้นั้นนางต้องการที่จะใช้เงินเก็บของตนเองที่บิดามารดานั้นให้มาซึ่งนางก็ไม่ได้ใช้และเก็บไว้อยู่ตลอดเพราะครั้งที่สร้างเรือนของนางกับน้องชายก็หมดไปเกือบสองร้อยตำลึงทองเลยทีเดียว แต่ว่าหากจะสอบถามอาคารที่สามารถที่จะทำเป็นร้านอย่างไรเสียท่านแม่ก็คงจะช่วยนางอีกเช่นเคย

    หลังกลับมาจากสถานศึกษาฟางเซียนที่กลับมาที่เรือนพร้อมกับบิดาก็เดินเข้าไปหามารดาที่นั่งอยู่ที่ศาลาในสวน

    “ท่านพี่ เซียนเซียนกลับมากันแล้วหรือเจ้าค่ะแล้วหรือเจ้าค่ะ”

    “พี่กลับมาแล้วน้องหญิง”

    “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ”

    “แล้วลูกซางเหยียนเล่าเจ้าค่ะ”

    “วันนี้ซางเหยียนมาขอกับพี่ว่าอยากไปเรียนฝึกวรยุทธกับสหายพี่เห็นว่าไม่ได้เสียหายอันใดเลยให้ลองไปดูก่อน”

    “เป็นเช่นนั้นหรือเจ้าค่ะ”

    “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ ลูกมีเรื่องอยากปรึกษาเจ้าคะ”

    “เซียนเซียนมีเรื่องอะไรหรือลูก ว่ามาเถอะพ่อกับแม่รอฟัง”

    “คือลูกอยากเปิดเหลาอาหารเล็กๆ ร่วมกับสหายเจ้าค่ะเจ้าค่ะวันนี้ลูกได้พูดคุยกับสหายแล้วทั้งสองมีความสนใจที่อยากจะร่วมลงทุนด้วยพวกเราเลยแยกย้ายกันไปปรึกษาครอบครัวของแต่ละคนเจ้าค่ะ”

    “แต่ลูกจะมีเวลาหรือเพราะยังต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาอีก”

    “พวกเราอยากค่อยๆ ทำไปเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ หาแม่ครัวมาช่วยสักคนหากตอนที่ลูกไม่อยู่จะได้มีคนมาทำแทนได้ส่วนคนงานก็มีสัก 2-3 คนก็พอเจ้าค่ะ”

    “หากเป็นความตั้งใจของลูกพ่อก็ไม่ขัดเอาเท่าที่ลูกไหวหากมีสิ่งใดให้ช่วยก็บอกพ่อ”

    “เจ้าค่ะท่านพ่อ”

    “แล้วเรื่องที่ตั้งของเหลาอาหารเล่าพวกลูกมองที่ใดไว้บ้างหรือไม่ อาคารเช่าของแม่เล่ามีที่ใดสนใจหรือไม่”

    “ก็มีมองไว้บ้างเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ยังไม่มีที่ใดถูกใจลูกและสหายเลย”

    “หากไม่มีที่ถูกใจทำไมไม่สร้างขึ้นใหม่เล่า อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ตั้งใจที่จะทำร่วมกันอยู่แล้ว” เขาเองก็รู้จักกับบิดาของสหายทั้งสองคนของบุตรสาวไม่น้อยคิดว่าอย่างไรคงมีความคิดไม่ต่างจากที่เขาเสนอแก่บุตรสาวเสียเท่าไหร่หรอก

    “สร้างหรือเจ้าค่ะท่านพ่อ” บิดาของนางนี่อย่างไรกันเป็นบัณฑิตที่มีความคิดที่เหมือนพ่อค้าเสียอย่างนั้นสงสัยจะติดมาจากท่านแม่อย่างแน่นอน

    “ใช่สร้าง ลูกลองไปปรึกษากับสหายดูก่อนก็ได้”

    “แม่ก็เห็นด้วยกับที่ท่านพ่อของลูกบอกนะ แต่อย่างไรลูกลองไปพูดคุยกับสหายของลูกดูก่อนก็ได้มีสิ่งได้ที่ต้องการความช่วยเหลือก็ให้มาบอกแม่”

    “ลูกขอบคุณท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะหากตัดสินใจอย่างไรลูกจะมาแจ้งพวกท่านนะเจ้าค่ะ”

    “ค่อยคิดไม่ต้องรีบร้อน วันนี้ลูกไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

    “ลูกขอกลับเรือนก่อนนะเจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านแม่”

    “ไปเถอะ”

    “บุตรสาวเราคนนี้เหมือนน้องหญิงมิน้อยเลยทีเดียว” หลับหลังบุตรสาวเดินออกไปผู้เป็นบิดาก็หันมาเอ่ยกับภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกัน

    “เหมือนน้องแล้วอย่างไรเจ้าค่ะ ท่านพี่ว่าไม่ดีหรือ”

    “พี่ไม่ได้ว่าไม่ดีเสียหน่อยเพียงแต่จะบอกว่าลูกคงชอบการค้าเช่นเจ้าไม่ทันไรก็จะร่วมกับสหายเปิดเหลาอาหารเสียแล้ว”

    “ปล่อยให้ลูกได้ทำเถอะเจ้าค่ะไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด กลับมาเหนื่อยๆ ท่านพี่ขึ้นเรือนไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ”

    “อื่ม ไปกันเถอะ”

    .

    .

    .

    …………

    ปล.แม้ว่าดวงจิตส่วนหนึ่งจะเป็นดวงจิตที่อยู่ในภพนี้แต่ว่าก็เป็นเพียงคนที่มีอายุ 15ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในจวนออกไปเรียนที่สำนักศึกษา ทุกอย่างเคยอ่านในตำราการพบเจอสหายไม่ใช่การออกไปท่องเที่ยว ระบบความคิดหรือการได้พบเจออะไรต่างๆ จึงค่อนข้างที่จะออกไปทางฟางเซียนที่มาจากอีกภพหนึ่งมากกว่านะคะ

    อย่าลืมกดเลิฟ กดไลท์ กดเฟบ คอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ *_^

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×