ตอนที่ 39 : ตะล่อมกล่อมนาง (รีไรต์)
รถม้าของนางเข้ามาได้ใกล้สุด คือ บริเวณที่อยู่ไม่ไกลจากน้ำตกชั้นล่างจากนั้นจึงต้องจอดรถม้า และเดินเท้าเข้ามาอีกเพียงนิดก็ถึงที่หมาย แอ่งน้ำกว้างและโขดหิน แผ่นหินขนาดใหญ่เรียงรายอยู่รอบบริเวณ
น้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผาด้านบนนั้นตกกระทบลงบนแอ่งหินเสียงดังซู่ซ่าสาดกระเซ็นไปทั่ว ละอองน้ำเมื่อต้องแสงจากดวงอาทิตย์ จึงเกิดการหักเหกลายเป็นรุ้งกินน้ำเจ็ดสีช่างดูสวยงามเหลือเกิน
จางซูหนี่ว์มองทิวทัศน์โดยรอบอย่างพึงพอใจและรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก คิดไม่ผิดที่มาที่นี่การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติช่างดียิ่งนัก
นางทรุดกายลงใช้มือวักน้ำขึ้นมาลูบตามแขนทั้งสองข้าง และใช้มือชื้นน้ำนั่นลูบไปตามลำคอระหงและใบหน้าของนาง ความเย็นชุ่มฉ่ำของน้ำให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างยิ่ง ทั้งน้ำยังใสสะอาดจนมองเห็นฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในกระแสธาราอย่างเริงร่า
" อุ้ยยย "
หญิงสาวสะดุ้งและอุทานออกมาเบาๆ พลางเอียงหน้าหนีบางสิ่งบางอย่างที่แตะโดนแก้มของนางอย่างไม่ทันตั้งตัว ต่อเมื่อหันไปมองจึงได้รู้ว่าคือสิ่งใด...
" เห็นใบหน้านวลของเจ้าชื้นไปด้วยหยดน้ำ เปิ่นหวางเพียงแต่เช็ดให้เจ้าก็เท่านั้น "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าว พลางชะงักมือที่ถือผ้าเช็ดหน้านั้น เมื่อเห็นว่านางขยับหนี เขามองสตรีอันเป็นที่รักอย่างนึกเอ็นดูนางน่ารักน่าใคร่เหลือเกิน ยิ่งมองก็ยิ่งอยากอยู่ใกล้ ยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งรักยิ่งหลง ยิ่งหึงและยิ่งหวง
ทว่าความรู้สึกนั้นช่างตรงกันข้ามกับจางซูหนี่ว์ยิ่งนัก คนถูกมองนั้นกลับรู้สึกว่าแววตาบุรุษตรงหน้านั้นช่างกรุ้มกริ่มได้อย่างน่าหมั่นไส้เหลือแสน
" เป็นพระกรุณาเพคะ แต่หม่อมฉันเช็ดเองได้คงไม่รบกวนพระองค์หรอกเพคะ "
นางกล่าวพลางลุกขึ้นขยับจะนำผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมา ทว่าอีกฝ่ายกลับก้าวเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ ในระยะที่แทบจะเรียกได้ว่าประชิดตัว ทั้งถือวิสาสะเอื้อมมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าสีเข้มของเขาขึ้นมาซับเบาๆตามใบหน้าของนาง ไล่เรื่อยมาตั้งแต่ขมับ แก้ม และเครื่องหน้าอื่นๆของนาง แต่ช่วงลำคอนั้นเว้นไป
ยังถือว่าเขาก็รู้ความอยู่บ้าง เพราะถ้าต่ำกว่านี้มือนางอาจจะกระตุกอีกสักรอบสองรอบก็เป็นได้
" เปิ่นหวางเต็มใจ "
พูดพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือซับไปตามใบหน้านวล สายตานั้นสบตาคู่งามชวนหลงใหลของนาง หากแต่ก็อดที่จะเลื่อนสายตาต่ำลงมาที่ริมฝีปากสีสดแต่ดูอวบอิ่มเย้ายวนนั่นไม่ได้
เขารู้ดีว่ามันหวานล้ำพาใจวาบหวามเพียงใด ด้วยเพราะได้จุมพิตลิ้มลองความหวานของมันถึงสองครา และได้สัญญากับตัวเองเอาไว้ ว่าเขาเท่านั้นจะต้องเป็นผู้ประทับจูบแรก และครั้งต่อๆไปบนริมริมฝีปากสวยคู่นี้ของนาง
หากใครที่มันคิดจะมาทับรอยจูบของเขาล่ะก็ คนผู้นั้นมันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
