ตอนที่ 48 : ยุยง (รีไรต์)
ตามธรรมเนียมนั้นสามวันหลังแต่งงาน เจ้าสาวจึงจะกลับบ้านไปเยี่ยมบิดามารดาและคนในตระกูลได้ ซึ่งเจ้าบ่าวนั้นก็ต้องยกน้ำชาให้กับบิดามารดาและญาติทางฝ่ายหญิงเช่นเดียวกัน
วันนี้นางได้กลับมายังจวนสกุลจางตามธรรมเนียม เพื่อยกน้ำชาให้กับบิดามารดาของนาง ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นบิดามารดาแล้ว นางก็ออกจะเห็นใจอยู่เนืองๆไม่ได้ ผู้มียศศักดิ์สูงส่งเป็นถึงองค์ชายต้องมาคุกเข่าต่อหน้า เป็นใครก็คงกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย หากแต่คนข้างกายนางกลับดูผ่อนคลายสบายๆเสียอย่างนั้น
" ตอนนี้เปิ่นหวางอยู่ในฐานะบุตรเขย ให้ความเคารพบิดามารดาของผู้เป็นภรรยา ย่อมเป็นสิ่งสมควรแล้ว ท่านทั้งสองอย่าได้คิดสิ่งใดให้มากนักเลย "
จวิ้นอ๋องทรงกล่าวกับบิดามารดาของนางเช่นนั้น ก็พอจะทำให้บรรยากาศที่ดูกดดันเมื่อครู่ผ่อนคลายลงอยู่มาก
หลังขั้นตอนการยกน้ำชาเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวจึงได้ปลีกตัวออกมาพูดคุยกับมารดาของนางอีกทาง ปล่อยให้ฝ่ายชายนั้นพูดคุยสัพเพเหระ แว่วว่ายังชวนกันเล่นหมากรุกอีกสักกระดานสองกระดานด้วยซ้ำไป
" เป็นอย่างไรบ้างเล่าพระชายา มีวี่แววว่าแม่จะได้อุ้มหลานในเร็ววันหรือไม่ "
จางฮูหยินเอ่ยเย้าบุตรสาว เมื่อพาออกมานั่งสนทนาอยู่ที่ศาลาบริเวณด้านหลังจวน นางเห็นว่าจวิ้นอ๋องทรงรักใคร่ทะนุถนอมบุตรสาวของนางไม่น้อย หัวอกคนเป็นมารดาย่อมสุขใจและวางใจในขณะเดียวกัน
" ท่านแม่!! ข้าเพิ่งแต่งได้เพียงสามวันเท่านั้นเอง ท่านถามถึงหลานแล้วหรือ "
ริ้วสีแดงปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม อย่างไรนางก็เป็นสตรีที่เพิ่งออกเรือน มารดาของนางเล่นถามกันซึ่งหน้าเพียงนี้ก็ย่อมนึกเขินอายบ้างเป็นธรรมดา
" อ้าว แล้วกัน คู่แต่งงานใหม่หลายๆคู่ ความรักสุกงอมหวานชื่น ช่วงสามวันนี่ล่ะตัวดีนักเชียว แปดเก้าเดือนให้หลังก็คงมีเจ้าตัวเล็กลืมตาออกมาแล้ว หากว่าจวิ้นอ๋องนั้นทรงเอ็นดูและหลับนอนกับเจ้าทุกคืน เชื่อแม่เถิดว่าอีกไม่นานแม่คงได้อุ้มหลานเป็นแน่ "
จางฮูหยินยังคงกล่าวหยอกเย้าบุตรสาว หากแต่ที่พูดมานั้นล้วนจริงแท้แน่นอน ด้วยความที่ผ่านโลกมาก่อนบุตรสาวเห็นอะไรมาก็มากมาย ดูเถิดว่าคงมิผิดไปจากที่นางพูดหรอก..
