ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์ลักขณา (涵芳仙)

    ลำดับตอนที่ #5 : หานฟางเซียน

    • อัปเดตล่าสุด 2 ม.ค. 65


    เมื่อก้าวเข้าสู่ใจกลางสระน้ำแล้วแสงสว่างจ้าก็เกิดขึ้นรอบๆ ตัวทั้งสองคนหากเป็นคนทั่วไปไปก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านเข้าไปได้ร่างทั้งสองที่อยู่กลางสระน้ำในตอนนี้เหลือเพียงหญิงสาววัย 15 หนาวใบหน้าเล็กขาวใสดวงตาโตแวววาวเหมือนลูกกวางผิวขาวราวกับไข่มุกผมดำขลับที่ยาวจนถึงเอว ส่วนสูงที่ดูสูงกว่าหญิงสาววัยเดียวกันรูปร่างเพรียวบางน่าทะนุถนอม ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นหญิงสาวโตเต็มวัยที่งามล่มเมืองเลยทีเดียว

    “เจ้าเดินออกมาได้แล้ว”

    “ท่านปู่ ข้า…” ฟางเซียนที่ตอนนี้มีความทรงจำทั้งสองภพยืนสำรวจตัวเองพลางคิดว่าเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้ตอนนี้เธอจะอยู่ในร่างของเด็ก 15 หนาวก็ตาม “ข้ารู้สึกว่าร่างกายของข้าเปลี่ยนไปเจ้าค่ะ”

    “เจ้าไม่ต้องกังวลหากเจ้ากลับไปแล้วร่างกายของเจ้าจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามรูปลักษณ์ของดวงจิตของเจ้า” ราวกับว่าท่านปู่รู้ว่านางกังวลสิ่งใดจึงพูดออกมา แม้ร่างเดิมของนางนั้นจะงดงามแต่ก็นับว่ายังด้อยกว่าร่างนี้อีกหลายส่วนหากเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเกรงว่าทุกคนจะตกใจเอาได้

    “เป็นเช่นนั้นย่อมดีแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อรับรู้เช่นนั้นแล้วนางจึงค่อยๆ เดินออกไปจากสระน้ำไปหาท่านปู่ที่ยืนรออยู่ด้านนอก

    “เจ้านั่งลงก่อนสิ อีกทั้งศาสตร์ต่างๆ ที่เจ้าร่ำเรียนมาก็จะพัฒนาขึ้น ความจำของเจ้าจะเป็นเลิศจดจำทุกอย่างเช่นกันนับว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินได้เลยทีเดียว” โดยมีนางที่ยื่นจ้องท่านปู่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่มีคำถามเช่นเดิม

    “ไม่ต้องห่วงทุกอย่างเป็นความสามารถของเจ้าตั้งแต่แรกอีกทั้งทุกอย่างจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเช่นกัน เอาล่ะใกล้ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องกลับไปแล้วความดวงจิตที่หลอมรวมนั้นได้รวมความทรงจำทั้งสองภพของเจ้าเอาไว้แล้วเจ้าย่อมรู้ว่าที่ที่เจ้าจะไปอยู่เป็นเช่นไร เพื่อทดแทนเจ้าในความผิดพลาดข้าให้พรเจ้าได้ 3 ข้อจงเลือกให้ดีหากแน่ใจแล้วจงเอ่ยออกมา”

    “เจ้าค่ะ” ภพที่นางต้องไปนั้นคือภพของร่างของเธอในวัน 15 หนาวเป็นโลกที่แต่งกายและวัฒนธรรมบางส่วนเหมือนกับยุคของจีนโบราณเพียงแต่มีความรุ่งเรืองที่มากกว่าข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีการพัฒนาที่มากกว่า มีการค้าขายกับคนต่างชาติ เรื่องอื่นๆ นางคงต้องไปศึกษาเพิ่มเติมแม้ว่าร่างนั้นของนางจะผ่านวันปักปิ่นมาแล้วแต่ก็ไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่นัก มีเพียงความรู้ที่อยู่ในตำราเท่านั้น จากนิยายจีนที่นางเคยเห็นคำโปรยผ่านตามาบ้างแม้จะไม่เคยซื้อมาอ่านก็ตาม จึงตัดสินใจว่าสิ่งที่นางขอเป็นสิ่งใดหากไม่ได้หวังว่าท่านปู่จะยังให้นางเปลี่ยนคำขอได้

