ตอนที่ 44 : จอกแล้วจอกเล่า (รีไรต์)
เสียงปะทัดที่ถูกจุดขึ้นพร้อมกับเสียงดนตรีมโหรีต่างๆ ทั้งเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของผู้คนจำนวนไม่น้อยนั้นฟังดูครึกครื้น ดังเข้ามาภายในเกี้ยวที่เจ้าสาวนั่งอยู่ด้านใน หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย แม้จะพยายามบอกกับใจตัวเองให้นิ่งสงบเพียงใดก็ตาม งานมงคลสมรสในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตสมพระเกียรติของจวิ้นอ๋อง ตัวนางผู้เป็นเจ้าสาวจะไม่รู้สึกประหม่าเลยก็คงเป็นไปไม่ได้
ด้านนอกนั้นมีเจ้าบ่าวทำหน้าที่ขี่ม้านำขบวนเกี้ยวเจ้าสาว พระพักตร์คมคายหล่อเหลาในชุดเจ้าบ่าวสีแดงประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ไม่บ่อยนักที่ใครจะได้เห็นว่าบุรุษผู้นี้จะแย้มยิ้มให้กับผู้ใดหรืออะไรได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งท่วงท่านั้นองอาจสง่างามสมเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และดูกล้าแกร่งสมเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้น
ทรงขี่ม้าผ่านไปยังที่ใดล้วนได้รับเสียงชื่นชมจากชาวเมืองที่ต่างก็พากันมุงดูขบวนเจ้าสาวอยู่เต็มสองข้างทาง ระหว่างจวนสกุลจางไปยังวังจวิ้นอ๋อง บรรยากาศนั้นช่างชื่นมื่นผู้คนร่วมยินดีกับบ่าวสาวที่เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก
จวบจนกระทั่งขบวนเจ้าสาวได้เดินทางมาถึงยังที่หมาย มู่หรงหย่งหมิงจึงรีบลงจากม้าและตรงมาที่เกี้ยวซึ่งอยู่ทางด้านหลัง หมายใจที่จะจับจูงเจ้าสาวเข้าไปด้านในด้วยตนเอง
ซึ่งเจ้าสาวนั้นจำเป็นต้องมีผู้คอยประคองตลอดเวลา เพราะอาภรณ์ที่สวมใส่นั้นงดงามแต่ก็ยาวระพื้น เครื่องประดับล้ำค่าแพรวพราวต่างๆที่ประดับอยู่บนกายนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก็มากมาย
ยังไม่นับผ้าคลุมศีรษะที่บดบังการมองเห็นของเจ้าสาวอีก แม้ตอนนี้จะยังไม่ได้ยลโฉมเจ้าสาวแสนสวย ทั้งที่ใจนั้นอยากจะเปิดผ้าคลุมหน้าออก เพื่อเชยชมใบหน้าแสนงามนั้นก็ตามที
หากแต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ ในเมื่อทรงอดทนรอนางมาได้ตั้งนานจะรออีกนิด ให้ถึงยามเข้าหอคืนนี้อีกสักหน่อยจะเป็นไร คิดพลางกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจอย่างหมายมาด ก่อนจะยื่นมือออกไปกุมมือเล็กของจางซูหนี่ว์ ทั้งจับมือนางขึ้นมาวางที่แขนของเขา ก่อนพานางเดินเข้าไปยังด้านใน
กระนั้นเมื่อถึงยามที่ต้องก้าวข้ามธรณีประตูตามธรรมเนียมเจ้าบ่าวต้องอุ้มเจ้าสาว เขาไม่รีรอที่จะกระทำมันสักนิด ได้แตะติดแตะหน่อยพอให้หัวใจกระชุ่มกระชวย ทว่าเพียงแต่แกล้งหยอกเย้าเจ้าสาวในอ้อมแขนด้วยการกระชับนางไว้แนบอกนานไปนิด ก็ถูกสาวเจ้าหยิกเข้าที่แขนเสียแล้ว จนต้องรีบวางนางลงเสียเดี๋ยวนั้นอย่างแสนเสียดาย
แม้นมีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็ใช่ว่านางจะยอมเขาเสียเมื่อไร แต่ก็ช่างเถิดเอาไว้ค่อยคิดบัญชีกับเจ้าสาวคนงามในห้องหอก็ยังมิสาย...