" พอเถิดเพคะ "
หญิงสาวเอ่ยปรามบุรุษตรงหน้า และเบือนหน้าหนี ทำไมถึงชอบทำอะไรตามใจตนเอง โดยที่ไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะคิดเช่นไร ตรงนี้ใช่ว่าจะมีเพียงเขาและนาง แต่ยังมีเพ่ยเพ่ยที่ยืนก้มหน้าอุ้มซือซืออยู่ไม่ไกลด้วยอีกคน
และถึงแม้ว่าผู้ติดตามของเขาและของนางที่ติดตามมาด้วยนั้น จะกระจายไปยังบริเวณโดยรอบนี้เพื่อคอยอารักขา และไม่ได้หันมามองที่นางและจวิ้นอ๋องแต่นางก็ประดักประเดิดอยู่มิน้อย
" น้ำตกที่นี่มีสองชั้น เจ้าอยากจะขึ้นไปดูชั้นสองหรือไม่ ทิวทัศน์งดงามกว่าตรงนี้มากนัก มองลงมาจะเห็นบริเวณนี้ทั้งหมด ทั้งอยู่ไม่ไกล...ตรงโน้นไง "
มู่หรงหย่งหมิงชี้ชวนให้นางมองขึ้นไปด้านบนอีกชั้นของน้ำตกแห่งนี้ ความจริงเขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับนางสองต่อสองมากกว่า เพื่อที่ว่าจะคุยเรื่องของเขากับนางให้เรียบร้อย โดยที่จะไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยเพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขากับนางเท่านั้น
และอีกอย่างก็เพื่อเป็นการเอาใจนาง เผื่อว่าทิวทัศน์งดงามบรรยากาศดีดีเช่นนี้ จะทำให้นางเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้น ว่าได้ที่ไหนเวลานางจะดื้อ นางก็รั้นไม่ฟังเหตุผลของเขาเสียเลย มิเช่นนั้นนางก็คงปลงใจแต่งกับเขาตั้งนานแล้ว
แล้วถ้าหากนางรู้ว่าเขาไปพูดกับผู้อื่น เรื่องการเจรจาสู่ขอนางกับครอบครัวล่ะก็ คงได้โกรธเคืองเขาอีกเป็นแน่ จึงต้องเตรียมคำแก้ตัวกับนางเอาไว้อย่างดี
" ระยะทางขึ้นไปดูแล้วไม่น่าจะไกลอะไร แต่ว่าคงจะชันอยู่ไม่น้อย หม่อมฉันคงไม่ขึ้นไปหรอกเพคะ เกรงว่าอาจจะลื่นไถลลงมาได้ด้วยเพราะชุดที่สวมใส่มาวันนี้ออกจะรุ่มร่ามไปสักหน่อย "
หญิงสาวเอ่ยปฏิเสธออกไป ว่ากันตามความเป็นจริงแล้วคือนางขี้เกียจมากกว่า ดูแล้วทางขึ้นไปคงชันอยู่พอสมควร กว่าจะขึ้นไปถึงคงเมื่อยและเหนื่อยเอาการสำหรับนาง
กับผู้อื่นอาจธรรมดา แต่จางซูหนี่ว์ หรือปาลินผู้นี้เป็นคนเมืองกรุง ถนัดเดินห้างเสียมากกว่า ไม่ค่อยสันทัดในการเดินป่าหรือขึ้นเขาลงห้วยเท่าใดนัก
" ไว้ใจเปิ่นหวางเถิด เปิ่นหวางจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรไปแน่ อยากให้เจ้าได้เห็นทิวทัศน์ด้านบนว่าสวยงามเพียงใด หากมาแล้วไม่ขึ้นไปดูคงน่าเสียดายนัก "
เขาเอ่ยหว่านล้อม พลางกล่าวให้ความมั่นใจแก่นางว่าเขาจะเป็นผู้ดูแลนางอย่างหนักแน่น ซึ่งเขาก็ตั้งใจจะกระทำอยู่แล้ว
" ก็ได้เพคะ "
จางซูหนี่ว์ ตอบตกลงหลังจากชั่งใจคิดไปสักครู่หนึ่ง ด้วยสบสายตามั่นคงของคนตรงหน้า ก็ทำให้นางรู้สึกวางใจได้อย่างประหลาดว่าเขาจะสามารถดูแลและปกป้องนาง จากอันตรายใดใดได้
ทั้งเพิ่งจะฉุกใจคิดได้ว่าก่อนหน้านั้นคราที่อยู่ภายในวัด จวิ้นอ๋องได้กล่าวว่ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับนาง ดูท่าทางคงจะอยากพูดคุยเป็นการส่วนตัวเป็นแน่ และอาจจะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เสียด้วย นางจึงได้พยักหน้าน้อยๆและตอบตกลงไป
" ดี เอาล่ะเพ่ยเพ่ยส่งซือซือมาให้เปิ่นหวาง ประเดี๋ยวเปิ่นหวาง คุณหนูของเจ้า และซือซือ จะขึ้นไปข้างบน เจ้ารออยู่ตรงนี้ล่ะ..."