    “ข้าตัดสินใจได้แล้วเจ้าค่ะท่านปู่”

    “ว่ามาเถิดหากไม่เกินขอบเขตของภพนั้นข้าย่อมให้แก่เจ้าได้”

    “ข้อแรก ข้าต้องการมิติที่มีข้าวของที่เกี่ยวกับการทำอาหารทั้งของทั้งสองภพเจ้าค่ะ”

    “เช่นอะไรบ้าง ที่เจ้าต้องการ”

    “พวกอุปกรณ์ทำอาหาร ขนม พืช สมุนไพรต่างๆ เจ้าค่ะ”

    “อื่ม ถือว่าสิ่งนี้ข้าให้ได้แต่เป็นสิ่งที่ไม่กระทบต่อความเป็นไปของภพนั้น มิตินั้นจะมีทุกอย่างที่เจ้าขอทุกอย่างในนั้น รวมทั้งพื้นที่สำหรับเพราะปลูกในนั้นทุกอย่างจะเจริญเติบโตโดยไม่เน่าเสียอย่างนี้ดีหรือไม่” ของวิเศษจำพวกมิติหรืออุปกรณ์มิติต่างๆ ใช่ว่าจะไม่มีในภพนั้นเพียงแต่ส่วนมาเป็นพวกถุงมิติเล็กๆ ที่ใช้เก็บของส่วนตัวเท่านั้นอีกทั้งราคามันก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย

    “ดีเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านปู่”

    “เอาล่ะข้อต่อไปล่ะ”

    “ข้อสองข้าขอตำราที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองภพเจ้าค่ะ”

    “อื่มมม ตำรานั้นที่เกี่ยวข้องกับภพที่เจ้าต้องอยู่นั้นข้าย่อมให้ได้ยกเว้นตำราต้องห้ามบางอย่าง ส่วนภพที่เจ้าจากมานั้นข้าให้ได้เพียงตำราอาหารเท่านั้น” ตัวเขาจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าภพนั้นนางเป็นเช่นไรจึงเลือกให้สิ่งที่เหมาะสมก็เท่านั้น ภพที่นางต้องอยู่ย่อมต้องเพิ่มเติมความรู้ เอาอย่างที่ตัวเขาบอกไปนั้นดีแล้ว

    “แค่นั้นก็ได้เจ้าค่ะท่านปู่”

    “อีกข้อเล่า”

    “อีกข้อข้าติดไว้ก่อนได้หรือไม่เจ้าค่ะ”

    “ได้สิ หากเจ้าต้องการเมื่อไหร่ก็สามารถตั้งจิตและนึกถึงข้า เอาล่ะได้เวลาแล้วหากนานกว่านี้ครอบครัวเจ้าจะตกใจเอา”

    “เจ้าค่ะ แล้วมิตินั้นอยู่ที่ไหนหรือเจ้าค่ะ”

    “กำไลข้อมือเจ้าอย่างไรเล่า เพียงตั้งจิตแล้วนึกถึงมันก็พอ”

    ‘นี่มันกำไรที่คุณย่าให้เธอนี่หน่า เธอไม่สังเกตเลยว่ามันติดมาด้วย’

    “ขอคุณท่านมากเจ้าค่ะ” ชายชราสะบัดมือออกมาที่ร่างของนางครั้งหนึ่งก่อนที่แสงสว่างเจิดจ้าจะรายล้อมรอบตัวนางหลังจากนั้นนางก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีกเลย

