ตอนที่ 53 : เพลิงผลาญ
ชายาอ๋องกระดูกเหล็ก
บทที่ 53 เพลิงผลาญ
ในเวลาเกือบรุ่งเช้าที่อากาศนั้นค่อนข้างเย็นกว่าทุกวัน การได้นอนซุกกายภายใต้ผ้าห่มอุ่นหนาคงเป็นที่ปรารถนาของทุกคน แต่การได้เข้าสู่ห้วงนิทราในอ้อมแขนแกร่งของคนรักนั้น ให้ความรู้สึกสบาย อบอุ่น และมีความสุขกว่ามากนัก แม้ว่าจะหลับไปแล้วแต่มู่หรงหย่งหมิงกลับกอดกระชับจางซูหนี่ว์ไว้แนบชิดกายเขาตลอดเวลา อย่างต้องการถ่ายเทความอบอุ่นให้กับนาง มันเป็นไปเช่นนี้ทุกค่ำคืนตั้งแต่ที่ทั้งสองแต่งงานกัน
ทว่าคืนนี้ทั้งคู่ไม่อาจหลับอย่างมีความสุขจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันได้ เนื่องจากว่ามีทหารเข้ามารายงานว่ามีคนจากหอซือซิงมาขอเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วน ยังความแปลกใจต่อทั้งสองคนไม่น้อย โดยเฉพาะจางซูหนี่ว์ที่รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ คนจากที่หอซือซิงมาขอเข้าเฝ้านางในเวลาเช่นนี้ ทั้งที่อีกไม่นานก็เช้าแล้วแต่ไม่อาจรอให้ถึงเช้าจึงรายงานได้ ย่อมเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
ไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่อยู่ๆความรู้สึกใจหายก็พุ่งขึ้นมาอย่างประหลาด หากแต่ต้องรีบแต่งกายและคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับให้เรียบร้อยก่อนตามจวิ้นอ๋องออกไปด้านนอก ด้วยพระสวามีนั้นเสด็จออกไปล่วงหน้าแล้ว
“เกิดเรื่องใดขึ้นที่หอซือซิงหรือ เหตุใดจึงเข้ามาพบข้าในเวลาเช่นนี้”
จางซูหนี่ว์ก้าวเข้ามายังห้องโถงที่ใช้รับรองผู้มาเยือน ในตอนนี้นอกจากจวิ้นอ๋องที่ประทับอยู่แล้ว ยังมีเสี่ยวไป๋ ทหารเวรที่คอยอารักขา และแม่นางชิงไฉ ผู้ที่จางซูหนี่ว์นั้นมอบหมายให้คอยดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ที่หอซือซิง ซึ่งคงเป็นผู้ที่มาขอเข้าเฝ้านางและจวิ้นอ๋องในเวลานี้เป็นแน่
นางมองสภาพของแม่นางชิงไฉเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามที่สวมใส่นั้น บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยรอยดำจนดูไม่จืด ใบหน้าที่เงยขึ้นมาสบสายตากับนางนั้นเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ยิ่งเมื่อได้ฟังคำถามที่หญิงสาวเอ่ยออกไปแล้ว ก็ยิ่งร้องไห้และสะอื้นจนตัวโยน ก่อนทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าจางซูหนี่ว์ เพียงเท่านี้นางก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
“พระชายาเพคะ เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ ที่ไม่อาจดูแลหอซือซิงให้ดีอย่างเช่นที่พระชายาทรงไว้วางพระทัยได้ จน จน...ฮือ ฮือ”
แม่นางชิงไฉร้องไห้ขึ้นมาอีก ยามที่กำลังจะเอ่ยถวายรายงานต่อผู้เป็นนาย ด้วยมิอาจหักห้ามความเสียใจและความรู้สึกผิดในจิตใจได้