มู่หรงหย่งหมิงกล่าวกับสาวใช้คนสนิทของจางซูหนี่ว์
" เพคะ "
เพ่ยเพ่ยยื่นกระต่ายตัวน้อยให้แก่จวิ่นอ๋อง พลางถอยออกห่าง หากแต่ก็ต้องชะงัก เมื่อจวิ้นอ๋องยังทรงยืนนิ่งก้มมองกระต่ายน้อยในอ้อมแขน และสลับหันไปมองจางซูหนี่ว์ไปมาสักครู่
จากนั้นจึงยกยิ้มขึ้นมาเพียงนิดและเอ่ยสั่งให้สาวใช้ไปนำย่ามมาให้เขา
จางซูหนี่ว์ที่ยืนมองอยู่ว่าจวิ้นอ๋องคิดจะทำอะไร และหันมามองนางทำไมกัน หากแต่ไม่นานก็ต้องหลุดขำออกมา
ดูเถิด..เขาทำกับกระต่ายน้อยของนางไม่ต่างอะไรจากหมากระเป๋าเลย เจ้าซือซือน้อยถูกจับยัดใส่ลงไปในย่ามก็พยายามตะเกียกตะกายจะออกมาให้ได้ด้วยความตกใจ จนบุรุษตรงหน้าต้องปลอบอยู่นานกว่ามันจะหายตกใจและตื่นตูม
จากนั้นเขาจึงสะพายย่ามที่ใส่ซือซือลูกสาวที่เขาบอกว่ารักนักหนา และเดินเข้ามาหานาง พลางให้เหตุผลว่าสองมือนี้จะได้ดูแลและปกป้องนางได้อย่างสะดวก ก่อนจะคว้ามือนางเพื่อจับจูงไปยังทิศทางที่จะขึ้นไปด้านบน
ก็อยากจะขัดขืนหรอกนะ แต่มีหรือบุรุษหน้าตายผู้นี้จะยอม นางพยายามดึงมือกลับครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็มิยอมปล่อยอ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อยจนนางอ่อนใจ บุรุษหน้ามึน...
ทว่าเมื่อนานไปก็รู้สึกดีอยู่เหมือนกัน มือหนากระชับมือน้อยของนางเอาไว้ ไม่แน่นมากนักจนรู้สึกอึดอัด หากแต่ก็ไม่หละหลวมจนรู้สึกว่าถูกละเลย
นางเหลือบไปมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้า ในใจให้รู้สึกอบอุ่นได้อย่างบอกไม่ถูก หากนางจะเลือกวางชีวิตและวางหัวใจไว้ที่บุรุษผู้นี้ จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่นะ....