พิธีสำคัญต่างๆได้ดำเนินจนแล้วเสร็จ บัดนี้เจ้าสาวนั้นถูกแยกไปยังด้านในเพื่อรอฤกษ์งามยามดีในการเข้าหอกับเขาในคืนนี้ ฉะนั้นจึงเหลือเพียงเจ้าบ่าวที่ยืนสนทนากับผู้ที่มาร่วมยินดีในพิธีมงคลสมรสครั้งนี้
" ข้ายินดีกับเจ้าด้วยนะหย่งหมิง ขอให้ครองคู่กันอย่างหวานชื่นมีเจ้าตัวเล็กไวไวล่ะ หยางอี้กับหยางปินนั้นมีหลานให้เหมาซูเฟยกับยินเต๋อเฟยอุ้มแล้ว คิดว่าเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยก็คงอยากจะมีหลานตัวเล็กให้ชื่นชมอยู่เหมือนกัน "
มู่หรงหยางหมิ่น ที่เป็นตัวแทนฮ่องเต้มาร่วมงานมงคลในครั้งนี้เอ่ยขึ้นจากใจจริง พลางเย้าน้องชายต่างมารดาเล่น หลังจากที่มีเรื่องหมางใจกันเกี่ยวกับชายาของเขาในครั้งนั้น ความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับน้องชายที่เคยสนิทสนมกันดีก็สะดุดลง
มิได้เกลียดชัง โกรธขึ้งกันถึงเพียงนั้น แต่ก็ขุ่นข้องหมองใจกันไม่น้อย ทว่าในระยะหลังความสัมพันธ์นั้นเริ่มดีขึ้นมา เขาก็ดีใจนักคิดว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะน้องสะใภ้คนนี้ด้วยกระมัง ที่เป็นตัวแปรสำคัญ และรักษาบาดแผลในใจมู่หรงหย่งหมิงจนหายดี ปล่อยวางเรื่องราวแต่หนหลัง ทำให้การพบกันของเขาและน้องชายดีขึ้นจากแต่ก่อนมากนัก
" ขอบพระทัย องค์ไท่จื่อที่เสด็จมาร่วมงานมงคลของหม่อมฉันพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องมีผู้สืบสกุลนั้น แน่นอนว่าต้องตามเจ้าสามและเจ้าสี่ทันอย่างแน่นอน "
เขาเอ่ยตอบด้วยใบหน้าระบายยิ้มอ่อน แน่ล่ะ..เรื่องการมีทายาทนั้น จะให้น้อยหน้าเหล่าน้องชายคงเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเขาก็จะมีเจ้าตัวเล็กให้พระมารดาได้เชยชมในเร็ววันเป็นแน่
" เมื่อครู่หม่อมฉันได้ยินแว่วๆว่าทรงกล่าวถึงหม่อมฉันใช่หรือไม่ "
องค์ชายสามมู่หรงหยางอี้ เดินเข้ามาร่วมวงการสนทนาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โดยมีผู้ที่เดินตามมาทางด้านหลังอีกสองคน คือ องค์ชายสี่มู่หรงหยางปิน และองค์ชายห้ามู่หรงหยางเฉิง
" ข้ากำลังอวยพรหย่งหมิง ให้รีบมีเจ้าตัวเล็กแข่งกับเจ้าอย่างไรล่ะ หยางอี้ "
มู่หรงหยางหมิ่นเอ่ยกับน้องชายต่างมารดาทั้งสามคน ที่เพิ่งจะเดินเข้ามาสมทบ นานแล้วที่มิได้พูดคุยกันประสาพี่น้องในบรรยากาศเช่นนี้
ยามเยาว์วัยนั้นเคยวิ่งเล่น เรียนอักษร เรียนการต่อสู้ สนิทสนมรักใคร่ปรองดองกันดี หากแต่เมื่อเติบใหญ่กลับมีหลายสิ่งหลายอย่างทำให้ต้องห่างเหินกันไปบ้าง ทว่าสายใยระหว่างพี่น้องยังคงอยู่มิได้เลือนหายไปเลย
" คงต้องรีบหน่อยล่ะพ่ะย่ะค่ะ เพราะตอนนี้ชายาเอกของหม่อมฉันก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองอยู่ "
มู่หรงหยางอี้ กล่าวพลางกลั้วหัวเราะ ก่อนหันไปยักคิ้วให้มู่หรงหย่งหมิงเล็กน้อยเป็นเชิงอวด