“เจ้าเอาแต่ร้องไห้อย่างนี้แล้วข้าจะรู้หรือไม่ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แล้วนี่เพ่ยเพ่ยมาด้วยหรือไม่ ไยนางจึงให้เจ้ามาที่นี่แต่เพียงผู้เดียว”
หนึ่งคนร้อนใจอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ยิ่งเห็นทีท่าของคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้คนที่รอฟังความนั้นกระวนกระวายใจ หากแต่อีกคนก็เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น และเมื่อหันไปมองยังจวิ้นอ๋องจึงเห็นพระพักตร์เรียบนั้นดูเคร่งเครียดขึ้นมาก ส่วนเสี่ยวไป๋นั้นก้มหน้าเช็ดน้ำตาป้อยๆ
สุดท้ายจึงเป็นมู่หรงหย่งหมิงที่เดินเข้ามาใกล้พระชายา พลางจับมือของนางขึ้นมากอบกุมเอาไว้ อย่างต้องการจะให้ความรู้สึกมั่นคงและเป็นกำลังใจให้นาง เพราะรู้ดีว่านางรักหอซือซิงและทุ่มเทสร้างมันขึ้นมาแค่ไหน ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่สูญเสียไปหาใช่เฉพาะสิ่งก่อสร้างเท่านั้น แต่มันยังมีสิ่งที่จากไปและไม่อาจสร้างหรือหวนคืนกลับมาได้อีกครั้ง
“เจ้าฟังพี่นะหนี่ว์เอ๋อร์ เมื่อกลางดึกนี้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่หอซือซิง ไฟนั้นลุกลามเร็วมากจนเสียหายเกือบทั้งหมด”
“แล้วมีใครบาดเจ็บหรือไม่ ชิงไฉ”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่จวิ้นอ๋องทรงกล่าวนั้น ยอมรับว่าแม้จะตกใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ด้วยท่าทางที่ทุกคนแสดงออกมาก่อนหน้าก็พอจะทำให้นางรับรู้ และทำใจตั้งรับได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ ขณะนี้นางจึงยังคงครองสติและไม่ได้ว้าวุ่นจนทำสิ่งใดไม่ถูก หญิงสาวหันไปสอบถามกับแม่นางชิงไฉ ถึงประการแรกที่ควรจะให้ความสำคัญก่อนสิ่งใด
“เกือบทั้งหมดปลอดภัยดีเพคะ”
แม่นางชิงไฉพยายามกลั้นก้อนสะอื้นซึ่งจุกอยู่ที่อก ก่อนเอ่ยตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
“เจ้าบอกว่าเกือบทั้งหมด แสดงว่าไม่ทั้งหมด มีใครเป็นอะไรบ้างตอบข้ามาเดี๋ยวนี้”
จางซูหนี่ว์ที่ใจคอไม่ดีนั้น เริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นตามอารมณ์ความห่วงใยที่มีต่อทุกคนในหอซือซิง นางรอฟังรายละเอียดแต่อีกฝ่ายกลับตัวสั่น เอ่ยตะกุกตะกักเช่นนี้จนเช้าคงไม่รู้ความ
“ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นมีเป็นบางส่วนเพคะ ด้วยเกิดเพลิงไหม้ในเวลาดึกซึ่งได้ปิดหอไปแล้ว และทุกคนก็กำลังหลับพักผ่อน จึงทำให้รู้ตัวและหนีได้ช้า ที่ เอ่อ... ที่เสียชีวิตนั้นมีสองรายเพคะ”
คนตอบนั้น เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยโดยสบสายตากับผู้เป็นนาย รู้สึกสงสารเหลือเกิน ทั้งรู้สึกผิดที่ไม่อาจดูแลทุกอย่างและทุกคน ดั่งที่สตรีตรงหน้านั้นไว้วางใจได้
