คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : หลอมรวมดวงจิต
‘เด็กที่เกิดมาหนึ่งชายคือคนที่เหมือนดังฟ้าประทานให้ หนึ่งหญิงสูงส่งแต่เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของดวงจิตที่พลัดหลงมา ถึงเวลาก็ต้องกลับไป’
‘ท่านหมายความว่ายังไงหรือคะ’
‘เมื่อถึงเวลาโยมก็จะรู้เอง’
คำพูดของพระอาจารย์รูปหนึ่งที่ คุณหญิงกชมล พรเพ็ญพิระยะ นับถือเคยพูดไว้เมื่อครั้งเธอไปขอฤกษ์มงคลให้กับลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอหลังจากนั้นก็ได้แต่เก็บไว้ในใจโดยที่ตอนนั้นท่านเองก็ได้แต่เล่าให้ลูกชายและลูกสะใภ้ฟังจวบจนลูกสะใภ้นั้นคลอดหลานแฝดชายหญิงออกมาทำให้เธอหวนนึกถึงคำพูดนั้นครั้งหนึ่งเพียงแต่หลังจากนั้นไม่ได้มีอะไรที่ทำให้นึกถึงได้อีกเพียงแต่มันก็อยู่ในใจของคนในครอบครัวเธอเรื่อยมา
จนกระทั่งวันนี้เวลาที่ล่วงเลยมาจนหลานของเธออายุ 26 ปีและจะเข้าปีที่ 27 ในอีกสองเดือนข้างหน้านี้แล้ว
“ทุกอย่างล้วนเป็นชะตาของเด็กคนนั้น ในคืนที่พระจันทร์ทรงกลดหลังเธออายุครบ 27 ปี และฉันบอกได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเธอจะมีความสุขและสบายดีอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าฉันบอกได้แค่นี้” คำพูดของทั้งเพื่อนเธอและพระอาจารย์ท่านนั้นยังวนเวียนอยู่ในความคิดของคุณหญิงกชมลจนฟางเซียนที่เดินออกไปส่งเพื่อนเธอขึ้นรถกลับเข้ามาแล้วเธอก็ยังไม่รับรู้การมาถึงของหลานสาว
‘อีกสองเดือนอย่างนั้นหรือ’ เสียงพูดกับตัวเองดังขึ้นอย่างแผ่วเบาจนคนที่เดินเข้ามานั้นยังได้ยินไม่ชัด
“คุณย่าค่ะ คุณย่า คุณย่าค่ะ” ฟางเซียนที่เดินกลับมาที่โต๊ะเห็นคุณย่าของเธอนั่งนิ่งอยู่จึงเข้าไปเรียกกลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไป
“ห่ะ ฟางเองหรือลูกส่งย่าจันทร์เสร็จแล้วหรือ”
“ค่ะ ฟางเองค่ะคุณย่าเป็นอะไรรึเปล่าค่ะฟางเรียกตั้งนานแล้วเมื่อกี้คุณย่าพูดว่ายังไงนะคะฟางฟังไม่ถนัด”
“ไม่มีอะไรหรอกลูกแค่นั่งคิดอะไรเพลินไปหน่อย ย่าไม่เป็นไร”
“คุณย่าแน่ใจนะคะ หนูว่าไปพักในห้องสักหน่อยดีกว่าไหมคะ”
“งั้นก็พาย่าเข้าไปเถอะ ขอเอนหลังสักหน่อยพอคนในร้านเริ่มซาแล้วเดี๋ยวย่าพาออกมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก”
“ไปค่ะ หนูพยุงคุณย่าเข้าไปนะคะ” เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านล่วงเลยไปคุณหญิงกชมลเองก็ได้เล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอมาให้ลูกชายและลูกสะใภ้ได้รับรู้เช่นเดียวกัน
“ที่คุณแม่พูดมาเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือคะ”
