ตอนที่ 43 : สตรีโฉมงาม สามนาง หนึ่งบุรุษ (รีไรต์)
ณ ตำหนักสวี่กุ้ยเฟย
" ถวายพระพรสวี่กุ้ยเฟยเพคะ "
สตรีรูปโฉมงดงามจำนวนสามนาง ยอบกายถวายบังคมสตรีสูงศักดิ์ที่ประทับตรงหน้า ด้วยท่วงท่านอบน้อม กิริยามารยาทอ่อนช้อยสง่างาม อันบ่งบอกว่าได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
" ลุกขึ้นวางตัวตามสบายเถิด เปิ่นกงเพียงเชิญพวกเจ้ามาร่วมน้ำชาด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนที่ตระกูลของพวกเจ้านั้นจงรักภักดี และช่วยเหลือเปิ่นกงในหลายๆเรื่อง ว่าแต่พวกเจ้ามีนามว่าอย่างไรกันบ้างล่ะ "
สวี่กุ้ยเฟยกล่าว พลางคลี่ยิ้มอ่อนโยนไปให้พวกนางทั้งสามอย่างมีเมตตาและเอ็นดู ด้วยพวกนางนั้นเป็นบุตรีของขุนนางที่คอยสนับสนุนสวี่กุ้ยเฟยอยู่หลายเรื่อง ทว่าจะเรียกว่าคอยสนับสนุนพระนางเพียงฝ่ายเดียวมิได้หรอก ต้องเรียกว่าต่างพึ่งพาอาศัยกันจึงจะถูกต้องมากกว่า
ทุกคนนั้นต่างรู้ดีแก่ใจว่าการประทานเลี้ยงน้ำชาให้แก่บุตรีขุนนางทั้งสามตระกูลนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง แท้จริงแล้วมันคือการดูตัวดีดีนั่นเอง สตรีทั้งสามนางนั้นก็คงจะทราบดี
ด้วยต่างก็แต่งกายด้วยเครื่องประดับล้ำค่า ทั้งอาภรณ์งดงามที่เลือกสรรเป็นอย่างดี ใบหน้าแฉล้มนั้นปรุงแต่งอย่างประณีตสบายตาเจริญใจมิน้อยเมื่อได้ยล เพื่อให้สมพระเกียรติและเป็นที่พึงพอพระทัยของสวี่กุ้ยเฟย สำคัญที่สุดก็คือองค์ชายห้า มู่หรงหยางเฉิง
" หม่อมฉันหลิวอี้เฟย เพคะ "
สตรีในอาภรณ์สีชมพูกลีบกุหลาบ แลดูอ่อนโยน อ่อนหวาน เอ่ยแนะนำตัวเป็นคนแรก
" หม่อมฉันจ้าวลี่อิง เพคะ "
หญิงสาวผู้สวมอาภรณ์สีเดียวกับท้องนภาดูสดใส งดงามมิต่างกันเป็นผู้เอ่ยในลำดับถัดมา
" หม่อมฉันฟ่านปิงปิง เพคะ "
ตามด้วยสตรีในชุดม่วงเข้ม แลดูเย้ายวน คมคาย ต่างไปจากทุกนางเอ่ยขึ้น พลางหันกลับไปมองสตรีที่ยืนข้างกายของนางเพียงนิด
รอยยิ้มที่คล้ายจะเป็นมิตรถูกส่งไปให้สตรีทั้งสอง ทว่าสายตานั้นกลับแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งและข่มทั้งคู่อยู่ในที
" คุณหนูจากสกุลหลิว สกุลจ้าว และสกุลฟ่านนั้นล้วนมีรูปโฉมงดงามยิ่ง ช่างน่าอิจฉาบิดามารดาของพวกเจ้ายิ่งนัก เปิ่นกงนั้นอาภัพอับวาสนาร่างกายมิใคร่จะแข็งแรง จึงมีองค์ชายห้าเป็นโอรสแต่เพียงคนเดียว มิได้มีธิดาที่น่ารักใคร่เอ็นดูเช่นพวกเจ้าให้ชื่นชมสมใจบ้าง "
พระนางกล่าวคล้ายตัดพ้อโชคชะตาแสนอาภัพของตนเอง
" แม้พระนางมิได้มีองค์หญิงสมดั่งพระทัย ทว่าก็มีองค์ชายห้าที่ทรงถวายการดูแลพระนางเป็นอย่างดี เป็นที่น่ายกย่องชื่นชม และทราบกันดีถึงการเป็นผู้มีความกตัญญูต่อพระมารดาอย่างมากล้น เป็นพระโอรสที่แสนประเสริฐยิ่งเพคะ "