    “แล้วพบกันใหม่” ………

    นางลืมตาขึ้นมาบนเตียงโดยที่มือของนางนั้นถูกกุมไว้โดยผู้หญิงคนหนึ่ง กะพริบตาสองสามครั้งจนนางมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น ผู้หญิงที่กุมมือนางอยู่ตอนนี้เป็นมารดาของนางมองพิจารณาแล้วหน้าตาช่างคล้ายคลึงมารดาของนางในภพนั้นยิ่งนักแล้วบิดาและน้องชายของนางเล่า แต่อย่าเพิ่งคิดสิ่งใดเลยตอนนี้นางรู้สึกคอแห้งยิ่งนักจึงเอ่ยปากเรียกมารดาที่กำลังหันไปสั่งงานสาวใช้ในห้องอยู่

    “ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าค่ะ”

    “เซียนเซียน ลูกฟื้นแล้วขอบคุณ ขอบคุณที่ลูกตื่นขึ้นมา”

    “ท่านแม่ข้าหิวน้ำ”

    “อ่ะ แม่ลืมไปเลยมัวแต่ดีใจที่เจ้าฟื้น”

    “เสี่ยวมี่ เสี่ยวหมิงทำไมนั่งน้ำตาไหลอยู่เยี่ยงนั้นคุณหนูของพวกเจ้าฟื้นมาแล้วนี่อย่างไรเล่า”

    “พวกข้าดีใจเจ้าค่ะฮูหยิน”

    “เสี่ยวมี่ไปเอาน้ำมาให้คุณหนูของเจ้าเร็วเข้า เสี่ยวหมิงให้คนไปแจ้งแก่พ่อบ้านเมิ่งให้จัดบ่าวชายไปรอแจ้งข่าวกับนายท่านที่หน้าสำนักศึกษาหลวง อย่ามานั่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตรงนี้”

    นางอดเอ็นดูสาวใช้ของบุตรสาวไม่ได้ด้วยทั้งสองคนนั้นเป็นบุตรสาวของบ่าวคนสนิทของนางมารดาของทั้งสองคนนั้นเป็นแฝดกันถูกครอบครัวนำมาขายให้ท่านพ่อของนางนับตั้งแต่นั้นทั้งสองก็ตามรับใช้นางมาตลอดและตามมาเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนแห่งนี้ด้วยตอนนั้นอายุได้ห้าหนาว นางจึงให้ทั้งสองมาเล่นเป็นเพื่อนเล่นของบุตรสาวนางมาตั้งแต่เด็กๆ ดูแล้วเด็กทั้งสามรักใคร่กันมากตอนบุตรสาวนางไม่ได้สตินั้นเด็กคนนี้ก็ทำท่าแต่จะร้องไห้อยู่ตลอด พอนางฟื้นขึ้นมาก็จะร้องไห้อีกเสียได้

    “เจ้าค่ะฮูหยิน” ไม่นานเสี่ยวมี่ก็กลับมาวางน้ำไว้บนโต๊ะข้างเตียงของนาง

    “ประคองช่วยข้าที” ทั้งสองคนประคองนางขึ้นนั่งโดยนำหมอนที่นางหนุนในตอนแรกมารองหลังนางไว้

    “ค่อยๆ นะลูกอย่ารีบเจ้าเพิ่งพื้นค่อยๆจิบทีละนิด เดี๋ยวจะสำลักเอา”

    “ข้าพอแล้วเจ้าค่ะ”

    “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือไม่”

    “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าเป็นอะไรไปหรือเจ้าค่ะ” ตามความทรงจำเดิมนั้นนางเพิ่งผ่านวันปักปิ่นของนางมาไม่ใช่หรือแล้วทำไมถึงมานอนอยู่อย่างนี้ได้เล่า

    “หลังจากวันปักปิ่นของเจ้า เช้าวันต่อมาเสี่ยวมี่กับเสี่ยวหมิงเห็นว่าสายแล้วเจ้ายังไม่ตื่นจึงเข้ามาดูเห็นเจ้านอนมิได้สติอยู่จึงไปเรียกแม่มาดูเจ้า แม่นึกว่าจะเสียเจ้าไปเสียแล้วเซียนเซียนของแม่”

    “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกตื่นขึ้นมาแล้วนี่อย่างไรเล่าเจ้าค่ะ แถมยังแข็งแรงอีกด้วย”