“ใช่จ๊ะ ถึงพูดไปเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ แต่แม่รู้จักกับจันทร์มานานแล้วและรู้ด้วยว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นเรื่องจริงเสมอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเราเหลือเวลาอีกแค่ 2 เดือนเท่านั้นหรือครับคุณแม่” คุณไรวินทร์ที่นั่งฟังมารดากับภรรยาพูดคุยกันอยู่นั้นเอ่ยถามขึ้น
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่บอกมาก็แค่เป็นวันที่เกิดพระจันทร์ทรงกลดหลังวันเกิดยัยฟางเท่านั้น”
“โถ่วว ยัยฟางลูกแม่”
“แม่รดีทำใจเสียเถอะ เราไม่สามารถรั้งดวงชะตาของใครได้หลังจากนี้แค่ใช่เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็พอแล้ว” ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์นี้ไม่มีคนเสียใจเมื่อโชคชะตาถูกกำหนดมาไว้แบบนั้นหากฝืนแล้วทำให้คนของพวกเขาลำบากมากกว่าเดิมก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เมื่อมาให้รัก มาให้ผูกพัน ก็จะอยู่ในความทรงจำของกันและกันตลอดไป
“แล้วเราจะบอกเรื่องนี้กับอี้หลงไหมคะ คุณแม่ คุณวินทร์”
“แม่ว่าคงต้องบอกให้รู้นั่นแหละ” จนพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบ 27 ปี ของบ้านพรเพ็ญพิระยะซึ่งวันนี้มีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้กับทั้งสองคนไม่ได้จัดใหญ่โตอะไรเป็นเพียงงานเลี้ยงเล็กๆ ของคนในครอบครัวเท่านั้นเพราะหลังจากนี้ใครจะแยกย้ายออกไปสังสรรค์กับเพื่อฝูงหรือหลานชายมีงานเลี้ยงกับคู่ค้าค่อยว่ากันอีกที อีกทั้งหลังจากวันนี้หากทั้งคู่ครบ 27 ปีเต็มแล้วไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หากมีโอกาสได้พูดความในใจจะดีกว่า หลังจากทานข้าวกันเรียบร้อยแล้วทุกคนจึงย้ายมานั่งกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน
“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของหลานย่าขอให้ทั้งสองคนมีความสุขมากๆ ขอพรอันยิ่งใหญ่จงบันดาลให้หลานทั้งสองประสบความสำเร็จไม่ว่าจะทำสิ่งใด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและให้จำไว้ว่าไม่ว่าเราจะอยู่ใกล้หรือใกล้หลานก็ยังเป็นหลานของย่าเสมอ” มือที่มีริ้วรอยแห่งวัยของคุณหญิงกชมลยื่นไปลูบหัวหลานรักทั้งสองคน ห่างออกไปข้างๆ เป็นมารดาของทั้งสองที่นั่งน้ำตาซึมโดยมีสามีกอดปลอบอยู่ข้างๆ
“นี่ของขวัญจากย่า” กล่องของขวัญกล่องสี่เหลี่ยมขนาดฝ่ามือถูกยื่นออกมาให้ทั้งสองคน
“ขอบคุณค่ะคุณย่า/ขอบคุณครับคุณย่า”
“เอาล่ะไปหาพ่อกับแม่เราเถอะ”
“คุณพ่อค่ะ คุณแม่ค่ะ” ฟางเซียนที่หันไปกอดเอวบุพการีทั้งสองคนโดยมีน้องชายของเธอขยับตามมาเงียบๆ
“ทั้งสองคนมานั่งตรงนี้” “แม่กับพ่อขอให้ลูกทั้งสองประสบความสำเร็จในชีวิตขอให้เป็นที่รัก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะอยู่กลับใครให้พบพานแต่ความสุขตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนลูกก็ยังเป็นลูกของแม่กับพ่อเสมอแม่กับพ่อรักลูกมากนะ”
