ตอนที่ 8 : หนี้บุญคุณ มิสู้ดูแลเปิ่นหวางย่อมดีกว่า (รีไรต์)
จางซูหนี่ว์เผลอเหลือบสายตาไปทางบุรุษสูงศักดิ์ที่อยู่ตรงหน้า ก็บังเอิญได้สบสายตากับจวิ้นอ๋องที่มองนางอยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรกันล่ะ...เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าเจ้าของนัยน์ตาคมกริบคู่นั้น ดูไม่น่าไว้ใจขึ้นมาเสียดื้อๆ หากตานางไม่ได้ฝาดเหมือนจะเห็นคนตรงหน้านั้นแอบยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยที่มุมปากด้วย ก่อนที่จะมลายหายไป
ทว่าผู้อื่นจะสังเกตุเห็นหรือไม่นั้นนางก็มิอาจรู้ได้ เพราะหนวดเครานั้นก็บดบังอยู่ไม่น้อย แต่คนที่กำลังปะทะสายตากันอยู่อย่างเงียบๆ อย่างนางนั้นทันได้เห็นแน่นอน
" เสนาบดีจาง จางฮูหยิน เปิ่นหวางมาใคร่ครวญอีกที คำนึงถึงเหตุและผลแล้วนั้น แม้จะมิอยากเอาความใด หากแต่บาดแผลนั้นก็ได้ปรากฏอยู่ที่หน้าผากของเปิ่นหวางเด่นชัด อีกทั้งวันพรุ่งเปิ่นหวางต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสียด้วย บาดแผลนี้ย่อมเป็นที่สังเกตุเห็นได้ง่ายนัก ไม่แน่ว่าอาจจะทรงตรัสถามเปิ่นหวางถึงที่มาของบาดแผลก็เป็นได้ ซึ่งก็คงต้องทูลตอบฝ่าบาทไปตามตรงมิอาจปิดบังเบื้องสูงได้ แล้วท่านทราบใช่หรือไม่ว่าโทษทำร้ายเชื้อพระวงศ์นั้นมีโทษสถานใด "
มู่หรงหย่งหมิง เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้งตามแผนการในใจที่เพิ่งคิดขึ้นมาได้เมื่อครู่นี้เอง พลางวางสีหน้าลำบากใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งก็ได้ผลเมื่อนำพระบิดาของเขาเข้ามามีเอี่ยวในเรื่องนี้ด้วย เสนาบดีจางและฮูหยิน รวมถึงสตรีนางนั้นที่แอบปะทะสายตากับเขาอยู่ในที บัดนี้หน้าเสียไปกว่าเมื่อครู่อยู่มาก
จางฮุ่ยหรานหันไปมองผู้เป็นนายอย่างนึกฉงนใจอยู่ไม่น้อย อย่างจวิ้นอ๋องน่ะหรือไม่กล้าปิดบังฝ่าบาท เท่าที่รู้จักกันมาผู้เป็นนายของเขาไม่ใช่คนที่เคร่งครัดอะไรเพียงนั้น เรื่องนี้จะบอกปัดไปว่าบาดแผลนั้นเกิดจากการต่อสู้กับกบฏก็ย่อมได้ผู้ใดจะไปรู้ ซึ่งคราแรกเขาก็เดาไว้ว่าอย่างนั้น
หากแต่จวิ้นอ๋องกล่าวมาเช่นนี้ คงมีแผนการบางอย่างเป็นแน่ แต่มันคืออะไรล่ะ!! เหลือบไปมองน้องสาวที่ไม่ได้เจอกันอยู่นานหลายเดือน นับจากวันที่เขาช่วยนางจากการพยายามฆ่าตัวตายในวันนั้น ก็เพิ่งจะได้กลับมาพบกันอีกครั้งในวันนี้
เพราะหลังจากวันนั้นไม่กี่วัน เขาก็ต้องติดตามจวิ้นอ๋องไปปราบกบฏที่ชายแดนอยู่นาน กลับมาครั้งนี้เห็นนางเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ก็ให้ประหลาดใจนักราวกับมิใช่จางซูหนี่ว์ผู้อ่อนแอและขี้อายคนเดิม
ดูอย่างตอนนี้เถิด...เห็นนางคิ้วขมวดสายตาเขม็งมองจวิ้นอ๋องอย่างข้องใจ แม้จะยังสำรวมกิริยาอาการ หากแต่ก็เปลี่ยนไปจากน้องสาวคนเดิมอยู่มาก
เพราะหากเป็นเมื่อก่อนป่านนี้คงน้ำตาปริ่ม ตกใจจนอาจเป็นลมไปแล้วก็ได้ แต่ขณะนี้นางเป็นเช่นนี้ก็ดีเข้มแข็งขึ้นมาก ซึ่งคิดถึงตอนนี้ก็ไม่อาจล่วงรู้ความในใจของจวิ้นอ๋องว่ามีแผนใด จึงกล่าวกับบิดามารดาเขาเช่นนั้น หากแต่ผู้รับผลคงไม่แคล้วน้องสาวของเขาเป็นแน่....
