ตอนที่ 47 : โอกาสที่ได้รับ (รีไรต์)
หลังจากยกน้ำชาให้กับทางญาติผู้ใหญ่เสร็จเรียบร้อย จวิ้นอ๋องจึงพานางกลับมาที่วังของเขา ไม่สิ..ต่อไปนี้มันคือวังของเรา บ้านของเรา เขาบอกกับนางเช่นนั้น
" เหนื่อยหรือไม่หนี่ว์เอ๋อร์ "
เขาหันมาเอ่ยถามผู้เป็นชายา ขณะที่มือนั้นยังจับจูงมือนางพากันเดินเข้าไปด้านในตำหนัก
" ไม่เหนื่อยเพคะ แล้วท่านพี่ล่ะ เหนื่อยหรือไม่ ได้ยินว่าสองสามวันมานี้ทรงตระเตรียมงานต่างๆด้วยพระองค์เองเสียเป็นส่วนมาก คงเหนื่อยแย่ ผิดกับหม่อมฉัน ท่านแม่แทบจะไม่ยอมให้หยิบจับสิ่งใดเลย "
นางนึกถึงช่วงสามวันก่อนเข้าพิธีแต่งงาน เป็นช่วงชุลมุนทั่งฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว เพราะต้องเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้ในพิธี สถานที่ถูกจัดอย่างสวยงาม กระนั้นก็มีผู้หยิบจับทำทุกสิ่งแทนนาง มิต้องเหนื่อยคิดหรือทำสิ่งใดเองเลย
เพียงสิ่งเดียวที่นางต้องกระทำ คือ ถูกจางฮูหยินและสาวใช้คนสนิททั้งสอง ช่วยกันดูแลผิวพรรณประทินโฉมต่างๆ ลองเสื้อผ้าอาภรณ์ ลองทรงผม ลองเครื่องประดับที่จะต้องใช้ในวันงาน ทั้งถูกมารดาอบรมเรื่องขั้นตอนปฏิบัติในพิธี ว่าเจ้าสาวควรกระทำตนอย่างไรบ้าง หลังแต่งงานควรวางตนอย่างไร
" ก็ไม่เท่าใดนักหรอก เสด็จแม่ส่งคนมาช่วยดูแลจัดเตรียมให้นั่นล่ะ เพียงแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ แต่งงานทั้งทีก็อยากให้ออกมาดีที่สุด อยากให้สมเกียรติ และอยากให้เจ้าประทับใจด้วย จึงออกมาช่วยดูความเรียบร้อยบ้างก็เท่านั้น "
" ทรงลืมแล้วหรือเพคะ หม่อมฉันมิอาจเห็นสิ่งใดได้ ด้วยผ้าคลุมนั้นปิดบังใบหน้าและการมองเห็นทั้งหมด จวบจนกระทั่งเข้าหอ "
" นั่นสินะ "
มู่หรงหย่งหมิงนึกขำเขาก็ลืมไปว่านางมิอาจมองเห็นบรรยากาศรอบกายภายในงานพิธีได้
" แต่หม่อมฉันรับรู้และสัมผัสได้ด้วยหัวใจเพคะ "
นางเอื้อมมืออีกข้างเข้ามาวางทับมือของเขาที่เกาะกุมมืออีกข้างของนางอยู่ รอยยิ้มละมุนถูกส่งให้บุรุษตรงหน้า แทนคำขอบคุณจากนาง..