“คุณก็อวยพรให้ลูกแท้ๆ ตัวเองจะมานั่งน้ำตาซึมอย่างงี้ได้ยังไงกัน” พูดไปเธอก็เป็นฝ่ายน้ำตาจะไหลไปตามไม่วายโดนสามีที่อยู่ข้างๆ เอ่ยแซว
“คุณก็ อย่ามาแซวกันนะ”
“นั่นสิคะคุณพ่ออย่าแซวคุณแม่เลย แต่ทุกคนพูดเหมือนเราจะต้องห่างกันยังไงอย่างนั้นเลย”
“ไม่มีอะไรหรอกลูก เอาล่ะเริ่มดึกแล้วแยกย้ายกันได้แล้วล่ะ”
“ครับคุณแม่ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปส่งคุณย่าก่อนลูกขึ้นไปก่อนได้เลย”
“ได้ครับคุณพ่อ” หลังจากแยกย้ายกันไปสองพี่น้องก็พากันเดินขึ้นมาชั้นบนด้วยกัน
“นี่ อี้หลง เป็นอะไรไปทำไมวันนี้พี่รู้สึกว่านายเงียบผิดปกติ” เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของทั้งสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันฟางเซียนอดที่จะเอ่ยขึ้นไม่ได้ เธอสังเกตว่าวันนี้น้องชายของเธอนั้นไม่ค่อยพูดเอาเสียเลยจากปกติที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว วันนี้หากไม่มีคนถามเธอแทบจะไม่ได้ยินเสียงเขาเลย
“ฟางเซียน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมา
“หืม บอกพี่สาวคนนี้สินายเป็นอะไร มีอะไรก็พูดมา”
“ไม่ได้เป็นไร นี่ฟางเซียน….” เขาหันหน้าไปสบตากับพี่สาวที่เกิดก่อนเขาไม่กี่นาทีก่อนที่จะดึงร่างเล็กที่สูงเลยไหล่เขามานิดเดียวของพี่สาวเข้ามาในอ้อมกอด ถึงตั้งแต่โตมาพวกเขาจะไม่ค่อยได้แสดงความรักกันแบบนี้เท่าไหร่นัก ตัวอี้หลงเองนั้นรับรู้ทุกอย่างจากคุณย่าและพ่อแม่ของเขาแล้ว แม้ว่าไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่รับรู้มาเลยแม้แต่น้อยนี่มันยุคสมัยไหนแล้วเรื่องราวแบบนั้นยังมีอยู่อีกหรือ แต่ในใจอีกความรู้สึกหนึ่งกลับค้านไม่ได้ว่าสิ่งที่รู้มานั้นอาจจะเป็นเรื่องจริง
“ผมขอให้พี่มีความสุขมากๆ ไม่ว่าจะยังไง หรืออยู่ที่ไหนกับใครเราก็ยังเป็นพี่น้องกันเสมอที่ตรงนี้ยังมีทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้เธอเสมอรู้ใช่ไหม”
“ทำไมวันนี้ทุกคนพูดอะไรแปลกๆ น่ะ เอาล่ะพี่รับรู้แล้วขอให้นายมีความสุขมากๆ เช่นกันและพี่สาวคนนี้จะยังเป็นพี่สาวของนายเสมอและตลอดไปด้วยเข้าใจไหม” แขนเล็กๆ นั้นโอบกอดตอบแก่น้องชายของเธอ มือที่คอยลูบหลังเหมือนกำลังปลอบเด็กน้อยในวัยเด็กย้อนเข้ามาในความคิดของทั้งคู่อีกครั้ง สักครู่ทั้งสองจึงคลายอ้อมกอดจากกันและกัน
“เข้าห้องไปเถอะเดี๋ยวดึก ฝันดีนะ”
“อื่ม ฝันดีเหมือนกัน พรุ่งนี้อย่าลืมตื่นมาใส่บาตรด้วยกันนะอี้หลง”