" ขอจวิ้นอ๋องทรงเมตตาช่วยเหลือสกุลจางสักครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ "
เสนาบดีจางรีบทูลขอร้องจวิ้นอ๋องทันที
" มิต้องกังวลไป เปิ่นหวางจะทูลฝ่าบาทตามความเป็นจริง และทูลด้วยว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ส่วนเรื่องทำร้ายร่างกายเปิ่นหวางนั้น....อืมมม "
มู่หรงหย่งหมิงทำท่าคิดอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นทุกคนรอฟังเขาอยู่จึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการอยู่พอสมควร
" เพื่อไม่ให้ผู้อื่นต่อว่าสกุลจางเอาได้ เอาเป็นว่าที่ท่านเสนาบดีกล่าวว่าติดหนี้บุญคุณเปิ่นหวางนั้น มิสู้ให้คุณหนูจางมาคอยดูแลเปิ่นหวางจนกว่าจะหายดี ย่อมดีกว่าหรือไม่ "
" หาาา เอ่อ...จวิ้นอ๋องรับสั่งว่าอย่างไรนะเพคะ "
จางซูหนี่ว์เผลออุทาน หากแต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบสำรวมกิริยาอาการ และเอ่ยถามบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้านั้นอีกครั้ง ลางทีนางอาจจะหูเฝื่อนไปเองก็ได้ เนื่องจากได้ยินว่าให้นางไปคอยดูแลบุรุษตรงหน้า ก็ไหนบอกว่าจะไม่เอาเรื่อง แล้วจะต้องคอยดูแลทำไมกัน แผลก็ใช่ว่าจะหนักหนาประมาณว่าต้องนอนติดเตียงหยอดน้ำข้าวต้มเสียเมื่อไร
" เปิ่นหวางกล่าวว่า ติดหนี้บุญคุณ มิสู้คุณหนูจางมาคอยดูแลเปิ่นหวางจนกว่าจะหายดี ย่อมดีกว่าหรือไม่ สกุลจางก็จะได้ไม่ติดหนี้บุญคุณเปิ่นหวาง และก็จะได้หลบเลี่ยงโทษจากการทำร้ายเชื้อพระวงศ์ด้วย ถึงมันจะเป็นอุบัติเหตุก็เถิด หากเปิ่นหวางทูลฝ่าบาทว่ามีคุณหนูจางมาคอยดูแลเปิ่นหวาง ก็เท่ากับเป็นการแสดงเจตนาอันบริสุทธิ์ว่าสกุลจางไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเชื้อพระวงศ์ ฝ่าบาทคงเข้าใจและไม่ทรงกริ้วอันใด เอ...หรือว่าคุณหนูจางมีปัญหาอันใดหรือ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยทวนประโยค และเพิ่มเหตุผลไปดักทางออกของอีกฝ่ายทันที ดูนางแล้วไม่ใช่คนยอมคนสักเท่าใดแต่ก็ยังรักษามารยาท เมื่ออยู่ต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ แบบนี้สิดี...
จากนั้นจึงเลิกคิ้วถามนางไปในประโยคสุดท้าย ดูสิว่าเอาฝ่าบาทมาอ้างแล้วนางจะตอบว่าอย่างไร
จางซูหนี่ว์มองภาพบุรุษหน้าโหดผู้นี้เลิกคิ้วถาม แล้วให้รู้สึกหมั่นไส้อย่างไรบอกไปถูก ดูเถิดสายตากดดันนางเพียงนั้น เอาฮ่องเต้มาอ้างเพียงนี้ แล้วจะให้นางตอบว่าอย่างไรได้...
