ตอนที่ 46 : ก้าวแรกในวังหลวง (รีไรต์)
จางซูหนี่ว์ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่เล็ดลอดเข้ามาภายในห้อง อากาศยามเช้าตรู่นั้นค่อนข้างเย็น จึงขยับตัวกระชับผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายมากกว่าเดิม และไม่ลืมเผื่อแผ่ให้กับคนที่นอนอยู่ข้างกายนางในขณะนี้ด้วย เหลือบมองก็เห็นว่าจวิ้นอ๋องนั้นหลับสนิท จำได้ว่าเมื่อคืนเขารั้งนางเข้าไปกอดและพากันหลับไป
ระลึกย้อนถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนที่ผ่านมาก็ให้รู้สึกเขินอายขึ้นมาวูบหนึ่ง พลันความรู้สึกต่อมาคือ ความสำนึกได้ว่านางมิใช่คนตัวเปล่าอีกต่อไป นางมีสามีเป็นคู่คิดคู่ชีวิตที่นับจากนี้เปรียบดั่งส่วนหนึ่งของกันและกัน
ตำแหน่งจวิ้นหวางเฟยที่ได้รับนั้น มาพร้อมกับภาระหน้าที่อื่นๆ อย่างน้อยก็ผู้คนที่ได้อาศัยอยู่ในวังแห่งนี้ ความเป็นอยู่ กฏระเบียบ การจัดการปกครองเรื่องภายในนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความรับผิดชอบของนางอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
นางหยัดกายขึ้นอย่างแผ่วเบา ด้วยมิต้องการรบกวนคนที่ยังนอนอยู่ ในวันแรกของชีวิตคู่ หากผู้เป็นภรรยาจะตื่นทีหลังผู้เป็นสามีนั้น คงมิใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร ทว่าเมื่อเท้าแตะพื้นและเตรียมลุกจากเตียงเพียงเท่านั้น ความรู้สึกปวดแปลบและร้าวระบมก็บังเกิดจนต้องนิ่วหน้าและค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนที่นอนตามเดิม
อดที่จะก้มลงไปมองสำรวจตามร่างกายของตัวเองมิได้ พบว่ามีรอยจ้ำสีแดงจางๆกระจายอยู่บริเวณเนินอกและหน้าท้องสองสามแห่ง ความเขินอายนั้นย่อมมีแต่ความเคืองก็มีไม่น้อย หันไปมองคนที่สร้างร่องรอยเอาไว้บนกายของนางกำลังหลับใหลอย่างสบายใจก็ให้นึกหมั่นไส้นัก มันน่าโดนทุบสักหนสองหนเสียจริงๆ คนเอาแต่ใจ...
หลังจากที่ฝืนเดินเข้าไปชำระร่างกายเป็นที่เรียบร้อย จึงออกมาแต่งกายอยู่มุมเครื่องแป้ง มือเรียวบรรจงหวีผมของตนอย่างช้าๆ คิดว่าอีกสักครู่เมื่อแต่งกายเรียบร้อยดีแล้ว จึงจะลุกขึ้นไปปลุกอีกคน ซึ่งป่านนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแต่อย่างใด
ทว่าสายตานั้นก็พลันเห็นความเคลื่อนไหวทางด้านหลัง จากภาพสะท้อนของเงาในกระจกเสียก่อน
" ตื่นแล้ว ไยเจ้าจึงไม่ปลุกเปิ่นหวางเล่า หนี่ว์เอ๋อร์ "
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยพูดกับผู้เป็นชายารักอย่างนุ่มนวล มู่หรงหย่งหมิงเดินเข้ามาใกล้พลางใช้มือที่ค่อนข้างหยาบกร้านจากการจับอาวุธนั้นแตะลงบนกลุ่มผมของนาง ลูบไปตามเส้นผมนุ่มสลวยนั้นเล่นอย่างนึกเพลิน ในเวลานี้เขารู้สึกผ่อนคลาย สงบ และสุขใจอย่างบอกไม่ถูก
