ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์ลักขณา (涵芳仙)

    ลำดับตอนที่ #4 : หลอมรวมดวงจิต

    • อัปเดตล่าสุด 26 ธ.ค. 64


    ‘เด็กที่เกิดมาหนึ่งชายคือคนที่เหมือนดังฟ้าประทานให้ หนึ่งหญิงสูงส่งแต่เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของดวงจิตที่พลัดหลงมา ถึงเวลาก็ต้องกลับไป’

    ‘ท่านหมายความว่ายังไงหรือคะ’

    ‘เมื่อถึงเวลาโยมก็จะรู้เอง’

    คำพูดของพระอาจารย์รูปหนึ่งที่ คุณหญิงกชมล พรเพ็ญพิระยะ นับถือเคยพูดไว้เมื่อครั้งเธอไปขอฤกษ์มงคลให้กับลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอหลังจากนั้นก็ได้แต่เก็บไว้ในใจโดยที่ตอนนั้นท่านเองก็ได้แต่เล่าให้ลูกชายและลูกสะใภ้ฟังจวบจนลูกสะใภ้นั้นคลอดหลานแฝดชายหญิงออกมาทำให้เธอหวนนึกถึงคำพูดนั้นครั้งหนึ่งเพียงแต่หลังจากนั้นไม่ได้มีอะไรที่ทำให้นึกถึงได้อีกเพียงแต่มันก็อยู่ในใจของคนในครอบครัวเธอเรื่อยมา

    จนกระทั่งวันนี้เวลาที่ล่วงเลยมาจนหลานของเธออายุ 26 ปีและจะเข้าปีที่ 27 ในอีกสองเดือนข้างหน้านี้แล้ว

    “ทุกอย่างล้วนเป็นชะตาของเด็กคนนั้น ในคืนที่พระจันทร์ทรงกลดหลังเธออายุครบ 27 ปี และฉันบอกได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเธอจะมีความสุขและสบายดีอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าฉันบอกได้แค่นี้” คำพูดของทั้งเพื่อนเธอและพระอาจารย์ท่านนั้นยังวนเวียนอยู่ในความคิดของคุณหญิงกชมลจนฟางเซียนที่เดินออกไปส่งเพื่อนเธอขึ้นรถกลับเข้ามาแล้วเธอก็ยังไม่รับรู้การมาถึงของหลานสาว

    ‘อีกสองเดือนอย่างนั้นหรือ’ เสียงพูดกับตัวเองดังขึ้นอย่างแผ่วเบาจนคนที่เดินเข้ามานั้นยังได้ยินไม่ชัด

    “คุณย่าค่ะ คุณย่า คุณย่าค่ะ” ฟางเซียนที่เดินกลับมาที่โต๊ะเห็นคุณย่าของเธอนั่งนิ่งอยู่จึงเข้าไปเรียกกลัวว่าท่านจะเป็นอะไรไป

    “ห่ะ ฟางเองหรือลูกส่งย่าจันทร์เสร็จแล้วหรือ”

    “ค่ะ ฟางเองค่ะคุณย่าเป็นอะไรรึเปล่าค่ะฟางเรียกตั้งนานแล้วเมื่อกี้คุณย่าพูดว่ายังไงนะคะฟางฟังไม่ถนัด”

    “ไม่มีอะไรหรอกลูกแค่นั่งคิดอะไรเพลินไปหน่อย ย่าไม่เป็นไร”

    “คุณย่าแน่ใจนะคะ หนูว่าไปพักในห้องสักหน่อยดีกว่าไหมคะ”

    “งั้นก็พาย่าเข้าไปเถอะ ขอเอนหลังสักหน่อยพอคนในร้านเริ่มซาแล้วเดี๋ยวย่าพาออกมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก”

    “ไปค่ะ หนูพยุงคุณย่าเข้าไปนะคะ” เหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านล่วงเลยไปคุณหญิงกชมลเองก็ได้เล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอมาให้ลูกชายและลูกสะใภ้ได้รับรู้เช่นเดียวกัน

    “ที่คุณแม่พูดมาเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือคะ”

