ตอนที่ 5 : น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง (รีไรต์)
" หนี่ว์เอ๋อร์ไหว้พระเสร็จแล้ว เดี๋ยวเจ้าตามแม่มาทางนี้นะ "
หญิงสาวมองตามร่างของมารดาที่เดินนำนางไปยังทิศทางหนึ่ง เมื่อเดินตามไปแล้วจึงได้รู้ว่ามารดานั้นรออยู่ภายในวิหารเล็กๆหลังหนึ่ง ภายในนั้นมีรูปปั้นเทพเจ้าองค์หนึ่งลักษณะเป็นชายชราถือถุงย่าม ซึ่งนางคุ้นตาเป็นอย่างมากดั่งว่าเคยเห็นผ่านตามาบ้าง เมื่อไล่เรียงความทรงจำแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าที่เห็นตรงหน้านั้นคือ รูปปั้นของผู้เฒ่าจันทรา....
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่นางยังอยู่ในโลกที่จากมา หลังจากที่ได้รับเลือกให้เล่นภาพยนต์เรื่องล่าสุดในการถ่ายทำนั้นห้าสิบเปอร์เซ็นถ่ายทำที่เมืองจีน ก่อนการเปิดกล้องนั้น นางได้มีโอกาสเรียนการร่ายรำในแบบฉบับของเมืองจีน เพราะต้องใช้ประกอบการแสดงเนื่องจากว่าบทบาทของนางนั้นเป็นสายลับหญิงชาวไทย ที่แฝงตัวเข้าไปอยู่ในคณะนางโชว์ที่มีชื่อเสียงของเมืองจีน
จำเป็นที่จะต้องมีทักษะในการขับร้อง เล่นดนตรี และร่ายรำในแบบของจีนติดตัวอยู่บ้าง เพื่อง่ายต่อการแสดง รวมทั้งเข้าถึงบทบาทที่ได้รับ นางจึงทุ่มสุดตัวมาซุ่มเรียนการร่ายรำถึงที่เมืองจีนอยู่เป็นเวลาแรมเดือนทีเดียว โชคดีที่เธอมีพื้นฐานการเต้นบัลเลต์มาตั้งแต่เด็กๆ กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆจึงยืดหยุ่นและง่ายแก่การฝึกสอนคนที่ไม่มีพื้นฐานใดใดอยู่มากนัก
ระหว่างนั้นได้มีโอกาสเข้าไปไหว้พระภายในวัดอันมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจีน ทั้งผู้จัดการส่วนตัวยังชักชวนให้นางเข้าไปไหว้เทพเจ้าหยุคโหลว หรือ ผู้เฒ่าจันทรา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก เป็นผู้ผูกด้ายแดงให้กับคู่รักทั้งหลาย ด้วยเพราะหวังดีกับเธอหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ อยากให้นางมีคนรักอย่างใครอื่นเขาบ้าง...
ซึ่งปาลินนั้นเพียบพร้อมทั้งฐานะ การศึกษา ชาติตระกูล รูปโฉมงดงาม ชื่อเสียงนั้นก็มีไม่น้อย แต่กลับไม่เคยคบใครในฐานะคนรักเลยแม้สักคนเดียว ใช่ว่าไม่มีผู้ชายเข้ามาข้องแวะ เพราะด้วยรูปโฉมนั้นเป็นที่สะดุดตาต้องใจผู้ที่ได้พบเห็นอยู่แล้ว แต่ติดอยู่ที่ตัวนางเองนั้นไม่เคยเปิดใจให้ใครเข้ามาเลยต่างหาก
อาจเป็นเพราะบิดามารดานั้นแยกทางกันตั้งแต่นางยังเด็ก แม้จะยังเอาใจใส่นางผู้เป็นลูกแต่ลึกๆ นางก็อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่ดี ไม่ใช่ว่าพ่อแม่หย่าร้างกันแล้วต่างคนต่างแต่งงานใหม่เช่นนี้ นางกลัวการมีชีวิตคู่และเชื่อว่ารักแท้นั้นไม่มีอยู่จริง จึงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องการมีคนรักเท่าใดนัก....