“สองราย...ใคร”
แรกได้ยินที่ว่ามีคนตายนั้น ความเศร้าค่อยๆแล่นริ้วขึ้นมาเกาะกุมในหัวใจ รู้สึกได้ว่ามือนั้นเย็นเฉียบอย่างฉับพลัน จะด้วยเพราะความผูกพันและสนิทสนมกว่าใครหรือก็ไม่รู้ได้ จางซูหนี่ว์นั้นกระหวัดคิดถึงเพ่ยเพ่ย สาวใช้คนสนิทก่อนเป็นคนแรก หากแต่หวังว่าคนๆนั้นจะไม่ใช่เพ่ยเพ่ย แต่ดูเหมือนว่าเสียงวิงวอนที่นางร่ำร้องอยู่ภายในใจจะไม่ได้ผล เมื่อคำตอบที่ได้จากสตรีที่คุกเข่าตรงหน้านางนั้นเอ่ยชื่อที่นางไม่อยากจะได้ยินออกมา
“เพ่ยเพ่ย และเม่ยอิงเพคะ”
แม้จะพยายามครองสติและจิตใจให้มั่นคงแล้ว หากแต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้นช่างรวดเร็วนัก เพ่ยเพ่ยเป็นสาวใช้คนสนิทที่รู้ใจนาง นางเห็นเป็นดั่งเพื่อน ดั่งน้องสาว อยู่ด้วยกันตั้งแต่ที่นางข้ามมาอยู่ที่ภพนี้ คอยติดตามดูแลรับใช้นางสารพัด รอยยิ้มร่าเริง แววตาใสซื่อ ผุดขึ้นมาในความทรงจำดั่งน้ำหลาก
ต่อให้พยายามทำเป็นเข้มแข็งแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เลย นางรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่มือของนาง เป็นจวิ้นอ๋องที่กระชับมือของเขาที่กอบกุมมือนางอยู่นั้นแน่นขึ้นกว่าเดิม ก่อนดึงตัวนางเข้าไปกอดอย่างปลอบโยน นั่นจึงยิ่งทำให้น้ำตาของจางซูหนี่ว์ไหลพรากยิ่งขึ้น ความเศร้าและหดหู่เกาะกุมอยู่ในหัวใจตอนนี้
เมื่อเริ่มทำใจได้แล้ว จึงคิดได้ว่าสิ่งแรกที่นางควรจะกระทำ คือการไปปลอบขวัญและให้กำลังใจต่อคนของนางที่หอซือซิง หากแต่เพียงชั่ววูบเดียวที่นางขยับตัว หมายจะสั่งการให้คนไปเตรียมเกี้ยวให้นางเพื่อไปยังสถานที่เกิดเหตุ อยู่ๆก็รู้สึกว่าหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน และทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบลงไปในเวลาต่อมา
ตื่นเถิดเพคะ...เสียงของใครบางคนที่คุ้นหูดังแว่วเข้ามาในโสตประสาต เสียงนั้นบางเบาดั่งว่าเรียกนางจากในที่ที่ไกลแสนไกล และค่อยๆแจ่มชัดขึ้นดั่งว่าอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม จางซูหนี่ว์ซึ่งได้สติแล้วนั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมาตามเสียงเรียกที่นางได้ยิน
ทว่าเมื่อมองไปรอบกายกลับเห็นว่าตัวนางนั้นนอนอยู่บนเตียงในห้องของตนเอง บรรยากาศนั้นบ่งบอกว่าเป็นเวลากลางคืน มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงที่ถูกจุดบริเวณโต๊ะที่อยู่ห่างออกไปให้แสงสลัวเท่านั้น หากแต่ก็ทำให้จางซูหนี่ว์มองเห็นใครบางคนที่นั่งฟุบหน้าอยู่บริเวณปลายเตียงของนางได้ชัดเจน ร่างนั้นแม้ไม่เห็นหน้าแต่นางก็จำลักษณะและท่าทางนี้ได้แม่นยำ เพราะเป็นสาวใช้คนสนิทของนางนั่นเอง คอยดูแลรับใช้นางทุกวี่วันแล้วเหตุใดนางจะจำไม่ได้กันเล่า
“เพ่ยเพ่ย นั่นเจ้าใช่หรือไม่”