    “ใช่จ๊ะ ถึงพูดไปเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้ แต่แม่รู้จักกับจันทร์มานานแล้วและรู้ด้วยว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นเรื่องจริงเสมอ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเราเหลือเวลาอีกแค่ 2 เดือนเท่านั้นหรือครับคุณแม่” คุณไรวินทร์ที่นั่งฟังมารดากับภรรยาพูดคุยกันอยู่นั้นเอ่ยถามขึ้น

    “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่บอกมาก็แค่เป็นวันที่เกิดพระจันทร์ทรงกลดหลังวันเกิดยัยฟางเท่านั้น”

    “โถ่วว ยัยฟางลูกแม่”

    “แม่รดีทำใจเสียเถอะ เราไม่สามารถรั้งดวงชะตาของใครได้หลังจากนี้แค่ใช่เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็พอแล้ว” ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์นี้ไม่มีคนเสียใจเมื่อโชคชะตาถูกกำหนดมาไว้แบบนั้นหากฝืนแล้วทำให้คนของพวกเขาลำบากมากกว่าเดิมก็ควรปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เมื่อมาให้รัก มาให้ผูกพัน ก็จะอยู่ในความทรงจำของกันและกันตลอดไป

    “แล้วเราจะบอกเรื่องนี้กับอี้หลงไหมคะ คุณแม่ คุณวินทร์”

    “แม่ว่าคงต้องบอกให้รู้นั่นแหละ” จนพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบ 27 ปี ของบ้านพรเพ็ญพิระยะซึ่งวันนี้มีการจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้กับทั้งสองคนไม่ได้จัดใหญ่โตอะไรเป็นเพียงงานเลี้ยงเล็กๆ ของคนในครอบครัวเท่านั้นเพราะหลังจากนี้ใครจะแยกย้ายออกไปสังสรรค์กับเพื่อฝูงหรือหลานชายมีงานเลี้ยงกับคู่ค้าค่อยว่ากันอีกที อีกทั้งหลังจากวันนี้หากทั้งคู่ครบ 27 ปีเต็มแล้วไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หากมีโอกาสได้พูดความในใจจะดีกว่า หลังจากทานข้าวกันเรียบร้อยแล้วทุกคนจึงย้ายมานั่งกันที่ห้องนั่งเล่นของบ้าน

    “พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของหลานย่าขอให้ทั้งสองคนมีความสุขมากๆ ขอพรอันยิ่งใหญ่จงบันดาลให้หลานทั้งสองประสบความสำเร็จไม่ว่าจะทำสิ่งใด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและให้จำไว้ว่าไม่ว่าเราจะอยู่ใกล้หรือใกล้หลานก็ยังเป็นหลานของย่าเสมอ” มือที่มีริ้วรอยแห่งวัยของคุณหญิงกชมลยื่นไปลูบหัวหลานรักทั้งสองคน ห่างออกไปข้างๆ เป็นมารดาของทั้งสองที่นั่งน้ำตาซึมโดยมีสามีกอดปลอบอยู่ข้างๆ

    “นี่ของขวัญจากย่า” กล่องของขวัญกล่องสี่เหลี่ยมขนาดฝ่ามือถูกยื่นออกมาให้ทั้งสองคน

    “ขอบคุณค่ะคุณย่า/ขอบคุณครับคุณย่า”

    “เอาล่ะไปหาพ่อกับแม่เราเถอะ”

    “คุณพ่อค่ะ คุณแม่ค่ะ” ฟางเซียนที่หันไปกอดเอวบุพการีทั้งสองคนโดยมีน้องชายของเธอขยับตามมาเงียบๆ

    “ทั้งสองคนมานั่งตรงนี้” “แม่กับพ่อขอให้ลูกทั้งสองประสบความสำเร็จในชีวิตขอให้เป็นที่รัก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะอยู่กลับใครให้พบพานแต่ความสุขตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนลูกก็ยังเป็นลูกของแม่กับพ่อเสมอแม่กับพ่อรักลูกมากนะ”

