ตอนที่ 38 : นางคือว่าที่พี่สะใภ้ของเจ้า (รีไรต์)
ฮัดชิ้ว ฮัดชิ้วว ฮะ ฮะ ฮัดชิ้วววว
หญิงสาวที่กำลังนั่งตรวจบัญชีรายรับรายจ่ายของหอซือซิง อยู่ดีดีก็จามออกมาหลายครั้งในเวลาติดกัน แทบจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากไม่ทันทีเดียว
ทว่าเมื่อหยุดจามแล้วจึงเก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ตามเดิม พลางกวาดสายตามองบริเวณรอบๆห้องก็เห็นว่าสะอาดดี ไม่ได้มีฝุ่นผงหรือสิ่งสกปรกใดให้นางจามติดๆกันถึงเพียงนี้ คิดเล่นอยู่ภายในใจ...มิใช่ว่ามีใครกำลังนินทาหรือคิดถึงนางอยู่หรอกนะ
" คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ จามเสียหลายครั้ง หรือว่าจะไม่สบายเจ้าคะ "
สาวใช้ถามผู้เป็นนายอย่างห่วงใย ขยับเข้ามารินน้ำชาให้นายสาวได้ดื่มเผื่อว่าจะมีอาการดีขึ้น ชุ่มชื่นขึ้นบ้าง
" ข้าไม่เป็นไรหรอกเพ่ยเพ่ย "
นางหันไปกล่าวกับสาวใช้คนสนิท และรับถ้วยชาจากเพ่ยเพ่ยที่รินให้นางขึ้นมาจิบพอเป็นพิธี ก่อนจะส่งคืนแล้วยิ้มให้อย่างขอบคุณ
" ระยะหลังมานี้มีแต่เรื่องเข้ามาให้คุณหนูวุ่นวายได้ตลอด เกรงว่าสุขภาพคุณหนูจะแย่ลงอีก เพ่ยเพ่ยว่าคุณหนูควรจะหาเวลาพักผ่อนบ้างนะเจ้าคะ "
หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างหวังดีต่อผู้เป็นนาย
" ถึงจะยุ่งวุ่นวายแค่ไหน แต่ช่วงหลังมานี้ข้าก็ดูแลสุขภาพอย่างดี ทานสมุนไพรบำรุงร่างกาย นอนหลับพักผ่อนมากขึ้นกว่าเดิม ยังไม่เพียงพออีกหรือเพ่ยเพ่ย "
" โธ่ คุณหนู เพ่ยเพ่ยไม่ได้หมายความแบบนั้นเสียหน่อย แต่เพ่ยเพ่ยอยากให้คุณหนูวางภาระงานลงเสียบ้าง ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอก คงจะทำให้คุณหนูรู้สึกสดชื่นยิ่งขึ้น อืม.. ไปไหว้พระที่วัดกันดีหรือไม่เจ้าคะ "
เพ่ยเพ่ยเอ่ยชวนจางซูหนี่ว์ พลางขยับเข้ามาส่งสายตาอ้อนวอนผู้เป็นนาย
" พูดง่ายๆก็คือเจ้าอยากจะไปพักผ่อนเสียเอง ใช่หรือไม่ มิต้องเอาข้ามาอ้างหรอกเพ่ยเพ่ย "
จางซูหนี่ว์ปิดสมุดบัญชีที่สรุปรายรับรายจ่ายของสัปดาห์นี้และวางมันลงบนโต๊ะ ซึ่งใกล้กับตะกร้าที่มีเจ้าตัวปุกปุยสีขาวนอนมองนางตาแป๋วอยู่ในนั้นอย่างสบายอารมณ์ ก่อนที่จะหันมายิ้มและเอ่ยเย้าสตรีที่ยืนทำสายตาอ้อนวอน พลางคะยั้นคะยอนางให้ออกไปพักผ่อนกายาภายนอกอยู่ในขณะนี้
" มิได้เจ้าค่ะ ข้าหวังดีจริงๆ อีกอย่างหนึ่งในอีกไม่นานนี้เราต้องทำการแสดงต่อหน้าพระพักตร์ ก็ถือเสียว่าเราไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคล และขอพรองค์เทพต่างๆ ดลบันดาลให้กิจการของหอซือซิงเจริญรุ่งเรือง และทำการแสดงให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ดีหรือไม่เจ้าคะคุณหนู "
เพ่ยเพ่ย พยายามหว่านล้อมคุณหนูของนาง ปั้นหน้าใสซื่อสุดฤทธิ์ทั้งที่ในใจนั้นเต้นตุ้มๆต่อมๆ เกรงว่าจะทำพิรุธให้คุณหนูของนางจับได้ขึ้นมา
" ก็ได้ ว่าแต่เราจะไปไหว้พระที่วัดใดดีล่ะ "