จางซูหนี่ว์ยืนควบคุมนางกำนัลขนย้ายสิ่งของที่เพิ่งได้รับพระราชทานเป็นของรับขวัญตอนยกน้ำชาเมื่อครู่ มาเก็บเอาไว้ที่ห้องส่วนตัวก่อนจะเปิดออกดูเมื่อนางกำนัลออกไปเรียบร้อยแล้ว
" โห...คุณหนู เอ้ย พระชายาทรงได้รับของพระราชทานเยอะแยะเชียวเพคะ "
เสี่ยวไป๋มองสิ่งของเบื้องหน้า ทั้งอดที่จะดีใจแทนผู้เป็นนายมิได้ หีบที่บรรจุเครื่องประดับล้ำค่ามากมาย หยกเนื้อดี เพชรพลอยอัญมณีมากมาย ยังมีแพรพรรณลวดลายงดงามสูงค่าอีกหีบใหญ่ และอื่นๆวางเรียงราย
" ตื่นเต้นไปได้เสี่ยวไป๋ พระชายาขององค์ชายองค์อื่นๆก็คงได้ไม่ต่างกัน "
หญิงสาวกล่าว ความจริงนางก็คิดว่าสิ่งที่ได้มาในวันนี้นั้นมากเกินไปอยู่บ้าง เพราะเท่าที่เห็นนี้ยังไม่รวมกับสินสอดที่ได้มาก่อนหน้าด้วยซ้ำ ซึ่งได้อะไรมาบ้างนางก็มิใคร่ใส่ใจเท่าใดนัก ให้มารดาของนางเป็นผู้จัดการแทน แต่เท่าที่รู้คร่าวๆก็เรียกว่ามากมาย จนชั่วชีวิตนี้นางคงใช้ไม่หมดทีเดียว
ทว่าเมื่อไตร่ตรองให้ดี บิดาของพระสวามีนางเป็นถึงฮ่องเต้ มารดาเป็นถึงหวงกุ้ยเฟย ทรัพย์สมบัติเพียงนี้คงมิทำให้เงินทองในท้องพระคลังร่อยหรอไปเท่าใดนักหรอก ในเมื่อคนให้เขาไม่คิดสิ่งใดมากมาย แล้วนางเป็นผู้รับ มีแต่ได้กับได้จะต้องคิดอะไรให้วุ่นวายกันเล่า นางมิใช่คนโลภมาก แต่ถ้าให้นางก็เอา..
" มันก็จริงเพคะ ได้เหมือนกันแต่ได้น้อยกว่านี้เยอะ เท่าที่ทราบมาพระชายาได้เกือบจะเท่าๆกับไท่จื่อเฟยเลยนะเพคะ "
เสี่ยวไป๋ยังคงเจื้อยแจ้ว ทั้งยืนดูโน่นนี่ด้วยความสนใจ เด็กสาวนั้นก็มักจะนิยมชมชอบของสวยๆงามๆเป็นธรรมดา
" จะเหมือนใคร หรือเท่ากับใครก็ช่างเถิดเสี่ยวไป๋ ข้ามิได้ใส่ใจนักหรอก เจ้าก็อย่าได้เที่ยวไปพูดให้ผู้ใดฟังนักล่ะ ได้มากพูดมากประเดี๋ยวผู้อื่นเขาจะหมั่นไส้เอาได้ ข้ามิอยากสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น "
' เพราะเท่าที่มีก็เยอะพออยู่แล้ว' คำนี้นางมิได้กล่าว หากแต่คิดอยู่ภายในใจ ก็ผิดไปจากที่นางคิดหรือไม่ องค์หญิงเหลียนฮวา ต้วนลี่จู ต้วนฮองเฮา หากถามหาความเป็นมิตรจากคนเหล่านั้น ในตอนนี้นางเชื่อว่าคงได้มายากเต็มที หรือแม้แต่กับไท่จื่อเฟยนางก็ไม่คิดว่าสตรีผู้นั้นจะยินดีกับการแต่งงานของนางและจวิ้นอ๋องในครั้งนี้นักหรอก
" โธ่...ผู้ใดจะกล้าคิดร้ายกับพระชายากันเพคะ ทรงเป็นที่โปรดปรานของจวิ้นอ๋องเพียงนี้ และโดยเฉพาะไทเฮาที่ทรงเอ็นดูพระชายาของเสี่ยวไป๋ด้วยแล้ว "
" เจ้าว่าไทเฮาทรงเอ็นดูข้าหรือ "
" เพคะ ใครๆก็ทราบว่าจวิ้นอ๋องนั้นนอกจากเป็นพระโอรสองค์โปรดของฝ่าบาทแล้ว ยังเป็นพระนัดดาที่ไทเฮาทรงโปรดปรานไม่น้อย กระนั้นแล้วพระชายาผู้เป็นจวิ้นหวางเฟยของจวิ้นอ๋อง เหตุใดจะไม่เอ็นดูเล่าเพคะ ดูอย่างของพระราชทานนี่ปะไร มิได้น้อยไปกว่าไท่จื่อเฟยเลย "