หญิงสาวที่ใบหน้านั้นแดงก่ำได้แต่ระบายยิ้มอ่อนให้ผู้เป็นมารดา มิได้เอ่ยแย้งหรือตอบกลับว่าอย่างไร เพราะเกรงว่าจะโดนมารดานั้นเย้ากลับมาให้ได้เขินอายอีก ด้วยสิ่งที่มารดากล่าวนั้นจริงทุกประการ
" ว่าแต่เข้าไปอยู่ภายในวังแล้วเป็นเช่นไรบ้างเล่าหนี่ว์เอ๋อร์ "
" ก็ดีเจ้าค่ะ อาจเป็นเพราะที่นั่นแยกออกมาตั้งอยู่ภายนอกกำแพงพระราชวัง จึงมิได้วุ่นวายหรือเคร่งครัดกฎระเบียบต่างๆเท่าภายในวังหลวงนัก ลูกจึงไม่อึดอัดเท่าใด "
" ก็ดีแล้ว เจ้าอยู่ดีมีสุขแม่ก็สบายใจ หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ ก็จงไปเข้าเฝ้าเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยเถิดนะ แม่เชื่อว่าพระนางจะช่วยเหลือและคุ้มภัยให้เจ้าได้ "
นางเชื่อว่าอย่างไรเสียผู้เป็นสหายจะต้องคอยช่วยเหลือและเข้าข้างบุตรสาวของนางเป็นแน่ เรื่องถูกลอบทำร้ายนั้นนางมิได้กังวลหรอก เกรงแต่เล่ห์เหลี่ยมในวังหลวงนั้นมากมี ตำแหน่งจวิ้นอ๋องของพระสวามีของบุตรสาวนั้นจะนำภัยมาให้ก็เท่านั้น
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยทรงเคยกล่าวกับนางว่าระยะหลังที่ฮ่องเต้ทรงประชวรอยู่บ่อยครั้งยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะการเป็นพระโอรสที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานนั้นเป็นสิ่งดี แต่เปรียบกับดาบสองคม แม้อยู่เฉยๆก็อาจจะไปขัดขวางทางเดินขึ้นสู่อำนาจของใครก็ได้
ผู้เป็นสหายเปรยมาเช่นนี้นางก็พอจะเข้าใจแล้วว่าหมายถึงผู้ใดด้วยก็รู้ๆกันอยู่ นั่นจึงทำให้นางอดที่จะเป็นห่วงบุตรสาวขึ้นมาไม่ได้ แต่ในเมื่อเห็นว่าจางซูหนี่ว์นั้นมีความสุขดีก็ให้เบาใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง
" เจ้าค่ะ..ท่านแม่อย่าได้กังวลไปเลย หนี่ว์เอ๋อร์จะดูแลตัวเองอย่างดีทีเดียว อีกอย่างเชื่อว่าอย่างไรจวิ้นอ๋องจะต้องปกป้องข้าได้แน่ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยปลอบโยนออกไป เมื่อฟังจากที่มารดากล่าวนางก็เข้าใจถึงสิ่งที่มารดาต้องการจะสื่อ จึงได้เอื้อมมือออกไปกุมมือมารดาเอาไว้ พลางส่งยิ้มให้อย่างบอกเป็นนัยว่านางจะไม่เป็นอะไร จากนั้นจึงเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นเสีย ด้วยเห็นว่าบรรยากาศนั้นเริ่มไม่ค่อยดีเท่าไร
" ลูกคิดว่าจะให้เพ่ยเพ่ยกลับมาช่วยแม่นางชิงไฉดูแลกิจการหอซือซิง ที่วังนั้นมีเสี่ยวไป๋คอยดูแลลูกเพียงคนเดียวก็พอแล้ว "
" อ้าวทำไมล่ะ "
ผู้เป็นมารดาพลันขมวดคิ้วขึ้นก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัย
" นั่นสิเพคะ...หรือเพ่ยเพ่ยทำสิ่งใดให้พระชายาไม่พอพระทัย "
เพ่ยเพ่ยที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลก็อดถามขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