มู่หรงหย่งหมิงเกาะกุมมือน้อยนุ่มนิ่มของหญิงอันเป็นที่รักเอาไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งเขาได้พานางมาถึงยังจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ของน้ำตกแห่งนี้ได้อย่างถนัด มุมนี้สามารถเห็นน้ำตกชั้นบนได้ทั้งหมด และเมื่อมองลงไปก็จะเห็นมวลน้ำใสสะอาดจากชั้นนี้ ได้ไหลลงไปกระทบกับแอ่งหินด้านล่างกลายเป็นน้ำตกอีกชั้น เป็นแอ่งน้ำและธารน้ำไหลไปไกลสุดสายตา
" น้ำจากลำธารที่ไหลผ่านหมู่บ้านใกล้เคียงให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ ส่วนหนึ่งก็มาจากธารน้ำตกแห่งนี้เช่นกัน "
เขาอธิบายให้สตรีที่ยืนอยู่ข้างกายได้ฟัง ดูท่าทางนางจะชอบที่นี่มากทีเดียว แต่ก็ไม่แปลกด้วยว่าตรงนี้นั้นสวยงามตระการตากว่าด้านล่างอยู่มากโข ต้นไม้ใหญ่โดยรอบให้ความรู้สึกร่มรื่น ยังพรรณไม้ป่านานาพันธุ์หลากสีสันที่กำลังแข่งกันชูช่ออกดอกอยู่เรียงรายริมน้ำตก ส่งกลิ่นหอมรวยรินให้ความรู้สึกรื่นรมย์แก่ผู้ที่ได้มาเยือน
" เพคะ "
หญิงสาวหันมายิ้มให้คนข้างๆ และได้เห็นเขานำเจ้ากระต่ายน้อยลูกรักออกมาจากย่ามก็อดจะเอื้อมมือไปลูบมันอย่างเอ็นดูไม่ได้
" เป็นอย่างไรบ้างซือซือ อยู่ในนั้นคงอึดอัดแย่ จะโทษข้าไม่ได้นะ ต้องโทษจวิ้นอ๋องเพราะทรงเป็นผู้หย่อนเจ้าลงไปในย่ามนั้น "
" พ่อทำไปด้วยหวังดีต่างหากเล่า หากอุ้มเจ้าไว้ก็จะดูแลท่านแม่ของเจ้าได้ไม่เต็มที่ แต่ว่าก็อยากพาเจ้าขึ้นมาชมทิวทัศน์ข้างบนนี้ด้วย จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ ลูก อย่างไรเล่า..หืม เป็นเช่นไรงดงามหรือไม่ "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยแก้ตัวเล็กน้อย
" อ้อ..หม่อมฉันเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ เรื่องคำพูดชวนเข้าใจผิดเช่นนี้ หม่อมฉันขอร้องพระองค์เพคะ ว่าอย่าได้กล่าวอะไรทำนองนี้ต่อหน้าผู้อื่นอีก ใครอื่นได้ยินอาจจะนำไปตีความผิดเอาได้ "
หญิงสาวเอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังเคืองเขาเรื่องนี้อยู่ มันใช่เรื่องที่จะกล่าวออกมาต่อหน้าผู้อื่นหรือไม่เล่า คำพวกนี้ พ่อ แม่ ลูก แม้ว่าจะเป็นพ่อแม่กระต่ายก็เถิด
" หึ ใครอื่นได้ยินแล้วเข้าใจผิด ที่เจ้ากล่าวถึงน่ะ หมายถึงหยางเฉิงสินะ "
เขาแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย พลางเหลือบสายตามองนางเพียงนิด แล้วจึงหันหน้าไปเสียอีกทาง อารมณ์สุนทรีเมื่อครู่ชะงักไป แทนที่ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น
เป็นครอบครัวเดียวกับเขามันเสียหายนักหรืออย่างไร นางจึงได้ปฏิเสธและบ่ายเบี่ยงอยู่ร่ำไป ให้เป็นจวิ้นหวางเฟยก็ไม่เอา ครั้นบอกว่ารักก็ไม่เชื่อ ทำอะไรก็ไม่ถูกใจนางไปเสียหมด
ผิดกับน้องชายของเขาราวเทพเซียนกับจอมมาร รายนั้นทำอะไรก็ดีงามเลิศเลอในสายตาของนาง ชื่นชมกันไปสิ นึกแล้วมันก็น่าน้อยใจอยู่เหมือนกัน...