    “คุณก็อวยพรให้ลูกแท้ๆ ตัวเองจะมานั่งน้ำตาซึมอย่างงี้ได้ยังไงกัน” พูดไปเธอก็เป็นฝ่ายน้ำตาจะไหลไปตามไม่วายโดนสามีที่อยู่ข้างๆ เอ่ยแซว

    “คุณก็ อย่ามาแซวกันนะ”

    “นั่นสิคะคุณพ่ออย่าแซวคุณแม่เลย แต่ทุกคนพูดเหมือนเราจะต้องห่างกันยังไงอย่างนั้นเลย”

    “ไม่มีอะไรหรอกลูก เอาล่ะเริ่มดึกแล้วแยกย้ายกันได้แล้วล่ะ”

    “ครับคุณแม่ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปส่งคุณย่าก่อนลูกขึ้นไปก่อนได้เลย”

    “ได้ครับคุณพ่อ” หลังจากแยกย้ายกันไปสองพี่น้องก็พากันเดินขึ้นมาชั้นบนด้วยกัน

    “นี่ อี้หลง เป็นอะไรไปทำไมวันนี้พี่รู้สึกว่านายเงียบผิดปกติ” เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของทั้งสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันฟางเซียนอดที่จะเอ่ยขึ้นไม่ได้ เธอสังเกตว่าวันนี้น้องชายของเธอนั้นไม่ค่อยพูดเอาเสียเลยจากปกติที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว วันนี้หากไม่มีคนถามเธอแทบจะไม่ได้ยินเสียงเขาเลย

    “ฟางเซียน” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมา

    “หืม บอกพี่สาวคนนี้สินายเป็นอะไร มีอะไรก็พูดมา”

    “ไม่ได้เป็นไร นี่ฟางเซียน….” เขาหันหน้าไปสบตากับพี่สาวที่เกิดก่อนเขาไม่กี่นาทีก่อนที่จะดึงร่างเล็กที่สูงเลยไหล่เขามานิดเดียวของพี่สาวเข้ามาในอ้อมกอด ถึงตั้งแต่โตมาพวกเขาจะไม่ค่อยได้แสดงความรักกันแบบนี้เท่าไหร่นัก ตัวอี้หลงเองนั้นรับรู้ทุกอย่างจากคุณย่าและพ่อแม่ของเขาแล้ว แม้ว่าไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่รับรู้มาเลยแม้แต่น้อยนี่มันยุคสมัยไหนแล้วเรื่องราวแบบนั้นยังมีอยู่อีกหรือ แต่ในใจอีกความรู้สึกหนึ่งกลับค้านไม่ได้ว่าสิ่งที่รู้มานั้นอาจจะเป็นเรื่องจริง

    “ผมขอให้พี่มีความสุขมากๆ ไม่ว่าจะยังไง หรืออยู่ที่ไหนกับใครเราก็ยังเป็นพี่น้องกันเสมอที่ตรงนี้ยังมีทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจให้เธอเสมอรู้ใช่ไหม”

    “ทำไมวันนี้ทุกคนพูดอะไรแปลกๆ น่ะ เอาล่ะพี่รับรู้แล้วขอให้นายมีความสุขมากๆ เช่นกันและพี่สาวคนนี้จะยังเป็นพี่สาวของนายเสมอและตลอดไปด้วยเข้าใจไหม” แขนเล็กๆ นั้นโอบกอดตอบแก่น้องชายของเธอ มือที่คอยลูบหลังเหมือนกำลังปลอบเด็กน้อยในวัยเด็กย้อนเข้ามาในความคิดของทั้งคู่อีกครั้ง สักครู่ทั้งสองจึงคลายอ้อมกอดจากกันและกัน

    “เข้าห้องไปเถอะเดี๋ยวดึก ฝันดีนะ”

    “อื่ม ฝันดีเหมือนกัน พรุ่งนี้อย่าลืมตื่นมาใส่บาตรด้วยกันนะอี้หลง”