จางซูหนี่ว์เอ่ยเรียกสาวใช้ที่นั่งฟุบหน้าอยู่นั้นอย่างงุนงง ว่าเพราะเหตุใดจึงไปนั่งอยู่ตรง และเมื่อสิ้นคำเรียกขานของนาง ร่างที่นั่งฟุบหน้าอยู่ตรงปลายเตียงจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับจางซูหนี่ว์
“เพคะ พระชายาของเพ่ยเพ่ย”
“เจ้าจริงๆด้วย ข้าตกใจมากรู้หรือไม่ ที่ชิงไฉบอกกับข้าว่าเจ้านั้นได้ตายไปแล้ว แต่...เจ้าก็อยู่ตรงนี้หนิ แสดงว่าต้องมีการเข้าใจผิดกันเป็นแน่ คนที่ตายคงไม่ใช่เจ้า”
เมื่อได้เห็นหน้าเพ่ยเพ่ยในตอนนี้ พลันทำให้จางซูหนี่ว์นึกขึ้นมาได้ถึงคำพูดของแม่นางชิงไฉที่เข้ามารายงานเรื่องเหตุเพลิงไหม้ที่หอซือซิง ก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่าคงมีการเข้าใจอะไรผิดบางอย่าง และยังอยู่ในช่วงฉุกละหุกจึงไม่ทันได้ตรวจสอบให้ดี เลยมีการระบุชื่อผู้ที่เสียชีวิตผิดพลาด ถึงแม้ว่าจะเสียใจและเป็นเรื่องเศร้าที่มีคนเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่นางก็ใจชื้นขึ้นมากที่คนๆนั้นไม่ใช่เพ่ยเพ่ย
“พระชายาเพคะ เพ่ยเพ่ยรักพระชายานะเพคะ ต่อจากนี้ไปต้องทรงดูแลพระองค์เองให้ดี วาสนาหม่อมฉันน้อยนักไม่อาจอยู่รับใช้พระชายาได้อีกต่อไป”
เพ่ยเพ่ยกล่าวด้วยใบหน้าแสนเศร้า สีหน้าในตอนนี้นั้นซีดเผือด มีน้ำตาคลอยามที่มองผู้เป็นนายสาวด้วยแววตาห่วงใยและจงรักภักดี ก่อนจะขยับเข้ามาจับมือ ซึ่งจางซูหนี่ว์นั้นสัมผัสได้ว่ามันค่อนข้างเยียบเย็นและสั่นเทาไม่น้อย
“เจ้ากล่าวอะไรเช่นนั้น เหมือนกับว่าจะจากข้าไปที่ใดอย่างนั้นล่ะ”
พูดได้เท่านั้น นางก็พลันเห็นสาวใช้น้ำตาร่วงเผาะและร่ำไห้ออกมาจนตัวโยน จางซูหนี่ว์งุนงงด้วยไม่รู้ว่าเพ่ยเพ่ยนั้นร้องไห้เพราะเหตุใดกัน จึงทำได้เพียงขยับเข้าไปกอดปลอบนาง ทว่ากลับยิ่งทำให้คนในอ้อมกอดสะอื้นยิ่งขึ้นไปอีก
“ไม่ร้องนะ ใครทำอะไรเจ้าไหนบอกข้ามาสิ”
หญิงสาวนั้นปลอบโยน พลางเอ่ยถามสาเหตุ แต่เพ่ยเพ่ยกลับส่ายหน้าเพียงอย่างเดียว เป็นเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง คนในอ้อมกอดจึงขยับตัวออกห่างเล็กน้อย ทั้งเอียงหน้าขึ้นมาสบสายตาจางซูหนี่ว์นิ่งนานก่อนเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้คนฟังใจกระตุกวูบ
“เพ่ยเพ่ยมาทูลลาพระชายา เป็นครั้งสุดท้ายเพคะ”
“ลา? เจ้าจะลาข้าไปไหน”
“ไกลเพคะ หม่อมฉันต้องไปไกลมาก มากจนไม่อาจกลับมาหา มารับใช้พระชายาได้อีกต่อไป”
“ไม่ ข้าไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น เจ้าต้องอยู่กับข้าสิ หรือเจ้าโกรธเคืองที่ข้าให้เจ้าไปช่วยดูแลแม่นางชิงไฉที่หอซือซิง เช่นนั้นข้าอนุญาตให้เจ้ากลับมาคอยรับใช้ข้าที่นี่ก็ได้ ไม่ต้องไปที่หอซือซิงแล้ว”
หญิงสาวรู้สึกสังหรณ์ใจว่าครั้งนี้มันมีอะไรที่ต่างออกไป ถ้านางเอ่ยอนุญาตให้เพ่ยเพ่ยจากไปแล้วคนตรงหน้าจะไม่กลับมาอีกเลย นางเอื้อมมือไปกุมมือของเพ่ยเพ่ยเอาไว้แน่น