อะไรของเขาเนี่ย...เหน็บแนมนางแล้วก็หันหน้าหนีไป จางซูหนี่ว์ออกจะงงกับบุรุษผู้นี้ยิ่งนัก
" ไม่ใช่แต่เฉพาะองค์ชายห้าหรอกเพคะ หม่อมฉันก็หมายถึงทุกคนที่ได้ยิน "
" ก็ถ้าผู้อื่นเขาเข้าใจอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปสิ เพราะความจริงก็คือ จะในตอนนี้หรือตอนไหนเจ้าก็ต้องเป็นจวิ้นหวางเฟยของเปิ่นหวางอยู่ดี หนี่ว์เอ๋อร์ "
เขาหันกลับมากล่าวกับสตรีตรงหน้า พลางสบสายตากับนางอย่างต้องการถ่ายทอดความจริงใจให้นางได้รับรู้
" เหตุใดจึงมั่นพระทัยนักเล่าเพคะ ว่าหม่อมฉันจะยอม "
แม้นางจะมีใจให้ ก็ใช่ว่านางจะยอมลงให้เขาง่ายๆหรอกนะ อีกทั้งการแต่งงานนั้นเรื่องใหญ่ ถ้าต้องแต่งเข้าไปเป็นคนในราชวงศ์จริงๆ สตรีอื่นอาจดีใจ แต่นางยิ่งต้องคิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้จงหนัก เพราะความสงบสุขที่นางต้องการ มันหาได้ยากยิ่งนักในวังหลวง
" เพราะเปิ่นหวางรักเจ้า หนี่ว์เอ๋อร์ "
มู่หรงหย่งหมิงเอื้อนเอ่ยความในใจให้นางได้รับฟังอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าจะพิสูจน์ให้นางเห็นถึงความรักและความจริงใจ เขาก็ไม่ได้กล่าวคำนี้ออกมาพร่ำเพรื่ออีกเลย ด้วยกลัวว่ามันจะดูไร้ค่าไปเมื่อกล่าวขึ้นมาบ่อยครั้ง
ทว่าวันนี้เขาพูดมันขึ้นมาด้วยคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่ต้องพูดคุยกันเสียที
" ทรงบอกหม่อมฉันแล้ว ทั้งยังบอกอีกว่าจะพิสูจน์ให้หม่อมฉันเห็นถึงความจริงใจ "
" ใช่ เปิ่นหวางกล่าวเช่นนั้น..และตอนนี้เปิ่นหวางอยากรู้ และอยากได้ยินจากปากของเจ้าว่ามีใจรักให้แก่เปิ่นหวางหรือไม่ รึว่ามีชายอื่นอยู่ในหัวใจของเจ้า "
เขาขยับเข้าไปใกล้นาง ใช้มืออีกข้างที่มิได้อุ้มเจ้ากระต่ายน้อยเชยคางสตรีตรงหน้าขึ้นมา เพื่อไม่ให้นางหลบสายตาของเขาไปที่ใด
" ไยจึงต้องเร่งรัดถามความในใจกับหม่อมฉันนักเพคะ ขอเวลาหม่อมฉันบ้างมิได้หรือ "
" เพราะมันสำคัญกับเปิ่นหวางมาก หนึ่ง...เพราะเปิ่นหวางรักเจ้าและก็หวังอยากจะให้เจ้ารักตอบเปิ่นหวาง สอง...เพราะในตอนนี้กำลังจะเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าน่ะสิ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยพลางมีสีหน้าที่ขรึมลง แลดูจริงจัง เมื่อเอ่ยถึงประการที่สอง จนคนฟังเริ่มที่จะขมวดคิ้วอย่างสงสัย
" จะเกิดเรื่องใดกับหม่อมฉันกันเพคะ "
" เมื่อเช้าฮองเฮาเรียกเปิ่นหวางไปเข้าเฝ้า และสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าและต้วนหลี่เจี้ยน เจ้านั่นพลิกลิ้นพูดจากผิดเป็นชอบให้ตนดูดี และทูลฟ้องแก่ฮองเฮาว่าเปิ่นหวางส่งคนไปลอบทำร้าย "
" เจ้าคนอันธพาลปลิ้นปล้อน ขี้โกหกนั่น มันน่าจะถูกตัดลิ้นนักจะได้กล่าววาจาตลบแตลงไม่ได้อีก อุตส่าห์ให้โอกาสแล้วยังไม่สำนึก รู้เช่นนี้หม่อมฉันไม่น่าจะห้ามพระองค์เลย จะได้สั่งสอนให้หนัก "
จางซูหนี่ว์ฮึดฮัดอย่างนึกโมโห เช่นนี้มันน่าจะได้ลิ้มรสฝ่าเท้าของจวิ้นอ๋องไปอีกหลายๆที นางพลาดเองที่ไปห้าม...