คุณหนูสกุลฟ่าน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานนอบน้อม วาจานั้นเอาใจสวี่กุ้ยเฟยมิน้อย เมื่อได้ลองสำรวจสตรีสองนางข้างกายที่เป็นเสมือนคู่แข่งด้วยแล้วก็พบว่างดงามอยู่มาก
แต่เมื่อเทียบกับนางแล้วก็คิดว่าช่างดูจืดชืดไม่น้อย ไร้สีสันโดดเด่นสะดุดตา ซึ่งนางก็มั่นใจในรูปโฉมของนางว่าคงสามารถมัดพระทัยองค์ชายห้าได้อย่างมิยากเย็นเท่าใดนัก
อย่างไรตำแหน่งพระชายาเอกขององค์ชายห้ามู่หรงหยางเฉิง คงมิหลุดมือนางเป็นแน่
" เจ้าก็ช่างกล่าวเอาใจเปิ่นกงเสียจริง หากองค์ชายห้ามาได้ยินประโยคชื่นชมเมื่อครู่ คงปลื้มปริ่มไม่น้อยเชียว "
ทั้งสามตระกูลที่สวี่กุ้ยเฟยได้เชิญมานั้น ล้วนคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้วด้วยการคิดอ่านอย่างถี่ถ้วน ถึงความเหมาะสมต่างๆทั้งฐานะ ชาติตระกูล และฐานอำนาจ
ทว่าหากวัดกันตามจริงในบรรดาสามตระกูลนั้น สกุลฟ่านถือว่าดีที่สุด ด้วยบิดาของนางคือ เสนาบดีเจ้ากรมยุติธรรม แม้ว่าอีกสองตระกูลบิดาของนางนั้นจะเป็นขุนนางระดับสูงอยู่พอสมควร ทว่าก็ยังด้อยกว่าสกุลฟ่านอยู่ดี
ที่ต้องรีบจัดการเรื่องคู่ครองของผู้เป็นโอรสก็ด้วยพระนางต้องการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับมู่หรงหยางเฉิงนั่นเอง ในอนาคตใครจะรู้ว่าจะเป็นอย่างไร
การเกิดมาในราชวงศ์เรื่องฐานอำนาจนั้นสำคัญ สำหรับพระนางผู้มีอำนาจอยู่ในมือคือผู้ที่จะอยู่รอดได้
ความจริงแล้วแสนจะเสียดายบุตรีเจ้ากรมการคลังอยู่ไม่น้อย เพราะรู้มาว่ามู่หรงหยางเฉิงนั้นสนิทสนมกับตระกูลนั้นอยู่พอสมควร คราแรกก็หวังใจว่าคงจะได้บุตรีเสนาบดีจางมาเป็นชายาเอก เพราะมั่งมีทั้งฐานะและฐานอำนาจ
หากแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะจวิ้นอ๋องนั้นตัดหน้าไปเสียได้ และจะมีพิธีแต่งงานในอีกไม่กี่วันนี้
จึงทำให้สวี่กุ้ยเฟยต้องรีบจัดการอะไรบางอย่าง เพราะว่าการแต่งงานของจวิ้นอ๋องนั้น เท่ากับเป็นการเพิ่มเขี้ยวเล็บให้แก่เขาเป็นอย่างมาก สกุลจางนั้นยังไม่เท่าไร แต่มองให้ลึกกว่านั้นญาติทางฝ่ายจางฮูหยินต่างหากล่ะที่น่าจับตา...
หลังงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮาเพียงสามวัน เสนาบดีเผิง เจ้ากรมกลาโหมได้สิ้นใจลงด้วยโรคประจำตัว ฮ่องเต้ได้มีพระราชโองการแต่งตั้งรองเจ้ากรมกลาโหม ขึ้นเป็นเจ้ากรมกลาโหมแทนที่คนเก่าที่เสียชีวิตลงไป
ซึ่งเจ้ากรมกลาโหมคนปัจจุบัน ก็คือ เสนาบดีว่าน พี่ชายของว่านซูฉี หรือ จางฮูหยินนั่นเอง สายใยสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจางและตระกูลว่านในตอนนี้ ย่อมเอื้อประโยชน์ให้กับจวิ้นอ๋องกลายเป็นเสือติดปีกไปโดยปริยาย..