หากแต่ครั้งนั้นก็ขัดพี่นุ่มนิ่มผู้จัดการส่วนตัวของนางไม่ได้ ที่คอยคะยั้นคะยอให้ไหว้ขอพรเรื่องความรักอยู่นั่น หากแต่นางก็ไหว้ไปอย่างนั้น เทพเจ้ามีจริงหรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้
ทั้งเรื่องความรักนั้นหากหวังพึ่งเพียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คอยช่วยเหลือ โดยไม่มีการปรับตัวเข้าหากัน ศึกษานิสัยใจคอกันแล้วมันจะอยู่กันยืดได้อย่างไร ไหว้เทพเจ้าขอให้ช่วยเหลือและมีชีวิตรักที่ยืนยาวกระนั้นหรือ นางไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง....
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ลืมเลือนเหตุการณ์นั้นไป ไม่คิดว่าจะได้กลับมายืนต่อหน้ารูปปั้นเทพเจ้าองค์นี้อีกครั้ง และดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันไม่ผิดเพี้ยน....
" แม่อยากให้เจ้าไหว้ขอพรท่านเสียหน่อย ท่านจะได้เมตตาเจ้าและผูกด้ายแดงให้เจ้ากับเนื้อคู่ของเจ้า ให้ได้มาพบกันโดยเร็วอย่างไรเล่าหนี่ว์เอ๋อร์ "
จางฮูหยินเอ่ยบอกบุตรสาว ด้วยนางเห็นว่าอายุของจางซูหนี่ว์นั้นถึงวัยที่จะออกเรือนได้แล้ว หากไม่เกิดเรื่องขึ้น ป่านนี้นางอาจแต่งเข้าไปเป็นคนของสกุลเค่อแล้วก็ได้ หากแต่เกิดเรื่องเช่นนั้นแล้วนางเองก็อยากจะให้บุตรสาวพบคนที่ดีกว่า คนที่รักบุตรสาวของนางด้วยใจจริง หากบุตรสาวได้ออกเรือนไปกับคนคนๆนั้น ผู้เป็นมารดาเช่นนางก็คงนอนตายตาหลับเสียที
" ท่านแม่เจ้าคะ ลูกว่าคงไม่ต้องขอพรท่านตอนนี้ก็ได้กระมังเจ้าคะ ลูกยังไม่พร้อมจะมีใคร ยังอยากอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ และพี่ใหญ่กับพี่รองเช่นนี้ไปเรื่อยๆ "
หญิงสาวส่งสายตาอ้อนวอนพลางยิ้มประจบผู้เป็นมารดา ไม่เข้าใจทำไมคนยุคนี้ถึงกลัวลูกสาวจะขึ้นคานกันเสียจริง นางสวย นางรวย นางเลือกได้ขนาดนี้ ยังกลัวว่าจะไม่มีผู้ใดมาสู่ขออีกหรือ....
หากแต่ก็เท่านั้น...นางวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะไม่แต่งเข้าตระกูลใดทั้งนั้น ปัญญามีอยู่กับตัวอนาคตคงไม่ถึงกับอดตายกระมัง ถ้าไม่มีสามีคอยหาเลี้ยง...
ทว่าพอเห็นสายตาของจางฮูหยินที่ใบหน้าขรึมลงทันที เมื่อฟังนางกล่าวจบประโยค ก็ได้แต่ยิ้มแหยส่งไปให้ไหนๆก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เอ่ยขอพรจากพ่อเฒ่าจันทราเสียหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร เพื่อความสบายใจของผู้เป็นมารดา ดีกว่าที่นางต้องมารับกรรมฟังมารดาบ่นทั้งวันน่าจะดี...