" อะไรกัน ได้ข่าวว่าชายารองของเจ้า ก็เพิ่งให้กำเนิดธิดาน้อยแก่เจ้า เมื่อไม่นานมานี้เองมิใช่หรือ "
มู่หรงหยางหมิ่นเอ่ยถาม ทว่าก็ยินดีกับองค์ชายสามอยู่ไม่น้อย ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มรับท่าทางภูมิใจอยู่มากทีเดียว
" ก็ใช่พ่ะย่ะค่ะ จึงบอกว่าพี่รองคงต้องรีบหน่อยล่ะ ถ้าคิดจะตามหม่อมฉันให้ทัน "
องค์ชายสามกล่าว
" ส่วนชายาของหม่อมฉันเมื่อหลายเดือนก่อนเพิ่งให้กำเนิดบุตรชายคนที่สอง ร่างกายแข็งแรงดี อย่างไรเสียก็ขอให้พี่รองรีบตามมาให้ทันล่ะ "
มู่หรงหยางปิน หรือองค์ชายสี่ หันไปเอ่ยกับมู่หรงหย่งหมิงบ้าง ต่างพากันพูดคุยเกทับเจ้าบ่าวกันอย่างสนุกสนาน
" หม่อมฉันทราบมาว่าพระชายารองของไท่จื่อเอง ก็กำลังตั้งครรภ์อยู่เหมือนกันมิใช่หรือ พ่ะย่ะค่ะ "
มู่หรงหยางเฉิง เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบฟังผู้อื่นอยู่พอสมควร
" ก็ใช่ นางเพิ่งตั้งครรภ์อ่อนๆ ว่าแต่เจ้าเถิดหยางเฉิง หย่งหมิงก็แต่งจวิ้นหวางเฟยแล้ว เจ้าไม่คิดแต่งชายาสักคนหรือ "
องค์ไท่จื่อเอ่ยองค์ชายห้าอย่างใคร่รู้ ขนาดมู่หรงหย่งหมิงที่เขาเคยคิดว่าอีกนานจึงจะยอมแต่งสตรีใด ทั้งบ่ายเบี่ยงและหลีกเลี่ยงการแต่งงานทุกวิถีทางมาโดยตลอด ยังยอมเข้าพิธีแต่งงานในวันนี้ แล้วองค์ชายห้าผู้แสนเรียบง่ายและอ่อนโยน เหตุใดจึงแต่งงานช้ากว่าพี่น้องคนอื่นนักเล่า
" หม่อมฉันยังไม่เจอสตรีที่ต้องใจกระมังพ่ะย่ะค่ะ "
มู่หรงหยางเฉิงเอ่ยตอบ ทว่าก็อดที่จะเหลือบสายตาไปมองมู่หรงหย่งหมิงมิได้ เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ต่างคนต่างรู้ดีแก่ใจ มิใช่ว่าเขายังไม่เจอสตรีที่ถูกตาต้องใจ แต่มันเป็นไปไม่ได้ต่างหากล่ะ ถึงกระนั้นเขาก็คงได้แต่ทำใจยอมรับและร่วมยินดีกับคนทั้งคู่
" ว่าได้หรือ ได้ยินมาว่าสวี่กุ้ยเฟยได้ประทานเลี้ยงน้ำชาสาวงามจากหลายตระกูลมาเมื่อไม่นาน ว่าที่ชายาของเจ้าอาจเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้นะ ฮ่า ฮ่า "
องค์ชายสี่เอ่ยสัพยอกน้องชาย
" ไยจึงได้กล่าวถึงเรื่องชายาของหม่อมฉันนักเล่า วันนี้งานมงคลของพี่รองหม่อมฉันว่าควรดื่มแสดงความยินดีให้พี่รองสักจอกเป็นไร อย่ามาสนใจเรื่องของหม่อมฉันนักเลย "
คนเป็นน้องเอ่ยปัดเหล่าพี่ชายต่างมารดาไปเสียอีกทาง ด้วยไม่อยากให้มาสนใจกับเรื่องการแต่งชายาของเขามากนัก
" เอาเช่นนั้นก็ได้ "
แม้จะดูออกว่าองค์ชายห้านั้นเบี่ยงประเด็น แต่ทุกคนก็ไม่คิดจะซักไซ้หาคำตอบอะไร กลับลืมตาข้างหลับตาข้างเออออเห็นดีไปกับน้องชาย ร่วมดื่มสุราเพื่อยินดีกับเจ้าบ่าวหมาดๆ
จอกแล้วจอกเล่าทยอยมาจากคนหลายคน แม้ว่ามู่หรงหย่งหมิงที่คิดว่าตัวเองนั้นออกจะคอแข็งอยู่มาก ก็ให้รู้สึกมึนเมาอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ภายในห้องหอ...