" ฟ่านปิงปิงผู้นี้ มิได้กล่าวเกินจริงเลยเพคะ ทุกคนนั้นเล่าลือตรงกันเรื่องความกตัญญู และใส่พระทัยต่อพระมารดาขององค์ชายห้า หม่อมฉันจึงกล่าวได้ ทั้งยังมิได้เยินยอเพื่อเอาใจแต่ประการใดเลย "
หญิงสาวนั้นเอ่ยวาจาฉะฉาน ทว่ายังคงความอ่อนหวานต่อสวี่กุ้ยเฟย ซึ่งหากนางได้เห็นสีหน้าของสตรีจากตระกูลหลิวและตระกูลจ้าวที่ก้มหน้าอยู่ในขณะนี้ จะเห็นว่าต่างก็แอบเบ้ปากให้กับความประจบสอพลอของฟ่านปิงปิงด้วยกันทั้งคู่
" บิดาของหม่อมฉันทราบมาว่าพระนางทรงชื่นชอบชาจากเมืองหลินเป็นที่สุด จึงได้จัดหามาเป็นพิเศษเพื่อนำมาถวายแก่พระนาง ด้วยหวังว่าจะทรงสำราญพระทัยเพคะ "
จ้าวลี่อิงเอ่ยขึ้นมาบ้าง ด้วยมิอยากให้สกุลฟ่านนั้นทำความดีความชอบจนเป็นที่โปรดปรานอยู่เพียงฝ่ายเดียว
ซึ่งการมาในครั้งนี้ของพวกนางนั้นมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการกระทำตนให้เป็นที่พึงพอพระทัยของสวี่กุ้ยเฟย และองค์ชายห้า ทั้งนี้ก็เพื่อตำแหน่งพระชายาเอก ทว่าตำแหน่งนี้มีเพียงหนึ่งมิอาจแบ่งเป็นสาม ฉะนั้นใครดี ใครเด่น คนนั้นย่อมได้เปรียบ...
ทั้งความรู้สึกของจ้าวลี่อิงนั้นหมั่นไส้ความหยิ่งยโสของฟ่านปิงปิงเป็นทุนเดิม สกุลจ้าวก็ใช่จะด้อยกว่าสกุลฟ่านมากมาย ใช่เรื่องหรือที่จะมาข่มกันได้ง่ายๆ จึงเชิดหน้าตอบกลับไปเช่นกัน
จะว่าไปก่อนนั้นก็รู้จักกันอยู่บ้าง เพราะทุกปีเมื่อถึงเทศกาลชมบุปผามักมีการจัดอันดับหญิงงามที่โดดเด่นอยู่เสมอ ฟ่านปิงปิงนั้นได้อันดับหนึ่งมาสองปีซ้อน แทนหญิงงามอันดับหนึ่งคนก่อนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นไท่จื่อเฟยไปแล้ว ส่วนนางนั้นหรืออยู่อันดับสามมาเสมอ โดยมีสตรีสกุลหลิวที่ยืนอยู่ข้างกายนางในตอนนี้รั้งอันดับสองเช่นกัน
มีความงามเป็นที่ประจักษ์ พร้อมทั้งความสามารถในทุกด้านที่อิสตรีผู้เพียบพร้อมพึงจะมี อีกชาติตระกูล ฐานะ ย่อมเหมาะสมที่จะได้แต่งเข้าตระกูลสูงส่ง ซึ่งความจริงแล้วพวกนางต่างหมายตาหมายใจตำแหน่งที่สูงศักดิ์กว่านี้ นั่นคือตำแหน่งไท่จื่อเฟยและจวิ้นหวางเฟย แต่ในเมื่อเจิ้งจิวอิงได้ตำแหน่งไท่จื่อเฟยไปเสียแล้ว และตำแหน่งจวิ้นหวางเฟยยังมาถูกสตรีตระกูลจางช่วงชิงไปเสียได้
จางซูหนี่ว์นางที่เคยได้ยินว่าอ่อนแอขี้โรค อยู่แต่ในจวน ทั้งยังไร้ค่าถึงขนาดถูกสหายที่เป็นเพียงลูกอนุจากตระกูลม่าน แย่งชิงคู่หมั้นไปได้ช่างน่าสังเวช มาบัดนี้กลับโดดเด่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น มิแน่ว่าหากไม่มีราชโองการสมรสพระราชทานระหว่างจวิ้นอ๋องและจางซูหนี่ว์ ในปีนี้นางผู้นั้นอาจได้ตำแหน่งหญิงงามอันดับหนึ่งแทนฟ่านปิงปิงก็เป็นได้
