ตอนที่ 7 : ท่านแม่ของข้าเส้นใหญ่ไม่น้อยเชียว (รีไรต์)
ณ จวนสกุลจาง
" หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ ที่มิรู้ความ..บังอาจทำร้ายจวิ้นอ๋องจนบาดเจ็บ ขอทรงมีพระบัญชาลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ "
ตอนนี้นางกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นกลางห้องโถงรับรองแขกของสกุลจาง รอบข้างนั้นมีคนภายในตระกูลของนางอยู่กันครบ ทั้งผู้เป็นบิดา มารดา หรือพี่ชายของนาง ขาดเพียงพี่รองที่อาจจะยังไม่ทราบข่าวแต่คิดว่าคงมีคนในจวนไปบอกพี่รองที่หอการค้าแล้วล่ะ อีกไม่นานก็คงกลับมาสบทบกับทุกคนที่จวนเป็นแน่
และผู้ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงกลางห้องโถงนั้น ก็คือ จวิ้นอ๋อง หรือองค์ชายรองนามว่า มู่หรงหย่งหมิง เท่าที่นางทราบในตอนนี้ก็มีเพียงเท่านั้น
ผู้ใดจะทันระวังกัน ในเวลานั้นเหตุการณ์กำลังอยู่ในช่วงชุลมุนวุ่นวาย นางล้มลงไปเพียงชั่วครู่เดียว เสี้ยวเวลาเพียงไม่นานในการคว้าเอาท่อนไม้มาถือเป็นอาวุธป้องกันตัว ผู้ใดจะคาดคิดว่าจวิ้นอ๋องจะโผล่เข้ามาช่วยเหลือ และจัดการเจ้าหัวหน้าโจรนั้นภายในชั่วพริบตา นางเองไม่ทันได้มองด้วยซ้ำ อารามตกใจและฉุกละหุก เห็นเพียงผ่านตาหนวดเคราครึ้มยืนอยู่ใกล้ๆขวางทางไม้ในมือนางอยู่ ก็จัดการฟาดเสียเต็มแรง...
ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะฟาดผิดคน ทว่าสวรรค์ยังมีเมตตาต่อนางบ้างกระมัง ทำให้จวิ้นอ๋องนั้นเบี่ยงตัวหลบท่อนไม้ในมือของนางทัน หากแต่เฉียดศีรษะอยู่ดีจนหน้าผากด้านขวานั้นถลอก และมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย มิเช่นนั้นคาดว่าคงโดนเอากลางศีรษะจวิ้นอ๋องเต็มๆ
แม้ความจริงแล้วจะมากหรือน้อย โทษปองร้ายและทำให้เชื้อพระวงศ์ต้องหลั่งพระโลหิตนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ศีรษะของนางหลุดออกจากบ่าแล้ว
คนตรงหน้านางนั้นนิสัยใจคอเป็นเช่นไรก็มิอาจรู้ได้ แต่หากดูจากบุคลิกภาพภายนอกแล้วไซร้ ก็น่ากลัวอยู่มิน้อยเลย แม้ว่าท่าทางอิริยาบถต่างๆ จะดูสง่างามสมกับการที่เกิดมาสูงศักดิ์และได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดียิ่ง
แต่ว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราเขียวครึ้ม บดบังเครื่องหน้าคมคายนั้นอยู่มาก ก็ยิ่งเพิ่มความโหดให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกได้มากขึ้นอีกเท่าตัว เครื่องทรงที่สวมใส่แม้จะสะอาดสะอ้านและดูดีกว่าชาวบ้าน หากแต่ไม่มีลวดลายใดที่บ่งบอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์เลย
ทว่าอย่างไรก็ตามคนตรงหน้านี้ก็ได้ช่วยนางจากโจรเอาไว้ ก็ถือเป็นผู้มีพระคุณต่อนาง แต่ถึงอย่างนั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็ได้ทำร้ายเชื้อพระวงศ์ไปแล้ว นางก็คนจริงคนหนึ่งกล้าทำก็กล้ารับ เช่นนั้นก็ขอรับโทษในการกระทำของตนแต่โดยดี
เพียงแต่ภายใต้ท่าทางนิ่งสงบของนางนั้น ก็แอบลุ้นด้วยใจระทึกอยู่ว่าจวิ้นอ๋องหน้าโหดนี่จะเอาเรื่องนางหรือไม่ แต่ว่านางก็เป็นถึงบุตรีเจ้ากรมการคลังเชียวนะ ไหนจะเป็นน้องสาวของรองแม่ทัพ ลูกน้องคนสนิทของเขาอีก ใจคอคงไม่ถึงกับสั่งลงโทษร้ายแรงกระมัง…หรือไม่?