    “แข็งแรงได้อย่างไรกันเจ้าไม่ได้สติไปตั้ง 3 วันเชียว ไม่มีข้าวปลาตกถึงท้องแม้แต่เม็ดเดียว เสี่ยวหมิงไปแจ้งแม่ครัวให้ทำอาหารอ่อนๆ มาให้ลูกข้าเสียหน่อยไป”

    “เจ้าค่ะฮูหยิน”

    “เซียนเซียนรอก่อนนะลูก”

    “ข้ารอได้เจ้าค่ะ ท่านเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ตั้งแต่ข้าหมดสติไปมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง”

    “ตั้งแต่รู้ว่าเจ้าหมดสติไป แม่ บิดาเจ้าและน้องชายของเจ้าเป็นห่วงเจ้ามาก บิดาเจ้าหาหมอมาตรวจดูเจ้าคนแล้วคนเล่าก็บอกว่าเจ้าไม่ได้เป็นอะไร เพียงให้เทียบยาบำรุงร่างกายมาเท่านั้นแต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่ฟื้นขึ้นมา”

    “แล้วท่านพ่อกับซางเหยียนไปไหนแล้วเจ้าค่ะ”

    “ทั้งสองคนตอนนี้คงอยู่ที่สำนักศึกษานั่นแหละ ที่จริงทั้งสองคนจะหยุดมาอยู่เป็นเพื่อนแม่เฝ้าเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่จะละทิ้งหน้าที่ก็ใช่เรื่อง”

    “ดีแล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวกลับมาก็เจอกันแล้ว”

    “นี่ก็ใกล้ยามเซินแล้วไม่นานบิดากับน้องชายเจ้าคงกลับมา สำรับมาพอดีเจ้ากินข้าวก่อนเถอะจะได้มีแรง”

    “เจ้าค่ะ” นางนั่งกินข้าวที่มารดาป้อนไปเพราะไม่ได้กินอะไรหลายวันค่อนข้างจะไม่มีแรง พลางนึกทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่นี่ไปด้วย

    ภพนี้นางชื่อฟางเซียนเหมือนกันแต่เป็น ‘หานฟางเซียน’ มีบิดาชื่อ หานไท่เหว่ย อายุ 35 ปี เป็นอาจารย์อยู่ในสำนึกศึกษาหลวง มารดานั้นชื่อ หรงถิงซู อายุ 32 ปี เป็นบุตรสาวของคหบดีที่อยู่เมืองหลวงแคว้นหยาง พบรักกับบิดาเนื่องจากบิดานางนั้นเดินทางไปกับคณะอาจารย์สำนักศึกษาหลวงไปที่สำนักศึกษาหลวงแคว้นหยาง

    ตอนนั้นบิดานางยังเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้จบการศึกษาแล้วอีกทั้งเรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิของรุ่นได้เลยทีเดียว ทั้งชายหญิงนั้นสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวงได้อยู่ที่ความสนใจของแต่ละคน มารดาของนางนั้นมิได้ศึกษาในสำนักศึกษาเพราะสนใจในด้านการค้าจึงเลือกที่จะเรียนรู้จากท่านตาของนางแทน ท่านตาของนางนั้นเป็นคนตามใจบุตรยิ่งนักผู้ใดต้องการทำสิ่งใดล้วนส่งเสริมเรื่องคู่ครองก็ให้ตัดสินใจเอง หลังจากท่านพ่อจบจากสถานศึกษาหลวงทั้งสองจึงแต่งงานกัน

    ท่านพ่อก็ได้เข้าศึกษางานกับอาจารย์ที่สำนักศึกษาหลวงหลายปีต่อมาก็ได้เป็นอาจารย์ประจำที่สำนักศึกษาหลวง ส่วนมารดานางนั้นเปิดกิจการที่เมืองหลวงแคว้นเยี่ยนแห่งนี้ มีทั้งร้านขายอาภรณ์ เครื่องประดับ เปิดอาคารสำหรับเช่าอีกด้วย