ทว่าในเมื่อตำแหน่งจวิ้นหวางเฟยได้หลุดลอยไปแล้ว การที่พวกนางจะไขว่คว้าตำแหน่งชายาของเหล่าองค์ชายสักคน ย่อมเป็นสิ่งที่สมควรทำในตอนนี้มิใช่หรือ และไม่ควรปล่อยให้หลุดลอยเป็นอันขาด
" เปิ่นกงฝากขอบใจบิดาของเจ้าด้วยนะลี่อิง ชาจากเมืองหลินนั้นมีรสชาติดีกว่าเมืองอื่น เป็นของขึ้นชื่อและหายากอยู่พอสมควร แต่บิดาเจ้าก็ยังอุตส่าห์เพียรหามามอบแก่เปิ่นกงจนได้ "
สวี่กุ้ยเฟย แย้มยิ้มอ่อนโยน พลางรับกล่องไม้ที่บรรจุใบชาชั้นเลิศจากสตรีสกุลจ้าว
" สกุลจ้าวยินดีทำเพื่อกุ้ยเฟยเพคะ "
จ้าวลี่อิงกล่าวเสียงอ่อนหวาน และหยุดชะงักไปเพียงนิดเมื่อเห็นว่าผู้ใดกำลังเดินเข้ามาตรงนี้ บุรุษผู้เป็นจุดหมายในการมาของพวกนางนั่นเอง
" อ้าว หยางเฉิงมาพอดีเลย "
ผู้เป็นพระมารดาเอ่ยเรียกพระโอรสเพียงคนเดียว
" ถวายพระพรองค์ชายห้าเพคะ "
สตรีทั้งสามนางต่างพร้อมใจกันถวายบังคมบุรุษตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยกิริยางดงาม อ่อนหวาน พลางเงยหน้าขึ้นมาหวังได้สบตากับองค์ชาย หากแต่กลับทรงพยักหน้าเพียงผ่านๆเป็นมารยาทเท่านั้น มิได้ให้ความสนใจพวกนางเท่าใดนัก และหันกลับไปยังสวี่กุ้ยเฟยผู้เป็นพระมารดาเสียอย่างนั้น
" ทรงให้คนไปตามลูกมาที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ "
มู่หรงหยางเฉิงแย้มยิ้มอ่อนโยนให้พระมารดา เมื่อครู่ก่อนก้าวเข้ามายังบริเวณนี้ก็เห็นแล้วว่ามารดาของเขานั้นมิได้อยู่เพียงลำพัง เหลือบมองดูพวกนางแล้วก็ให้นึกรู้เท่าทันพระมารดาขึ้นมา ด้วยก่อนหน้าได้เคยเกริ่นถามกับเขาเรื่องคู่ครอง หากแต่เขาก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด
ทั้งตอนนี้ในหัวใจของเขาก็ยังมีจางซูหนี่ว์อยู่เต็มหัวใจ แม้มิอาจสมหวังด้วยนางกำลังจะเป็นพี่สะใภ้เขาในอีกไม่กี่วันนี้ ทว่าก็ยังไม่สามารถตัดใจจากนางได้ภายในวันสองวันต้องใช้เวลา และก็คงไม่อาจแต่งใครเป็นชายาได้โดยปราศจากความรักเช่นกัน
" ใช่แล้ว แม่เพียงให้เจ้ามาร่วมรับน้ำชาและของว่างด้วยกัน ทั้งวันนี้ยังได้เชิญคนจากสกุลฟ่าน สกุลหลิว และสกุลจ้าว มาร่วมดื่มชาด้วยกันเป็นการตอบแทน ที่บิดาของพวกนางนั้นจงรักภักดีต่อเรา จึงอยากให้รู้จักกันเอาไว้บ้างก็เป็นการดี "
แม้สวี่กุ้ยเฟยมิเอ่ยว่าดูตัว แต่สิ่งที่พระนางกล่าวก็สามารถรู้ได้ในทันที
ตลอดการดื่มชาในครั้งนี้ สำหรับมู่หรงหยางเฉิงเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน เขามิได้รังเกียจ มิได้มีอคติต่อพวกนางแต่อย่างใด ตรงกันข้ามรูปโฉมของพวกนางนั้นล้วนงดงาม กิริยามารยาทล้วนอ่อนหวานอ่อนโยน ทว่าเขากลับอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