ถึงจะแปลกใจอยู่มิน้อยกับท่าทางลนๆของสาวใช้ แต่สิ่งที่เพ่ยเพ่ยกล่าวมาก็เข้าทีดีเหมือนกัน แม้ว่าการแสดงนั้นได้เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี แต่น้อมนำสิ่งศักสิทธิ์เอามาเป็นที่พึ่งทางใจบ้างก็ไม่เสียหลายนี่นา จึงออกจะคล้อยตามสิ่งที่สาวใช้กล่าวเมื่อครู่อยู่มาก
" วัดเดิมที่ฮูหยินเคยพาคุณหนูไปเมื่อครั้งก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ใช้เวลาเดินทางไม่นาน อีกทั้งห่างจากวัดมิไกลนักก็มีน้ำตกและลำธารเล็กๆ อยู่ทางด้านหลังของวัดด้วย เพ่ยเพ่ยเคยไปอยู่สองสามครั้งสวยงามมิน้อย หากคุณหนูได้เห็นคงจะชอบ "
หญิงสาวเอ่ยชักชวนเพื่อกระตุ้นให้นายสาวอยากไปเห็นมากยิ่งขึ้น ด้วยเพราะคุณหนูของนางนั้นร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก จึงมิค่อยได้ออกจากจวนไปที่ใด ยิ่งสถานที่ธรรมชาติสวยงามเช่นนี้คงต้องอยากเห็นเป็นแน่
" น้ำตกหรือ "
จางซูหนี่ว์ เอ่ยถามอย่างนึกสนใจขึ้นมา ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นางก็ไม่ค่อยได้ไปท่องเที่ยวที่ใดนัก ชีวิตนางก็วนเวียนอยู่ไม่กี่ที่ จวน วังหลวง หอซือซิง หอการค้า ตลาด วัด ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาพักผ่อนสมองสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างที่เพ่ยเพ่ยกล่าวก็คงดีไม่น้อย
" เจ้าค่ะ..น้ำใสสะอาด เย็นสดชื่น ให้ความรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก "
" เช่นนั้นไปวัดนั้นก็ได้ จากนั้นคอยแวะไปเที่ยวดูน้ำตกสักพัก "
หญิงสาวตัดสินใจไปโดยไม่ต้องคิดสิ่งใดมาก อู้งานไปพักผ่อนสักครึ่งวันคงไม่เป็นไรกระมัง อย่างไรแม่นางชิงไฉก็คงดูเรื่องการฝึกซ้อมการแสดงของนางรำแทนนางได้เป็นอย่างดี
ณ วัดแห่งหนึ่ง...
จางซูหนี่ว์ก้าวลงจากรถม้าโดยมีเพ่ยเพ่ยช่วยประคอง นางจำได้ขึ้นใจว่าเมื่อครั้งก่อนนั้นหลังจากที่กลับจากวัดแล้วนางเจอเหตุการณ์อันชวนระทึกเพียงใด ครั้งนี้นางจึงมีผู้ติดตามชายมาด้วยหลายคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนที่บิดาและพี่ใหญ่จัดหามาเพื่อดูแลนางโดยเฉพาะ เจอโจรอีกครั้งครานี้นางก็มิต้องหวั่นเกรงสิ่งใดแล้ว...
" เราเข้าไปไหว้พระกันเถิดเจ้าค่ะคุณหนู "
หญิงสาวหันไปพยักหน้าให้กับเพ่ยเพ่ยก่อนที่จะเดินนำเข้าไปยังด้านในวัด ซึ่งนางสังเกตได้ว่าวันนี้คนออกจะเยอะกว่าวันที่นางมากับมารดาอยู่มากทีเดียว เมื่อใหว้พระเสร็จจึงตั้งใจจะไปยังวิหารองค์เทพซึ่งอยู่อีกด้านเพื่อขอพรท่านให้กิจการรุ่งเรือง
ครั้งนี้นางตั้งใจมาสักการะและขอพร เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภและความมั่งคั่งร่ำรวย ให้ทุกกิจการของตระกูลจางรุ่งเรืองมั่งคั่งร่ำรวย หาใช่ขอพรเรื่องความรักกับท่านเทพหยุคโหลว (พ่อเฒ่าจันทรา) เช่นครั้งก่อนที่นางถูกมารดาขอร้องแกมบังคับไม่
ขณะที่กำลังเดินไปยังวิหารองค์เทพเสียงของสาวใช้คนสนิทก็ดังขึ้น พลางชี้มือให้นางดูกลุ่มคนข้างหน้าที่กำลังต่อแถวทำอะไรกันสักอย่าง
" เอ๊ะ คุณหนูดูข้างหน้าสิเจ้าคะ คนพวกนั้นต่อแถวทำอะไรกันอยู่น่ะ..."