" เจ้านี่ทำไมชอบเอาข้าไปเปรียบกับไท่จื่อเฟยนัก พอเลยไม่ต้องพูดแล้วรีบๆเก็บหีบพวกนี้ให้เรียบร้อย "
จางซูหนี่ว์ตัดบทด้วยคร้านจะฟัง อีกอย่างมีสตรีใดบ้างที่อยากจะฟังเรื่องของอดีตคนรักของสามีตนเองบ่อยๆ
เสี่ยวไป๋ชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ฟังคำกล่าวของผู้เป็นนาย คิดๆดูแล้วหรือว่านางคงจะพูดมากไปจริงๆ ทั้งที่ไม่ได้มีเจตนาจะนำนายสาวของตนเองไปเปรียบเทียบกับไท่จื่อเฟยสักนิด
' ปากหนอปากหาเรื่องแล้วไหมล่ะ ' นางได้แต่คร่ำครวญอยู่ภายในใจ พลางส่งยิ้มแหยให้สตรีตรงหน้าแก้เก้อ ก่อนจะรีบเก็บสิ่งของที่วางเรียงรายอยู่ในขณะนี้ให้เข้าที่
ในยามบ่ายนั้นจวิ้นอ๋องได้เอ่ยกับนางว่าจะออกไปตรวจตราการฝึกอาวุธของเหล่าทหาร ด้วยว่ายังรั้งตำแหน่งแม่ทัพของแคว้นอีกหนึ่งตำแหน่ง แม้ระยะหลังนี้เหตุการณ์บ้านเมืองจะอยู่ในภาวะสงบสุข แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ ทั้งมิควรเพิกเฉยในการฝึกซ้อมอาวุธต่างๆอย่างสม่ำเสมอ
อันว่าทหารนั้นเปรียบดั่งปราการของแคว้น เมื่อกำแพงนั้นแข็งแกร่งก็ยากที่ศัตรูจะทำลายหรือเอาชนะได้ ถ้าหากกำแพงนั้นเปราะบางแล้วไซร้ ศัตรูก็คงทำลายและเข้ามารุกรานได้ไม่ยากเย็น
" เอาไว้เปิ่นหวางจะรีบกลับมาร่วมมื้อค่ำกับเจ้านะ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยกับผู้เป็นพระชายา ด้านหลังนางนั้นมีนางกำนัลอยู่หลายคน คำพูดจึงอาจจะต้องดูเป็นทางการอยู่บ้าง
" เพคะ "
นางรับคำพลางมอบยิ้มหวานให้ผู้เป็นสามีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างให้กำลังใจ ไม่รู้ว่าในสายตาของผู้อื่นนั้นมองนางกับจวิ้นอ๋องแล้วคิดเห็นเป็นประการใดบ้าง แต่เท่าที่เหลือบสายตามองนางกำนัลที่พากันก้มหน้าอยู่รอบกายแล้ว ก็เห็นพวงแก้มนั้นออกสีแดงระเรื่ออยู่ไม่น้อย
คล้อยหลังที่จวิ้นอ๋องนั้นค่อยๆห่างออกไปจนลับสายตา นางจึงหันกลับเข้ามายังด้านในตำหนัก คราแรกนั้นคิดว่าจะชวนเสี่ยวไป๋กับเพ่ยเพ่ยไปนั่งจิบชารับลมเย็นๆให้คลายร้อนที่ศาลากลางสวนเสียหน่อย ทว่าเท้ายังไม่ทันก้าวเข้าไปยังด้านในตำหนักก็มีสาวใช้คนหนึ่งเดินสวนออกมา
และแทนที่จะหลีกทางให้นางผู้เป็นนายหญิงของที่นี่ แต่สาวใช้ผู้นี้กลับหยุดยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับหลีกทางแต่อย่างใด จางซูหนี่ว์ปรายตามองนิ่งนึกสงสัยว่าที่สั่งสอนไปคราวก่อนนั้น สตรีผู้นี้ไม่จดจำบ้างหรืออย่างไร