" เข้าใจผิดแล้วเพ่ยเพ่ย เพราะว่าข้าไว้ใจเจ้าต่างหากล่ะ ที่ให้เจ้าไปช่วยดูแลหอซือซิง เพราะช่วงนี้กิจการกำลังอยู่ในช่วงเติบโต แม่นางชิงไฉเพียงลำพังคงจะดูแลไม่ไหว แค่ฝึกซ้อมและควบคุมการแสดงก็วุ่นวายพอแล้ว ไหนยังจะเรื่องจิปาถะอื่นๆภายในหออีกล่ะ "
หญิงสาวอธิบายให้ฟังถึงเหตุผล ความจริงแล้วในอนาคตนางวางแผนจะขยายกิจการ และรับเอาเด็กเร่ร่อนหรือเด็กยากจนเข้ามาฝึกวิชาศิลปะการร่ายรำ ขับร้อง เล่นดนตรี เป็นการสอนอาชีพให้คนเหล่านี้ ให้ความรู้และโอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาสไปด้วยในตัว
ซึ่งความคิดนี้ผุดขึ้นมาจากการที่นางได้มีโอกาสเข้าไปช่วยองค์ชายห้าดูแลคนป่วยอยู่บ่อยครั้ง พบเห็นผู้คนที่ขาดแคลนโอกาสและสิ่งต่างๆอยู่ไม่น้อย จึงอยากจะหาวิธีช่วยเหลือบ้างก็เท่านั้น
" แล้วเหตุใดจึงไม่ให้อาเฟิงช่วยดูแลเล่า หนี่ว์เอ๋อร์ "
จางฮูหยินเอ่ยแนะนำบุตรสาว ทั้งยังสงสารเพ่ยเพ่ยด้วยเห็นได้ว่าสาวใช้นั้นมีสีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย นั่นก็คงเป็นเพราะไม่อยากห่างกายบุตรสาวของนางเป็นแน่ ด้วยคอยรับใช้ข้างกายจางซูหนี่ว์มานาน
" พี่รองนั้นมีหน้าที่ต้องดูแลกิจการค้าต่างๆของสกุลจาง ก็วุ่นวายหนักหนาพอแล้ว ลูกไม่อยากเพิ่มภาระให้พี่รองเจ้าค่ะ เพียงนานๆครั้งจะช่วยเข้าไปดูแลให้บ้างก็พอแล้ว ส่วนเจ้าน่ะเพ่ยเพ่ย..คอยดูแลหอซือซิงและยังจะต้องนำรายงานความเป็นไป ทั้งนำบัญชีรายรับรายจ่ายมาให้ข้าดูทุกเดือนเข้าใจหรือไม่.. "
" เพคะ "
เพ่ยเพ่ยจำใจตอบรับนายสาว แม้ว่าภายในใจนั้นอยากอยู่คอยรับใช้ข้างกายผู้เป็นนายมากว่า
ณ ตำหนักองค์หญิงเหลียนฮวา
" เจ้าว่าอย่างไรนะ นางอวดดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ หึ เพิ่งจะแต่งได้เพียงไม่กี่วันก็วางอำนาจกับคนของข้าเสียแล้ว ช่างถือดีเกินไปแล้ว "
มู่หรงเหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
" เพคะ องค์หญิง เพียงหม่อมฉันบังเอิญยืนขวางทางเสด็จของพระชายาด้วยเพราะลืมตัวเพียงนิดเท่านั้น ทว่าต่อจากนั้นหม่อมฉันก็หลีกทางให้ ทั้งกล่าวขอประทานอภัยจากพระชายา แต่พระชายากลับทรงต่อว่าหม่อมฉันรุนแรงเหลือเกิน ลำพังหม่อมฉันคงไม่เท่าไร แต่..เอ่อ..แต่ "
ซิ่วซิ่นที่ได้โอกาสปลีกตัวมาเข้าเฝ้าองค์หญิงเหลียนฮวาที่ตำหนัก เอ่ยฟ้องเรื่องที่นางถูกจวิ้นหวางเฟยต่อว่า พลางเติมแต่งเข้าไปอีกเล็กน้อย พลิกลิ้นอีกนิดหน่อย เชื่อว่าองค์หญิงเหลียนฮวาคงไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ อีกไม่นานคงได้เห็นอะไรสนุกๆเป็นแน่
" อ้ำอึ้งอยู่ได้ มีอะไรก็รีบๆกล่าวมา "