ในคราแรกที่จางซูหนี่ว์ย่างกรายเข้ามายังห้องหอนั้น จางฮูหยินเป็นผู้นำพาบุตรีเข้ามาด้านใน ตามติดด้วยเพ่ยเพ่ยและเสี่ยวไป๋ที่คอยรับใช้ผู้เป็นนายหญิงของวังแห่งนี้
" ตามฤกษ์ยามที่ได้กำหนดไว้ คงอีกราวหนึ่งชั่วยามจึงจะถึงเวลาเข้าหอ ตอนนี้แม่กับเพ่ยเพ่ย และเสี่ยวไป๋คงอยู่เป็นเพื่อนพระชายาได้อีกสักพัก เมื่อใกล้ถึงฤกษ์แล้วแม่กับทุกคนก็คงจะต้องออกไป ให้พระชายาได้อยู่ตามลำพังกับพระสวามี "
จางฮูหยินเอ่ยกับบุตรสาวที่ตอนนี้ได้ก้าวขึ้นเป็นจวิ้นหวางเฟยเต็มตัวแล้ว น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาสั่นเครือ และมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ที่หน่วยตาเล็กน้อย
มันเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ ตื้นตันใจของคนเป็นมารดาที่เห็นว่าบุตรีอันเป็นที่รักนั้นได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา แต่งให้กับผู้ที่สามารถดูแลและปกป้องนางได้ ทั้งมอบความรักและให้เกียรติบุตรีของนางอย่างยิ่ง ถึงเพียงนี้แล้วจะไม่ให้นางตื้นตันใจได้อย่างไร
" ท่านแม่น้ำเสียงของท่านดูสั่นเครือ นี่ท่านร้องไห้หรือ เหตุใดจึงต้องร้องไห้กัน ข้าแต่งงานนะเจ้าคะ มิใช่ไปออกรบ มิต้องร้องไห้เพียงนั้น "
แม้นางจะมองมิเห็นสิ่งใดด้วยผ้าคลุมนั้นบดบังทุกสิ่งรอบกาย คงได้แต่หลุบตามองต่ำเห็นเพียงเท้าตัวเองนั่นแล ทว่านางมองไม่เห็นใบหน้าของมารดาก็จริงแต่เสียงของมารดาก็สามารถทำให้รู้ได้ทันทีเช่นกัน ว่าตอนนี้คงน้ำตาคลออยู่เป็นแน่
ดูเถิด..สมควรเป็นนางหรือไม่ ที่ต้องร้องไห้เมื่อยามต้องห่างไกลจากอ้อมอกบิดามารดา กาลกลับเป็นมารดาของนางเสียนี่ จึงอดที่จะปลอบโยนปนเย้าแหย่มารดามิได้
" นี่แน่ะ "
จางฮูหยินนั้นอดไม่ได้หยิกหมับที่ต้นแขนบุตรสาวไปเสียทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้คำพูดของบุตรสาว ทว่าก็มิได้รุนแรงอะไรนัก หากแต่จางซูหนี่ว์กลับโอดครวญใหญ่โต ดั่งว่าเจ็บเสียเต็มประดา
" โอ๊ย..ท่านแม่ "
นางแสร้งร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บ ทั้งที่แรงหยิกนั้นมันมิต่างอะไรกับถูกมดกัดเลยสักนิดด้วยเพราะชุดที่นางสวมใส่อยู่นั้นก็หนาอยู่พอสมควร
" ทำเป็นเล่นไป พระชายามิใช่เด็กแล้วนะ แต่งงานแล้วด้วย "
" โธ่ ก็หนี่ว์เอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านแม่ร้องไห้นี่เจ้าคะ อยากเห็นท่านแม่คนงามยิ้มมากกว่า "