เพ่ยเพ่ยชี้ชวนให้คุณหนูของนางดูกลุ่มคนข้างหน้า ตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาภายในวัดนางก็ลอบมองหาเสียตั้งนานที่แท้ก็มาตั้งโต๊ะ ตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารอยู่ตรงนี้นี่เอง สาวใช้นึกกระหยิ่มอยู่ภายในใจ ก่อนแสร้งทำเป็นใคร่รู้และสงสัยกับเหตุการณ์เบื้องหน้า
" ถ้าเจ้าอยากรู้ เจ้าก็เข้าไปดูสิเพ่ยเพ่ย "
จางซูหนี่ว์กล่าว ดูจากลักษณะการยืนต่อแถวและการแต่งกายของชาวบ้านแล้ว อาจจะมีคหบดีผู้มั่งมีสักคนกำลังแจกจ่ายสิ่งของหรืออาหารเป็นการให้ทานแก่ผู้ยากไร้ก็ได้ วัดนี้ใหญ่โตกว้างขวางนัก มีการแจกจ่ายอาหารหรือตั้งโรงทานในนี้ก็ไม่ได้ทำให้ภายในวัดแออัดแต่อย่างใด เพิ่งนึกขึ้นได้...มิน่าล่ะวันนี้คนจึงได้เยอะกว่าครั้งก่อนที่มาแยะ
" เจ้าค่ะ เช่นนั้นประเดี๋ยวเพ่ยเพ่ยมานะเจ้าคะ "
สาวใช้กล่าวจบ ก็ยิ้มแป้นรีบเดินเข้าดูทันที จางซูหนี่ว์ที่ยืนรออยู่ห่างๆไม่ได้เดินเข้าไปด้วยมองตามร่างของสาวใช้ไป นางว่าวันนี้คนของนางออกจะแปลกๆไปจากเดิมอย่างไรก็ไม่รู้ ดูตื่นๆลนๆชอบกล ไม่รู้ว่ามีอะไรปิดบังนางอยู่กันแน่
ผ่านไปครู่หนึ่งเพ่ยเพ่ยจึงเดินกลับมา หากแต่เมื่อเพ่งมองให้ดีกลับมีคนที่เดินตามสาวใช้ของนางมาด้วย ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นเลย หากแต่เป็นบุรุษสูงศักดิ์ที่นางก็รู้จักเป็นอย่างดี....องค์ชายห้า
" ถวายพระพรองค์ชายห้าเพคะ "
จางซูหนี่ว์รีบยอบกายลงถวายบังคม เมื่อองค์ชายห้าก้าวเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้านาง ใบหน้าอ่อนโยนกับรอยยิ้มละมุนแลดูอบอุ่นยิ่ง ถูกส่งมาให้นางเช่นทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ดูเหมือนครั้งนี้แววตาของคนตรงหน้าจะดีใจที่ได้พบนางมากกว่าที่เคย หรือนางคิดไปเอง...
" เป็นเรื่องบังเอิญนักที่ได้เจอเจ้าที่นี่ วันนี้ แต่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ดีเหลือเกิน "
มู่หรงหยางเฉิงกล่าวจากใจจริง เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เจอนางที่นี่ในวันนี้ แม้ว่าใจนั้นก็แอบหวังให้เป็นเช่นนี้ แต่ก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ วันเกิดปีนี้ของเขาช่างพิเศษยิ่งนัก การได้พบนางถือเป็นของขวัญที่เขาไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพ่ยเพ่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากทั้งคู่ ได้แต่ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มสมหวังเอาไว้ พลางคิดตอบอยู่ในใจ..มันใช่เรื่องบังเอิญที่ไหนกันเล่าเพคะ หากแต่เป็นเพราะเพ่ยเพ่ยผู้นี้ต่างหากเล่า ที่พยายามหาโอกาสนำด้ายแดงทั้งสองเส้นมาพบกัน
เมื่อเช้านางเข้าไปยังตลาดในระหว่างที่กำลังซื้อของใช้อยู่นั้น บังเอิญได้ยินกลุ่มคนเร่ร่อนในตลาดพูดคุยกันว่ายามอู่ (เวลาประมาณ 11.00 - 12.59 น.) ท่านหมอมู่จะตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารให้แก่ผู้ยากไร้และคนเร่ร่อน ที่วัดแห่งนี้ นางจึงคิดแผนการออกและพยายามคะยั้นคะยอให้คุณหนูของนางมาที่วัดแห่งนี้เมื่อสบโอกาส
ในความคิดของนางอย่างไรคุณหนูจาง ก็เหมาะสมกับองค์ชายห้ามากกว่าจวิ้นอ๋องอยู่ดี ขอเพียงมีโอกาสให้ทั้งสองได้พบและได้พูดคุยกันให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่แน่ว่าคุณหนูของนางอาจเปิดใจรับองค์ชายห้าก็ได้
" เพคะ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน "
จางซูหนี่ว์ เอ่ยตอบองค์ชายห้า พลางแอบปรายสายตาไปยังสาวใช้คนสนิท ไอ้ท่าทางลนๆตื่นๆชอบกลที่นางนึกแปลกใจอยู่นั้น ถึงเวลานี้นางได้คำตอบแล้วล่ะ...