“อื่อ ได้สิ” จนรุ่งเช้าที่ทั้งสองคนตื่นมาใส่บาตรด้วยกันกับทุกคนในครอบครัวตั้งแต่เช้าโดยเธอสวมสร้อยข้อมือที่คุณย่ามอบให้เป็นของขวัญมาด้วย และวันนี้เป็นอีกวันที่ทุกคนนั้นไม่มีใครออกไปทำธุระที่ไหนทั้งที่ตอนแรกนั้นเธอคิดว่าวันนี้ทุกคนมีงานแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ทำให้ทั้งครอบครัวนั้นได้ใช้เวลาทำกิจกรรมอยู่ด้วยกันทั้งวัน
เมื่อถึงเวลากลางดึกของวันมาเยือนดวงจันทร์กลมโตส่องสว่างท่ามกลางหมู่เมฆที่ลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่บนท้องฟ้า เป็นเวลาที่ทุกคนในบ้านนั้นยังไม่นอนและได้แต่ภาวนาว่าอย่าพึ่งเป็นคืนนี้เลยต่างกับอีกคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่ไม่ได้รับการบอกกล่าวให้ได้รู้จากทุกคนที่กำลังหลับตาเข้าสู่ห้องนิทราของคืนนี้ ‘ฝันดีนะฟางเซียน ขอให้มีความสุขมากๆ และขอให้ครอบครัวของเธอทุกคนจงพบพานแต่ความสุข’
ราวกับว่าเบื้องบนไม่ฟังคำขอของพวกเขาแสงจันทร์ที่ส่องสว่างในตอนแรกนั้นค่อยๆ มีวงล้อมเจ็ดสีเกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือเกิดเป็นจันทร์ทรงกลดสีรุ้งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แสงนั้นค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนทั้ง 4 คนที่ยืนมองอยู่ตรงระเบียงในคืนนี้ต้องยกแขนขึ้นมาบดบังแสงที่สะท้อนออกมา
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ผ่านไปราวสิบนาทีประตูห้องนอนของผู้อาวุโสของบ้านก็มีเสียงดังขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นว่าคนเคาะนั้นเป็นใคร
“เข้ามาเถอะแม่ยังไม่นอน” ประตูที่เปิดเข้ามาในห้องมีทั้งบุตรชาย สะใภ้และหลานชายของเธอ
“คุณแม่ครับ ยัยฟาง”
“แม่รู้แล้ว” ‘กริ้งงง กริ้งงง’
“แม่ขอรับโทรศัพท์สักครู่” สายที่โทรเข้ามานั้นคือเพื่อนของเธอที่เจอกันเมื่อสองเดือนก่่อนนั่นเอง
“สวัสดีจ้ะจันทร์ เธอโทรมาดึกจัง” “อื่ม ฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้” “ฉันรู้ ขอบใจเธอมากฉันไม่เป็นไรเธอนอนเถอะ” “จ้ะ ไว้ค่อยคุยกันใหม่” ไม่ต้องได้ยินเสียงคู่สนทนาคนในห้องก็รู้ว่าปลายสายนั้นพูดถึงเรื่องใดคนที่นั่งในห้องก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
“ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ มันเหลือเชื่อเกินไปครับคุณย่า”
“สิ่งที่เราไม่เคยพบเห็นไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น เราไม่มีทางรู้ถ้าเรื่องนั้นไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง”
“แยกย้ายกันไปนอนเถอะพรุ่งนี้แม่จะตื่นไปใส่บาตรเสียหน่อย มีใครจะไปกับแม่ไหม” เวลาผ่านไปแต่ห้องนอนกลับเงียบเชียบแม้ในนั้นจะมีคนอยู่ถึงสี่คนก็ตาม จนคนอายุมากสุดอดที่เอ่ยปากขึ้นไม่ได้
“ไปครับ/ไปค่ะคุณแม่”
“ผมด้วยครับคุณย่า”
.
.
.