" บังอาจ!! เจ้ากล้าดีอย่างไร มายืนขวางทางพระชายา ยังไม่รีบหลบไปอีก "
เป็นเสี่ยวไป๋ที่เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล เมื่อเห็นการกระทำของซิ่วซิ่นที่แสดงออกต่อหน้าพระชายา
" ขอประทานอภัยเพคะ พอดีว่าหม่อมฉันยังไม่ชินที่วังแห่งนี้ได้มีพระชายาเพิ่มขึ้นมา ด้วยอยู่มานานรับใช้จวิ้นอ๋องแต่เพียงผู้เดียว จึงเผลอลืมตัวไปบ้างว่าตอนนี้ต้องรับใช้จวิ้นหวางเฟยอีกพระองค์ ได้โปรดอภัยให้ซิ่วซิ่นด้วยเถิดเพคะ "
ซิ่วซิ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนอบน้อม ทว่าสีหน้าและแววตานั้นดูอย่างไรก็ไม่ได้สำนึกผิดสักนิด แม้ว่าเมื่อกล่าวจบนางจะเดินถอยออกมาเพื่อหลีกทางให้แก่สตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า แต่ภายในใจก็ให้นึกต่อต้านสตรีผู้นี้อยู่ตลอดเวลา
" เข้าใจว่าเจ้าอาจจะยังไม่ชิน แต่คงต้องรีบปรับปรุงตัวให้ชินในเร็ววันนะ เพราะ 'เปิ่นหวางเฟย' คงมิอาจนิ่งดูดายอยู่ได้ เมื่อเห็นว่าสาวใช้ในวังแห่งนี้แสดงกิริยามารยาทที่ดูไร้การอบรม ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร สิ่งใดต่ำ สิ่งใดสูง ที่กล่าวมาหวังว่าเจ้าจะเข้าใจนะ ซิ่วซิ่น "
จางซูหนี่ว์กล่าวด้วยแววตาอ่อนโยน นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก คล้ายว่าเข้าใจในสิ่งที่สตรีตรงหน้ากล่าว ทว่าคำพูดที่ดูเหมือนจะไม่ได้ถือสาหาความใดนั้น นางจงใจใช้คำพูดที่ตอกย้ำให้สาวใช้นางนี้ ได้ตระหนักถึงสถานะต่ำศักดิ์ของตนอย่างชัดเจน
แม้นมิใช่คนที่ชอบดูถูกคน หรือกดผู้อื่นให้ต่ำต้อยด้อยค่า แต่ในเมื่อตอนนี้นางอยู่ในยุคที่ชนชั้นนั้นมิได้เท่าเทียมกัน ซ้ำยังรั้งตำแหน่งสูงศักดิ์ จึงไม่อาจยอมให้คนต่ำศักดิ์กว่ามากโข อย่างสาวใช้ผู้นี้มาเผยอตีฝีปากและแสดงกิริยาอันเป็นการหยามเกียรตินางได้
" เข้าใจเพคะ.. "
ซิ่วซิ่นกล่าวออกไป ด้วยอารมณ์ที่ข่มความไม่พอใจอยู่ในตอนนี้
" อย่าให้เปิ่นหวางเฟยเห็นกิริยาเช่นนี้ของเจ้าอีกเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้ว..."
จางซูหนี่ว์กล่าวพลางค่อยๆเยื้องกรายเดินเข้าไปใกล้ซิ่วซิ่น ใบหน้างดงามยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มหวาน ทว่าสายตาอ่อนโยนที่ใช้มองในคราแรกนั้น แปรเปลี่ยนไปดูเย็นชา แต่แฝงความแข็งกร้าวอยู่ในที เอื้อมมือออกไปบีบคางคนตรงหน้าให้หันมาสบตากับนาง
ทั้งยังจงใจใช้แรงที่มากกว่าปกติ จนผู้ที่ถูกนางกระทำในตอนนี้นิ่วหน้าด้วยความเจ็บ และตื่นตระหนกกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของนาง...
" อย่าหาว่าเปิ่นหวางเฟยผู้นี้ ไม่เตือน..."