“ไม่เพคะ หมดเวลาของหม่อมฉันแล้ว หมดแล้ว หมดแล้ว”
เสียงของเพ่ยเพ่ยที่เอ่ยออกมาในประโยคสุดท้ายนั้นปนเสียงสะอื้นจากแผ่วเบาค่อยๆดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่ต่างจากเสียงกรีดร้อง พร้อมๆกับที่มีเปลวไฟลุกพรึบไปทั้งร่างของเพ่ยเพ่ย
จางซูหนี่ว์ผงะไปด้วยความตกใจ เปลวเพลิงนั้นลุกท่วมตัวเพ่ยเพ่ยอย่างน่ากลัว และลุกลามไปยังที่ต่างๆภายในห้องอย่างรวดเร็ว เพียงเสี้ยวเวลาห้องทั้งห้องก็ไม่ต่างไปจากทะเลเพลิง นางเห็นเพ่ยเพ่ยนั้นดิ้นทุรนทุรายอยู่กลางห้อง เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังอยู่ในโสตประสาท หากแต่จางซูหนี่ว์ไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือสิ่งใดเพ่ยเพ่ยได้เลย
เหมือนถูกตรึงให้ยืนอยู่ตรงบริเวณเตียงนั้น ไม่สามารถขยับไปที่ใดได้อีก ได้แต่มองเหตุการณ์เบื้องหน้า ทั้งร้องไห้อย่างสงสารและเวทนาสาวใช้คนสนิทจับใจ เพราะแม้จะไม่สามารถขยับกายได้ แต่ไอร้อนระอุจากเปลวเพลิงที่กำลังผลาญทุกสิ่งอยู่ในตอนนี้นั้น นางรับรู้และสัมผัสได้ชัดเจน พอๆกับกลิ่นไหม้ที่พุ่งเข้ามาคละคลุ้งอยู่ทั่วห้อง
หนี่ว์เอ๋อร์...เสียงเรียกจากใครคนหนึ่งดังขึ้น ท่ามกลางทะเลเพลิงที่รายล้อมจางซูหนี่ว์อยู่ในตอนนี้ นางละสายตาจากร่างของเพ่ยเพ่ยที่ค่อยๆแน่นิ่งไป หันมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นที่กำลังเรียกหานางอยู่ เสียงนี้ที่แม้หลับตาฟังนางก็รู้ได้ว่าคือผู้ใด จวิ้นอ๋องกำลังเรียกนางอยู่ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าห่วงใยนางมากเพียงไร
“หนี่ว์เอ๋อร์”
หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว พร้อมๆกับเสียงเรียกหาของจวิ้นอ๋องที่ยังคงดังอยู่ข้างๆหูของนาง และเมื่อนางลืมตาตื่นขึ้นมาจึงได้เห็นว่านางอยู่ในห้องๆเดิม ที่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ไปเมื่อครู่พร้อมๆกับเพ่ยเพ่ย นางผวาเข้าไปสวมกอดพระสวามีอย่างคนที่ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภาพที่เห็นมันน่ากลัวมากเหลือเกิน
“ท่านพี่ ข้า ข้า..ฮึก ๆ ฮือๆ”
“ไม่ต้องกลัวนะหนี่ว์เอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว มันเป็นเพียงความฝัน ข้าอยู่กับเจ้าตรงนี้แล้ว”
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยปลอบพระชายา พลางลูบศีรษะ ลูบไหล่นางอย่างอ่อนโยน เขาสัมผัสได้ว่านางตัวสั่นอย่างมาก เมื่อครู่ระหว่างที่นางหมดสติไปนั้น นางเพ้อถึงแต่เพ่ยเพ่ย เรียกหาสาวใช้คนสนิทอยู่หลายครั้ง ผวาและร้องไห้ออกมาทั้งที่ยังหมดสติอยู่แบบนั้น จนเขาใจคอไม่ดีต้องเรียกนางเพื่อให้นางคืนสติโดยเร็ว ทั้งที่หมอหลวงที่ถูกตามมารักษาอาการของนางนั้นต้องการให้นางพักผ่อนให้มาก ด้วยเพราะดีต่อตัวนางและเด็กในครรภ์