ณ ห้วงเวลาของเทพดวงชะตา
ฟางเซียนในชุดสีขาวคล้ายชุดจีนโบราณกำไรของคุณย่าที่ให้มานั้นยังติดอยู่ที่ข้อมือของเธอ เธอปรากฏขึ้นที่ศาลากว้างใหญ่แห่งหนึ่งสายลมอ่อนที่พัดมาคล้ายศาลาแห่งนี้นั้นลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ กลางศาลามีเพียงสระน้ำที่ประดับอยู่รอบข้างถูกตกแต่งเพียงเล็กน้อยแต่กลับให้ความรู้สึกสวยงามและลงตัวเป็นอย่างมาก
“มาแล้วหรือนังหนู” ด้านหลังของฟางเซียนปากฎชายชราที่ทั้งผมและหนวดเป็นสีขาวยาวมาจนถึงเอวขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว
“อ่ะ ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้ารอเจ้าอยู่ก่อนแล้ว”
“รอหนูหรือคะ รอทำไมหรือคะแล้วคุณรู้จักหนูหรือคะ”
“มานั่งก่อนสิ” ชายชราวาดมือไปต่อหน้าเธอครั้งหนึ่งปรากฏเป็นโต๊ะ เก้าอี้และชุดน้ำชาขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้นั้น
“นั่งลงสิ เดี๋ยวรออีกคนมาถึงก่อนแล้วข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังทีเดียว”
“อีกคนหรือคะ” ไม่นานก็มีร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นอีกฟากหนึ่งของบ่อน้ำจากจุดที่เธอนั่งอยู่เป็นเด็กคนนั้นคนที่เธอเคยฝันถึงมาก่อนทุกอย่างดำเนินไปโดยที่ฟางเซียนนั้นยังคิดว่าเธออยู่ในฝันของเธอเช่นทุกครั้งจนชายชราที่ให้พวกเธอเรียกว่าท่านปู่คนนั้นเล่าทุกอย่างจบลง
ที่ที่เธออยู่ในตอนนี้คือห้วงเวลาของเทพดวงชะตาและท่านปู่คนนั้นก็คือเทพดวงชะตาที่ว่านั้น ใจความที่เธอพอจะจับได้นอกเหนือจากความตกใจคือทั้งเธอและเด็กคนนั้นมีชื่อว่า ฟางเซียนเหมือนกันเธอทั้งสองคนคือคนที่มีดวงจิตดวงเดียวกันมาก่อน เพียงแต่ช่วงเวลาที่ต้องส่งนางลงไปเกิดในภพภูมิใหม่นั้นระหว่างนั้นเกิดความผิดพลาดขึ้นเนื่องจากพลังของท่านเทพที่ส่งไปยังดวงจิตของนางนั้นขาดช่วงไปทำให้ดวงจิตเดิมนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนและกระจายออกไปคนละภพโดยไม่อาจทำอะไรได้
จนบัดนี้ถึงเวลาที่ดวงจิตทั้งสองนั้นจะกลับมารวมเป็นหนึ่งแล้วดวงจิตของเธอจึงถูกดึงกลับมาและตัวตนของเธอในโลกที่เธออยู่นั้นไม่มีอีกแล้วเป็นเพียงความทรงจำที่เลือนรางของคนรุ่นหลังด้วยเวลาที่โลกนั้นเดินเร็วกว่าที่นี่เป็นเท่าตัว อีกทั้งตัวเองเมื่อคิดย้อนกลับไปช่วงเวลาก่อนที่เธอจะจากมานั้นคำพูดของทุกคนนั้นราวกับว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเธอนั้นต้องจากมา ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามเธอขอให้ทุกคนที่อยู่ทางนั้นล้วนแต่สุขสบายดีกันทุกคนถึงเธอจะอยากกลับไปแค่ไหนก็คงไม่ได้แล้ว เพียงแค่ต้องทำใจยอมรับให้ได้เท่านั้น
“แล้วครอบครัวของหนูล่ะคะ” สิ่งเดียวที่ติดในใจอยู่คือเป็นห่วงคนทางนั้นจึงอดถามออกไปไม่ได้