" ไม่มีปัญหาใดเพคะ หม่อมฉันผิดที่พลั้งมือทำร้ายจวิ้นอ๋อง เพียงไม่ถือสาหาความใดกับหม่อมฉัน ก็นับเป็นว่าพระกรุณายิ่งแล้ว หากแต่หม่อมฉันขอทูลก่อนว่า..ซูหนี่ว์ผู้นี้ร่างกายไม่ได้แข็งแรงเช่นผู้อื่น เกรงว่าจะเป็นภาระให้ มากกว่าจะเป็นผู้ดูแลจวิ้นอ๋องเพคะ "
นางก็ต้องตอบเช่นนี้อยู่แล้ว คงมิอาจเป็นคำตอบอื่นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มเมื่อสักครู่ของจวิ้นอ๋องผู้นี้อยู่ดี ความรู้สึกของนางมันบอกนางอย่างนั้น
" โปรดวางใจเถิด เปิ่นหวางมิได้ใจร้ายให้คุณหนูจางไปแบกหามเสียเมื่อไร เพียงให้ช่วยงานในตำหนักเล็กๆน้อยๆพอเป็นพิธีเท่านั้น สักเจ็ดวันก็คงเพียงพอแล้วกระมัง "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยพลางส่งยิ้มปลอบใจไปให้นาง ดั่งว่าไม่รู้ความนัยว่านางนั้นกำลังหาทางบ่ายเบี่ยงเขาอยู่
หลังจากที่จวิ้นอ๋องนั้นเสด็จกลับไปแล้ว จางซูหนี่ว์จึงมีโอกาสเลียบเคียงถามเรื่องบุรุษผู้หน้าโหดผู้นั้นจากมารดาของนางอย่างคร่าวๆ ต้องไปอยู่กับเขาตั้งเจ็ดวันเชียวนะ ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคิดสิ่งใดอยู่ในใจบ้าง ด้วยนางเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจกับสีหน้าและรอยยิ้มแปลกๆนั่นไม่น้อย
" ท่านแม่เจ้าคะ ท่านแม่ช่วยเล่าเรื่องของจวิ้นอ๋องให้ลูกฟังบ้างได้หรือไม่เจ้าคะ "
หญิงสาวเอ่ยอย่างออดอ้อน สวมบทบาทบุตรสาวผู้น่ารัก ขี้อ้อน ใส่ผู้เป็นมารดาทันที เมื่อได้อยู่กันตามลำพัง ที่ถามเพราะในจวนนี้คงไม่มีใครรู้เรื่องของท่านอ๋องผู้นี้ดีไปกว่ามารดาของนางแล้ว เรียกได้ว่าขลุกวงในก็คงได้กระมัง
ยกเว้นพี่ใหญ่เอาไว้หนึ่งคนก็แล้วกัน นั่นเขาเป็นสหายสนิทและเป็นเจ้านายลูกน้องกันโดยตรง ให้นางถามไปก็คงไม่ได้ความเท่าใด เพราะพี่ใหญ่ของนางนั้นต่างจากพี่รองก็ตรงไม่ค่อยพูดนี่ล่ะ ยิ่งเป็นเรื่องของผู้เป็นนายก็คงไม่อยากเล่ากึ่งนินทาให้นางฟังเท่าไรนักหรอก
ส่วนพี่รองนั้นดูแลกิจการการค้า เรื่องการเจรจาต่างๆนั้นคล่องกว่าพี่ใหญ่อยู่มาก ซึ่งความเป็นจริงนางก็สนิทสนมกับพี่รองมากกว่าพี่ใหญ่อีกด้วย
" เรื่องของจวิ้นอ๋อง? เหตุใดจึงอยากรู้ขึ้นมาล่ะ "
จางฮูหยิน เอ่ยถามบุตรสาวยิ้มๆ ความจริงแล้วนางออกจะยินดีอยู่ไม่น้อย ที่จางซูหนี่ว์มีโอกาสได้ทดแทนคุณผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตนั้นนับว่าประเสริฐนัก
" ท่านแม่..หนี่ว์เอ๋อร์ต้องไปดูแลจวิ้นอ๋องตั้งเจ็ดวันเชียวนะเจ้าคะ ก็เลยอยากจะรู้ว่านิสัยใจคอจวิ้นอ๋องเป็นอย่างไร จะได้ทำตัวถูก ไม่ไปทำอะไรให้จวิ้นอ๋องไม่พอใจอย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านแม่ดูเอาเถิด...หนวดเคราเขียวครึ้ม ดุหรือไม่ก็ไม่รู้ "
หญิงสาวค่อยๆตะล่อมๆถามมารดา อย่างน้อยนางต้องไปรับใช้อ๋องหน้าหนวดนั่น นางก็ต้องรู้ข้อมูลเสียบ้าง หากไปทำอะไรไม่พอใจขึ้นมาไม่ฆ่านางหมกตำหนักหรอกหรือ
ก็คิดไปเรื่อยเปื่อยความจริงแล้วเรียกว่านางอยากรู้อยากเห็นเสียมากกว่า พูดให้ดีก็คือหาความรู้ประดับสมองนั่นแล....