นางกล่าวอย่างประจบ
" น้ำตาที่ไหลออกมา เป็นเพราะความตื้นตันใจจนมิอาจเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ได้ต่างหากล่ะ ทรงเป็นถึงจวิ้นหวางเฟย ต่อไปนี้จะทำอะไรต้องคิดให้รอบคอบ วางตัวให้เหมาะสมให้นึกถึงพระเกียรติของพระสวามีเป็นสำคัญ จะเอาแต่ใจตนดั่งแต่ก่อนไม่ได้ นอกจากดูแลความเป็นอยู่ภายในวังนี้แล้ว อย่าลืมหน้าที่ภรรยาที่พึงปฏิบัติด้วยนะเพคะ "
จางฮูหยินได้ทีเอ่ยสั่งสอนบุตรี จวนจนนาทีสุดท้ายที่บุตรีจะต้องเข้าหอ
" อาหารการกินอย่าให้พร่อง เสื้อผ้าอาภรณ์ควรดูแล สังเกตดูว่าสิ่งใดที่สามีนั้นชอบและไม่ชอบ ดูแลให้สามีนั้นสุขสบายจึงเป็นหน้าที่ภรรยาที่ดี ข้าท่องได้ขึ้นใจแล้วเจ้าค่ะ อีกอย่างอยู่กันแต่ลำพังท่านเป็นมารดาของข้า เรียกหนี่ว์เอ๋อร์เช่นเดิมเถิด อย่าเรียกพระชายาเลย คำราชาศัพท์นั่นก็อีก "
" มิได้หรอกเพคะ พระชายาต้องปรับตัวให้ชิน เพราะต่อไปผู้คนก็จะเรียกกันเช่นนี้ อีกอย่างถึงแม่จะเป็นแม่ของพระชายา แต่ว่าแม่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ทั้งการใช้คำเรียกและการใช้ราชาศัพท์เช่นนี้ก็เพื่อถวายพระเกียรติจวิ้นอ๋องด้วย "
ผู้เป็นมารดาอธิบาย
" เช่นนั้นก็สุดแท้แต่ท่านแม่เถิดเจ้าค่ะ "
หญิงสาวเอ่ยรับคำมารดาเสียงอ่อย
" เมื่อจวิ้นอ๋องทรงเปิดผ้าคลุมแล้ว พระชายาอย่าลืมรินสุรามงคลถวายพระสวามีด้วยนะเพคะ เสี่ยวไป๋วางไว้ที่โต๊ะตรงข้างเตียงนี้ จะได้หยิบจับได้ง่าย คืนนี้เพ่ยเพ่ยกับเสี่ยวไป๋จะเป็นผู้เฝ้าอยู่ที่หน้าหอ แต่คงมิอาจเข้ามาภายในนี้ได้จนกว่าจะรุ่งเช้า "
สาวใช้เอ่ยเตือนผู้เป็นนาย
" เฝ้าหน้าหอ หมายถึงหน้าประตูน่ะหรือ "
อะไรกัน...สมมติว่าถ้าจวิ้นอ๋องนั่นเกิดหื่นขึ้นมาในคืนนี้ ถ้านางถูกกินขึ้นมาก็เท่ากับตลอดทั้งคืนนี้ สาวใช้ทั้งสองคนก็อาจจะได้ยินอะไรต่อมิอะไรน่ะสิ แค่คิดใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
" เป็นธรรมเนียมเพคะ แต่ก็คืนแรกในการเข้าหอเท่านั้น "
ถ้าหากว่าจางซูหนี่ว์สามารถมองเห็นใบหน้าของจางฮูหยินและสาวใช้ของนางตอนนี้ล่ะก็ คงจะเห็นรอยยิ้มที่กลั้นขำอยู่เป็นแน่ ก็เพราะน้ำเสียงของจางซูหนี่ว์ที่เล็ดลอดออกมาจากผ้าคลุมนั้น ดูจะตื่นตระหนกอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งจางฮูหยินนั้นย่อมเข้าใจความคิดอ่านของบุตรสาวดี ด้วยก็เคยผ่านการเข้าหอมาแล้วเช่นกัน ครั้งแรกย่อมน่ากลัวเสมอ...