    ตอนบิดานางอายุได้ 20 ปีมารดาก็ตั้งท้องนาง และสองปีถัดมาก็ตั้งท้องน้องชายของนาง ชื่อว่า หานซางเหยียน ตอนนี้อายุ 13 ปี กำลังเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวงชั้นปีแรกส่วนนางนั้นอยู่ชั้นปีที่3 มีสหายที่สนิทกันอยู่สองคน คนแรกชื่อ หวังลี่จิน บุตรสาวคนรองของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์แคว้นเยี่ยน คนที่สองชื่อ หวางฮุ่ยหลิง บุตรสาวคนเล็กของคหบดีหวาง หากเทียบฐานะทางสังคมย่อมแตกต่าง แต่พวกนางนั้นคบกับด้วยคำว่าสหายที่จริงใจต่อกันเมื่อวานทั้งสองมาเยี่ยมนางแล้วเพียงแต่นางยังไม่ฟื้นวันนี่ก็คงอยู่ที่สำนักศึกษาเช่นกัน

    แคว้นที่นางอยู่นี้คือ ทวีปมังกรทอง ปกครองด้วยราชวงศ์หวงหลงที่ปกครองทั้ง 3 แคว้น หนึ่งแคว้นหยาง ประกอบด้วย เมืองหลวง เมืองหยางจื้อ เมืองหยางจง เมืองหยางอวี้ สองแคว้นเหว่ย ประกอบด้วย เมืองหลวง เมืองเหว่ยชวี่ เมืองเหว่ยซิน เมืองเหม่ยซิงและสามแคว้นเยี่ยน ประกอบด้วย เมืองหลวง เมืองเยี่ยนซิน เมืองเยี่ยนเล่อ เมืองเยี่ยนส่าง เมืองเยี่ยนชื่อ

    ที่มีการนับเดือนนั้นแบ่งเป็น 12 เดือน เดือนละ 30 วัน หนึ่งปีมี 4 ฤดูกาล ฤดูใบไม้ผลิ (ประมาณเดือนซานเยว่-อู่เยว่) ฤดูร้อน (ประมาณเดือนอู่เยว่-ปาเยว่) ฤดูใบไม้ร่วง (ประมาณเดือนจิ่วเยว่-สือเยว่) ฤดูหนาว (ประมาณเดือนสืออีเยว่-กลางซานเยว่) และ1 วันเป็น 12 ชั่วยามดังนั้น เมื่อเทียบกับเวลา1 ชั่วยามจึงเท่ากับ 2 ชั่วโมง นับเวลา 1 เค่อเทียบเท่ากับ15 นาที

    การค้าต่างๆ นั้นมีการติดต่อกับต่างแดน ค่าเงินที่ใช้นั้น 100 อิแปะ = 1 เหรียญทองแดง, 10 เหรียญทองแดง = 1 ตำลึงเงิน, 10 ตำลึงเงิน = 1 ตำลึงทอง

    ฟางเซียนกินอาหารที่มารดาป้อนไปจนนางรู้สึกแน่นท้องน้อยๆ ของนางแล้วตอนนี้ อีกทั้งตอนนี้ก็ใกล้เวลาที่บิดาของนางจะกลับมาแล้ว

    “ท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าอิ่มแล้ว”

    “เช่นนั้นเจ้าก็นั่งพัก ก่อนเถอะ” “พวกเจ้ายกสำรับไปเก็บเถอะ”

    “เจ้าค่ะฮูหยิน” นั่งอยู่ไม่นานเสียงเรียกของบุรุษสองวัยก็ดังขึ้นหน้าห้องไม่บอกก็รู้ว่าเป็นใครท่านแม่จึงให้ทั้งสองคนเข้ามา

    “เซียนเซียนลูกพ่อ เจ้าฟื้นแล้ว”

    “ท่านพี่ท่านฟื้นแล้วเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

    “ท่านพ่อ ซางเหยียนพี่สบายดี ท่านพ่อลูกไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”

    “ดีแล้ว ดีแล้วแค่เจ้าฟื้นพ่อก็ดีใจมากแล้ว”

    “ข้าขอโทษที่หลายวันมานี้ทำทุกคนลำบากเจ้าค่ะ”