จากการที่นางหมดสติในครั้งนี้ ทำให้หมอหลวงที่ตามมารักษานั้นตรวจร่างกายนางอย่างละเอียด และได้รู้ว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ราวๆหนึ่งเดือนแล้ว โดยที่ตัวของจางซูหนี่ว์เองนั้นยังไม่ทันได้รู้ตัว พอมีเรื่องมากระทบจิตใจและเสียใจอย่างรุนแรง จึงหมดสติไปอย่างง่ายดาย
“หม่อมฉันเห็นเปลวเพลิงลุกท่วมไปหมดทั้งห้อง เห็นเพ่ยเพ่ยอยู่ในกองเพลิงนั้น นาง..นางทรมานมากเพคะ หม่อมฉันช่วยอะไรเพ่ยเพ่ยไม่ได้เลย ฮือ ฮือ”
จางซูหนี่ว์ยังคงเสียขวัญ ภาพของเพ่ยเพ่ยยังคงติดตาและวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด แม้ว่าจะเป็นเพียงภาพในความฝันของนางเอง หากแต่ช่างเหมือนจริงยิ่งนัก และไม่แน่ว่าที่นางเห็นภาพเหตุการณ์นี้อาจเป็นเพราะเพ่ยเพ่ยนั้นได้มาบอกลานางเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ และทำให้นางได้เห็นภาพเหตุการณ์ในขณะที่เพ่ยเพ่ยทุกข์ทรมานจนสิ้นใจก็เป็นได้
“ว่าอย่างไรนะ เห็นเพ่ยเพ่ยอย่างนั้นหรือ”
มู่หรงเหลียนฮวาโพล่งขึ้นมาอย่างนึกหวาด พลันกวาดสายตามองไปรอบๆห้องอย่างเกร็งๆเล็กน้อย เมื่อรุ่งเช้านางกำนัลเข้าไปรายงานว่าก่อนรุ่งสางได้เกิดเรื่องขึ้นที่ตำหนักกลาง และจวิ้นหวางเฟยนั้นหมดสติจนต้องตามท่านหมอหลวงมาดูอาการ และถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของนางและพี่สะใภ้คนนี้ จะไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไร หากแต่นางก็ไม่ถึงกับเกลียดดั่งแต่ก่อน จึงรีบมาดูอาการของผู้เป็นพี่สะใภ้ด้วยความห่วงใยเล็กน้อย ขอย้ำว่าเล็กน้อยจริงๆ หากไม่มาเลยก็คงจะหาว่านางเป็นน้องสามีที่แล้งน้ำใจเอาได้
“ฮวาเอ๋อร์”
ผู้เป็นพี่ชายหันไปส่งสายตาดุให้น้องสาว ด้วยต้องการให้อยู่เงียบๆเสียมากกว่า มู่หรงเหลียนฮวาเป็นคนที่พูดไม่ค่อยคิดเท่าไร เกรงว่าจะกล่าวอะไรให้จางซูหนี่ว์นั้นรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม
“ท่านพี่ ฮวาแอ๋อร์ก็แค่ตกใจเท่านั้นเองนี่นา”
มู่หรงเหลียนฮวาเอ่ยตอบพี่ชายเสียงอ่อย สีหน้าจ๋อยลงไปเล็กน้อย
“เจ้าหมดสติไปเกือบสองชั่วยามนะหนี่ว์เอ๋อร์ จนต้องให้ท่านหมอหลวงมาช่วยดูอาการ ด้วยเกรงว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปอีกคน”
มู่หรงหย่งหมิงหันมาพูดกับจางซูหนี่ว์ ในระหว่างนี้เขาได้ส่งคนไปดูสถานการณ์ที่หอซือซิงล่วงหน้าแล้ว และคิดว่าเมื่อจางซูหนี่ว์ฟื้นคืนสติเมื่อไร เขาจะพานางไปดูหอซือซิงด้วยตัวเอง ถ้าหากว่านางต้องการและก็เป็นเช่นที่เขาคิดเอาไว้แต่แรก
“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรแล้วเพคะ ได้โปรดพาหม่อมฉันไปที่หอซือซิงได้หรือไม่ หม่อมฉันต้องการไปปลอบโยนและให้กำลังใจคนของหม่อมฉัน อีกอย่างเพ่ยเพ่ยอยู่ที่นั่น หม่อมฉันต้องการจัดการเรื่องพิธีศพของเพ่ยเพ่ยและเม่ยอิงด้วยตัวเองเพคะ ได้โปรดเถิด”