    “อื่อ ได้สิ” จนรุ่งเช้าที่ทั้งสองคนตื่นมาใส่บาตรด้วยกันกับทุกคนในครอบครัวตั้งแต่เช้าโดยเธอสวมสร้อยข้อมือที่คุณย่ามอบให้เป็นของขวัญมาด้วย และวันนี้เป็นอีกวันที่ทุกคนนั้นไม่มีใครออกไปทำธุระที่ไหนทั้งที่ตอนแรกนั้นเธอคิดว่าวันนี้ทุกคนมีงานแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร ทำให้ทั้งครอบครัวนั้นได้ใช้เวลาทำกิจกรรมอยู่ด้วยกันทั้งวัน

    เมื่อถึงเวลากลางดึกของวันมาเยือนดวงจันทร์กลมโตส่องสว่างท่ามกลางหมู่เมฆที่ลอยเอื่อยเฉื่อยอยู่บนท้องฟ้า เป็นเวลาที่ทุกคนในบ้านนั้นยังไม่นอนและได้แต่ภาวนาว่าอย่าพึ่งเป็นคืนนี้เลยต่างกับอีกคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่ไม่ได้รับการบอกกล่าวให้ได้รู้จากทุกคนที่กำลังหลับตาเข้าสู่ห้องนิทราของคืนนี้ ‘ฝันดีนะฟางเซียน ขอให้มีความสุขมากๆ และขอให้ครอบครัวของเธอทุกคนจงพบพานแต่ความสุข’

    ราวกับว่าเบื้องบนไม่ฟังคำขอของพวกเขาแสงจันทร์ที่ส่องสว่างในตอนแรกนั้นค่อยๆ มีวงล้อมเจ็ดสีเกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือเกิดเป็นจันทร์ทรงกลดสีรุ้งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แสงนั้นค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนทั้ง 4 คนที่ยืนมองอยู่ตรงระเบียงในคืนนี้ต้องยกแขนขึ้นมาบดบังแสงที่สะท้อนออกมา

    ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ผ่านไปราวสิบนาทีประตูห้องนอนของผู้อาวุโสของบ้านก็มีเสียงดังขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นว่าคนเคาะนั้นเป็นใคร

    “เข้ามาเถอะแม่ยังไม่นอน” ประตูที่เปิดเข้ามาในห้องมีทั้งบุตรชาย สะใภ้และหลานชายของเธอ

    “คุณแม่ครับ ยัยฟาง”

    “แม่รู้แล้ว” ‘กริ้งงง กริ้งงง’

    “แม่ขอรับโทรศัพท์สักครู่” สายที่โทรเข้ามานั้นคือเพื่อนของเธอที่เจอกันเมื่อสองเดือนก่่อนนั่นเอง

    “สวัสดีจ้ะจันทร์ เธอโทรมาดึกจัง” “อื่ม ฉันก็ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้” “ฉันรู้ ขอบใจเธอมากฉันไม่เป็นไรเธอนอนเถอะ” “จ้ะ ไว้ค่อยคุยกันใหม่” ไม่ต้องได้ยินเสียงคู่สนทนาคนในห้องก็รู้ว่าปลายสายนั้นพูดถึงเรื่องใดคนที่นั่งในห้องก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา

    “ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงๆ มันเหลือเชื่อเกินไปครับคุณย่า”

    “สิ่งที่เราไม่เคยพบเห็นไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น เราไม่มีทางรู้ถ้าเรื่องนั้นไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง”

    “แยกย้ายกันไปนอนเถอะพรุ่งนี้แม่จะตื่นไปใส่บาตรเสียหน่อย มีใครจะไปกับแม่ไหม” เวลาผ่านไปแต่ห้องนอนกลับเงียบเชียบแม้ในนั้นจะมีคนอยู่ถึงสี่คนก็ตาม จนคนอายุมากสุดอดที่เอ่ยปากขึ้นไม่ได้

    “ไปครับ/ไปค่ะคุณแม่”

    “ผมด้วยครับคุณย่า”

    .

    .

    .