    “ไม่เลยลูกไม่มีใครลำบากเพราะเจ้าเลย”

    “ท่านพี่ ลูกซางเหยียน ข้าว่าให้เซียนเซียนพักผ่อนก่อนดีหรือไม่เจ้าค่ะ พวกเราค่อยมาเยี่ยมนางกันใหม่”

    “ข้าก็ว่าเช่นนั้นขอรับท่านแม่ให้ท่านพี่พักผ่อนเสียหน่อย จากนี้ทุกคนก็สบายใจได้แล้วท่านเองก็ต้องพักผ่อนบ้างนะขอรับ” สายตาทั้งสามคนมองไปยังผู้เป็นใหญ่ของเรือนที่ทำหน้าเหมือนจะยังไม่อยากห่างบุตรสาวราวกับนางจะหายไปเสียตรงนั้น

    “ลูกไม่เป็นไร เจ้าค่ะ พวกท่านเองก็ควรพักผ่อนให้มาก เอาอย่างนี้ดีหรือไม่เจ้าค่ะพรุ่งนี้ข้าจะออกไปรับสำรับเช้ากับทุกคนดีหรือไม่เจ้าค่ะ”

    “แต่เจ้าเพิ่งฟื้นนะเซียนเซียน”

    “โถ่วว ท่านพ่อเจ้าค่ะลูกสบายดีให้ลุกออกไปวิ่งรอบเรือนตอนนี้เสียก็ยังได้เลยเจ้าค่ะ อีกอย่างลูกก็นอนมาตั้งสามวันแล้วให้ออกไปเดินรับลมบ้างไม่ได้หรือเจ้าค่ะ”

    “เช่นนั้นก็ได้ แต่พ่อให้เจ้าอยู่แค่บนเรือนก่อนห้ามเดินออกไปนอกเรือนเป็นอันขาด”

    “ตามที่ท่านบอกเจ้าค่ะ เจอกันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”

    “อื่มพวกเราออกไปกันเถอะ เสี่ยวมี่ เสี่ยวหมิงฝากดูแลคุณหนูด้วย”

    “เจ้าค่ะฮูหยิน” หลังจากที่ทั้งสามคนเดินออกจากห้องไปเสี่ยวมี่และเสี่ยวหมิงก็เข้ามาดูและนางต่อ

    “เสี่ยวหมิง เสี่ยวมี่ข้าอยากอาบน้ำ”

    “คุณหนูเพิ่งฟื้น ข้าว่าให้ข้าเช็ดตัวให้ก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ” เป็นเสี่ยวหมิงที่ทักขึ้นมาเพื่อความสบายใจของทั้งสองนางเองก็คงต้องยอมไปก่อน

    “งั้นก็เช็ดตัวตามพวกเจ้าว่าเถอะ”

    “เดี๋ยวข้ามานะเจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวหมิงเป็นคนออกไปเตรียมผ้ามาเช็ดตัวให้นางโดยให้เสี่ยวมี่คอยอยู่ดูแลนางอยู่ในห้องหากพรุ่งนี้นางไม่ได้อาบน้ำอีกคงจะทนไม่ไหวแล้วแค่นี้ก็รู้สึกเหนียวตัวจะแย่หากเป็นเมื่อก่อนนานคงไม่รู้สึกแบบนี้แต่หลังจากที่นางหลอมรวมดวงจิตแล้ว คนที่เคยอาบน้ำวันละสองครั้งเป็นเช่นนี้ต่อไปอย่างไรก็ทนไม่ไหวแน่ๆ

    ‘อย่างไรพรุ่งนี้ต้องได้อาบน้ำ’ ส่วนวันนี้ก็ถือว่าพักผ่อนไปก่อนก็แล้วกันส่วนเรื่องมิติที่ได้มานางค่อยตรวจสอบวันหลังก็แล้วกัน

    .

    .

    .

    …………

    อย่าลืมกดเลิฟ กดไลท์ กดเฟบ คอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ *_^

    กำไลข้อมือน้องนะคะ

    เครดิตในรูปนะคะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×