นางไม่รู้หรอกว่าองค์ชายห้าจะทราบมาก่อนหรือไม่ ว่านางจะมาที่วัดแห่งนี้ แต่ที่รู้แน่คือเรื่องที่อยู่ๆสาวใช้ก็เอ่ยชักชวนให้มาไหว้พระขอพรเทพเจ้า และได้พบกับองค์ชายห้านั้น มันมิใช่เรื่องบังเอิญหรอก...
" วันนี้เปิ่นหวางตั้งใจมาเปิดโรงทานแจกจ่ายอาหาร ผ้าห่ม และรักษาให้กับคนเร่ร่อน คนยากไร้ "
" ทรงมีน้ำพระทัยที่ประเสริฐยิ่งนักเพคะ ใส่ใจต่อความทุกข์ยากของราษฏร หากคนเหล่านี้รู้ว่าท่านหมอมู่คนดีของพวกเขา แท้จริงแล้วเป็นถึงองค์ชายคงจะซาบซึ้งใจยิ่งกว่านี้เป็นแน่ "
หญิงสาวมองไปยังชาวบ้านหลายคนที่ยืนต่อแถวกันรับอาหารและสิ่งของที่คนขององค์ชายห้ากำลังแจกจ่ายให้ บางแถวก็รับอาหาร บางแถวก็รับผ้าห่ม บางแถวก็รอรับการรักษาอาการเจ็บป่วย
ซึ่งแม้องค์ชายห้าจะนำคนมาช่วยนับสิบคน แต่คาดคะเนดูจากปริมาณชาวบ้านที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ดูท่าจะเหนื่อยพอดู
" อย่าถึงกับต้องยกย่องสรรเสริญกันเลย สิ่งที่เปิ่นหวางทำนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับใครหลายๆคนที่ทำคุณประโยชน์ยังความผาสุขให้แก่บ้านเมือง "
" กล่าวเช่นนั้นก็มิถูกต้องเสียทีเดียวเพคะ ความผาสุขนั้นใช่ว่าจะวัดได้จากบ้านเมืองสงบสุขไร้การรุกรานจากศัตรูเท่านั้น หากบ้านเมืองสงบแต่ชาวเมืองยังต้องประสบอยู่กับความทุกข์ยากหิวโหย ขาดแคลนในหลายๆสิ่ง ขาดยาขาดหมอที่จะรักษายามเจ็บป่วย ทั้งนี้ก็เพราะความยากไร้ หม่อมฉันไม่คิดว่านั่นคือความผาสุขที่แท้จริงหรอกเพคะ สิ่งที่องค์ชายทรงกระทำในวันนี้ แม้ไม่ใช่การแก้ไขปัญหา แต่มันคือการบรรเทาทุกข์ที่มีอยู่ของราษฏรกลุ่มหนึ่งที่ขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ให้เบาบางลงไป แต่นั่นก็ยังนับว่าเป็นสิ่งที่ดีควรค่าแก่การยกย่องมิใช่หรือ "
จางซูหนี่ว์ยิ่งพูดก็ยิ่งนึกสะท้อนใจ ไม่ว่าทุกที่ทุกแห่งหนมันไม่มีหรอกที่จะไม่มีความขาดแคลน และความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นที่นี่ หรือยุคที่นางจากมา
คนรวยก็รวยล้นฟ้า คนจนหาเช้ากินค่ำก็มีอยู่มากมาย ยิ่งในยุคนี้ที่อะไรหลายสิ่งหลายอย่างยังถูกจำกัดอยู่ในหมู่คนชั้นสูง แบ่งชนชั้นวรรณะ กันอย่างชัดเจนก็ยิ่งลำบาก
