ตอนที่ 51 : เกลียดชัง
ซับไทย OST เพลงหลิงหลงฉบับเต็ม (玲珑) ห้วงเวลาลิขิตบัลลังก์ Lost love in times
ชายาอ๋องกระดูกเหล็ก
บทที่ 51 เกลียดชัง
มู่หรงหย่งหมิงเดินจูงมือผู้เป็นชายาเข้ามาที่ศาลากลางสวนดอกไม้ที่วังของเขา ระหว่างทางที่กลับมาจากตำหนักของเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย ทั้งสองนั้นมิได้เอ่ยสิ่งใดต่อกันแม้สักคำ หากแต่มือใหญ่ที่ค่อนข้างหยาบกร้านนั้นกอบกุมมือน้อยของหญิงอันเป็นที่รักตลอดเวลา จวบจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่คลายออกจากมือของนาง
และแม้ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของผู้เป็นสวามี แต่การกระทำสำคัญกว่าคำพูดนัก จางซูหนี่ว์เชื่อว่าสิ่งที่จวิ้นอ๋องได้ตัดสินใจนั้นคงผ่านการคิดไตร่ตรองดีแล้ว ซึ่งนางเองก็พอจะเดาความคิดของจวิ้นอ๋องออกเช่นกัน ว่าเหตุใดจึงให้องค์หญิงเหลียนฮวานั้นมาอยู่ในความดูแลของนาง
“ชายารัก เจ้าจะไม่ถามข้าหน่อยหรือ ว่าเหตุใดจึงให้เหลียนฮวามาคอยดูแลเจ้าเป็นการชดใช้ความผิดของนาง”
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยถามออกมาเป็นประโยคแรก หลังจากที่เงียบมาตลอดทาง ความจริงเขาอยากจะลองใจผู้เป็นชายาเท่านั้นเอง ที่ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ก็เพราะต้องการดูปฏิกิริยาของนาง ว่าจะทำเช่นใดเมื่อฟังคำตัดสินของเขา นางจะคิดว่าเขาเข้าข้างผู้เป็นน้องสาวมากจนเกินไปหรือไม่ โทษทัณฑ์ที่เหลียนฮวาได้รับจะน้อยเกินไปหรือเปล่า หากแต่จางซูหนี่ว์กลับเงียบเฉย ไม่มีคำทักท้วง หรือขัดแย้งใดในคำตัดสินของเขาเลย อีกทั้งทีท่าของนางนั้นหาได้แสดงกิริยาแง่งอน หรือขุ่นเคืองใจแต่ประการใด
“หนี่ว์เอ๋อร์เชื่อว่าท่านพี่ทรงคิดดีแล้วเพคะ และคิดว่ารู้ด้วยว่าเพราะอะไร”
“ไหนลองพูดมาสิ จะบอกให้ว่าถูกต้องหรือไม่”
ผู้เป็นพระสวามีกล่าว ทั้งยิ้มกริ่มอย่างพอใจในคำพูดนั้น พลางโบกมือไล่นางกำนัลที่ยืนอยู่ใกล้ๆออกไปหมด ด้วยต้องการอยู่เพียงลำพังกับพระชายาเท่านั้น ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้และเอื้อมมือรั้งร่างนางให้ลงมานั่งที่ตักของเขา ทั้งโอบกอดนางไว้อย่างทะนุถนอมด้วยความรัก
“ที่ทรงบอกว่าให้องค์หญิงเหลียนฮวามาคอยดูแลหม่อมฉัน แท้จริงแล้วทรงต้องการให้หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลองค์หญิงเสียมากกว่า ใช่หรือไม่เพคะ”
จางซูหนี่ว์ตอบพลางเอียงหน้าไปหาผู้เป็นสวามี ทั้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตานั้นบ่งบอกถึงความมั่นใจในความคิดของตนเอง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใช่ ไม่ผิดไปจากที่เจ้ากล่าวนั่นล่ะ หนี่ว์เอ๋อร์เจ้านี่รู้ทันข้าเสียจริง”
“และถ้าให้หม่อมฉันเดาอีก ทรงต้องการแยกองค์หญิงเหลียนฮวามาจากฮองเฮา ใช่หรือไม่เพคะ”