" ข้าน้อยจางซูหนี่ว์ นั้นอาภัพต้องทนทุกข์กับรักที่ไม่สมหวังมานาน จึงขอวิงวอนท่านพ่อเฒ่านั้นเมตตาช่วยดลบันดาลให้ข้าได้พบผู้ที่เป็นเนื้อคู่ ผู้ที่สร้างบุญและบุพเพสันนิวาสแก่กันโดยเร็วด้วยเถิด "
หญิงสาวเอ่ยขอพรออกไป หลังจากที่ได้รับแรงกดดันทางสายตาจากผู้เป็นมารดา ประโยคที่กล่าวนั้นก็ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นประโยคเดียวกับที่นางเคยกล่าวเอาไว้ในตอนที่ถูกผู้จัดการส่วนตัวคะยั้นคะยอให้ขอพรท่านพ่อเฒ่านั่นเอง...
' หากท่านมีจริง...ก็ขอให้ปาลินคนนี้ได้พบเนื้อคู่เร็วๆเสียทีนะคะ '
ทว่าในตอนนั้นนางเอ่ยออกไปทีเล่นทีจริง ออกจะไปในทางขำขันด้วยซ้ำ เอ่ยเอาใจพี่นุ่มนิ่มก็เท่านั้นเอง.....
หลังจากที่ทำการไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อย ซึ่งนางก็ไม่แน่ใจว่าจุดประสงค์ของมารดานั้น ต้องการให้นางมาไหว้พระ หรือ ไหว้พ่อเฒ่าจันทรากันแน่ คะยั้นคะยอนางเสียหรือเกิน ตั้งท่าจะปฏิเสธหน่อยก็เล่นกดดันกันทางสายตาเสียอย่างนั้น ดุกว่าท่านพ่อก็ท่านแม่นี่ล่ะ...
ภายในจวนนั้นเป็นที่รู้กัน ไม่ว่าท่านเสนาบดีจางจะมากด้วยยศศักดิ์เพียงใด หากแต่ในจวนสกุลจางนั้น ผู้ที่กุมอำนาจสิทธิ์ขาดที่แท้จริงนั้น คือ จางฮูหยินต่างหากเล่า พูดง่ายๆคือท่านพ่อนั้นรักท่านแม่มากนั่นเอง....
" เดี๋ยวเราแวะไปหาพี่รองของเจ้า ที่หอการค้าเสียหน่อยนะหนี่ว์เอ๋อร์ แม่ไม่ได้เข้าไปดูกิจการของตระกูลเรานานแล้ว "
จางฮูหยินเอ่ยขึ้นกับบุตรสาวขณะอยู่บนรถม้า ระหว่างเดินทางเข้าไปในเมือง ซึ่งตระกูลจางนั้นมีหอการค้าสกุลจางอยู่ภายในตลาด เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมสินค้าคุณภาพดีและหายากหลากหลายอย่างเลยทีเดียว
" เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกก็อยากเดินเล่นภายในตลาดเช่นกัน "
หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย จะได้เดินซื้อของแก้เบื่อเสียให้หายอยากเลยทีเดียว ทั้งจะได้รู้ความเป็นอยู่ของคนในยุคนี้มากยิ่งขึ้นด้วย แต่ใครจะไปคิดว่าจะได้เจอกับคนที่ เอิ่ม.....
" ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่ เจ้าเอ่อ...เปลี่ยนไปมากจริงๆนะซูหนี่ว์ "
สตรีผู้มีหน้าอกหน้าใจใหญ่เกินตัว เอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พลางฉีกยิ้มส่งมาให้อย่างรักษาภาพพจน์ ด้วยคิดว่าตนนั้นเป็นต่อสตรีตรงหน้าอยู่มากโข เพราะคนที่สามีเลือกก็คือนาง
แม้จะประหลาดใจอยู่มากที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของสหาย ที่ครั้งหนึ่งนางเคยสนิทสนมด้วย จางซูหนี่ว์เปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนจนนางไม่พอใจ....