" เปิ่นหวางชอบความคิดอ่านของเจ้านะซูหนี่ว์ มุมมองและคำพูดของเจ้า สร้างกำลังใจให้เปิ่นหวางและคนอื่นๆ อยากที่จะทำเพื่อบ้านเมืองขึ้นอีกโข ทั้งยังมองเห็นถึงปัญหาที่มีอยู่อีกด้วย สตรีเช่นเจ้าหากเป็นชายคงรับราชการช่วยงานแผ่นดินได้ดีเป็นแน่ "
มู่หรงหยางเฉิงรู้สึกถึงความชุ่มชื่นในหัวใจ เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของนางก็สร้างกำลังใจให้เขาได้มากมายนัก เช่นนี้แล้วเขาจะตัดใจจากนางได้อย่างไรกันนะ
ทั้งชีวิตเขาวางตัวเรียบง่าย พยายามไม่กระทำตัวโดดเด่น ให้เป็นที่จับตาใครๆดั่งพี่น้องคนอื่นๆ เรียนวิชาแพทย์ แทนที่จะเรียนการปกครอง หรือการต่อสู้การรบต่างๆ การอยู่ห่างไกลสิ่งเหล่านี้นั้นทำให้เขาอยู่มาได้อย่างสงบสุขภายในวังหลวง
การแก่งแย่งอำนาจและความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ใช่ว่าจะมีแต่ในวังหลังเท่านั้น บรรดาเหล่าองค์ชายก็แข่งกันทำความดีความชอบเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานจากพระบิดากันไม่น้อย นั่นหมายถึงอำนาจและการมีตัวตนความสำคัญขึ้นมา หากแต่เขาก็พึงพอใจที่จะถูกรัศมีความโดดเด่นของพี่ๆและน้องๆบดบังจนมิดเสียมากกว่า ยิ่งโดดเด่นบางครั้งก็ยิ่งอันตราย
" ปกติหม่อมฉันเห็นองค์ชายทรงช่วยรักษาให้ชาวเมืองเป็นประจำอยู่แล้ว แต่วันนี้ดูจะพิเศษกว่าทุกครั้ง มีสิ่งใดหรือไม่เพคะ "
หญิงสาวไม่ได้เอ่ยแย้งอะไรกับประโยคก่อนหน้าขององค์ชายห้า แม้ว่าภายในใจนางอยากตอบไปว่ายุคสมัยที่นางจากมานั้น สตรีก็สามารถทำอะไรๆได้อย่างที่บุรุษสามารถทำได้หลายอย่าง หรือบางอย่างอาจจะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำไป
หากแต่กลัวว่าถ้าเอ่ยออกไปเช่นนั้นนางอาจจะถูกมองว่าเป็นคนเลอะเลือนก็ได้ เพราะทุกอย่างในยุคนี้นั้นห่างไกลจากคำว่า ' เป็นไปได้ ' มากมายนัก จึงได้แต่ส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย และเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปเรื่องอื่นเสีย
" วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของเปิ่นหวาง "
มู่หรงหยางเฉิง กล่าวยิ้มๆ ความจริงเขาก็ทำเช่นนี้ในทุกปีอยู่แล้ว ทว่าปีนี้พิเศษกว่าทุกปี เพราะมีสตรีตรงหน้าอยู่ด้วยนี่ล่ะ...