" พระชายาทรงต่อว่าหม่อมฉันว่าไร้มารยาท คงไม่ได้รับการอบรมกิริยามารยาทมาดีพอ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เพคะ..แล้ว เอ่อ "
เห็นคนตรงหน้าอึกอัก ดั่งไม่กล้าพูดออกมา ก็ยิ่งทำให้คนที่รอฟังนั้นใคร่รู้ขึ้นไปอีก
" ว่ามาอย่าชักช้า เจ้าเป็นคนของข้าจะกลัวอะไร "
" ก่อนหน้าที่จะทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นหวางเฟย หม่อมฉันก็ถูกพระชายาทรงหาเรื่องกลั่นแกล้งเพคะ ทรงบังคับให้หม่อมฉันตบปากตนเองเสียหลายครั้ง ด้วยความกลัวหม่อมฉันจึงอ้างไปว่าหม่อมฉันเป็นคนขององค์หญิง แต่พระชายาในขณะนั้นก็มิได้เกรงกลัวแต่อย่างใด เช่นนี้แล้วการต่อว่าหม่อมฉันในครั้งนี้ ว่าไร้มารยาท มิมีผู้ใดอบรมสั่งสอน ทั้งที่รู้หม่อมฉันเป็นคนของผู้ใด เช่นนี้แล้วคงตั้งพระทัยกล่าวกระทบถึงองค์หญิงเป็นแน่ "
" นางกล้ามากที่ทำร้ายคนของข้า แล้วยังมีหน้ามาว่าข้าอีก คงคิดว่าท่านพี่ของข้าโปรดปรานนาง แล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรสินะ หึ "
มู่หรงเหลียนฮวาที่มีอคติต่อจางซูหนี่ว์เป็นทุนเดิมนั้นเชื่อสาวใช้ในทันที นางโกรธและขัดเคืองใจเป็นที่สุด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องหาทางเอาคืนสตรีผู้นั้นให้ได้
ณ วังจวิ้นอ๋อง
ในช่วงสองถึงสามวันมานี้อากาศค่อนข้างเย็นลงเรื่อยๆ ด้วยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอีกครา ยิ่งในช่วงกลางดึกนั้นอากาศเย็นกว่าตอนกลางวันอยู่มาก จางซูหนี่ว์กระชับเสื้อคลุมให้เข้าที่เล็กน้อย พลางปรายสายตาไปทางประตูก็ยังไม่มีวี่แววของผู้เป็นสวามีว่าจะเข้ามานอนเสียทีทั้งที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
หลังจากที่จวิ้นอ๋องนั้นกลับมาจากการปฏิบัติราชกิจ และเมื่อร่วมเสวยมื้อเย็นกับนางเรียบร้อย ก็หายเข้าไปภายในห้องทรงงานตั้งแต่หัวค่ำ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะออกมา
" ท่านพ่อของเจ้าคงทำงานจนลืมเวลาพักผ่อนเสียแล้วกระมัง ซือซือ "
หญิงสาวถอนหายใจ ทั้งอดจะบ่นออกมาให้เจ้ากระต่ายน้อยซือซือฟังไม่ได้ มือนั้นเอื้อมไปลูบลงบนขนนุ่มๆของมันเบาเบาอย่างเคยชิน
" อืมมม..ข้าว่าข้าไปดูเสียหน่อยดีกว่า "
นางพึมพำออกมา ก่อนตัดสินใจอุ้มเจ้ากระต่ายน้อยที่นอนหนุนตักของนางอย่างสบายอารมณ์อยู่ในตอนนี้ไปวางลงบนฟูกในตะกร้าใบใหญ่อันเป็นที่นอนของมัน ซึ่งตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง
โดยปกติแล้วเจ้ากระต่ายน้อยนั้นนางจะให้นอนอยู่ที่ห้องเสี่ยวไป๋ หากแต่วันนี้เสี่ยวไป๋นั้นขอกลับไปเยี่ยมท่านป้าของตนที่ตำหนักของเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยด้วยได้ยินว่าไม่ค่อยสบาย นางจึงอนุญาตและนำเจ้าซือซือมานอนกับนางภายในห้องด้วย