" เอาล่ะ เสี่ยวไป๋ เพ่ยเพ่ย ข้าว่าเราออกไปข้างนอกกันได้แล้ว อีกสักครู่จวิ้นอ๋องก็คงจะเสด็จมาในห้องนี้แล้วล่ะ "
" เอ่อ ท่านแม่อยู่กับหนี่ว์เอ๋อร์อีกสักครู่ มิได้หรือ "
ตอนแรกนางก็ทำใจมาแล้วในระดับหนึ่ง ก็ว่าจิตใจสงบขึ้นมาบ้าง หากแต่พอใกล้เวลาเข้าหอเข้ามาทุกที อาการตื่นตระหนกและประหม่าก็หวนกลับมาอย่างช่วยไม่ได้
" ทำใจให้สบายๆ รีบๆมีหลานให้แม่อุ้มไวไวนะเพคะ พระชายา "
จางฮูหยิน แตะหลังมือเป็นการปลอบโยนบุตรสาวเบาๆ ทว่าถ้อยคำกล่าวนั้นกลับทำให้จางซูหนี่ว์ใบหน้าแดงก่ำยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากผู้มาร่วมงานมงคลของเขากลับไปจนหมดแล้ว มู่หรงหย่งหมิงก็ตรงมาที่ห้องหอทันที ซึ่งจิตใจของเขานั้นลอยไปหาชายาสุดที่รัก ซึ่งรอเขาอยู่ในห้องหอเสียตั้งนานแล้ว
ทว่าฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปหลายจอกนั่นก็ทำให้เขามึนอยู่ไม่น้อย ความเร็วในการเดินจึงช้าลงไปบ้าง ไม่รวดเร็วดั่งใจที่โบยบินไปหานางเสียเลย
แอ๊ดดด!!!
เสียงประตูนั้นเปิดและปิดในเวลาต่อมา ทำให้หญิงสาวที่นั่งทำใจอยู่ที่เตียงนั้นได้ยิน และรับรู้ถึงการมาของใครบางคนได้ทันที ซึ่งก็ไม่ต้องเดาให้ยากเลย เพราะคนที่จะเข้ามาในห้องหอในเวลาเช่นนี้ มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น...ผู้ที่ได้ชื่อว่า พระสวามีของนางนั่นเอง
ทั้งห้องนั้นตกอยู่ในความเงียบ ผ่านไปชั่วครู่ต่างคนก็ต่างยังไม่เอ่ยสิ่งใด จนกระทั่งนางรู้สึกได้ถึงแรงยวบของที่นอนจากการนั่งของจวิ้นอ๋อง ซึ่งใกล้กับบริเวณที่นางนั่งอยู่ จึงขยับกายออกห่างจากเขาเล็กน้อย หากแต่เขากลับกระเถิบเข้ามาใกล้นางเสียอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงขยับให้ห่างออกมาอีก แต่ผลก็กลับเป็นเช่นเดิม
และนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างขำขันดังขึ้นเล็กน้อย เมื่อนางนั้นไม่สามารถขยับไปที่ใดได้ด้วยติดเสาเตียงนั่นเอง คนเจ้าเล่ห์นี่แกล้งนางสินะ เข้ามาไม่พูดไม่จาไม่กล่าวสิ่งใดเลย กวนประสาทนางชัดๆ
" ชายารัก เจ้าจะขยับหนีเปิ่นหวางไปที่ใด ในเมื่อก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรคืนนี้ก็ต้องอยู่ภายในห้องหอนี้เท่านั้น "
มู่หรงหย่งหมิงเอื้อมมือไปกุมมือของจางซูหนี่ว์เอาไว้ ก็สัมผัสได้ว่ามันสั่นเล็กน้อย นางคงนึกกลัวและเขินอายเขาเป็นแน่ จึงเอื้อมมือไปจับไหล่ของนางให้หันหน้ามาทางเขา ก่อนจะค่อยๆเปิดผ้าคลุมหน้านั่นออกช้าๆ เผยให้เห็นวงหน้างดงามนั้นอย่างชัดเจน