ครั้งนี้ใบหน้าระบายยิ้ม และสายตาอ่อนโยนที่กำลังทอดมองจางซูหนี่ว์อยู่นั้น แปรเปลี่ยนเป็นการขมวดคิ้วแทน หากแต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อทรงตระหนักรู้ว่าพระชายาของตนเองนั้นฉลาดคิดอยู่ไม่น้อย คงจะพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้พอสมควร ทั้งเรื่องการขัดแย้งของเขากับต้วนฮองเฮานั้นก็มีอยู่เนืองๆ คงมีข่าวใดล่วงเข้าหูนางให้ได้ยินอยู่บ้าง
“ข้าไม่ปฏิเสธ เพราะนั่นก็คือหนึ่งในเหตุผลเช่นกัน ประการแรกที่เว้นโทษตายแก่ซิ่วซิ่น ก็เพราะต้องการรักษาเกียรติของเหลียนฮวา ในฐานะองค์หญิงแห่งหวงหรง ไม่ต้องการให้ตกเป็นที่ครหาของผู้อื่น ว่ามีจิตใจโหดร้าย หากซิ่วซิ่นตายย่อมเป็นเรื่องใหญ่ตามมา จะมีการพูดถึงสาเหตุว่าเพราะอะไร และจะมีสักกี่คนกันที่เชื่อว่าเหลียนฮวาไม่ได้เป็นผู้บงการ สำหรับข้าเหลียนฮวาเอาแต่ใจก็จริง แต่เรื่องสั่งฆ่าผู้ใดนั้นออกจะเกินไป นางยังเด็กนักไม่โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้นหรอก”
“แต่ถ้าหากปล่อยให้ทรงมีนิสัยเอาแต่ใจเช่นนี้เรื่อยไป และถูกยุยงในสิ่งผิดๆ ก็ไม่แน่ใช่ไหมเพคะ”
“นั่นคือสิ่งที่ข้ากลัว จึงเป็นเหตุผลในประการที่สอง ข้าถึงต้องการแยกนางให้ออกห่างจากฮองเฮาอย่างไรล่ะ”
“หม่อมฉันก็พอจะรู้มาบ้าง เรื่องความขัดแย้งของพระองค์กับฮองเฮา เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนี้ ทั้งไม่ทราบตื้นลึกหนาบางว่ามีสาเหตุแรกเริ่มมาตั้งแต่เมื่อใด จะทรงประทานเล่าให้หม่อมฉันฟังได้หรือไม่เพคะ”
จางซูหนี่ว์ตัดสินใจเอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ภายในใจ อย่างไรนางก็เป็นพระชายาของเขา คิดอ่านดูแล้วเรื่องราวความขัดแย้งนั้น คงจะลามมาถึงนางในอนาคตอันใกล้แน่ๆโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง เช่นนั้นหากนางต้องการทราบถึงสาเหตุความขัดแย้งตั้งแต่ต้นนั้นก็ไม่ผิดมิใช่หรือ
มู่หรงหย่งหมิงมองสบตากับจางซูหนี่ว์นิ่งนาน ก่อนถอนหายใจออกมาเบาบาง เป็นสิทธิ์ที่นางควรจะรับรู้ อีกทั้งในฐานะคู่ชีวิตไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ไม่อยากจะปิดบังนาง ทั้งยังคิดแล้วว่าสามารถไว้ใจนาง เชื่อใจนางได้เท่าๆกับที่เขาเชื่อใจตนเองเลยทีเดียว นางเป็นสตรีที่จะสามารถเป็นทั้งคู่ชีวิต คู่คิด ร่วมทุกข์ ร่วมสุขแก่เขาได้ ทั้งตระหนักว่าต้วนฮองเฮาเองก็อาจจะหาเรื่องให้แก่จางซูหนี่ว์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวความขัดแย้งแรกเริ่มให้นางฟัง ซึ่งเขาก็ทราบมาจากที่พระมารดานั้นเล่าให้ฟังอีกทีเช่นกัน
“เรื่องนั้นเริ่มมาจากที่เสด็จแม่ของข้า ได้ช่วยชีวิตชายผู้หนึ่งเอาไว้ ซึ่งในตอนนั้นเสด็จแม่ยังทรงเป็นเพียงบุตรสาวของท่านราชครูเท่านั้น ชายผู้นั้นถูกทำร้ายจนจำสิ่งใดไม่ได้ แม้กระทั่งตนเอง ทุกคนตั้งชื่อเขาว่า อาฉือ ช่วยรักษาเขาจนบาดแผลหายดี แต่ใครจะรู้ว่าความมีพระทัยดีของเสด็จแม่จะทำให้ชายผู้นั้นหลงรักเสด็จแม่เข้า นั่นจึงเกิดเรื่องราวโศกนาฏกรรมรักขึ้นตั้งแต่บัดนั้น....”