นางทำให้นึกถึงคำว่าบ้านและครอบครัวในแบบที่เขาอยากจะมี ช่างน่าขันนัก..วังหลวงที่เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ แต่กลับหาความปลอดภัยและความสุขอย่างแท้จริงไม่ได้เลย
" เห็นพระองค์หลับสบายจึงไม่อยากปลุกเร็วนักเพคะ คิดว่าอีกสักครู่ค่อยปลุก "
" ตื่นมาไม่พบเจ้านอนอยู่ข้างๆก็ใจหาย นึกว่าเมื่อเจ้าได้เปิ่นหวางแล้ว ก็คิดจะทิ้งขว้างเปิ่นหวางเสียอีก "
เขาเอ่ย พลางแกล้งปั้นหน้าน้อยใจสตรีข้างกาย
" คราแรกก็ไม่คิด แต่ตอนนี้หม่อมฉันคิดอยากจะกระทำเช่นนั้นแล้วล่ะเพคะ "
นางกล่าวทั้งที่ยังไม่ได้หันกลับมาเผชิญหน้า ทว่ากลับมองคนด้านหลังผ่านทางกระจก เห็นทุกการกระทำและสีหน้าที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเสแสร้ง ยังไม่รวมน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจที่น่าหมั่นไส้นี้อีกล่ะ
" ใจร้ายนะเจ้าน่ะ "
มู่หรงหย่งหมิงขยับเข้าไปสวมกอดนางจากทางด้านหลัง พลางวางศีรษะและปลายคางเกยอยู่ที่ไหล่นวล มองไปยังกระจกด้านหน้าเพื่อสบสายตากับนางผ่านเงาสะท้อน
" วันนี้เราต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ไทเฮา ฮองเฮา และเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย พระองค์อย่าทรงโอ้เอ้อยู่เลยเพคะ รีบเข้าไปชำระร่างกายเสียก่อนเถิด "
นางสบตากับบุรุษที่ยังสวมกอดนางอยู่ด้านหลังผ่านกระจกชั่วครู่ ก่อนเอ่ยตัดบทและไล่เขาไปอาบน้ำชำระกาย ด้วยมีภารกิจที่ต้องกระทำในวันนี้ตามธรรมเนียม แต่ทว่าคนตัวโตกลับยังอ้อยอิ่งมิยอมขยับแต่อย่างใด
" ท่านพี่ "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าวกระซิบข้างใบหูของนาง
" อะไรนะเพคะ "
" อยู่ด้วยกันเพียงลำพังให้เรียกเปิ่นหวางว่า 'ท่านพี่' เถอะนะ...'หม่อมฉัน' ก็ด้วยมันฟังดูห่างเหินไป แทนตัวเองว่าหนี่ว์เอ๋อร์ น่ารักกว่า "
" เอ่อ "
" ไม่รู้ล่ะ ไปเข้าเฝ้าตอนสายๆหน่อยก็ไม่เป็นไร คงไม่มีใครว่าหรอก ยังมีเวลากอดเจ้าเช่นนี้อีกนาน ไหนเรียก 'ท่านพี่' ให้เปิ่นหวางชื่นใจหน่อย ได้หรือไม่หนี่ว์เอ๋อร์ "
คนตัวโตกว่าทั้งดื้อแพ่งและออดอ้อน เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นกว่าเดิม สื่อให้ร่างบางในอ้อมกอดรับรู้ว่าหากไม่เอ่ย เขาย่อมไม่มีทางคลายอ้อมกอดนี้เป็นแน่
" ปล่อยเถิดเพคะ "
" ไม่ "
" ปล่อยเถอะนะ เพคะ "
" ก็บอกว่าไม่ "
" เอ๊ะ...ทำไมดื้อ "
" แล้วเรียกท่านพี่ มันยากตรงไหน ฮึ "
เขากล่าวออกมา ทั้งที่ก็พอจะรู้สาเหตุที่นางไม่กล้าพูด คงเพราะเขินอายเขาอยู่เป็นแน่ ดูใบหน้าสิขึ้นสีระเรื่อน่าเอ็นดูนัก ทั้งยังน่าแกล้งอีกด้วย
" เอ่อ...ท่านพี่ปล่อยหนี่ว์เอ๋อร์เถิดนะเพคะ "
นางกล่าวออกไปในที่สุด เรียกน่ะไม่ยากหรอก แต่ที่ยากคือความรู้สึกตอนนี้ต่างหาก ก็คนมันเขินนี่นา ใบหน้านี่ก็ร้อนวูบวาบอยู่ได้...