    ณ ห้วงเวลาของเทพดวงชะตา

    ฟางเซียนในชุดสีขาวคล้ายชุดจีนโบราณกำไรของคุณย่าที่ให้มานั้นยังติดอยู่ที่ข้อมือของเธอ เธอปรากฏขึ้นที่ศาลากว้างใหญ่แห่งหนึ่งสายลมอ่อนที่พัดมาคล้ายศาลาแห่งนี้นั้นลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ กลางศาลามีเพียงสระน้ำที่ประดับอยู่รอบข้างถูกตกแต่งเพียงเล็กน้อยแต่กลับให้ความรู้สึกสวยงามและลงตัวเป็นอย่างมาก

    “มาแล้วหรือนังหนู” ด้านหลังของฟางเซียนปากฎชายชราที่ทั้งผมและหนวดเป็นสีขาวยาวมาจนถึงเอวขึ้นโดยที่เธอไม่รู้ตัว

    “อ่ะ ขอโทษค่ะ”

    “ไม่เป็นไร ข้ารอเจ้าอยู่ก่อนแล้ว”

    “รอหนูหรือคะ รอทำไมหรือคะแล้วคุณรู้จักหนูหรือคะ”

    “มานั่งก่อนสิ” ชายชราวาดมือไปต่อหน้าเธอครั้งหนึ่งปรากฏเป็นโต๊ะ เก้าอี้และชุดน้ำชาขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้นั้น

    “นั่งลงสิ เดี๋ยวรออีกคนมาถึงก่อนแล้วข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังทีเดียว”

    “อีกคนหรือคะ” ไม่นานก็มีร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นอีกฟากหนึ่งของบ่อน้ำจากจุดที่เธอนั่งอยู่เป็นเด็กคนนั้นคนที่เธอเคยฝันถึงมาก่อนทุกอย่างดำเนินไปโดยที่ฟางเซียนนั้นยังคิดว่าเธออยู่ในฝันของเธอเช่นทุกครั้งจนชายชราที่ให้พวกเธอเรียกว่าท่านปู่คนนั้นเล่าทุกอย่างจบลง

    ที่ที่เธออยู่ในตอนนี้คือห้วงเวลาของเทพดวงชะตาและท่านปู่คนนั้นก็คือเทพดวงชะตาที่ว่านั้น ใจความที่เธอพอจะจับได้นอกเหนือจากความตกใจคือทั้งเธอและเด็กคนนั้นมีชื่อว่า ฟางเซียนเหมือนกันเธอทั้งสองคนคือคนที่มีดวงจิตดวงเดียวกันมาก่อน เพียงแต่ช่วงเวลาที่ต้องส่งนางลงไปเกิดในภพภูมิใหม่นั้นระหว่างนั้นเกิดความผิดพลาดขึ้นเนื่องจากพลังของท่านเทพที่ส่งไปยังดวงจิตของนางนั้นขาดช่วงไปทำให้ดวงจิตเดิมนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนและกระจายออกไปคนละภพโดยไม่อาจทำอะไรได้

    จนบัดนี้ถึงเวลาที่ดวงจิตทั้งสองนั้นจะกลับมารวมเป็นหนึ่งแล้วดวงจิตของเธอจึงถูกดึงกลับมาและตัวตนของเธอในโลกที่เธออยู่นั้นไม่มีอีกแล้วเป็นเพียงความทรงจำที่เลือนรางของคนรุ่นหลังด้วยเวลาที่โลกนั้นเดินเร็วกว่าที่นี่เป็นเท่าตัว อีกทั้งตัวเองเมื่อคิดย้อนกลับไปช่วงเวลาก่อนที่เธอจะจากมานั้นคำพูดของทุกคนนั้นราวกับว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเธอนั้นต้องจากมา ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตามเธอขอให้ทุกคนที่อยู่ทางนั้นล้วนแต่สุขสบายดีกันทุกคนถึงเธอจะอยากกลับไปแค่ไหนก็คงไม่ได้แล้ว เพียงแค่ต้องทำใจยอมรับให้ได้เท่านั้น

    “แล้วครอบครัวของหนูล่ะคะ” สิ่งเดียวที่ติดในใจอยู่คือเป็นห่วงคนทางนั้นจึงอดถามออกไปไม่ได้

    “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงครอบครัวของเจ้าทางนั้นล้วนสุขสบายดี”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วล่ะค่ะ” พอได้คำตอบที่พึงพอใจแล้วเธอก็หันไปสบตากับเด็กคนนั้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอตั้งแต่นั่งฟังเรื่องราวทุกอย่างด้วยกันมายังไม่มีโอกาสพูดคุยกันสักคำ