ระหว่างที่นางขอตัวจากท่านแม่เพื่อออกมาเดินเล่นภายในตลาดกับสาวใช้คนสนิท ขณะที่กำลังเพลิดเพลินในการเลือกซื้อของอยู่นั้น อารมณ์ที่เคยรื่นรมย์ก็พลันหยุดชะงัก ต้นเหตุก็เพราะชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนตรงหน้านาง...
ความทรงจำอันเลือนรางของจางซูหนี่ว์คนก่อน ย้อนกลับเข้ามาให้นางจดจำได้ว่า นี่คงจะเป็นบุรุษจิตใจโลเล เค่อเหยียนเหว่ย และเพื่อนรักขี้อิจฉาผู้นั้น ม่านฉิงเซียง แน่แล้ว...
" ข้าก็ไม่คิดเช่นกัน ว่าจะได้เจอเจ้า หากรู้ก่อนหน้านั้นข้าคงไม่เดินมาทางนี้เป็นแน่ "
จางซูหนี่ว์เหลือบมองทั้งสองเพียงนิด เค่อเหยียนเหว่ยนั้นรูปงามแต่ติดจะสำอางไปสักนิด มองแล้วเหมือนคุณชายเจ้าสำราญไปสักหน่อย แต่ในสายตาของนางนั้นก็แค่หล่อและดูดีเพียงเท่านั้น ไม่เห็นจะมีสิ่งใดดึงดูดใจให้สตรีสองนางต้องมาแย่งชิงกันเลยจริงๆ
จิตใจก็โลเลเพียงนั้น ดูจากสายตาที่บุรุษผู้นี้ยืนอึ้งและมองนางนิ่งแทบไม่กระพริบแล้ว ให้คาดเดาได้ว่าคงกำลังตะลึงในความเปลี่ยนแปลงของจางซูหนี่ว์ อดีตคู่หมั้นสาวแสนจืดชืดและซีดเซียวอยู่กระมัง
เหตุใดนางจึงรู้น่ะหรือ ก็สายตาเหล่านี้ปาลินนั้นเจอมาบ่อยครั้งจนชินชาเสียแล้วอย่างไรล่ะ
" หนี่ว์เอ๋อร์ของข้าจริงๆหรือนี่ "
แว่วเสียงบุรุษเพียงหนึ่ง เอ่ยพึมพำออกมาดั่งคนละเมอ สายตามองสตรีตรงหน้าไม่วางตา มันคงจะดีหากสตรีที่ถูกมองนั้น คือ ฮูหยินที่ยืนอยู่เคียงข้างแต่ทว่าความจริงกลับไม่ใช่ จึงเป็นเหตุให้ม่านฉิงเซียงมองค้อนผู้เป็นสามีอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก
" ท่านกล่าวผิดแล้วคุณชายเค่อ ที่ถูกท่านควรบอกว่า ฉิงเซียงของท่านมากกว่า ไม่ใช่ข้า "
จางซูหนี่ว์เอ่ยออกไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ พลางเชิดหน้าสู้สายตาของใครหลายๆคนที่กำลังเมียงมองมาทางคนทั้งสาม ด้วยชาวเมืองหลายคนนั้นจดจำเค่อเหยียนเหว่ยและม่านฉิงเซียงได้ แต่คงมีน้อยคนที่จะเคยพบจางซูหนี่ว์ตัวจริง ที่มิใช่จากคำเล่าลือและคำนินทาว่าหม้ายงานแต่ง
และจากการหยุดสนทนากันของคู่กรณีทั้งสองในครานี้ ก็ทำให้หลายคนที่คอยเหลือบมองมาเป็นระยะๆนั้น อาจจะอยากรับรู้ความเป็นไปอย่างยิ่ง ด้วยเรื่องของสองตระกูลนั้นก็เป็นที่โจษจันอยู่ไม่น้อยเลยในหมู่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น หากทว่าในความคิดของใครหลายๆคนขณะนี้นั้น เกิดคำถามอยู่ภายในใจเช่นกันว่า....