ถือเป็นโชคดีที่วังของจวิ้นอ๋องนั้นตั้งอยู่ภายนอกกำแพงวังหลวง กฎเกณฑ์บางสิ่งนั้นไม่ได้เคร่งขัดเท่าไร จึงทำให้จางซูหนี่ว์สามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆได้สะดวกกว่า เพราะสตรีที่อยู่ภายในรั้ววังหลวงนั้นไม่สามารถออกไปภายนอกได้อย่างอิสรเสรี โดยเฉพาะเหล่าพระสนมของฮ่องเต้ยิ่งแล้วใหญ่
“จะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร หมอหลวงเพิ่งบอกว่าท่านกำลังตั้งครรภ์หลานของข้าอยู่นะพี่สะใภ้ ถ้าออกไปข้างนอกเกิดไปหมดสติ หรือสะดุดสิ่งใดล้มลงไปจะไม่เป็นอันตรายกับหลานของข้าหรือ”
เป็นองค์หญิงเหลียนฮวาที่เอ่ยแย้งออกมา ถึงจะบอกว่ารู้สึกห่วงใยพี่สะใภ้เพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวกับเด็กในท้องนี่นา อย่างไรเด็กก็คือหลานของนาง ไม่ได้รู้เรื่องราวหรือเกี่ยวข้องกับความไม่ชอบหน้าระหว่างนางกับจางซูหนี่ว์เสียหน่อย ผิดหรือที่นางจะรักและห่วงใยหลานของนางที่อยู่ในท้องของจางซูหนี่ว์
“ตั้งครรภ์หรือ”
จางซูหนี่ว์ชะงักไป เมื่อได้ยินสิ่งที่องค์หญิงเหลียนฮวากล่าว ท้องอย่างนั้นหรือ นางเพิ่งจะแต่งงานใช้ชีวิตคู่ได้เพียงเดือนกว่าๆ นางท้องแล้วอย่างนั้นหรือ หญิงสาวก้มลงไปมองที่ท้องของตัวเอง พลางลูบมันเบาๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ที่ฮวาเอ๋อร์พูด ไม่ผิดหรอก ท่านหมอหลวงบอกว่าเจ้าตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนแล้ว เจ้าคงยังไม่รู้ตัว เพียงแต่ว่าท่านหมอหลวงตรวจร่างกายและชีพจรของเจ้า จึงได้รู้”
มู่หรงหย่งหมิงยืนยันคำพูดของน้องสาวอีกคน ด้วยลึกๆก็เห็นด้วยในสิ่งที่น้องสาวกล่าว หากแต่นิสัยจางซูหนี่ว์เป็นอย่างไรเขานั้นรู้ดี ถ้าคิดจะไปนางต้องไปให้ได้ เขาจึงติดได้ว่าจะเป็นผู้นำพานางไปเอง
“ลูกอย่างนั้นหรือเพคะ”
จางซูหนี่ว์ทวนคำ คล้ายว่าคนละเมอ นางนิ่งคิดไปไม่รู้ว่าความรู้สึกของนางตอนนี้ควรจะเสียใจหรือดีใจก่อนดี นางไม่รู้ว่าตอนนี้นางควรร้องไห้เสียใจต่อผู้จากไปในเหตุการณ์เพลิงไหม้เมื่อคืน หรือยิ้มดีใจที่นางได้รู้ว่ากำลังจะเป็นแม่คน มีอีกหนึ่งชีวิตอุบัติขึ้นมาอยู่ในท้องของนางตอนนี้ นางควรจะวางหน้าอย่างไรดี ร้องไห้หรือเสียใจ
“ใช่ ลูกของเรา ของเจ้ากับเปิ่นหวาง”
มู่หรงหย่งหมิงส่งยิ้มอ่อนให้จางซูหนี่ว์ เขาเห็นนางนิ่งไปชั่วครู่คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง ก็รับรู้ได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้ดึงนางเข้ามาสวมกอดเอาไว้อย่างปลอบโยน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จำเป็นต้องตายด้วยเหรอ ไม่เห็นจำเป็นต้องตายเลย