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ผู้ฟังกลับรู้สึกร้อนๆหนาวๆอย่างบอกไม่ถูก จางซูหนี่ว์คลายมือออกจากคางของสาวใช้ตรงหน้า นางแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างผู้ที่เหนือกว่า ก่อนเดินจากไปจากตรงนั้นพร้อมกับสาวใช้คนสนิททั้งสอง ซึ่งดูจะประหลาดใจกับท่าทีของนางอยู่มากเช่นกัน แต่เหมือนว่าความสะใจนั้นมีมากกว่า เพราะต่างก็แอบเบ้ปากให้ซิ่วซิ่นอยู่ในที
สาวใช้ที่ถูกส่งตัวเข้ามาคอยสอดแนมความเป็นไปในวังแห่งนี้ ยืนอึ้งอยู่ไม่น้อยเมื่อได้เห็นอีกมุมของจวิ้นหวางเฟยที่นางเผยออกมาให้ได้เห็น
...สายตานั่น...
บางสิ่งบางอย่างทำให้ซิ่วซิ่นรู้สึกว่าสตรีผู้นั้นร้ายลึก ร้ายกาจ ร้ายกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
จางซูหนี่ว์ที่ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม่ทันไร พลันเหลือบสายตาไปเห็นแววตาสงสัยของสาวใช้ทั้งสองที่มองมายังตนเอง ก็ให้นึกรู้เท่าทันความคิดของทั้งคู่ คงอยากถามนางเสียเต็มแก่กระมัง ถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ จึงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยออกไปอย่างเนือยๆ...
" ข้าก็แค่แสดงละคร เพื่อข่มขวัญนางไปก็เท่านั้น "
" ความจริงพระชายาจะสั่งลงโทษซิ่วซิ่นก็ย่อมได้นะเพคะ นางทำตัวของนางเองทั้งนั้น ดูทีรึ..ตัวเองเป็นสาวใช้เป็นนางกำนัลที่วังแห่งนี้แท้ๆ แต่กลับคอยรายงานความเป็นไปของที่นี่ให้ผู้อื่นรับรู้ ทั้งยังทำตนไร้มารยาทกับพระชายาอีก ถือตนว่ามีองค์หญิงคอยเข้าข้าง "
เสี่ยวไป๋อดที่จะกล่าวอย่างไม่พอใจไม่ได้
" จะให้ข้าสั่งลงโทษคนในวังแห่งนี้ ตั้งแต่วันแรกเลยหรือเสี่ยวไป๋ "
" ก็..."
" ข้ารู้ว่าเจ้าจะกล่าวอย่างไร จริงอยู่ที่ซิ่วซิ่นผิดที่แสดงกิริยาเช่นนั้นกับข้า แต่นางก็กล่าวขออภัยต่อข้า ใช่หรือไม่ แม้ว่าจะไม่ได้จริงใจก็เถิด "
หญิงสาวกล่าวอธิบายอย่างใจเย็น ทุกอย่างนั้นนางคิดไตร่ตรองมาดีแล้ว...
" ข้าก็แค่แสร้งกระทำตนเป็นสตรีแสนดีให้อภัยนางบ้างก็เท่านั้น การให้โอกาสคนเป็นสิ่งดีมิใช่หรือ แต่รู้อะไรหรือไม่เสี่ยวไป๋ ความรู้สึกและนิสัยคนเรามันเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ เช่นเดียวกับโอกาสที่ข้ามอบให้นางไป มันก็ใช่ว่าจะมีครั้งต่อๆไป อะไรที่ผิดซ้ำๆซากๆ ก็ควรถูกกำจัดการ ใช่หรือไม่ "
เสี่ยวไป๋กับเพ่ยเพ่ยนั้น หันมามองหน้ากันอย่างเริ่มจะเข้าใจในความคิดของผู้เป็นนายขึ้นมาบ้างแล้ว ครั้งนี้ทรงให้โอกาส หากแต่ถ้ามีครั้งหน้าแล้วไซร้ เมื่อพระชายาได้กระทำสิ่งใดลงไป จะได้ไม่ถูกใครครหาเอาได้นั่นเอง เพราะทรงให้โอกาสแก่คนผู้นี้ไปแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไรต์แต่งได้น่ารักน่าหยิกจริงๆ ชอบๆ