สายตาลึกซึ้งกึ่งเอียงอายถูกส่งมาให้เขาเป็นระยะจากสตรีทั้งสาม มู่หรงหยางเฉิงมิได้ซื่อจนไม่รู้ว่าหมายถึงสิ่งใด จึงได้แต่วางเฉยเสียด้วยมิได้มีจิตคิดเสน่หาต่อพวกนางแม้สักน้อย
ทนอยู่ได้นานเพียงครึ่งชั่วยามเขาก็หาทางหลบเลี่ยงออกมาจากสถานการณ์ตรงหน้า ยังดีที่ว่าเขาตั้งใจจะไปเข้าเฝ้าไทเฮาอยู่พอดี ด้วยได้ยินว่าทรงมีพระอาการหน้ามืดอยู่บ่อยครั้ง ก็เลยอยากจะเข้าไปดูพระอาการผู้เป็นเสด็จย่าบ้าง จึงนำการนี้มาเป็นข้ออ้างปลีกตัวออกมาจากตำหนักของพระมารดาอย่างไม่น่าเกลียดเท่าใดนัก
ณ ตำหนักของไทเฮา
มู่หรงหยางเฉิงออกจะกลุ้มใจกับสถานการณ์ที่เขาต้องเผชิญเมื่อครู่ไม่น้อย หากแต่เขาก็มิได้โกรธเคืองในสิ่งที่พระมารดากระทำลงไปในวันนี้ ด้วยว่าก็เข้าใจพระมารดาเช่นกัน เพียงเขายังมิต้องการผู้ใดมาแทนที่จางซูหนี่ว์ในใจของเขาตอนนี้เท่านั้นเอง
ยอมรับว่ากำลังใช้ความคิดอยู่มาก ขณะที่กำลังเดินเข้าไปยังประตูทางเข้าตำหนัก ไม่ทันสังเกตว่ามีผู้เดินออกมาจากด้านใน และชนกับเขาเข้าพอดี สายตาเห็นเพียงไวไวเมื่อครู่ว่าคือสตรี มือและแขนของเขา จึงตวัดไปโอบนางเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้ล้มลงไปที่พื้น ซึ่งอาจจะได้รับบาดเจ็บได้
" โอ๊ะ "
เสียงนางอุทานขึ้นด้วยมิทันตั้งตัว
" เปิ่นหวางขอโทษ มิได้เจตนาทำเจ้าเจ็บ "
" หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ "
สตรีนางนั้นเงยหน้าขึ้นมากล่าวเสียงใส สีหน้ากึ่งดีใจกึ่งขำขันเมื่อเห็นใบหน้างุนงงของมู่หรงหยางเฉิง
" เจ้า...ตกลงนี่เจ้าเป็นใครกันแน่ "
มู่หรงหยางเฉิงออกจะประหลาดใจ ด้วยก่อนหน้านั้นเขาเจอสตรีผู้นี้ในตลาดและกำลังจะถูกโจรวิ่งราวถุงเงินอยู่ เขาผ่านไปพบจึงเข้าไปช่วย นางบอกแก่เขาว่าเป็นคนในกลุ่มการค้ามาจากแคว้นเจียงจิน ซึ่งมีชายแดนติดกับแคว้นหวงหรงในทิศบูรพา โดยขบวนการค้าของนางเข้าทำการค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้ากับคนที่นี่บ่อยครั้ง
ซึ่งก็คงจะไม่ติดใจอะไร และคงจะลืมเลือนนางไปเสียแล้ว ด้วยเหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาร่วมเดือน ถ้านางไม่นำพาตนเองเข้ามาให้เขาพบพานอยู่บ่อยครั้ง ตามติดเขาเกือบทุกที่อ้างว่าแทนคุณที่ได้ช่วยเหลือ ทั้งยังกระทำตนตีสนิทเสียอย่างนั้น เอ่ยไล่นางทางอ้อมก็ดูเหมือนนางจะไม่ใส่ใจ ทำไม่รู้ไม่ชี้เสียด้วยซ้ำไป