แรกพบสบตาเจ้า
ใจเคยเฉาพลันสดใส
ใต้หล้าทั้งแดนไกล
สตรีใดมิเท่าเทียม
จันทราว่างามเด่น
ยังหลบเร้นด้วยอายเหนียม
หวังชมโฉมเจ้าเพียง
ทุกเช้าค่ำเคล้าเคียงกาย
" หม่อมฉันขอถวายพระพรให้องค์ชายห้าทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง และเป็นที่รักของชาวเมืองเช่นนี้ตลอดไปเพคะ "
วันเกิดขององค์ชายห้านี่เอง หากนางรู้ก่อนคงจะเตรียมหาสิ่งใดเพื่อถวายให้แก่องค์ชายเพื่อเป็นของขวัญของกำนัล แต่ในเมื่อไม่มีก็คงไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าคำอวยพรกระมัง
แล้วถ้าหากว่าอยากจะเป็นที่รักของเจ้า ข้าต้องทำอย่างไรบ้างเล่า จึงจะได้หัวใจรักแลภักดีของเจ้ามาครอบครอง มู่หรงหยางเฉิงคิดภายในใจมิได้เอ่ยออกไปให้นางได้รับรู้และได้ยิน
" ขอบใจเจ้ามากนะ แล้วนี่เจ้ากำลังจะไปสักการะองค์เทพที่วิหารหรือ "
มู่หรงหยางเฉิง เอ่ยถามเพราะทางนี้นั้นมุ่งตรงไปข้างหน้าอีกนิดเดียวก็ถึงวิหารองค์เทพแล้ว
" เพคะ หม่อมฉันตั้งใจมาขอพรองค์เทพให้กิจการของตระกูลจางนั้นรุ่งเรืองเพคะ "
" แค่เรื่องกิจการเท่านั้นหรือ แล้วเรื่องอื่นๆล่ะ เจ้าไม่ขอองค์เทพเจ้าให้ช่วยบ้างหรือ "
" เท่านี้ก็เพียงพอแล้วเพคะ "
หญิงสาวกล่าว ครั้งก่อนนางพูดพล่อยๆออกไปแล้วอย่างไรล่ะ เรื่องความรักอันชวนให้วุ่นวายก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้แล้วเชียวว่าจะไม่เผลอไปมีใจให้ผู้ใด แต่แล้วความตั้งใจของนางก็ถูกทำลายไปทีละน้อย จากบุรุษเจ้าเล่ห์ ปากร้าย หน้ามึนผู้นั้นเสียได้
" เช่นนั้นเปิ่นหวางขอเข้าไปสักการะเทพเจ้าในวิหาร พร้อมกับเจ้าด้วยคน ได้หรือไม่ "
เขาหาโอกาสได้ใกล้ชิดนางบ้าง แม้เพียงเวลาน้อยนิดก็นับว่าคุ้มค่า
" หากไม่ทรงรังเกียจ หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ "
นางเอ่ยตอบบุรุษสูงศักดิ์ วัดนี้มิใช่ของนางแต่เพียงผู้เดียวเสียเมื่อไรกันล่ะ ใครใคร่เข้ามากราบพระและสักการะขอพรเทพเจ้าที่นับถือก็ย่อมทำได้ทั้งนั้น
หลังจากที่เข้าไปสักการะองค์เทพเจ้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงเดินออกมาจากวิหาร และตรงมายังโต๊ะที่จัดตั้งเพื่อแจกจ่ายอาหารและสิ่งของเครื่องนุ่งห่มต่างๆ
" วัดนี้เป็นวัดที่ตระกูลสวี่ ซึ่งเป็นตระกูลทางฝั่งพระมารดาของเปิ่นหวางเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาหลายสิบปีแล้วตั้งแต่รุ่นทวด ด้วยน้องชายของท่านทวดได้ละทางโลกออกบวชเพื่อศึกษาพระธรรม ท่านทวดจึงได้สร้างวัดนี้ขึ้นมาเพื่อให้น้องชายได้จำวัดอยู่ที่นี่ จากนั้นคนในตระกูลก็มักจะมาทำบุญที่นี่เสมอ เรียกว่าเป็นวัดประจำตระกูลก็คงจะได้ "
มู่หรงหยางเฉิงเอ่ยเล่าให้นางฟัง
" มิแปลกที่วัดจะใหญ่โตและกว้างขวางไม่น้อยเพคะ "
" เดิมก็เป็นเพียงวัดเล็กๆ แต่ก็ขยับขยายมาเรื่อยๆ ผ่านมาหลายสิบปีก็กว้างขวางอย่างที่เจ้าเห็น....แล้วนี่เจ้าจะไปที่ใดต่อหรือ "
" หม่อมฉันได้ยินมาว่าด้านหลังวัดไปไม่ไกลนั้นมีน้ำตกแลลำธารเล็กๆสวยงามนัก จึงอยากไปชมสักคราเพคะ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยตอบตามความตั้งใจของนาง