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยเล่าเรื่องราวรักสามเส้าระหว่างพระมารดา ต้วนฮองเฮา และเมิ่งชงอวี้ หรือก็คืออาฉือ ให้กับจางซูหนี่ว์ได้ฟังตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน
“ได้อย่างไรกัน!! เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยไม่ทรงผิดแต่อย่างใดเลย หากจะผิดก็คงผิดเพราะไปช่วยชายผู้นั้นล่ะเพคะ การที่เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยทรงปฏิเสธความรักของชายผู้นั้น ก็เพราะว่าทรงมีพระทัยให้กับองค์ไท่จื่อ ใครจะไปรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเป็นเหตุให้ชายผู้นั้นเมามายจนเกิดเหตุให้ต้องพิการและฆ่าตัวตายอย่างนั้น”
จางซูหนี่ว์ที่รับฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต อดที่จะเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย เพราะความใจดีแท้ๆ ทำให้เกิดเรื่องราวได้มากมายถึงเพียงนี้
“คิดว่าฮองเฮาคงกล่าวโทษว่าเป็นเพราะเสด็จแม่ทรงมักใหญ่ใฝ่สูงต้องการเป็นไท่จื่อเฟย จึงไม่รับรักเมิ่งชงอวี้ ทั้งที่ก็มีทีท่าเหมือนจะมีใจให้ชายผู้นั้น จึงเป็นสาเหตุของความบาดหมางทั้งหมด”
กล่าวพลางมองหน้าชายารักที่กำลังมองมาที่เขา ทั้งตั้งใจรับฟังด้วยดี
“บาดหมางถึงขนาดนำตัวเองเข้ามาแทรกกลางระหว่างเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยกับฝ่าบาทเช่นนี้ ความเกลียดชังและอาฆาตแค้นของฮองเฮาช่างน่ากลัวนัก ทั้งที่คนที่ทรงแค้นเคืองนั้นหาความผิดไม่ได้เลย ไม่พอยังโยนความเกลียดชังนั้นมาถึงรุ่นลูกอีก”
หญิงสาวเปรยพลางนึกถึงเรืองราวที่ได้ฟัง คิดๆไปจะหาคนที่ผิดในเรื่องราวนี้ก็พูดได้ไม่ชัดเจนนัก เมิงชงอวี้จะว่าเป็นบุรุษที่จิตใจโลเลหรือ ก็ไม่ใช่ เพราะความจำเสื่อม คราแรกมีใจผูกสมัครรักใคร่กับต้วนลี่ถิง ทว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเป็นอาฉือ จำสิ่งใดไม่ได้ และมีสาวงามจิตใจดีคอยช่วยดูแลตลอดเวลา เสมือนกับโลกใบใหม่ของเขามีแต่เฟิ่งจินเหลียน จะตกหลุมรักคงไม่แปลกอะไร และถึงแม้ต้วนลี่ถิงจะมาบอกว่าเป็นคนรักของเขาในตอนนั้น จิตใจของเขาหาได้เป็นเมิ่งชงอวี้ที่มีแต่ต้วนลี่ถิง แต่เป็นอาฉือที่มอบความรักให้เฟิ่งจินเหลียนเท่านั้น ทั้งจำรักเก่าก่อนไม่ได้เลย
เฟิ่งจินเหลียนผู้ที่จิตใจดี เห็นผู้บาดเจ็บนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงหน้า หากไม่ช่วยคงเป็นเรื่องแปลก ความมีน้ำใจ บวกกับความงามพร้อมทั้งรูปโฉมและจิตใจ จึงทำให้อาฉือนั้นรักในตัวของนาง หากแต่ไม่อาจรับรักอาฉือได้ ด้วยนางมีคนรักอยู่แล้ว ฉะนั้นจะโยนว่านางเป็นผู้ผิดได้อย่างไร