มู่หรงหย่งหมิง ทอดสายตามองสตรีที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้านั้น ใบหน้างดงามปานล่มเมืองที่เขาเคยได้ยล เมื่อตอนที่เข้าไปช่วยเหลือนางจากกลุ่มโจร บัดนี้ก้มหน้ารอรับคำสั่งลงโทษจากเขาอยู่อย่างจำนน
คราแรกนั้นก็เคืองอยู่หรอก หากแต่เมื่อเห็นใบหน้าเจี๋ยมเจี้ยมของนาง ยามเมื่อรู้สถานะของเขาแล้วก็ให้นึกขบขันไม่น้อย จากนั้นอารมณ์โกรธก็มลายหายไปกว่าครึ่ง ทั้งเมื่อตรองดูให้ดีก็เป็นอุบัติเหตุด้วยซ้ำ ตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงชุลมุนนางเองก็ไม่ได้ตั้งใจเสียเมื่อไร
" คุณหนูจาง เจ้าลุกขึ้นเถิด เปิ่นหวางไม่ได้คิดจะเอาความใดใดกับเจ้าหรอก เรื่องที่เกิดนั้นเป็นอุบัติเหตุ สถานการณ์อันตรายเป็นใครก็ต้องป้องกันตัวเองทั้งนั้น "
" ขอบพระทัยจวิ้นอ๋องที่ทรงเมตตาเพคะ "
จางซูหนี่ว์แทบจะถอนหายใจออกมาตรงนั้นเสียให้ได้ เพราะนางกดดันมาสักพักแล้ว ลุ้นแทบแย่ว่าจะถูกลงโทษหรือไม่ หากแต่ที่ทำได้ในตอนนี้ คือ ยอบกายลงคารวะบุรุษเบื้องหน้านั้นอีกครั้ง ก่อนที่เพ่ยเพ่ยจะเข้ามาช่วยพยุงนางลุกขึ้นยืนอย่างเรียบร้อย
" กระหม่อมขอบพระทัยจวิ้นอ๋องยิ่งนัก ที่ช่วยเหลือฮูหยินและบุตรสาวของกระหม่อม อีกทั้งยังไม่เอาความกับซูหนี่ว์ที่ทำให้จวิ้นอ๋องทรงบาดเจ็บ บุญคุณในครั้งนี้กระหม่อมจะจดจำไว้ไม่ลืมเลือน หากมีสิ่งใดที่จวิ้นอ๋องทรงอยากให้กระหม่อมทำเป็นการทดแทนพระคุณ กระหม่อมและคนในสกุลจางล้วนยินดี ขอเพียงทรงรับสั่งมาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ "
เสนาบดีจางเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม เมื่อบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าไม่คิดเอาผิด และรับสั่งลงโทษบุตรสาวของตน
" ท่านเสนาบดีอย่าได้ถือเป็นบุญคุณนักเลย เปิ่นหวางเพียงทำในสิ่งที่ควรทำ เป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่ฮูหยินและคุณหนูจาง เปิ่นหวางก็ต้องช่วย ถือว่าโชคดีที่เปิ่นหวางและฮุ่ยหรานกลับมาจากการปราบกบฏที่ชายแดน และผ่านมาทางนั้นพอดี จึงช่วยเอาไว้ได้ทันท่วงที "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยตอบพลางหันไปหาจางฮูหยิน
" จางฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บที่ใดอีกหรือไม่ "
" หม่อมฉันยังเจ็บที่ข้อเท้าอยู่เพคะ และมีบาดแผลอยู่บ้างเล็กน้อย แต่คิดว่าไม่นานคงดีขึ้น ขอบพระทัยจวิ้นอ๋องที่ทรงห่วงใย "