" รู้หรือไม่เจ้ากล่าวเช่นนี้นั้น น่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก "
เขากล่าว พลางคลายอ้อมกอดและหันกายนางให้กลับมาเผชิญหน้ากับเขา
" จะทำอะไรเพคะ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยถาม พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาหยิบบางสิ่งบางอย่างบนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมา จากนั้นก็พอจะเดาได้ทันที ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใดต่อไป นางจึงรีบเบี่ยงหน้าหลบอย่างไว
" ไม่นะเพคะ ไม่เล่นแบบนี้ "
" เปิ่นหวางทำได้ ตอนเด็กๆเคยทำให้ท่านแม่อยู่บ้าง เชื่อใจเปิ่นหวางสิ "
เขากล่าวพลางจับใบหน้าของนางเอาไว้ให้อยู่นิ่ง
" ประเดี๋ยวก็เลอะ "
นางไม่รู้จะเชื่อหรือไม่เชื่อดี เพราะหากให้บุรุษตรงหน้าถือกระบี่อยู่ในมือและเที่ยวไล่ฆ่าคนอื่นไปทั่ว นางก็คิดว่าดูหน้าเชื่อถือกว่าตอนนี้
เพราะในมือนั้นมิได้ถือกระบี่ แต่เป็นแท่งดินสอเขียนคิ้วน่ะสิ จะไว้ใจได้หรือไม่นี่
เอ...แต่ดูวิธีการจับก็ดูเข้าทีอยู่ไม่น้อย ได้แต่หวังว่ามันจะออกมาดูดีหรอกนะ นางนั่งนิ่งให้คนตรงหน้าบรรจงวาดคิ้วให้นางจนสำเร็จ
" เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยอย่างอวดเล็กน้อย
" ก็ดีเพคะ "
นางตอบหลังจากเบือนหน้าไปมองผลงานของพระสวามีในกระจก อย่างค่อนข้างพึงพอใจในผลลัพท์ที่ได้
" ไม่ใช่แค่ก็ดี แต่ดีมากต่างหากล่ะ "
" เพราะหนี่ว์เอ๋อร์งดงามอยู่แล้วต่างหากล่ะเพคะ แต่งอย่างไรก็งาม "
นางเอ่ยติดยิ้ม กล่าวตามจริงก็พึงพอใจในฝีมือการเขียนคิ้วของจวิ้นอ๋องมิน้อย
" ไม่เถียงว่าเจ้านั้นงดงามจริงๆ "
" หนี่ว์เอ๋อร์ว่าท่านพี่ไปอาบน้ำได้แล้วล่ะเพคะ "
นางมองคนตรงหน้าที่ส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้นางอยู่ในตอนนี้
" ไล่บ่อยจริงเชียว "
" มิได้เพคะ เพียงแต่หนี่ว์เอ๋อร์คิดว่าให้ฝ่าบาทกับไทเฮาทรงรอนานคงไม่ดีนัก เชื่อน้องสักครั้งเถิดนะเพคะ ท่านพี่ "
หญิงสาวกล่าวถึงเหตุผล ทั้งประโยคสุดท้ายจงใจใช้น้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวล ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังอยู่บ้าง ว่าบ่อยครั้งที่ใช้น้ำเสียงออดอ้อนและรอยยิ้มหวานคราใด ท่านพ่อก็มักใจอ่อนยอมตามใจท่านทุกครั้งไป นางจึงลองนำมาใช้กับคนตรงหน้าเสียหน่อย
" พี่ก็คิดเช่นนั้น งั้นรอสักครู่เถิดนะ "
เขาออกจะชอบใจที่นางแทนตัวเองว่า 'น้อง' กับเขาแบบนี้ ไม่รีรอที่จะแทนตนเองว่า 'พี่' กลับไปโดยพลัน น้ำเสียงออดอ้อนอ่อนโยน กับรอยยิ้มหวานหยดถูกส่งมาให้เช่นนี้ หัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเสน่หาต่อนาง ก็พร้อมจะหลอมละลายลงไปอยู่แทบเท้านางในบัดดล
น่ารักน่าเอ็นดูเพียงนี้ ไฉนเลยจะมิยอมกระทำตามที่นางขอได้เล่า เขามองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาพราวระยับ เพียงครู่จึงลุกขึ้นไปจัดการชำระกายและเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ตามที่นางบอกทันที