ที่ปกตินั้นก็งามจับใจเขาอยู่แล้ว ทว่าวันนี้กลับอ่อนหวานงดงามกว่าเดิม ยิ่งทำให้เขารู้สึกหลงใหลและลุ่มหลงในตัวนางมากยิ่งขึ้น
นัยน์ตาหวานซึ้งค่อยๆช้อนสายตามองขึ้นมาที่เขา ใบหน้านวลเนียนนั้นถูกแต้มสีชมพูหวานระเรื่อ ริมฝีปากแดงสดดูเย้ายวน ทั้งกลิ่นหอมละมุนยวนใจกรุ่นกำจายออกมาจากกายของนาง เขาตะลึงไปกับความงามตรงหน้า ทั้งความรู้สึกบางอย่างกำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายใน วาบหวาม รัญจวนใจ โหยหาและต้องการ
มือใหญ่เชยคางมนของสตรีตรงหน้าให้ขึ้นมาสบตา ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหานางช้าๆ หวังแนบริมฝีปากหนาของเขาบนปากน้อยแต่เย้ายวนของนาง ลองลิ้มชิมรสความหวานล้ำนั่นอีกครั้ง
" เอ่อ หม่อมฉันนึกขึ้นได้ ว่ายังมิได้รินสุรามงคลให้พระองค์เลยเพคะ "
อยู่ๆ นางก็เบี่ยงตัวหลบใบหน้าของเขา และลุกพรวดขึ้นทันที มู่หรงหย่งหมิงจึงพลอยหยุดชะงักและมีอาการเก้อไปเล็กน้อย อีกนิดเดียวจริงๆ...
จางซูหนี่ว์ที่ลุกหนีมาอีกมุมออกจะใจหายใจคว่ำ เข้ามาไม่พูดกล่าวสิ่งใดก็จะจับนางจูบเสียแล้ว แล้วยังจะนัยน์ตาหวานเยิ้มหยดย้อยนี่อีก กลิ่นสุราโชยมาเพียงนี้คงเมามายมาเป็นแน่
หันมองไปยังสุรามงคลที่เตรียมไว้ก็ไม่ได้น้อย ถ้าดื่มหมดนี่จากที่เมาอยู่แล้ว คราวนี้ไม่เมาจนหลับก็ให้รู้ไป อย่างไรนางก็ไม่รอดจากบุรุษผู้นี้อยู่แล้ว แต่ขอวันนี้ไว้หนึ่งวันเถิดนะ คนยืนแอบฟังอยู่หน้าห้องหอเช่นนี้ นางทำใจไม่ลงจริงๆ
หญิงสาววางแผนการในใจทันที ก่อนจะส่งยิ้มหวานละมุนไปให้อีกฝ่าย ที่บัดนี้นั่งหน้าคว่ำด้วยยังนึกขัดเคืองใจเรื่องเมื่อครู่ นางค่อยๆรินสุรามงคลส่งให้อีกฝ่าย ซึ่งเขาก็รับมาอย่างเสียมิได้
" หมดจอกนะเพคะ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยยุเสียงหวาน และเมื่อหมดแล้วนางก็เติมอีกจนเต็มพลางยื่นให้เขาอีกครั้ง ทว่าครานี้นางรินให้ตัวเองด้วย หากให้เขาดื่มอยู่เพียงฝ่ายเดียว คนตรงหน้าก็จับได้กันพอดีว่านางตั้งใจมอมเหล้าเขา
แม้ว่านางจะดื่มไม่เก่งแต่เมื่อคำนวณดูแล้วก็อาจจะแค่มึนๆ แต่คนตรงหน้านี้ที่เมามายมาแต่เดิมแล้ว หากไม่เมาจนหลับไปก็ออกจะเกินคนไปหน่อยล่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นี่แหละ นางเอกของฉัน
ต้องชัดเจนอย่างนี้ เอาใจช่วยพระเอกให้เข้มแข็ง
รักมั่นคง ซื่อสัตย์ต่อนางเอกทั้งต่อหน้าและลับหลังด้วยนะคะ เราจะได้ไม่เสียใจที่เอาใจช่วยพระเอกมาตลอด สุดท้ายก็สมหวังดังใจ
กำลังกรุบกริบ><‘