ส่วนต้วนลี่ถิงในตอนนั้น ก็ไม่ผิดอะไรเช่นกัน ออกจะน่าสงสารไม่น้อยที่ต้องกล้ำกลืนเห็นคนรักไปมอบรักให้หญิงอื่น จะโกรธ จะแค้นเคืองหรือก็ทำไม่ลง ด้วยรู้แก่ใจดีว่าเพราะคนรักนั้นจำตนเองไม่ได้ ต่อให้รื้อฟื้นอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงถอยห่างออกมาให้คนรักมีความสุขกับหญิงอื่น หากแต่ก็ต้องเจ็บช้ำเมื่อพบว่าทุกอย่างไม่เป็นเช่นที่ตั้งใจเอาไว้ ความพลัดพราก ความสูญเสียตลอดกาล มาเยือนในตอนที่เมิ่งชงอวี้นั้นความจำหวนคืน จึงเป็นบาดแผลในใจของต้วนลี่ถิงจนถึงบัดนี้
“เสด็จแม่เองก็รู้สึกผิดเช่นกัน จึงยอมให้ฮองเฮาเรื่อยมา หวังจะลดความเกลียดชังในใจของฮองเฮาได้ ตำแหน่งฮองเฮาที่สมควรได้รับ ก็ทรงเสียสละให้ได้ แต่ดูเหมือนว่าฮองเฮาจะทรงพึงพอใจที่จะอยู่ในกองไฟแห่งความเกลียดชังนั้นมากกว่า จึงไม่ได้รับรู้ความปรารถนาดีของผู้ใดเลย”
มู่หรงหย่งหมิงส่ายหน้าให้กับความทิฐิของสตรีผู้นั้น ที่เอาแต่คิดถึงความเจ็บช้ำของตนเองแต่ฝ่ายเดียว มองเห็นแต่ความทุกข์ของตน โยนความผิดให้แก่ผู้อื่น เพื่อลดทอนความเจ็บปวดในจิตใจของตัวเองเรื่อยมา หากแต่เผื่อแผ่ความเกลียดชังมาถึงเขาและมู่หรงเหลียนฮวานั้นก็เกินไป การที่ได้โอกาสแยกมู่หรงเหลียนฮวาให้มาอยู่ในความดูแลของจางซูหนี่ว์ จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว
"หม่อมฉันเชื่อว่าแท้จริงแล้ว ทุกวันนี้ฮองเฮาก็มิได้มีความสุขนักหรอกเพคะ เช่นที่พระองค์ทรงกล่าวนั่นล่ะ อยู่ในกองเพลิงแห่งความแค้น ความริษยา อย่างไรก็หาความสุขไม่ได้ ต่อให้คนที่ตนเองคิดร้ายด้วยนั้นย่อยยับหรือตายจากไป ความทุกข์ที่อยู่ในใจของคนๆนั้นก็ไม่มีทางจางหาย เพราะมัวแต่เอาความสุขทั้งหมดไปผูกอยู่กับอดีตที่ล่วงผ่านไปแล้ว แก้แค้นสำเร็จแล้วอย่างไร เมิ่งชงอวี้ก็มิอาจหวนคืนชีวิตกลับมาได้ "
หญิงสาวกล่าวถึงความเป็นจริงที่มองเห็นในตอนนี้ สุดท้ายแล้วผู้ที่น่าสงสารที่สุดอาจจะเป็นต้วนฮองเฮาเองด้วยซ้ำ ปัจจุบันและอนาคตที่สดใสและมีความสุขวางอยู่ตรงหน้า หากแต่กำแพงแห่งความแค้นภายในใจที่ตนเป็นผู้ก่อขึ้นมาเองนั้นขวางกั้น จนมิอาจสัมผัสกับความสุขที่แท้จริงได้เลย ในขณะที่เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยแม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุด แต่กลับได้รับความรักจากฝ่าบาทและคนรอบข้างอยู่เสมอมา คิดเช่นนั้นแล้วก็น่าเวทนาพระนางอยู่ไม่น้อย
ณ พระตำหนักฮองเฮา
“ฮองเฮาเพคะ ได้โปรดทรงช่วยหลานสาวของหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