ในช่วงสายมู่หรงหย่งหมิงได้พาจางซูหนี่ว์เข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไทเฮา ฮองเฮา และเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เรียกว่า 'ขั่งเต๊' หรือพิธียกน้ำชาให้แก่บิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชาย ในวันแรกหลังจากคืนเข้าหอ
" ย่าขอให้พวกเจ้าทั้งสองครองคู่กันอย่างหวานชื่น หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้แก่กัน เป็นสามีย่อมต้องปกป้องดูแลผู้เป็นภรรยา ทั้งภรรยาก็ควรเอาใจใส่ดูแลและรักษาเกียรติผู้เป็นสามี เช่นนี้แล้วจึงจะอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น "
" พ่ะย่ะค่ะ / เพคะ "
ทั้งสองกล่าวรับคำอวยพรและคำสอนจากไทเฮา หลังจากที่ยกน้ำชาให้สตรีเบื้องหน้านี้แล้ว หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นสบตาไทเฮา ที่กำลังมอบรอยยิ้มอบอุ่นนุ่มนวลมายังนางและผู้เป็นพระสวามี
เป็นสายตารักใคร่เอ็นดูและจริงใจต่อลูกหลานอย่างแท้จริง ซึ่งจางซูหนี่ว์นั้นสามารถสัมผัสได้ในทันที
" และนี่ของรับขวัญหลานสะใภ้จากย่า มารับไปสิซูหนี่ว์ "
" ขอบพระทัย เพคะ "
นางขยับกายเข้าไปรับของรับขวัญจากไทเฮาเป็นหีบเครื่องประดับขนาดกลางหนึ่งหีบ ล้วนบรรจุเครื่องประดับล้ำค่างดงามทั้งสิ้น พลางส่งรอยยิ้มอ่อนหวานให้กับไทเฮา เมื่อทรงเอื้อมพระหัตถ์มาลูบศีรษะนางอย่างเอ็นดู
นอกจากฮ่องเต้และเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย ที่พอจะเป็นหลักพักพิงให้นางได้แล้ว กับไทเฮานั้นนางก็เห็นว่าสามารถเป็นที่พึ่งพิงให้แก่นางได้เป็นอย่างดีทีเดียว เห็นทีว่านางคงต้องหาเวลาเข้าเฝ้าผู้เป็นเสด็จย่าของจวิ้นอ๋องบ่อยๆเสียแล้ว
อันว่าหากนางต้องการมีชีวิตที่ราบรื่นในวังหลวงแล้วล่ะก็ ล้วนต้องหาพวกพ้องที่สามารถเกื้อหนุนนางได้ นางมิได้ต้องการอำนาจ หากแต่ต้องการผู้ที่จะสามารถคุ้มครองนางจากอันตรายใดใดที่อาจจะเกิดในอนาคต
หากนางเป็นที่โปรดปรานแล้วไซร้ ใครก็ตามที่อาจคิดร้ายต่อนางคงต้องคิดหนักเสียหน่อย อดที่จะเหลือบมองไปยังต้วนฮองเฮามิได้ ใบหน้างดงามที่แม้จะร่วงโรยไปตามวัยอยู่บ้าง กำลังส่งยิ้มอ่อนโยนมายังนาง แต่สายตานั้นกลับมิได้ยิ้มตาม นางถอนสายตาจากสตรีผู้นั้นหันหน้ากลับมาตามเดิม...เสแสร้ง
" ข้าขอให้เจ้าทั้งสองครองคู่ยั่งยืน รีบๆมีหลานล่ะหย่งหมิง "
คำกล่าวนี้เป็นของฮ่องเต้หย่งไท่ ขณะอวยพรให้กับผู้เป็นพระโอรสคนโปรด หากแต่ประโยคหลังนั้นลดพระสุรเสียงลงให้ได้ยินแต่เพียงสองคนกับพระโอรสเท่านั้น พระพักตร์แย้มยิ้มเป็นการสัพยอกเล็กน้อย
" ลูกรับพระราชบัญชาพ่ะย่ะค่ะ "
มู่หรงหย่งหมิงได้ฟังดังนั้น จึงเอ่ยรับคำพระบิดาทันทีด้วยใบหน้าและแววตายิ้มกริ่ม เหลือบมองจางซูหนี่ว์ก็เห็นว่านางนั้นมองมาที่เขาอย่างสงสัยใคร่รู้มิน้อย ว่าเอ่ยรับคำสิ่งใดต่อพระบิดา หากแต่นางก็มิได้เอ่ยถามประการใด
จากนั้นจึงยกน้ำชาให้แก่ต้วนฮองเฮาและเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยตามลำดับ เหตุการณ์ในวันนี้นั้นดูราบรื่นและปกติดี มองผาดเผินก็เหมือนครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งทั่วไป