หากแต่ว่าก็พบกันภายนอกกำแพงวังหลวงเสียทุกครา ยกเว้นครั้งนี้ที่เขาได้พบนางที่นี่จึงอดแปลกใจมิได้ มองการแต่งกายด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับมีค่าย่อมบ่งบอกฐานะว่าสูงศักดิ์ ต่างจากครั้งก่อนๆที่พบกันนางมักสวมอาภรณ์เรียบร้อย ทะมัดทะแมง ทว่ามิได้หรูหราแต่อย่างใดเลย
" อะไรกันเพคะ มิได้เจอกันเพียงสองวันเท่านั้นถึงกับลืมชื่อหม่อมฉันแล้วหรือ "
นางยังคงเล่นลิ้น แววตาล้อเลียนเขาเล็กน้อย หากแต่ก็มิได้เอ่ยตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้ คนของกลุ่มการค้าจากต่างแคว้นธรรมดา ไฉนจะได้เข้าเฝ้าไทเฮาถึงภายในตำหนักส่วนพระองค์เพียงนี้ นอกจากจะไม่ธรรมดานั่นล่ะ...
" เจ้าอย่ามาเล่นลิ้น "
" อ้าว หม่อมฉันก็คือ ป๋ายเสวี่ยถิง อย่างไรล่ะเพคะ "
นางเอ่ยยืนยัน ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มกริ่ม
" เจ้าบอกว่าทำการค้า "
" ก็ใช่เพคะ "
นางตอบพลางพยักหน้าหงึกหงัก
" แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ "
" มาทูลลาไทเฮาเพคะ "
" เจ้าจะกลับเจียงจินแล้วหรือ "
เขาเอ่ยถาม มิใช่ว่ารู้สึกอยากจะรั้งอะไร กลับโล่งใจเสียมากกว่ากับความพูดมากและกวนประสาทของนาง ทั้งยังตามติดเขาเสียจนน่ารำคาญ
" ใช่เพคะ หม่อมฉันจะเดินทางในวันมะรืนนี้ ตอนแรกก็คิดว่าจะบอกองค์ชายวันพรุ่งนี้ แต่เจอวันนี้ก็ไม่เป็นไร เสียใจหรือเพคะ คงคิดถึงหม่อมฉันแย่ "
นางเอ่ยดูได้ใจความ หากแต่ประโยคสุดท้ายกลับทำเอามู่หรงหยางเฉิงวางหน้าไม่ถูก นางมิอายปากบ้างหรืออย่างไร เกี้ยวพาบุรุษซึ่งหน้าเช่นนี้ แล้วยังทำหน้าทะเล้น หัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
" เจ้าจะไปก็ไม่มีใครว่าใครรั้งเจ้าหรอกเสวี่ยถิง ที่ไม่เข้าใจคือเหตุใดเจ้าจึงต้องมาทูลลาไทเฮาด้วย "
มู่หรงหยางเฉิงเอ่ยถาม
" หากอยากทราบว่าทำไมต้องทูลลา เช่นนั้นลองทูลถามไทเฮาดีหรือไม่เพคะ ตอนนี้หม่อมฉันต้องทูลลาองค์ชายก่อน จากกันครานี้คงอีกนานจะได้พบ แต่รับรองว่าอย่างไรก็ต้องได้พบกันอีกแน่นอนเพคะ "
ป๋ายเสวี่ยถิง เอ่ยพลางมองหน้าบุรุษที่นางประทับใจตั้งแต่แรกพบ และกลายเป็นหลงรักภายในเวลาเดือนกว่าที่อยู่ที่นี่ ประทับใจในอัธยาศัย ความสุภาพ ความมีน้ำใจ ความเรียบง่าย
ถือว่าการมาร่วมถวายพระพรในงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮาแคว้นหวงหรงครั้งนี้ ประทับใจและตราตรึงใจนางเป็นอย่างยิ่ง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นาง นางข้างบนชื่อคุ้น ๆ จังค่ะ ถถถถ
นึกว่าองค์ชายห้าจะคู่กับนางกำนัลซะอีก แอบเชียร์อยู่ เสียใจ