" เจ้านอนตรงนี้ไปก่อนนะซือซือน้อย เดี๋ยวแม่กลับมา "
หญิงสาวกล่าวจบ ก็ตั้งท่าจะเดินออกไปก่อนหยุดชะงักเมื่อคิดสิ่งใดได้ นางหันกลับมาและตรงไปหยิบเสื้อคลุมของสามีออกมาผืนหนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกไปทันที ทั้งไหว้วานให้หนึ่งในทหารที่เฝ้าเวรยามอยู่ด้านหน้าตำหนักนั้นยกน้ำชาตามนางไปยังห้องทรงงานอีกด้วย
มู่หรงหย่งหมิงชะงักไปเมื่อเห็นจางซูหนี่ว์เดินเข้ามาด้านใน ปรายสายตาไปมองเบื้องหลังก็เห็นว่ามีคนยกถาดน้ำชาและขนมตามนางมาด้วย เขาวางพู่กันในมือลงทันที
" ขอบใจ เจ้าออกไปได้แล้วล่ะ "
นางเอ่ยขอบคุณทหารนายนั้น และเมื่อเห็นว่าเดินออกไปจากบริเวณนี้เรียบร้อยแล้ว จึงหันกลับมาส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
" เห็นว่าดึกมากแล้วแต่ท่านพี่ยังไม่ยอมหยุดทรงงานเสียที ดึกๆอากาศเย็นนัก หนี่ว์เอ๋อร์เป็นห่วงจึงนำเสื้อคลุมมาให้ ส่วนน้ำชาและขนมนั้นนำมาให้รองท้องเผื่อว่าจะทรงหิวขึ้นมา "
จางซูหนี่ว์เดินเข้าไปใกล้ พลางค่อยๆนำเสื้อคลุมในมือของนาง คลุมกายให้คนที่เอาแต่ยิ้มกริ่มอยู่ในเวลานี้
" ลำบากเจ้าแล้วหนี่ว์เอ๋อร์ "
" ไม่เห็นจะลำบากตรงไหนเลยเพคะ หม่อมฉันเต็มใจ "
กล่าวตอบพลางเดินไปรินน้ำชาให้ผู้เป็นสวามี อากาศเย็นๆเช่นนี้ดื่มน้ำชาอุ่นๆเข้าไปร่างกายจะได้อบอุ่นขึ้นบ้าง
มู่หรงหย่งหมิงรับถ้วยชาในมือของชายารักมาจิบเล็กน้อยก่อนวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงเอื้อมมือรั้งเอวคอดกิ่วของนางลงมานั่งข้างกาย พลางสวมกอด ปลายคางนั้นวางเกยอยู่บนไหล่เนียน ฝังจมูกลงบนแก้มนวลหอมกรุ่นนั้นหนึ่งที
" หอมจริง อุ่นด้วย เสื้อคลุมหนาเพียงใดก็ไม่สามารถให้ความอบอุ่นแก่พี่ได้เท่าไออุ่นจากกายเจ้าหรอกหนี่ว์เอ๋อร์ "
หญิงสาวได้ฟังเช่นนั้นให้รู้สึกสะเทิ้นอายอยู่ไม่น้อย เบือนหน้าหนีเจ้าของนัยน์ตาคู่คมที่ขยันส่งสายตาวิบวับมาให้แก่นาง
" สองสามวันนี้ท่านพี่ทรงงานดึกเกือบทุกวัน มีราชกิจใดเร่งด่วนหรือเพคะ "
นางชวนเปลี่ยนเรื่องคุยแก้อาการเขินอายของตนเอง
" ก็เรื่องเดิมๆ คราก่อนที่เดินทางไปจัดการกับพวกกบฏบริเวณชายแดนตอนใต้ของแคว้น มีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่บ้าง แต่ก็กระจัดกระจายกันไปยากแก่การจับกุม หากแต่พี่ก็ให้ทหารนั้นคอยจับตาเฝ้ามองความเคลื่อนไหวต่างๆบริเวณชายแดนอยู่ คาดว่าคงมีบางคนหนีเข้าไปยังแคว้นโจวอีกด้วย "
มู่หรงหย่งหมิงมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมานิดหนึ่ง เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้
" เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องยาก ว่าแต่เราสามารถขอความช่วยเหลือจากแคว้นโจวได้หรือไม่เพคะ เรื่องการติดตามกบฏที่ลักลอบเข้าไปยังแคว้นโจว "
นางไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเหล่านี้นัก หากแต่เป็นแคว้นใกล้เคียงกัน ก็น่าจะมีปฏิสัมพันธ์ทางการทูตและค้าขายกันบ้าง กล่าวง่ายๆก็บ้านใกล้เรือนเคียงกัน หากจำเป็นจริงก็น่าจะพูดคุยขอความช่วยเหลือกันได้ นางก็เพียงแต่เสนอความคิดเห็นเท่านั้นเอง
" ยาก "
เขากล่าวพลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆอธิบายให้คนในอ้อมแขนได้ฟัง
" หากเป็นแคว้นเจียงจินอะไรๆก็คงง่ายกว่านี้ ด้วยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างแน่นแฟ้น แต่กับแคว้นโจวนั้นต่างกัน ช่วงสิบปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องราวนองเลือดขึ้นภายในราชสำนักของแคว้นโจว เรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ แต่เอาเป็นว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้บัลลังก์มาโดยไม่ชอบธรรม ทั้งช่วงแรกยังมีความวุ่นวายภายในแคว้นอยู่ จึงมีรับสั่งให้ทหารปิดเส้นทางการติดต่อและเดินทางไปมาระหว่างแคว้นอื่นๆด้วย ไม่มีราชทูตจากแคว้นโจวเข้าไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นใกล้เคียงนานร่วมสิบปีแล้ว แล้วเจ้าลองเดาสิว่าทำไมพี่จึงบอกว่ายาก "
" อืมมม...ถ้าแคว้นโจวปิดเส้นทางการเดินทางต่างๆ คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า มานานเป็นสิบปีเช่นนี้ ย่อมมีการตรวจตราบริเวณชายแดนของแคว้นอย่างเข้มงวดทุกทิศทาง และถ้าหากว่ากบฏที่ท่านกล่าวถึงนั้น สามารถลักลอบเข้าไปได้ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนในนั้นให้ความช่วยเหลือ ใช่หรือไม่ "
นางเงียบไปชั่วครู่ ก่อนไล่เรียงตรึกตรองสิ่งที่เขากล่าวให้นางฟัง จึงวิเคราะห์ไปตามเรื่องตามราวของนาง ซึ่งก็จะอาจเป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้
" ถูกต้อง การจะติดต่อกับแคว้นที่ไม่มีสัมพันธไมตรีกับแคว้นอื่นนั้นก็นับว่ายากแล้ว หากจะขอความช่วยเหลือเรื่องกบฏเช่นนี้ ยิ่งยากขึ้นไปอีกเพราะมันเป็นเรื่องลึกซึ้งและละเอียดอ่อนมากนัก อะไรก็ไม่เท่าที่เจ้ากล่าว หากมีผู้คอยให้ความสนับสนุนกลุ่มกบฏเหล่านั้นอยู่ ก็นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ของแคว้นทีเดียว ผลีผลามทำอะไรไปโดยพลการระหว่างแคว้น อาจเป็นชนวนเกิดสงครามเอาได้ "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าวเสร็จจึงนิ่งไปอย่างครุ่นคิด
" เฮ้อ มิน่าล่ะ หลายวันมานี้ท่านจึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดนัก "
นางเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาบ้าง เอาแค่นางฟังสามีกล่าวมาเท่านี้ก็นึกหนักใจแทนเสียแล้ว