ฟางหรูคุกเข่าลงตรงหน้าพระพักตร์ต้วนฮองเฮา สีหน้านั้นแสดงออกถึงความกังวลด้วยความเป็นห่วงหลานสาวของตนเองยิ่งนัก ซิ่วซิ่นถูกส่งไปเป็นนางกำนัลขององค์หญิงเหลียนฮวา จุดประสงค์นั้นแท้จริงมิใช่เพื่อคอยดูแล แต่เพื่อยุยงให้องค์หญิงนั้นผิดใจและไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้ใดมากกว่าฮองเฮา ทั้งเพื่อสอดแนมความเป็นไปภายในตำหนักของเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยและวังจวิ้นอ๋องต่างหาก
“เจ้าอย่าได้ห่วงไป ให้คนของเราลอบส่งข่าวไปบอกนาง ว่าตอนนี้ขอให้อดทนไปก่อน แล้วข้าจะหาทางรีบพานางออกมาจากที่นั่น”
ต้วนฮองเฮาทรงเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิท ภายนอกนั้นดูว่าพระนางจะทรงพระทัยเย็น หากแต่ใครจะรู้ว่าบัดนี้จิตใจของพระนางนั้นรุ่มร้อนดั่งไฟสุม หากแต่ก็จำต้องข่มมันเอาไว้ด้วยทีท่าสุขุม
“ซิ่วซิ่นถูกโบยแล้วอย่างไร เหลียนฮวานั้นเป็นเช่นไรบ้าง”
“จวิ้นหวางเฟยเป็นผู้สั่งลงโทษซิ่วซิ่นและขับนางไปเป็นทาสเพคะ ส่วนองค์หญิงเหลียนฮวาข่าวว่าถูกส่งไปอยู่ที่วังจวิ้นอ๋องระยะหนึ่ง”
ฟางหรูกล่าวรายงานถึงข่าวที่ได้ยินมาให้ผู้เป็นนายได้รับรู้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งก็เพราะความสะเพร่าของหลานสาวนางด้วย กระทำการไม่ระมัดระวังจนทิ้งหลักฐานให้ภัยมาถึงตัวได้
“เช่นนั้นหรือ แล้วจินเหลียนกับหย่งหมิงล่ะ เคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง”
การที่มู่หรงหย่งหมิงให้น้องสาวไปอยู่ที่วังด้วย ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นการแยกมู่หรงเหลียนฮวาให้ออกห่างจากพระนาง เดาได้ว่าทั้งสองคนนั้นรู้ว่าพระนางเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้แน่นอน
“หลังเสด็จออกจากตำหนักเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย จวิ้นอ๋องและจวิ้นหวางเฟยก็เสด็จกลับวังในทันทีเพคะ ไม่ได้เสด็จไปที่ใดต่อ ส่วนเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยก็ทรงประทับอยู่แต่ในตำหนัก นอกนั้นหม่อมฉันมิทราบได้เพคะ”
หากแต่ยังไม่ทันได้พูดกล่าวสิ่งใดนัก ในขณะนั้นได้มีนางกำนัลเข้ามารายงานแก่ต้วนฮองเฮาถึงการมาของเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย ด้วยขอเข้าเฝ้าฮองเฮาในเวลานี้ พระนางจึงต้องออกไปพบสตรีผู้นั้น ผู้ที่นางจงเกลียดจงชังมาตลอดหลายปี เกลียดจนอยากจะเห็นนางผู้นั้นเจ็บปวดทรมานใจไม่มีสิ้นสุด แต่ดูเหมือนสวรรค์ช่างไม่เข้าข้างพระนางบ้างเลย