" เปิ่นหวางทูลฮองเฮาไปแล้วล่ะ ถึงความจริงที่เกิดขึ้นพยานเรามีมากมายไม่ต้องกลัวไปหรอก "
เขาอดที่จะยิ้มกับท่าทางโมโหของนางไม่ได้ มิได้น่าเกลียด แต่นางดูน่ารักมากต่างหากเล่า
ดูเอาเถอะ..ไม่ว่านางจะทำอะไรในสายตาของเขาก็ว่าดีไปเสียสิ้น เว้นอย่างเดียวคือการไปเข้าใกล้ชายอื่นก็เท่านั้น และเมื่อเห็นนางหันมาสบสายตากับเขา รอยยิ้มเอ็นดูเมื่อครู่ต้องรีบหุบฉับลง กลายเป็นสีหน้าเคร่งเครียดตามเดิม
" หากเป็นเช่นที่จวิ้นอ๋องทรงกล่าว แล้วอย่างนั้นหม่อมฉันจะเดือดร้อนด้วยเรื่องใดเพคะ "
หญิงสาวย้อนถาม เรื่องราวก็คลี่คลายพยานรึ ก็มีออกถมเถไป คนเห็นเหตุการณ์นั้นมากมี จะมากล่าวหากันง่ายๆนางก็มิยอมหรอกนะ
" เพราะมีคนเป็นพยานเยอะ ในเมื่อเล่นงานเปิ่นหวางมิได้จึงหันเหไปทางเจ้าแทน...ต้วนหลี่เจี้ยนจับมือจับแขนเจ้า ทั้งพยายามจะลวนลาม แม้เปิ่นหวางช่วยได้ทันการณ์แต่ผู้อื่นก็อาจกล่าวถึงเจ้าในทางเสียหายได้ด้วยผู้คนเห็นเยอะแยะ ฮองเฮาจึงใช้ประเด็นนี้เพื่อที่จะบีบให้เจ้าแต่งงานกับต้วนหลี่เจี้ยน โดยกล่าวว่าเป็นการรับผิดชอบของสกุลต้วนต่อคนสกุลจาง "
มู่หรงหย่งหมิง กล่าวจบประโยค ร่างบางตรงหน้าก็เอ่ยขึ้นมาทันควัน
" เป็นตายอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่แต่ง กับคนอันธพาลนั่นแน่นอน "
จางซูหนี่ว์เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล
" เปิ่นหวางรู้ แต่ว่าลำพังเจ้าจะต้านทานอำนาจของฮองเฮาได้หรือ แม้แต่บิดาของเจ้าก็เถิด ฮองเฮาออกหน้าเองเช่นนี้เปิ่นหวางก็คิดว่าคงลำบากเอาการ ปฏิเสธไปก็เท่ากับเป็นการหักหน้าฮองเฮาเชียวนะ สกุลจางคงได้เป็นศัตรูกับสกุลต้วนเป็นแน่ เรื่องเดือดร้อนคงได้ดาหน้าเขามายังสกุลจางแน่นอน "
เขาเอ่ยให้เห็นถึงหายนะที่อาจเกิดขึ้น อาจเป็นจริงก็ได้ถ้าหากว่าเขาจะไม่ยืนอยู่ตรงนี้ข้างๆกายนาง และคอยปกป้องนางอย่างที่ให้สัญญาไว้
" หรือหม่อมฉันจะหนีไปบวชเป็นนางชีเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป "
หญิงสาวกล่าวอย่างประชดความซวยของตัวเอง ไม่ได้คิดจะเอาคำตอบใดจากคนตรงหน้าเท่าใดนัก
" ไม่ต้องถึงเพียงนั้นหรอก เปิ่นหวางทูลฮองเฮาไปแล้วว่าเจ้าคือคนรักของเปิ่นหวาง และจะดำรงตำแหน่งจวิ้นหวางเฟยในเร็ววันนี้ คงมิอาจแต่งให้สกุลต้วนได้ "
" อะไรนะเพคะ "
จางซูหนี่ว์ออกจะอึ้งกับสิ่งที่คนตรงหน้ากล่าว มันมิต่างกับการถูกมัดมือชกเลย เพียงแต่นางถูกมัดให้แต่งงาน