" ดีแล้ว ไม่ได้พบกันเสียนาน เอ..ราวๆ สี่ปีได้กระมัง ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้ "
" เพคะ คงเป็นบุญของหม่อมฉัน ที่จวิ้นอ๋องทรงผ่านมาทางนั้นและช่วยได้ทันพอดี "
จางฮูหยิน เอ่ยพลางยิ้มอย่างนอบน้อม
" ช่วงหลังเปิ่นหวาง ไม่ค่อยได้อยู่ในเมืองหลวงสักเท่าไร ไม่ทราบว่าจางฮูหยินยังได้เข้าเฝ้าเสด็จแม่ของเปิ่นหวางอยู่หรือไม่ "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยถามด้วยว่าจางฮูหยินนั้น เป็นสหายสนิทกับพระมารดาของเขา มาก่อนจะเข้าวังหลวงเสียอีก ที่ผ่านมาตั้งแต่เขาจำความได้ก็เห็นจางฮูหยินนั้น ได้เข้าไปหาและสนทนาเป็นเพื่อนพระมารดาของเขาที่ตำหนักอยู่บ่อยครั้ง
พระมารดาเคยรับสั่งบอกกับเขา สหายดีมีเพียงหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ยังดีกว่ามีสหายนับร้อยแต่หาความจริงใจมิได้ ในวังหลวงนั้นคนมากมายแต่ก็หาความสัตย์ซื่อต่อกันได้ยากยิ่ง พระมารดากับจางฮูหยินนั้น เป็นสหายคบหากันอย่างจริงใจอยู่เนิ่นนานจนถึงบัดนี้
ใครจะคิดว่าเขากับจางฮุ่ยหราน บุตรชายคนโตของจางฮูหยินจะมาเป็นสหาย และกลายมาเป็นลูกน้องคนสนิทของเขาอีกทอด...
" เพคะ ยังได้เข้าเฝ้า เฟิ่งหวงกุ้ยเฟย อยู่บ้างเพคะ หากแต่ช่วงหลังมานี้ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้า เนื่องจากต้องคอยดูแลบุตรสาวของหม่อมฉันที่ร่างกายไม่สู้จะแข็งแรงนัก สามสี่เดือนก่อนนางล้มป่วยหนัก อาการเพิ่งจะดีขึ้นเพคะ "
จางฮูหยินเอ่ยพลางกล่าวถึงเหตุผล ซึ่งนางกับพระมารดาของจวิ้นอ๋องนั้นสนิทสนมกัน ด้วยก่อนนั้นเมื่อครั้งแรกรุ่นเคยมีอาจารย์สอนดนตรีคนเดียวกัน สกุลเดิมของจางฮูหยินนั้นคือ สกุลว่าน ซึ่งก็สนิทสนมกับ สกุลเฟิ่ง อยู่ไม่น้อย
ว่านซูฉี กับ เฟิ่งจินเหลียน หรือก็คือ เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยในขณะนี้ สนิทสนมและต่างก็มีน้ำใสใจจริงให้แก่กัน แม้อีกฝ่ายจะมียศศักดิ์สูงส่งเพียงใด หากแต่เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพัง อีกฝ่ายก็ยังคือ เฟิ่งจินเหลียน สหายที่แสนดีของนางเสมอ
จางซูหนี่ว์ยืนฟังการสนทนาระหว่างมารดากับจวิ้นอ๋องอยู่นาน ก็เพิ่งทราบว่ามารดาของนาง เป็นถึงพระสหายของพระมารดาจวิ้นอ๋อง ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยเสียด้วย ในเขตวังหลังจะเป็นรองก็เพียงฮองเฮาเท่านั้น...
ตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ นางก็พยายามเรียนรู้ทุกอย่างของที่นี่ แคว้นหวงหรงนี้อยู่ในรัชสมัยของ ฮ่องเต้หย่งไท่ ราชวงศ์มู่หรง มีฮองเฮาคู่บัลลังก์ซึ่งมาจากสกุลต้วน และมีองค์ไท่จื่อ (องค์รัชทายาท) นามว่า มู่หรงหยางหมิ่น
หากเปรียบ ฮองเฮา เป็นดั่ง...องค์ราชินี
หวงกุ้ยเฟย ก็เปรียบดั่ง...พระอัครชายา
พิโธ่เอ้ย...หากรู้มาก่อนว่ามารดาของนางเส้นใหญ่เพียงนี้ คงไม่นั่งจิตตกเสียเป็นนานสองนานหรอก อย่างไรมารดาของนางก็คงต้องหาทางช่วยเหลือได้เป็นแน่...
สนิทกับคนเป็นแม่ถึงเพียงนั้น ผู้เป็นลูกอย่างไรก็คงเกรงใจผู้เป็นมารดาอยู่บ้าง ในกรณีที่นางอาจได้รับโทษน่ะ แต่ในเมื่อจวิ้นอ๋องไม่ถือโทษเอาผิดนางก็แล้วไป แต่อย่างไรก็คงดูออกนั้นล่ะ ว่ามันคืออุบัติเหตุ...เฮ้อ ดั่งใครมายกภูเขาออกจากอกนางเสียจริงๆ
" อ้อ...เช่นนั้นหรอกหรือ เปิ่นหวางเพียงคิดว่าหากมีฮูหยินเข้าไปสนทนากับเสด็จแม่บ้าง เมื่อได้พูดคุยกับคนที่รู้พระทัยคงจะทำให้เสด็จแม่มีความสุขและไม่เหงา ยามที่เปิ่นหวางไม่อยู่น่ะ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยตอบพลางหันไปมองจางซูหนี่ว์ เคยรู้มาว่าจางฮูหยินมีบุตรีหนึ่งคนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงไม่เคยพานางเข้าไปที่วังหลวงเลยในยามที่จางฮูหยินต้องเข้าเฝ้าพระมารดาของเขา เขาจึงไม่เคยพบจางซูหนี่ว์มาก่อน
มู่หรงหย่งหมิงกับจางฮุ่ยหรานนั้นอายุเท่ากัน โดยเจ้านั่นก็เคยเล่าให้ฟังอยู่บ้างว่ามีน้องสาวอายุห่างกันอยู่ 6 ปี เช่นนั้นแล้วนางก็คงจะมีอายุห่างจากเขาอยู่ราว 6 ปีเช่นกัน
พิจารณาดูแล้วนางก็แจ่มใสและแข็งแรงดี ไม่มีอาการของคนป่วยสักนิด และจากที่เห็นยื้อยุดอยู่กับหัวหน้าโจรอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น มู่หรงหย่งหมิงก็ว่านางหากไกลจากคำว่าอ่อนแออยู่มากทีเดียว หลักฐานก็คือบาดแผลที่หน้าผากของเขานี่อย่างไร หากหลบไม่ทันคงได้เลือดอาบศีรษะกันบ้างล่ะ
ใบหน้างดงามเป็นที่สะดุดตาสะดุดใจผู้คน แม้จะมีกิริยาอ่อนหวาน อ่อนน้อม ต่อหน้าเขาอยู่ในขณะนี้ หากแต่ลึกๆเขาก็สัมผัสได้ในความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของนาง ดวงตากลมโตนั้นฉายแววดื้อรั้นให้เขาได้เห็นอยู่บ้าง ดูๆแล้วนางก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ฉับพลันความไม่สบายใจบางอย่างตลอดการเดินทางที่กลับมายังวังหลวง ก็ดูเหมือนจะหาทางออกได้ขึ้นมาฉับพลัน เมื่ออยู่ๆความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด จากนั้นแผนการก็ถูกวางไว้ในใจของเขาอย่างรวดเร็ว ทั้งคิดได้แล้วว่าใครกันจะมาช่วยรับหน้าที่อันสำคัญยิ่งในแผนการนี้ มู่หรงหย่งหมิงยกยิ้มเจ้าเล่ห์เพียงนิด สายตามองไปยังสตรีเบื้องหน้าเขาอย่างหมายมาด....
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอ๋ ท่านมีแผนอะไรเจ้าคะ
แผน. แผนไรอ่ะ?
ติดลบ -100