“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยยอบกายลงเล็กน้อย เพื่อถวายบังคมตามธรรมเนียม พระพักตร์งามนั้นดูราบเรียบไร้แววกังวลใดให้เห็น จนต้วนฮองเฮาที่ลอบสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้านั้นอดแปลกใจไม่ได้ หากแต่ก็ยังคงสงวนทีท่าอยู่ ดั่งว่าไม่รู้เรื่องราวใดๆ ที่เกิดขึ้นในวังจวิ้นอ๋องเมื่อคืนที่ผ่านมา
“นั่งให้สบายเถิด นานๆ เจ้าจะมาเยือนที่ตำหนักของเปิ่นกงสักครั้ง ”
ต้วนฮองเฮากล่าวประชด ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่รู้กันดีระหว่างทั้งสองคน ว่าแท้จริงแล้วฮองเฮามิได้ยินดีต้อนรับในการมาของเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยสักเท่าไร
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เฟิ่งหวงกุ้ยเฟย มาเข้าเฝ้าเปิ่นกงถึงที่ตำหนักในวันนี้ คงมีธุระสำคัญเป็นแน่”
เป็นพระนางเองที่หงุดหงิดพระทัยกับทีท่าสุขุมนั้น คล้ายไม่ทุกข์ร้อนของสตรีตรงหน้า เกลียดสายตาที่แสร้งอ่อนหวานและรอยยิ้มที่ส่งมาให้พระนาง มันทำให้รู้สึกว่าคนตรงหน้ากำลังเยาะเย้ยพระนางอยู่
“ธุระหรือเพคะ ย่อมเป็นเช่นนั้น หากแต่ธุระที่ว่านั้นเกี่ยวกับคนของพระนางเพคะ”
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยกล่าว พลางมองสบสายตากับต้วนฮองเฮา ใบหน้างดงามนั้นราบเรียบติดจะยิ้มที่มุมปาก หากแต่สายตานั้นเด็ดเดี่ยว และแข็งกร้าวมากกว่าทุกครั้ง ดั่งต้องการจะสื่อบางสิ่งบางอย่างทางสายตาให้คนตรงหน้าได้รับรู้ว่าต่อจากนี้ไป พระนางจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว ที่ผ่านมาคิดว่าความดีจะทำให้ต้วนฮองเฮาคิดดีขึ้นมาได้ แต่เปล่าเลยกลับหาทางทำร้ายพระนางและลูกๆ ของพระนางเสมอมา
“ว่ามา”
ต้วนฮองเฮานั้นก็ไม่ได้หลบสายตาเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยแต่อย่างใด ทว่าทรงรับรู้ได้ถึงแววตาที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากนัก หึ…เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ
“หม่อมฉันเพียงต้องการบอกล่าวกับฟางหรู นางกำนัลคนสนิทของพระนางเพคะ ถึงเรื่องราวที่หลานสาวของนางนั้นก่อเหตุที่วังของหย่งหมิงเมื่อคืนนี้ จนต้องรับโทษโบยและถูกปลดไปเป็นทาสชั้นเลว”
“แต่ก็เป็นองค์หญิงเหลียนฮวา ที่สั่งการให้ซิ่วซิ่นไปทำไม่ใช่หรือเพคะ แล้วไยองค์หญิงจึงไม่ถูกลงโทษบ้างเล่า เพียงให้ไปอยู่ที่วังจวิ้นอ๋องเท่านั้น ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย”
ฟางหรู แก้ต่างแทนผู้เป็นหลานสาวในทันทีอย่างลืมตัว ทว่ากลับถูกต้วนฮองเฮาเอ่ยห้ามเสียงเข้ม
“ฟางหรู เงียบ!”