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงครอบครัวของเจ้าทางนั้นล้วนสุขสบายดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะค่ะ” พอได้คำตอบที่พึงพอใจแล้วเธอก็หันไปสบตากับเด็กคนนั้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอตั้งแต่นั่งฟังเรื่องราวทุกอย่างด้วยกันมายังไม่มีโอกาสพูดคุยกันสักคำ
“ได้เจอกันเสียทีนะเจ้าค่ะ เดิมทีข้าคิดว่าท่านเป็นเพียงความฝันของข้าเท่านั้นไม่คิดว่าท่านเองก็เป็นส่วนหนึ่งของข้า”
“ฉันก็เช่นกัน ไม่คิดว่าคนที่เคยฝันเห็นนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของฉันเช่นกัน”
“ข้ามีเรื่องอยากสอบถามท่านได้หรือไม่”
“ว่ามาสิหากข้าตอบได้ข้าย่อมตอบพวกเจ้า”
“ข้าอยากรู้ว่าหากพวกข้าหลอมรวมดวงจิตเข้าด้วยกันแล้วความทรงจำของพวกข้าจะยังอยู่หรือไม่เจ้าค่ะ”
“เมื่อดวงจิตถูกหลอมรวมแล้วความรู้สึก ความรู้และความทรงจำของพวกเจ้าย่อมรวมเป็นหนึ่งไม่ได้สูญหายไป เจ้าจะรับรู้เรื่องราวทุกอย่างเพราะต่อไปหลังจากนี้พวกเจ้าคือคนคนเดียวกันที่เกิดจากดวงจิตเพียงดวงเดียว”
“เอาล่ะถึงเวลาที่ข้าจะหลอมดวงจิตพวกเจ้าเข้าด้วยกันแล้วเดินเข้าไปยืนที่กลางบ่อน้ำนั่นสิ”
“ฝากเจ้าด้วยฟางเซียน ต่อจากนี้ฉันคือเธอ และเธอก็คือฉัน”
“ฝากท่านด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ ข้าคือท่านและท่านก็คือข้า” จากนั้นทั้งสองคนก็จูงมือกันเดินเข้าไปยังกลางสระน้ำที่อยู่กลางศาลาแห่งนี้
เมื่อก้าวเข้าสู่ใจกลางสระน้ำแล้วแสงสว่างจ้าก็เกิดขึ้นรอบๆ ตัวทั้งสองคนหากเป็นคนทั่วไปไปก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านเข้าไปได้ร่างทั้งสองที่อยู่กลางสระน้ำในตอนนี้เหลือเพียงหญิงสาววัย 15 หนาวใบหน้าเล็กขาวใสดวงตาโตแวววาวเหมือนลูกกวางผิวขาวราวกับมุก ผมดำขลับดุจแพรไหมที่ยาวจนถึงเอว ส่วนสูงที่ดูสูงกว่าหญิงสาววัยเดียวกันรูปร่างเพรียวบางน่าทะนุถนอม ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นหญิงสาวโตเต็มวัยที่งามล่มเมืองเลยทีเดียว
“เจ้าเดินออกมาได้แล้ว”
“ท่านปู่ ข้า…” ฟางเซียนที่ตอนนี้มีความทรงจำทั้งสองภพยืนสำรวจตัวเองพลางคิดว่าเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้ตอนนี้เธอจะอยู่ในร่างของเด็ก 15 หนาวก็ตาม
.
.
.
…………
คุยกัน…. โดยความคิดส่วนตัวของผู้เขียนนะคะ จากกันโดยที่มีโอกาสได้ล่ำลาย่อมดีกว่าอย่างน้อยก็มีเวลาอยู่ด้วยกัน ได้พูดคุย ได้มีช่วงเวลาดีดีก่อนที่จะจากกัน ดีกว่าหายไปแบบไม่มีใครรู้ตัว หายไปแบบ เพิ่งพูดคุยกันอยู่ดีๆ มาอีกวันกลับไม่อยู่แล้วโดยไม่ได้พูดคุยกันเลย ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นจะจางหายไปจากความทรงจำก็ตาม
ปล. เราไม่เก่งเรื่องคำที่ใช้บรรยายเท่าไหร่ แต่อยากสื่อให้เข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้มากที่สุดนะคะ
ความคิดเห็น