" ไม่ต้องกังวลไปหรอกหนี่ว์เอ๋อร์ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบุรุษเถิด เจ้านั้นคอยส่งยิ้มหวานๆมาให้พี่ชื่นใจบ่อยๆคอยเป็นเป็นกำลังใจให้พี่ก็เพียงพอแล้ว "
เขากล่าวออกไปเมื่อหันไปเห็นผู้เป็นชายานั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดตามไปด้วยอีกคน จึงกล่าวกระเซ้าเย้าแหย่นางออกไป หวังให้นางนั้นคลายกังวล
จางซูหนี่ว์เองนั้นก็เพิ่งจะตระหนักได้เช่นกัน ดูเอาเถิดเขาเหน็ดเหนื่อย และเคร่งเครียดมามากพอแล้ว เป็นนางที่ควรให้กำลังใจเขา ทำให้เขาผ่อนคลายไม่ใช่หรือไร
แต่กลายเป็นคนตรงหน้าที่เอ่ยปลอบโยนให้กำลังใจนางเสียนี่ คิดได้ดังนี้ก็รู้สึกผิดหน่อยๆ นางนั้นถือเป็นภรรยาที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย
จึงค่อยๆคลี่ยิ้มส่งไปให้เขา พลางขยับกายหันไปสวมกอด และเอนศีรษะไปซบที่อกแกร่งของผู้เป็นสวามี ถามว่านางอายหรือไม่ ตอบเลยว่า 'อาย' แต่ในเมื่อใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว เรื่องเพียงนี้คงไม่น่าเกลียดกระมัง
" อ้อน? "
เจ้าของร่างแกร่งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่ว แปลกใจกับท่าทีออดอ้อนของนางอยู่บ้าง ด้วยว่านางไม่เคยเข้าหาเขาก่อนเลยสักครา แม้จะแต่งงานกันแล้วก็ตาม มีแต่เพียงเขาเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหานางก่อนเสียทุกครั้งไป เห็นนางออดอ้อนออเซาะดั่งลูกแมวน้อยเช่นนี้ ก็อดใจสั่นขึ้นมาไม่ได้
คงมิต้องถามหรอกว่าเขาชอบหรือไม่ เพียงนางเอนกายเข้ามาซบอกเขาเท่านั้น เขาก็มิต่างจากเหล็กกล้าที่ถูกไฟหลอมจนละลายเสียแล้ว
" แล้วอ้อนได้หรือไม่เพคะ "
นางเอ่ยถามเสียงเบาหวิว
" รอเจ้าออดอ้อนเช่นนี้เสียนาน คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นเสียแล้ว "
กล่าวด้วยแววตาพราวระยับ เรื่องกังวลต่างๆนั้นเก็บเอาไว้ก่อน ชายารักออดอ้อนน่ารักน่าใคร่เพียงนี้ มัวมานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดให้นางเห็นก็คงจะดูไม่ดีเท่าใดนัก
" ก็อยากให้ทรงคลายความกังวลต่างๆลงบ้าง ผู้เป็นภรรยาย่อมต้องแบ่งเบา เคียงข้าง และมีแต่ความสบายใจเมื่อผู้เป็นสามีอยู่ใกล้ ใช่หรือไม่ "
" เจ้ากล่าวได้ถูกต้องและถูกใจพี่นักหนี่ว์เอ๋อร์ คิดๆไปนี่ก็ดึกมากแล้ว เห็นสมควรแก่เวลาวางภาระหน้าที่ลงเสียที อากาศเย็นเช่นนี้หากได้นอนกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขน ภายใต้ผ้าห่มหนาคงจะอบอุ่นและหลับสบายนัก เจ้าคิดเช่นพี่หรือไม่ "
" ไม่ทรงงานต่อแล้วหรือเพคะ "
นางช้อนสายตาขึ้นมองคนตรงหน้า เอ่ยถามไปอย่างนั้น ทว่ากลับยิ้มอย่างรู้ทันเจ้าของนัยน์ตาคม
" เก็บเอาไว้ทำ ไว้คิดต่อในวันพรุ่งก็ได้ ตอนนี้สมควรแก่เวลา..."