    “ได้เจอกันเสียทีนะเจ้าค่ะ เดิมทีข้าคิดว่าท่านเป็นเพียงความฝันของข้าเท่านั้นไม่คิดว่าท่านเองก็เป็นส่วนหนึ่งของข้า”

    “ฉันก็เช่นกัน ไม่คิดว่าคนที่เคยฝันเห็นนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของฉันเช่นกัน”

    “ข้ามีเรื่องอยากสอบถามท่านได้หรือไม่”

    “ว่ามาสิหากข้าตอบได้ข้าย่อมตอบพวกเจ้า”

    “ข้าอยากรู้ว่าหากพวกข้าหลอมรวมดวงจิตเข้าด้วยกันแล้วความทรงจำของพวกข้าจะยังอยู่หรือไม่เจ้าค่ะ”

    “เมื่อดวงจิตถูกหลอมรวมแล้วความรู้สึก ความรู้และความทรงจำของพวกเจ้าย่อมรวมเป็นหนึ่งไม่ได้สูญหายไป เจ้าจะรับรู้เรื่องราวทุกอย่างเพราะต่อไปหลังจากนี้พวกเจ้าคือคนคนเดียวกันที่เกิดจากดวงจิตเพียงดวงเดียว”

    “เอาล่ะถึงเวลาที่ข้าจะหลอมดวงจิตพวกเจ้าเข้าด้วยกันแล้วเดินเข้าไปยืนที่กลางบ่อน้ำนั่นสิ”

    “ฝากเจ้าด้วยฟางเซียน ต่อจากนี้ฉันคือเธอ และเธอก็คือฉัน”

    “ฝากท่านด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ ข้าคือท่านและท่านก็คือข้า” จากนั้นทั้งสองคนก็จูงมือกันเดินเข้าไปยังกลางสระน้ำที่อยู่กลางศาลาแห่งนี้

    เมื่อก้าวเข้าสู่ใจกลางสระน้ำแล้วแสงสว่างจ้าก็เกิดขึ้นรอบๆ ตัวทั้งสองคนหากเป็นคนทั่วไปไปก็ไม่สามารถมองทะลุผ่านเข้าไปได้ร่างทั้งสองที่อยู่กลางสระน้ำในตอนนี้เหลือเพียงหญิงสาววัย 15 หนาวใบหน้าเล็กขาวใสดวงตาโตแวววาวเหมือนลูกกวางผิวขาวราวกับมุก ผมดำขลับดุจแพรไหมที่ยาวจนถึงเอว ส่วนสูงที่ดูสูงกว่าหญิงสาววัยเดียวกันรูปร่างเพรียวบางน่าทะนุถนอม ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นหญิงสาวโตเต็มวัยที่งามล่มเมืองเลยทีเดียว

    “เจ้าเดินออกมาได้แล้ว”

    “ท่านปู่ ข้า…” ฟางเซียนที่ตอนนี้มีความทรงจำทั้งสองภพยืนสำรวจตัวเองพลางคิดว่าเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้ตอนนี้เธอจะอยู่ในร่างของเด็ก 15 หนาวก็ตาม

    .

    .

    .

    …………

    คุยกัน…. โดยความคิดส่วนตัวของผู้เขียนนะคะ จากกันโดยที่มีโอกาสได้ล่ำลาย่อมดีกว่าอย่างน้อยก็มีเวลาอยู่ด้วยกัน ได้พูดคุย ได้มีช่วงเวลาดีดีก่อนที่จะจากกัน ดีกว่าหายไปแบบไม่มีใครรู้ตัว หายไปแบบ เพิ่งพูดคุยกันอยู่ดีๆ มาอีกวันกลับไม่อยู่แล้วโดยไม่ได้พูดคุยกันเลย ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นจะจางหายไปจากความทรงจำก็ตาม

    ปล. เราไม่เก่งเรื่องคำที่ใช้บรรยายเท่าไหร่ แต่อยากสื่อให้เข้าใจความรู้สึกของตัวละครได้มากที่สุดนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×