" อ้อ...น้ำตกนั่นน่ะหรือ มันก็สวยงามดี มิยักรู้ว่าเจ้าก็ชอบที่จะเที่ยวชมแหล่งธรรมชาติเช่นนี้ด้วย จะว่าไปเมื่อก่อนเปิ่นหวางก็มักจะไปที่นั่นบ่อยอยู่เหมือนกัน แต่ช่วงหลังนี้มิค่อยได้ไปเท่าไรนัก ด้วยหน้าที่นั้นก็รัดตัวพอดู หากเจ้าไม่รังเกียจเปิ่นหวางก็ขอตามไปด้วยคนจะได้หรือไม่ เปิ่นหวางรู้ว่าจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ที่งดงามบริเวณนั้นหลายจุดเลยทีเดียว "
มู่หรงหยางเฉิง เสนอตัวเองหวังได้ใกล้ชิดนางให้นานกว่าเดิม
จางซูหนี่ว์นั้นยังมิทันได้ตอบกระไร ก็มีบุคคลที่สามที่ไม่ได้รับเชิญเป็นผู้เอ่ยแทรกนางขึ้นมาเสียก่อน ทั้งจัดการเสนอตัวเองเสร็จสรรพ
" คงมิต้องรบกวนเจ้าหรอกหยางเฉิง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเป็นผู้พานางไปเถิด ข้าก็ไปที่นั่นบ่อยอยู่พอสมควร เจ้าไม่ต้องห่วงนางหรอก ดูแลคนป่วยเถิด ต่อแถวรอยาวเพียงนี้จนค่ำจะตรวจเสร็จหรือไม่ "
น้ำเสียงเข้มและห้วนนี้ ดังขึ้นมาจากอีกทาง ทั้งสองหันไปมองก็ปรากฏร่างของบุรุษรูปงามมิด้อยกว่าผู้เป็นน้องชายเลย ออกจะทระนงองอาจมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
พักตร์หล่อเหลาคมเข้มติดจะมึนตึงเล็กน้อยในเวลานี้ ช่างดูขัดกับเจ้าตัวน้อยขนปุยสีขาวแสนน่ารักน่าเอ็นดูในอ้อมแขนเสียเหลือเกิน
คนหน้ายักษ์อุ้มเจ้าตัวน่ารักเดินเข้ามาหานาง สายตาคมปราบถูกส่งมาให้นางเพียงนี้ นางจะโดนกินหัวไหมล่ะนี่ นางว่านางก็ยังไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลยนะ หรือเขาไปโกรธผู้ใดมากัน....ว่าแต่ซือซืออยู่กับเขา ย่อมแสดงว่าเขาไปหานางที่หอซือซิงมาเป็นแน่
มู่หรงหยางเฉิง เมื่อเห็นการปรากฏตัวของพี่ชาย หัวใจที่กำลังพองโตและสดชื่น ก็พลันเฉาลงได้อย่างประหลาด สีหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย หมดเวลาของเขาแล้วสินะ....
มู่หรงหย่งหมิงก้าวเข้าไปยังจุดที่คนทั้งสองนั้นยืนอยู่ แม้จะวางสีหน้าเรียบเฉยดั่งที่เคยกระทำอยู่เป็นนิจ ทว่าในใจนั้นออกจะขัดเคือง และนึกอยากจะนำสตรีผู้นี้ไปกักขังเอาไว้ให้อยู่แต่ภายในวังจวิ้นอ๋องเสียจริงๆ
ดูเอาเถิด...ปล่อยให้นางคลาดสายตาทีไร ก็มีบุรุษเข้ามาเกี้ยวพานางเสียทุกครั้งไป บางครั้งเขาก็นึกหงุดหงิดใจอยู่มิน้อย ที่ปล่อยให้ใจถลำลึกถึงเพียงนี้ นางเข้ามามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขามากจนเกินไป
กับเจิ้งจิวอิงที่เขาเคยคิดว่าเป็นรักแรก ในตอนนั้นเขาก็ยังมิรู้สึกหึงหวงนางเท่ากับจางซูหนี่ว์ในตอนนี้เลย
จางซูหนี่ว์มักทำให้เขานั้นมีความรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจอยู่บ่อยครั้ง เพียงเป็นเรื่องของนางเท่านั้นไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ก็เรียกความสนใจจากเขาได้เสมอ
โดยเฉพาะเรื่องบุรุษอื่นที่อยู่รอบตัวนาง เขายิ่งต้องใส่ใจตราบใดที่นางยังไม่ตบแต่งให้เขา และผ่านค่ำคืนเข้าหอไปด้วยกันแล้วไซร้ เขาก็ยังมิสามารถวางใจใครได้ ...
ทั้งเค่อเหยียนเหว่ย ต้วนหลี่เจี้ยน มู่หรงหยางเฉิง คนสุดท้ายผู้เป็นน้องชายต่างมารดาของเขานี่ยิ่งประมาทไม่ได้เลย
" ซูหนี่ว์ ถวายพระพรจวิ้นอ๋องเพคะ...ไม่คิดว่าจะได้พบพระองค์ที่นี่ "
นางกล่าวพลางส่งยิ้มไปให้บุรุษผู้มาใหม่เล็กน้อย ความจริงก็หาเรื่องพูดขึ้นมาเท่านั้นล่ะ เห็นเขาอุ้มเจ้าตัวน้อยมาด้วยก็ประจักษ์แก่ใจแล้วว่าตามนางมาเป็นแน่ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เสีย ชวนคุยบ้างเผื่อบรรยากาศจะดีขึ้น...