ที่คุณชายตระกูลเค่อถอนหมั้นคุณหนูตระกูลจาง ด้วยเหตุผลที่ว่านางอ่อนแอขี้โรค แลงดงามมิสู้คุณหนูตระกูลม่านนั้นจริงหรือ หากเป็นเช่นนั้น...ก็นับว่าคุณชายตระกูลเค่อผู้นี้ ได้พลาดพลั้งทิ้งสตรีผู้มีรูปโฉมงดงามราวนางเซียนจำแลง มาเพื่อเลือกอีกสตรีที่งดงามดั่งบุปผา ซึ่งใต้หล้านี้ก็มีบุปผางามเช่นนางอยู่ไม่น้อย ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก..
" เจ้ายังโกรธเคืองข้าอยู่หรือหนี่ว์เอ๋อร์ ข้าขอโทษ...ยกโทษให้ข้าได้หรือไม่ "
เค่อเหยียนเหว่ย เอ่ยเสียงแผ่ว เขารู้สึกว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทีเดียว เมื่อได้พบกับอดีตคู่หมั้นสาวอีกครั้ง นางเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ใบหน้าที่ว่างดงามอ่อนหวานแต่ซีดเซียว บัดนี้สดใสเปล่งปลั่งไปทั้งเนื้อทั้งตัว รูปร่างที่เคยผ่ายผอมบอบบางน่ากลัวว่าจะปลิวไปตามแรงลม ตอนนี้ช่างมีน้ำมีนวลอรชรจนไม่อยากละสายตาทีเดียว ท่วงท่าอิริยาบถต่างๆที่แสดงออกมานั้นสง่างามทว่าดูเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
หากว่าเทพเซียนมีมนต์สะกดให้มนุษย์หลงใหล สตรีตรงหน้าคงทำได้ง่ายเพียงแค่สบสายตาผู้อื่นเท่านั้น เชื่อได้ว่าคงพากันตะลึงงันจนยอมมอบหัวใจเอาไว้แทบเท้านางเลยทีเดียว
อะไรทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้...จากที่ไม่ได้เจอกันเลยตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เขาไปที่จวนสกุลจาง เพื่อเอ่ยถอนหมั้นนางในวันนั้น ก็ยอมรับว่าก็เสียใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องทำลายความรู้สึกของสตรีที่แสนดีอย่างคู่หมั้นสาว เขาเองก็รู้สึกดีกับนางอยู่มากด้วยนางอ่อนโยน และเพียบพร้อมทั้งฐานะ ชาติตระกูล อีกบิดาของนางก็ถืออำนาจอยู่ไม่น้อยผู้คนนับหน้าถือตา กล่าวว่าสตรีอย่างจางซูหนี่ว์นั้นหาไม่ง่ายเลย
แต่เมื่อเขาได้พานพบกับม่านฉิงเซียงอยู่บ่อยครั้ง ความช่างพูด ช่างเอาอกเอาใจของนางก็ทำให้เขาลุ่มหลงนางอย่างมาก จนอดเปรียบเทียบกับคู่หมั้นของตนไม่ได้ จางซูหนี่ว์นั้นอ่อนโยนเพียบพร้อมแต่ช่างขี้อายและไม่ค่อยพูด อยู่ใกล้แล้วช่างขาดสีสันในชีวิตอย่างบอกไม่ถูก ต่างจากม่านฉิงเซียงที่แม้งดงามไม่เท่าแต่เสน่ห์ของนางก็ยั่วยวนใจเขาให้ใฝ่หา มากกว่าจางซูหนี่ว์ผู้เป็นคู่หมั้นนัก
จนกระทั่งเขาตัดสินใจได้ว่าอยากจะใช้ชีวิตคู่กับนางมากกว่าจางซูหนี่ว์ หากแต่คู่หมั้นของตนก็ไม่ได้ผิดอะไร จึงต้องนำเหตุผลอาการป่วยของนางมาเป็นข้ออ้าง เพื่อยกเลิกการหมั้นหมายในครั้งนั้น แม้บิดามารดาของเขาจะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ยืนยันหนักแน่นจนท่านทั้งสองต้องยอมตามใจ
แต่กระนั้นแต่งม่านฉิงเซียงเข้าตระกูลแล้ว ท่านทั้งสองก็ใช่ว่าจะยอมรับนางด้วยความเต็มใจ ทุกวันนี้หากไม่อยู่ต่อหน้าคนภายนอก บิดามารดาของเขาก็แทบจะไม่พูดกับม่านฉิงเซียงเลยด้วยซ้ำ จนนางเองนั้นมาปรับทุกข์กับเขาอยู่เสมอ ซึ่งเค่อเหยียนเหว่ยเองก็หนักใจอยู่ไม่น้อย...