เมื่อได้ยินผู้เป็นนายเอ่ยเสียงดุ จึงทันได้คิดและรู้ตัวว่าพลาดเอ่ยสิ่งใดออกไปบ้าง เพราะความปากเร็วและความกังวลใจแท้ๆ จึงได้หลุดปากออกมาเช่นนี้
“เจ้าช่างรู้ดีเสียจริง รู้ดั่งว่าอยู่ในเหตุการณ์ หรือไม่ก็เป็นผู้วางแผนการทั้งหมดเสียเอง”
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นในทันที ที่ต้วนฮองเฮาเอ่ยห้ามไม่ให้สาวใช้พรั่งพรูสิ่งใดออกมา เพื่อเป็นการมัดตัวเอง ยิ่งเป็นการทำให้เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยมั่นใจมากขึ้นถึงผู้อยู่เบื้องหลังการยุแยงให้เกิดความร้าวฉานระหว่างแม่และลูก
“เปิ่นกงเป็นถึงฮองเฮา เกิดเรื่องราวใดในวังหลวงย่อมต้องมีผู้มารายงาน ไม่แปลกอะไรที่จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ประเด็นสำคัญอยู่ที่การตัดสินความมากกว่า ว่ายุติธรรมดีหรือไม่”
ต้วนฮองเฮายังวางตัวนิ่งเฉย ข่มความไม่พอใจใดๆ เอาไว้เป็นอย่างดี ด้วยว่ารอบข้างยังมีนางกำนัลรับใช้ยืนอยู่หลายคน
“เพคะ เพียงแต่หม่อมฉันแปลกใจเท่านั้น อุตส่าห์ปิดเรื่องเอาไว้ ไม่กระทำการใดโจ่งแจ้งให้ผู้อื่นรับรู้มากนัก ก็ยังมีผู้กระทำตัวดีคาบข่าวเรื่องไม่เป็นเรื่อง มาให้ฮองเฮาทรงระคายพระทัยจนได้”
“เอาเถอะ ใครจะมาบอกกล่าวแก่เปิ่นกงก็ไม่สำคัญหรอก เจ้ามีสิ่งใดจะพูดก็เอ่ยออกมาตามตรงไม่ต้องอ้อมค้อม”
ต้วนฮองเฮาเริ่มหมดความอดทน สายตากับรอยยิ้มคล้ายเย้ยหยันในทีของเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย ดูราวกับว่ารู้ทันพระนางในทุกเรื่อง และวางตนคล้ายผู้ที่อยู่เหนือกว่า มันทำให้พระนางทนไม่ได้
“สิ่งที่หม่อมฉันตั้งใจจะทูลให้ฮองเฮาทรงทราบ พระนางก็ทรงทราบอยู่ก่อนแล้ว หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าจะทูลอะไรเพคะ”
“เจ้ายังไม่ตอบเรื่องการตัดสินความ”
“ก็ไม่มีสิ่งใดเลยเพคะ ที่ซิ่วซิ่นได้รับโทษเพราะหลักฐานมัดตัวนางเองทั้งสิ้น ส่วนการที่นางกล่าวว่าเหลียนฮวาเป็นผู้สั่งการนั้น เหลียนฮวาก็ได้ปฏิเสธ แม้ว่าส่วนหนึ่งเหลียนฮวาจะมีความผิดอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังเบากว่าซิ่วซิ่นนัก เพราะซิ่วซิ่นทำเกินคำสั่งผู้เป็นนายเอง”
“เหลียนฮวาบอกว่าไม่ได้สั่ง เจ้าก็เชื่อ ไม่กลัวว่าผู้อื่นจะมองว่าเข้าข้างลูกจนลืมผิดถูกหรือ”
“นางอาจจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายอะไร และเพราะเอาแต่ใจหม่อมฉันจึงส่งนางไปอยู่ที่วังของหย่งหมิง ให้อยู่ในความดูแลของหย่งหมิงกับซูหนี่ว์สักพักอย่างไรล่ะเพคะ ไม่แน่ว่านิสัยเหลียนฮวาอาจจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้”