" อืมมม หากตอนนี้ไปถามผู้อื่นเรื่องของจวิ้นอ๋อง หลายคนก็คงบอกว่าทรงดุและเด็ดขาด ใครทำอะไรขัดพระทัยเป็นได้เจอดี พวกขุนนางหลายคนไม่ค่อยชอบจวิ้นอ๋องเท่าไรนักหรอก เพราะเป็นคนตรงไม่ชอบคนสอพลอ เพราะทรงไปขัดผลประโยชน์อะไรหลายๆอย่าง แต่เพราะเป็นพระราชโอรสที่ฝ่าบาททรงโปรดมาก ทั้งจวิ้นอ๋องยังสร้างผลงานเอาไว้เยอะอยู่พอสมควร โดยเฉพาะปราบขุนนางกังฉิน และปราบพวกกบฏที่มีอยู่เป็นระยะๆในแถบชายแดน จึงทำอะไรจวิ้นอ๋องไม่ได้ "
จางฮูหยินเริ่มเล่าเรื่องของบุรุษสูงศักดิ์ผู้นั้นให้ฟังตามที่บุตรสาวต้องการ
" ท่านแม่บอกว่าหากไปถามผู้อื่น...แสดงว่าท่านแม่ไม่ได้คิดเช่นที่ผู้อื่นคิดหรอกหรือเจ้าคะ "
" ไม่หรอก...แม่เห็นจวิ้นอ๋องตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์บ่อย เมื่อเข้าเฝ้าเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย ทรงร่าเริงและมีน้ำพระทัยดีกับคนรอบข้างเสมอ เมื่อครั้งเจริญพระชนม์ก็ยังได้พบพระพักตร์อยู่บ้าง แต่ก็นานๆครั้ง ซึ่งแม่ก็ว่าจวิ้นอ๋องไม่ได้ทรงดุอะไรเลย หากแต่เมื่อเกิดเรื่องคราวนั้นก็ทรงเงียบขรึมไปมาก "
จางฮูหยินเสียงแผ่วลงในประโยคสุดท้าย เมื่อนึกถึงเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา ด้วยว่าเป็นเรื่องที่ก็มีคนรู้อยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น....
" เรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ "
จะบอกว่านางหูดีไปสักหน่อยก็คงใช่ เพราะประโยคสุดท้าย แม้มารดาของนางจะพูดเสียงแผ่วเบาลงไป หากแต่นางก็ได้ยินอยู่ดี
จางฮูหยินเหล่มองบุตรสาวที่บัดนี้ขยับเข้ามาเคลียคลอไม่ห่าง อ้อนเช่นนี้ทุกที ระยะหลังนางว่าบุตรสาวของนางนั้นดูน่ารักมากขึ้น รู้จักประจบประแจง ช่างพูด ซึ่งนางก็ใจอ่อนให้เสียทุกครั้งไป
" เจ้าสัญญากับแม่ได้หรือไม่ ว่าจะไม่เผลอไปพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง "
" หนี่ว์เอ๋อร์ สัญญาเจ้าค่ะ "
นางรีบรับคำทันที...