" หามิได้...ตอนนี้ข้าไม่ได้คิดโกรธแค้นใดใดกับท่านเลย รวมทั้งฉิงเซียงด้วย "
" เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าเข้าใจได้แล้วน่ะสิ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เพราะข้ากับท่านพี่รักกันจริงๆ "
ม่านฉิงเซียง ถลาเข้ามาจับมือจางซูหนี่ว์อย่างสนิทสนม นางจงใจเอ่ยเสียงดังและทำให้คนที่เมียงมองดูเหตุการณ์นั้นได้เห็น จางซูหนี่ว์งดงามขึ้นแล้วอย่างไร แต่ผู้ที่ได้บุรุษผู้นี้ไป คือนางต่างหาก...
เค่อเหยียนเหว่ยนั้นยกย่องนางออกหน้าออกตา หลายคนที่นินทานางอยู่จะได้เลิกกล่าวเสียทีว่า นางยื้อแย่งคู่หมั้นผู้อื่นมา ต่างพากันไปสงสารจางซูหนี่ว์เสียหมด ทั้งจะได้เห็นว่าจางซูหนี่ว์เองตอนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอร่ำไห้อย่างน่าสงสารอย่างที่ใครหลายคนคิด
จางซูหนี่ว์ปลายตามองที่มือของตัวเองนิ่ง และเหลือบไปสบสายตากับม่านฉิงเซียง แม้นางไม่เอ่ยด้วยคำพูด แต่นางใช้สายตาแสดงให้คนตรงหน้ารู้ได้ทันทีว่า ปล่อย...
ม่านฉิงเซียงหน้าเสียไปเล็กน้อย ด้วยคบกันมาเนิ่นนาน ไม่เคยเห็นจางซูหนี่ว์เคยมองผู้ใดด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน ใบหน้างามนั้นเรียบเฉยไม่บึ้งตึง แต่ก็ไม่ยิ้มออกจะดูเชิดอยู่ในที
ทว่าสายตาที่เหลือบมองที่มือของตนเอง ซึ่งนางจับมากอบกุมอยู่ในขณะนี้ แล้วเลื่อนสายตามามองนางนิ่ง สายตาที่ใช้มองนางนั้นดูมีความรู้สึกหลากหลายปะปนอยู่ ทั้งดูแคลน ขยะแขยง ดั่งว่านางนั้นต่ำต้อยจนไม่สมควรไปจับต้องกายของจางซูหนี่ว์อย่างไรอย่างนั้น ม่านฉิงเซียงรู้สึกแบบนั้นจริงๆ จนตัวเองต้องค่อยๆปล่อยมือที่กุมมือจางซูหนี่ว์ออกมาในที่สุด...
" ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าเข้าใจดี...แต่เรื่องที่ถามว่าข้ายกโทษให้หรือไม่นั้น ข้าขอถามกลับหน่อยเถิดว่า ผู้ที่ถูกคู่หมั้นยกเลิกการหมั้นหมาย แล้วหันไปคว้าสหายของอดีตคู่หมั้นตนเองแต่งเข้าสกุลแทน ทั้งรู้ทีหลังว่าทั้งสองคนนั้นแอบคบหากันลับหลัง หนึ่งคือคู่หมั้น อีกหนึ่งคือสหายที่คบกันมาแต่วัยเยาว์ ร่วมมือกันทรยศความไว้เนื้อเชื่อใจ แม้จะอ้างว่ารักกันด้วยใจบริสุทธิ์เพียงใด หากแต่การทำสิ่งใดลับหลังข้า ก็ผิดมโนธรรมอยู่ดี...ช่วยให้คำตอบแก่ข้าหน่อยเถิด ว่าข้าสมควรยกโทษให้ชายหญิงคู่นั้นหรือไม่ "
จางซูหนี่ว์ถามทั้งคู่ออกไปด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม ม่านฉิงเซียงตีหน้าซื่อต้องการแสดงความสนิทสนมกับนาง เพื่อประโยชน์อะไร เหตุใดนางจะดูไม่ออก...
คราแรกก็ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายหญิงคู่นี้แล้ว หากแต่ทั้งคู่กลับเดินเข้ามาหานางเอง เห็นแบบนี้แล้วก็นึกเคืองแทนจางซูหนี่ว์ ที่ด่วนตัดสินใจจากไปก่อนวัยอันควรขึ้นมาไม่น้อย
หึ อยู่ดีไม่ว่าดีเดินเข้ามาให้นางกล่าวประจานการกระทำตนเองเสียอย่างนั้น ซึ่งแน่ใจว่าประโยคเมื่อสักครู่พวกที่คอยเงี่ยหูฟังเรื่องราวของผู้อื่น คงได้นำกลับไปเป็นหัวข้อสนทนากันในวงกว้างอยู่หลายวันเป็นแน่....
" ข้าขอโทษเจ้าจริงๆ จะให้ข้าทำสิ่งใดเพื่อชดเชยแก่เจ้าได้บ้าง ข้ายินดีทำ "
เค่อเหยียนเหว่ยได้แต่เอ่ยคำนี้ออกมาเท่านั้น ด้วยไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดได้ดีกว่าคำนี้จริงๆ ทั้งเริ่มรับรู้ถึงสายตาคนรอบข้างที่มองเขากับม่านฉิงเซียงด้วยสายตาตำหนิอยู่กลายๆ บางคนก็ส่ายหน้า ทั้งเสียงซุบซิบนั้นก็เริ่มมีขึ้นไม่น้อย ไม่นึกเลยว่าสตรีขี้อาย พูดน้อยแต่เดิมหายไปอยู่ที่ใดแล้ว เหลือไว้เพียงสตรีที่วาจาคมคาย กล่าวมาแต่ละประโยคเชือดคนได้แบบนิ่มๆ แต่เจ็บปวดไม่น้อยเลยทีเดียว
" ท่านไม่ต้องชดเชยสิ่งใดให้แก่ข้าหรอก ข้าไม่ต้องการ...ทว่าน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ฉันใดก็ฉันนั้น ความสัมพันธ์ของเราทั้งสามก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด ไม่จำเป็นก็อย่าได้ข้องเกี่ยวกันอีกเลย "
หญิงสาวเอ่ยความต้องการของตัวเองออกไป อยู่กับคนพวกนี้บ่อยๆนางคงเสียสุขภาพจิตเป็นแน่ จะให้กล่าวว่าคนอะไรหน้าด้านไร้ยางอายมาขอให้คนเขายกโทษให้ ทั้งที่ทำกับเขาเอาไว้เจ็บปวดเหลือคณา มันก็จะตรงเกินไป...