" วิธีนี้เมื่อฮองเฮาจะทำอะไรเจ้าต่อไปนี้คงจะคิดให้หนักเป็นแน่ ทำเจ้าก็เหมือนทำเปิ่นหวางไปด้วย "
เขารีบเอ่ยขึ้นเผื่อนางกำลังโมโห พลางค่อยๆพูด ค่อยๆตะล่อมนางไป แต่ใช่ว่าเขาจะโกหกนางทั้งหมดเสียเมื่อไร กับสตรีผู้นี้ต้องเอาเหตุผลเข้าสู้ให้ดูหนักแน่นเข้าไว้
เฮ้อ...จะแต่งชายาทั้งทีเหตุใดจึงยากเย็นนัก ต้องคิดหาทางกล่อมนางให้แต่งเป็นชายาของเขาให้ได้ แม้เป็นสตรีอื่นที่ไม่ใช่นางผู้นี้เขาก็ไม่ต้องการอีกนั่นล่ะ
" เปิ่นหวางขอโทษเจ้านักที่ต้องกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ก็อยากให้เจ้าได้รับรู้ว่าที่ทำก็เพราะรักและต้องการปกป้องเจ้านะหนี่ว์เอ๋อร์ และเพราะเหตุนี้จึงได้ถามถึงความในใจจากเจ้าว่ารักเปิ่นหวางบ้างหรือไม่ "
กล่อมนางไป ก็ยังมิวายเอ่ยถามหาคำรักจากสตรีตรงหน้า
" เรื่องใหญ่เช่นนี้หม่อมฉันขอปรึกษาคนในครอบครัวก่อนได้หรือไม่เพคะ ว่าจะทำอย่างไรต่อไป "
จางซูหนี่ว์เอ่ยขึ้นเผื่อว่าคนในครอบครัวจะมีความคิดดีดีให้แก่นางบ้าง บอกตามตรงตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี
" เรื่องนั้นเปิ่นหวางต้องรีบเข้าไปพูดคุยกับครอบครัวของเจ้าอยู่แล้ว ต้องเร่งกล่าวให้รับรู้ ก่อนที่ฮองเฮาอาจจะใช้เล่ห์ให้เจ้าไปแต่งกับหลานชายอีกก็ได้ แต่ตอนนี้ที่อยากรู้คือความในใจเจ้าต่างหากเล่า เจ้ามิได้รังเกียจเปิ่นหวางใช่หรือไม่ "
" ก็มิได้รังเกียจเพคะ "
หญิงสาวตอบออกไปตามตรง
" แล้วรักหรือไม่ "
เขาเอ่ยพลางยกยิ้มกรุ้มกริ่มเล็กน้อย หัวใจพองโตเมื่อเห็นใบหน้านางขึ้นสีชมพูระเรื่อน่าดูชม หากแต่ก็พยายามวางใบหน้าเรียบเฉย
" หม่อมฉัน เอ่อ..."
จางซูหนี่ว์มิรู้จะกล่าวอย่างไรดี จะบอกว่ารักก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก จะบอกว่ามีใจก็ออกจะอายๆอยู่เหมือนกัน
" คือ หม่อมฉัน เอ่อ...อื้อออ "
นางตกใจและเหวอไป เมื่ออยู่ๆคนตรงหน้าก็โฉบเข้ามาจูบนางอย่างรวดเร็วและแผ่วเบาด้วยริมฝีปากของเขา
" ตอบช้า อ้ำอึ้ง เช่นนี้...ถือว่าคำตอบคือ รัก "
มู่หรงหย่งหมิงระบายยิ้ม นัยน์ตาวิบวับ ก็ถ้านางไม่รักคงปฏิเสธไปแล้ว ไม่มาอ้ำอึ้งเช่นนี้หรอก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มันมือชกแบบนี้จะได้ผลไหมหนอ
เช้าก็เย็นๆหน่อยไม่ถึงกับหนาวมาก
สุดๆประมาณ22องศา
แต่ช่วงบ่ายนี้ค่อนข้างร้อนพอสมควรเลย แต่ก็ไม่เท่าช่วงหน้าร้อนนะ
บางคืนอากาศก็อบอ้าว ทำเอานอนไม่กลับเลย อิอิ><
จวิ้นอ๋องน่ารักมากกกก รีบเคลียวังรอน้องซูหนี่ จีบน้องให้รับรักก่อนดีมั้ยคะ