เขาชะงักคำไว้นิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่านางเลิกคิ้วขึ้นรอฟังว่าเขาจะกล่าวสิ่งใด
" สมควรแก่เวลา 'นอน' แล้ว "
น้ำเสียงนั้นแผ่วลงไปนิดหน่อย กล่าวพลางค่อยๆยืนขึ้นเต็มความสูง ก้มไปประคองนางให้ลุกขึ้นตาม
มู่หรงหย่งหมิงเดินเข้ามาภายในห้อง ทั้งจับจูงกุมมือนางเอาไว้ตลอดเวลา จนกระทั่งที่เขานั่งลงบนเตียงแล้วจึงปล่อย
" หม่อมฉันช่วยนะเพคะ "
นางก้มลงไปถอดรองเท้าให้ผู้เป็นสวามี และวางเอาไว้ข้างๆเสาเตียง ตอนแรกก็ว่าจะเดินไปเตรียมน้ำอุ่นให้เขาได้อาบน้ำก่อนนอน ทว่ากลับถูกเขารวบเอาไว้ในอ้อมแขนเสียก่อน
" ปล่อยก่อนเพคะ "
" ไม่ "
" หม่อมฉันเอาซือซือเข้ามานอนด้วย ทำอะไรไม่อายเจ้าลูกรักของท่านพี่หรือเพคะ "
" ไหนล่ะ ไม่เห็นมีเลย "
" ก็อยู่ในตะกร้าตรงนั้นไงเพคะ อ้าวว หายไปไหนแล้ว "
หญิงสาวกล่าวขึ้นอย่างงงงัน
" คงจะอยู่แถวๆนี้กระมัง "
มู่หรงหย่งหมิงแม้จะขัดใจที่สตรีตรงหน้า ดูจะให้ความสนใจเจ้ากระต่ายน้อยซือซือมากกว่าเขา หากแต่ก็กวาดสายตาไปรอบๆห้อง เพื่อช่วยนางหาเจ้าตัวเล็กขนนุ่มนั่น
จางซูหนี่ว์ที่เดินเข้าไปดูบริเวณโต๊ะ เก้าอี้ ที่วางตะกร้าเจ้ากระต่ายน้อยอยู่ เผื่อว่าจะซุกซนไปเล่นอยู่ในซอกหลืบหรือมุมอับใด ทว่าเพียงแต่เหลือบสายตามองที่ตะกร้าในระยะใกล้เพียงนี้ จึงได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้นางถึงกับตัวชาดิก
" ทะ ท่านพี่ "
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พอคุณหนูสามนางแนะนำตัวมีภาพในหัวลอยขึ้นมาทันที
หลิวอี้เฟย...เซียวเหล่งนึ่งลอยมา
จ้าวลี่อิง...กู่โถวลอยไป
ฟ่านปิงปอง...เหมยเหนียงลอยมา
555 ชอบมโนได้เห็นภาพชัดเจนมาก
สวัสดีปีใหม่
เห็นเคยบอกว่าจะเอาน้องต่ายมาเป็นนางเอกด้วยนิค่ะ พิคที่วาาคือแบบนี้หรือเปล่านะ อิอิ