อย่างน้อยตอนนี้นางก็สวมบทนางเอกในสายตาของคนรอบข้างอยู่ และคงไม่ต้องบอกว่าหากนางเป็นนางเอกแล้วใครกันจะเป็นนางร้าย
คนที่อาจจะเริ่มรู้ตัวแล้วว่าถูกมองว่าเป็นนางร้าย ได้แต่ส่งสายตาแค้นเคืองมาให้นางเป็นระยะ ไม่กล้าเอ่ยวาจาใดมากนัก ด้วยอับอายสายตาชาวบ้านที่มองมาอยู่มาก และอาจจะเริ่มมากขึ้นพอๆกับเสียงซุบซิบนินทาที่เริ่มดังแว่วเข้ามาให้ได้ยินนั่นแหละ
" เจ้าเปลี่ยนไปมากนะซูหนี่ว์ กล้าพูดมากขึ้น เมื่อก่อนเห็นเรียบร้อยประหยัดถ้อยประหยัดคำ หรือนั่นไม่ใช่ตัวตนของเจ้ากัน "
ม่านฉิงเซียงอดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมคนตรงหน้า
" มีใครบางคนสอนให้ข้าต้องลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง...แต่ก็นะ อะไรที่คิดว่าดี ความจริงแล้วอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่เห็นก็ได้ ขนาดคนที่คิดว่าเป็นมิตรแท้ ยังหันคมมีดมาแทงข้างหลังกันได้อย่างแสบทรวงเลย คงเปรียบกับน้ำทะเลที่ไม่อาจตวงวัดได้นั่นล่ะ...รู้หน้าไม่รู้ใจ "
ยังไม่จบใช่ไหม แม่นางบ่ะล่ะฮึ่ม...เหมือนจะฉลาดแต่ก็โง่ให้นางด่าได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่น นี่นางก็เริ่มจะอายแทนจริงๆล่ะนะ
ม่านฉิงเซียงได้แต่กำมือแน่นจิกเล็บลงไปบนเนื้อนวลจนรู้สึกเจ็บแสบอยู่ไม่น้อย แต่ก็สกัดกั้นความโกรธเอาไว้ได้ไม่น้อย หน้าของนางตอนนี้นั้นชาไปหมดด้วยความอับอายจากคำด่าของจางซูหนี่ว์ จนนางอยากกรีดร้อง และเข้าไปตบตีคนตรงหน้าให้สาแก่ใจนางนัก
" ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระอื่น อย่างไรแล้วคงต้องขอตัวเสียที "
หญิงสาวเอ่ยขึ้นมาหลังจากรู้สึกว่าได้เอาคืนให้สาวน้อยที่โชคร้ายคนนั้นพอสมควรแล้ว ความจริงนางก็ไม่อยากจะสร้างศัตรูหรอกนะ อยากอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขมากกว่า แต่ก็ไม่วายได้ปะทะคารมกันอยู่ดี
ซึ่งหากคิดอีกมุมก็ถือว่าได้ทำเพื่อจางซูหนี่ว์อยู่เหมือนกัน คำด่าของนางหากตั้งใจฟังให้ดีนั้น เพียงต้องการกล่าวให้คนทั้งคู่ได้สำนึกว่าทำอะไรกับใครเอาไว้บ้างก็เท่านั้น
แต่ว่า..เค่อเหยียนเหว่ย และม่านฉิงเซียง จะสำนึกรู้ได้หรือไม่นั้น นางก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
" ไปเถอะเพ่ยเพ่ย "
จางซูหนี่ว์เดินออกมาพร้อมสาวใช้คนสนิท ไม่หันกลับไปมองคู่สามีภรรยาคู่นั้นอีกเลย...
ด่าคนจบแล้วก็เดินเชิดหน้าออกมาสวยๆ แบบนี้ มีใครทำได้อย่างนางบ้างเล่า คงมีน้อยคนอยู่ล่ะ เพราะดูจากสายตาเห็นอกเห็นใจและชื่นชมนางจากกลุ่มคนที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่นั้น เกือบทั้งหมดคงเห็นนางเป็นสาวน้อยที่น่าสงสารผู้ถูกคู่หมั้นและเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอยู่เป็นแน่
................................................................................................
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอาที่สบายใจ บุรุษหน้าหนา กับสตรีไร้ยางอาย 55555555555555
ชอบบบ ปาลินสู้ ๆ