ทว่าตื้นลึกหนาบางเป็นเช่นไรนั้นทุกคนต่างรู้ดี นางได้เหยียบย่างเข้ามาในสังคมที่มีแต่การสวมหน้ากากประดับรอยยิ้ม วาจาสวยงามประหนึ่งบุปผาสีสวย แต่มือกลับซ่อนใบมีดแหลมคมรอโอกาสเชือดเฉือนผู้เพลี่ยงพล้ำให้แดดิ้นสิ้นชีพไปตรงหน้า หากขวางทางอำนาจของตน
" ยินดีกับเจ้าด้วยนะหวงกุ้ยเฟย ได้สะใภ้งามพร้อมทั้งกิริยามารยาทและชาติตระกูล คงถูกใจเจ้าไม่น้อยสินะ จวิ้นอ๋องนั้นสายตาแหลมคมยิ่งนัก "
ต้วนฮองเฮากล่าวเหน็บแนมสตรีที่นั่งห่างจากพระนางไม่ไกลนัก สีพระพักตร์และแววตานั้นอ่อนโยน อ่อนหวาน ผู้ใดมิรู้ความบาดหมางของทั้งคู่มาก่อนอาจหลงไปกับเล่ห์มารยาของต้วนฮองเฮาก็เป็นได้ แต่ไม่ใช่กับเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยที่ตาสว่างรู้ทันมารยาของนางเสียนานแล้ว
" เพคะ หม่อมฉันยินดียิ่งที่ได้จางซูหนี่ว์มาเป็นสะใภ้ ถูกใจหม่อมฉันมากกว่าใคร หากเป็นสตรีอื่นก็ไม่แน่ว่าหม่อมฉันจะยอมให้หย่งหมิงแต่งเป็นจวิ้นหวางเฟยได้ ด้วยมิรู้ว่านิสัยใจคอนั้นเป็นเช่นใด "
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยกล่าวตอบกลับด้วยพระพักตร์แย้มยิ้มไม่ต่างกัน เหตุผลที่พระนางยินยอมนั้น ดั่งที่ทราบกันดีว่าลูกสะใภ้คนนี้เป็นบุตรีของสหายสนิทของพระนาง อีกประการไยจะไม่รู้ว่าถูกเหน็บแนมเข้าให้ แต่พระนางก็ไขสือแกล้งมิรู้ความไปเสียอย่างนั้น
ทว่าก็แอบจิกกัดกลับไปบ้างเหมือนกัน เรื่องเจิ้งจิวอิงนั่นแล รูปโฉมงดงามอ่อนหวานแต่ใครจะรู้ว่าจิตใจมีแต่ความทะเยอทะยาน ละทิ้งความรักไขว่คว้าอำนาจ สุดท้ายเป็นเช่นไรมีแต่เพียงตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่หาได้เป็นที่โปรดปรานของพระสวามี
แต่งงานมาหลายปีกลับไม่สามารถมีทายาทแม้สักคน ผิดกับชายารองผู้มาทีหลังนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ จะว่าไปก็น่าเวทนาแต่นางทำตัวของนางเองทั้งนั้น คิดแล้วถือเป็นวาสนาของมู่หรงหย่งหมิงกับจางซูหนี่ว์โดยแท้ ที่เขาว่าคู่กันแล้วมิคลาดคลา
" เอาล่ะ ตอนนี้ก็เสร็จพิธีแล้วปล่อยให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวหมาดๆ เขากลับไปพักผ่อนเถิด เมื่อวานก็เหนื่อยมาทั้งวัน ยังจะต้องตื่นเช้ามายกน้ำชาอีก เราอย่ารบกวนเวลาของทั้งคู่เลย แยกย้ายกันได้แล้ว "
ไทเฮาทรงกล่าวหลังจากที่มู่หรงหย่งหมิงและจางซูหนี่ว์นั้นกินขนมอี๊สีชมพูเสร็จเรียบร้อยไปได้สักครู่แล้ว ก็ถือว่าจบธรรมเนียมปฏิบัติในวันนี้
" เช่นนั้นให้หม่อมฉันประคอง และส่งเสด็จไทเฮากลับตำหนักนะเพคะ "
ต้วนฮองเฮาเอ่ยขึ้น พลางขยับเข้าไปหมายประคองไทเฮา ทว่าก็ต้องชะงักไปเมื่อสตรีสูงวัยตรงหน้ายกพระหัตถ์เป็นเชิงห้าม
" อย่าลำบากเจ้าเลยฮองเฮา อ้ายเจียมีเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยช่วยประคองอยู่แล้ว เจ้ามีสิ่งใดทำก็ไปทำเถิด "
" เอ่อ เพคะ "
ต้วนฮองเฮาชะงักไปเพียงนิด ไม่นานจึงคลี่ยิ้มอ่อนหวานออกมา ทว่าในใจนั้นเดือดปุด ตั้งแต่ที่ไทฮองไทเฮาสิ้นพระชนม์ไป นางเฒ่าผู้นี้ก็มิเคยเห็นหัวนาง ใบหน้ายิ้มแย้มแสร้งเมตตา แต่การกระทำมึนตึงเฉยชามิใส่ใจ
รอเถิดวันใดที่พระโอรสของนางขึ้นเป็นฮ่องเต้เมื่อใดคงได้เห็นดีกัน พระนางคิดอ่านอยู่ภายในใจ...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอลุ้นอยู่นะคะไรท์