" เจ้าจำที่จวิ้นอ๋องกล่าวกับแม่เมื่อตอนกลางวันได้หรือไม่ ว่าระยะหลังจวิ้นอ๋องไม่ค่อยได้ประทับอยู่ในวังหลวงสักเท่าใด "
" จำได้เจ้าค่ะ...ด้วยว่าต้องออกไปปราบกบฏอยู่เรื่อยๆใช่หรือไม่ "
" แม่ทัพนายกองมีออกเยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องเป็นจวิ้นอ๋องที่ต้องเป็นแม่ทัพออกไปปราบกบฏหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ศึกใหญ่ๆน่ะ "
" อ้าว...แล้วเพราะเหตุใดล่ะเจ้าคะ "
" เพราะสี่ปีก่อนนั้นมีเรื่องระหว่างองค์ไท่จื่อ กับ จวิ้นอ๋อง นั้นหมางใจกันน่ะสิ "
" หืมมม...หมางใจกันเลยหรือเจ้าคะ "
นางมีสีหน้าแปลกใจอยู่ไม่น้อย เรื่องใดกันนะที่ทำให้จวิ้นอ๋องหน้าหนวดกับองค์ไท่จื่อหมางใจกัน
" จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ถึงเพียงนั้นหรอก แต่ก็ทำให้ทั้งสองนั้นไม่สนิทสนมกันเหมือนดังแต่ก่อนก็เท่านั้น "
" เรื่องอะไรหรือเจ้าคะท่านแม่ "
" เรื่องของไท่จื่อเฟย "
จางฮูหยินเอ่ยให้บุตรสาวรับรู้
" ไท่จื่อเฟย ทำไมหรือเจ้าคะ "
" ก็ก่อนที่จะมาเป็นพระชายาเอกขององค์ไท่จื่อ ไท่จื่อเฟยเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจวิ้นอ๋องมาก่อนน่ะสิ แต่คนวงในนั้นบอกแม่ว่าเพราะสกุลเจิ้งมีอำนาจอยู่ไม่น้อย ฮองเฮาจึงได้หมายตาพระนางให้มาเป็นพระชายาเอกขององค์ไท่จื่อ "
" อ้าวว...แล้วพระนางก็เลือกแต่งกับองค์ไท่จื่อหรือเจ้าคะ ไหนว่ารักอยู่กับจวิ้นอ๋อง "
" รักหยั่งลึกเพียงใดนั้น แม่ก็ไม่รู้หรอก รู้เพียงแต่ว่าพระนางเลือกตำแหน่งไท่จื่อเฟย และละทิ้งตำแหน่งจวิ้นหวางเฟย "
" อ้อ...ก็คงมองการณ์ไกล หากเมื่อใดที่องค์ไท่จื่อขึ้นครองราชย์แล้วไซร้ ตำแหน่งฮองเฮาก็คงไม่หลุดมือไปไหนเสีย "
จางซูหนี่ว์วิเคราะห์ออกมา เรื่องนี้คิดไม่ยากเลย ตำแหน่งนั้นก็ต่างกันอย่างเห็นชัด ทั้งอนาคตหากเป็นไท่จื่อเฟย ลำดับต่อไปก็ต้องขึ้นเป็นฮองเฮาของแคว้นอย่างแน่นอน แต่กระนั้นคนเราถ้ามีความรักลึกซึ้งต่อกันแต่แรกแล้ว เรื่องตำแหน่งใดๆก็คงมิอาจสั่นคลอนความรู้สึกได้
เว้นเสียแต่ว่าความรักที่ไท่จื่อเฟยมีให้จวิ้นอ๋องในตอนนั้น มันจะมีไม่มากพอ ความเห็นแก่ตัวและหลงไปกับอำนาจที่มาเยือนตรงหน้า จึงมีมากกว่า หากเป็นเช่นนั้นถ้าไท่จื่อเฟยจะเลือกแต่งกับองค์ไท่จื่อก็คงไม่แปลก
" แม่ก็ว่าอย่างนั้น...แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้จวิ้นอ๋องเงียบขรึมลงไปมากทีเดียว นับแต่นั้นก็ไม่ค่อยประทับอยู่ในวังหลวงเท่าไร มีเหตุกบฏหรือเรื่องอะไรนอกเมืองหลวงทรงรับอาสาเป็นผู้นำตลอด บางครั้งไม่เข้าวังหลวงเกือบครึ่งปีเชียวนะ "
จางฮูหยินเอ่ยเล่าให้ผู้เป็นบุตรสาวได้ฟัง ซึ่งคนวงในนั้นก็เล่าให้นางฟังมาอีกทีหนึ่งเช่นกัน
โถ...จวิ้นอ๋องหน้าหนวดช่างอาภัพรักยิ่งนัก ที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวหนวดเคราไม่โกนประหนึ่งโจรป่าจนแยกไม่ออก ก็เพราะประชดรักนี่เองสินะ ออกจากวังหลวงไปอยู่เสียไกลก็เพราะช้ำรัก ทำใจไม่ได้ล่ะสิ ที่คนรักเลือกแต่งกับพี่ชายตัวเอง เศร้าจริง....
จางซูหนี่ว์ถอนหายใจออกมาเพียงเล็กน้อยเมื่อรับฟังเรื่องของจวิ้นอ๋อง นี่ล่ะนะทำให้เธอไม่อยากที่จะมีความรัก ที่ใดมีรัก..ที่นั่นมีทุกข์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมต้องว่าพระเอกชั้นหน้าหนวด หล่อน
ปาลินก็ไปปลอบใจจวิ้นอ๋องหน่อยสิ