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยกล่าวพลางระบายยิ้ม ก่อนยกน้ำชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ คล้ายว่าพูดเรื่องทั่วๆไปที่ไม่ได้สำคัญอะไร
“แล้วซิ่วซิ่นหลานสาวของหม่อมฉันล่ะเพคะ นางจะต้องรับโทษทัณฑ์ไปอีกนานเท่าไร”
ฟางหรูเอ่ยถามขึ้นมาเสียงแผ่ว
“โทษบุกรุกเข้าไปยังที่ประทับส่วนพระองค์ของเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังทำการอันไม่น่าให้อภัย ก็เพียงพอให้ตัดหัวได้แล้ว จวิ้นหวางเฟยไม่ลงโทษหนักถึงขนาดนั้น ก็ถือว่าเห็นแก่เจ้ามากแล้วนะ”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยเอ่ย หลังจากนั้นจึงเอ่ยขอตัวกลับตำหนักของตนเอง ด้วยว่าที่มาพระตำหนักฮองเฮาในครั้งนี้ ก็เพื่อบอกเป็นนัยให้ฮองเฮาทราบว่าพระนางรับรู้เรื่องราวทั้งหมดและคงจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่ ถ้าเกิดสิ่งใดกับลูกๆของพระนางอีก
ระหว่างที่กำลังเดินออกจากพระตำหนักของฮองเฮา เพื่อกลับตำหนักของตนเอง หากแต่ก็พบเข้ากับสวี่กุ้ยเฟยและสาวใช้คนสนิท
“ถวายพระพรเพคะ”
“ อ้าว เจ้านั่นเอง สวี่กุ้ยเฟย ไม่เจอกันเสียนานสบายดีขึ้นแล้วหรือไม่”
“ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”
“แล้วนี่เจ้าจะมาเข้าเฝ้าฮองเฮาหรือ”
“เพคะ ทำขนมมาถวายฮองเฮา”
สตรีสูงศักดิ์ร่างบอบบางเอ่ยตอบ ด้วยท่วงท่าเรียบร้อยอ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง
“ดีแล้วล่ะ ขนมที่เจ้าทำคงจะดับความรุ่มร้อนในพระทัยของฮองเฮาลงได้ ไม่มากก็น้อย”
“ความรุ่มร้อนอะไรหรือเพคะ”
สวี่กุ้ยเฟยท่าทางงุนงงในคำพูดของเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย หากแต่อีกฝ่ายกลับยิ้มได้มากกว่าที่เคยยิ้ม และไม่เอ่ยไขข้อข้องใจในคำพูดนั้น ทั้งยังปลีกตัวกลับไปยังตำหนักของตน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถึงจะรู้ว่าครอบครัวฝั่งพระเอกซูทุกตัวแต่เราว่าเราชอบฮองเฮามากกว่านะ
ฮองเฮาพลาดนะที่เชื่อคำของพี่ชายตั้งแต่แรก เพราะพี่ชายอาศัยตอนที่ฮองเฮาเสียสูญจากการที่คนรักตายมาพูดเป่าหูอยู่ทุกวัน ให้แค้นคนที่ทำให้เราเจ็บ จากที่ไม่ได้คิดแค้นหวงกุ้ยเฟยมากขนาดนี้แต่แรก แต่ต่อให้ร้ายยังไงฮองเฮาก็ไม่ได้ร้ายจนถึงขั้นฆ่าคน ยังเอ่ยห้ามพี่ชายไม่ให้ทำอะไรเกินคำสั่ง แต่พี่ชายก็ไม่เชื่อฟังพอลับหลังยังส่งคนไปลอบทำร้ายพระเอกหวังให้ตายอยู่ดี (กรณีนี้กล่าวเฉพาะมุมของฮองเฮานะคะ)...
ปล.ทุกตัวละครมีเหตุผลของตัวเอง ไม่ขาวไม่ดำ แต่เทา 555+ อยู่ที่ว่ามองในมุมของใครเท่านั้น ชอบอ่านคอมเมนท์แบบนี้จัง วิเคราะห์ความรู้สึกของตัวละคร