" เปิ่นหวาง ไปหาเจ้าที่หอซือซิงด้วยมีเรื่องต้องพูดคุย หากแต่พบว่าเจ้าได้ทิ้งซือซือเอาไว้ที่นั่นให้สาวใช้เลี้ยงมันแทน ส่วนตัวเจ้าผู้เป็นมารดาของมันกลับหนีออกมาเที่ยวได้อย่างสบายใจ เปิ่นหวางกลัวลูกของเราจะน้อยใจ จากที่คราแรกจะอยู่รอเจ้าที่นั่น จึงคิดว่าตัวเปิ่นหวางปล่อยให้เจ้าเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่ฝ่ายเดียวมานาน ควรทำหน้าที่บิดาเสียบ้าง เลยพามันตามเจ้ามาที่นี่ด้วยดีกว่า นานๆจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเสียที "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าวออกไปหน้าตาย เขาไม่สนว่าบุรุษอีกคนที่ยืนฟังอยู่นั้นจะคิดอย่างไร เมื่อได้ฟังประโยคเมื่อครู่ เพราะเขานั้นก็หมายใจให้น้องชายต่างมารดารับรู้ในความสัมพันธ์ของเขากับจางซูหนี่ว์ว่ารุดหน้าไปเพียงใดแล้ว
ความจริงเขาคิดว่ามู่หรงหยางเฉิงก็คงจะรับรู้อยู่แก่ใจแล้วล่ะ แต่ก็ยังตัดใจจากสตรีตรงหน้าไม่ได้ อาจจะดูใจร้ายกับผู้เป็นน้องชายไปสักนิดที่คอยตอกย้ำและซ้ำเติมความสัมพันธ์ระหว่างเขาและจางซูหนี่ว์อยู่เสมอ
แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวของผู้เป็นน้องชายเองทั้งนั้น เพราะเขาเองจะไม่ยอมเสียนางไปให้ใครเป็นแน่ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นน้องชายก็ตามที
" หม่อมฉันมาไหว้พระที่วัดเพคะ เกรงว่านำมาด้วยจะไม่สะดวกเท่าไรนัก จึงให้สาวใช้ช่วยดูแลมันแทน "
นางกล่าวออกไป หลังจากที่หายอึ้งไปกับความหน้ามึนและหน้าหนาของจวิ้นอ๋อง แม้เขาจะกล่าวแทนตัวเอง ตัวนาง และเจ้าตัวเล็กขนปุยนี้ว่า บิดา มารดา ลูก อยู่บ่อยครั้ง หากแต่นางก็ยังไม่ชินเสียที
และเกรงว่าผู้อื่นที่ไม่รู้ความเรื่องครอบครัวกระต่าย อาจจะเข้าใจผิดเอาได้ หญิงสาวคิดพลางอดที่จะชำเลืองไปทางองค์ชายห้าไม่ได้
" แล้วอย่างไรล่ะ ไหว้พระขอพรเทพเจ้าเสร็จแล้ว ได้ยินว่าจะไปเที่ยวชมน้ำตกมิใช่หรือ ไปสิ..เปิ่นหวางกับลูกก็จะไปด้วย อีกอย่างจะได้มีเวลาพูดคุยเรื่องสำคัญกับเจ้าด้วย "
มู่หรงหย่งหมิง กล่าวพลางมองหน้าจางซูหนี่ว์
" เรื่องใดหรือเพคะ "
"เรื่องสำคัญมากๆ ไว้ถึงน้ำตกแล้วเปิ่นหวางจะบอก "
" เรื่องไปที่น้ำตกนั่น เอ่อ..."
จางซูหนี่ว์หันกลับไปหาองค์ชายห้า ที่เป็นผู้อาสานำนางเที่ยวน้ำตกแต่แรก อย่างเกรงใจเขายิ่งนัก
มู่หรงหยางเฉิง ที่เงียบไปตั้งแต่การปรากฏตัวของพี่ชาย ซ้ำยังต้องฟังแต่ละประโยคที่คนทั้งสองสนทนากันนั้น เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
เจ็บแท้หัวใจ แต่จะโทษใครได้เล่าในเมื่อตัวเขาตัดใจให้เลิกรักนางไม่ได้เอง....
" ก็ตามที่เปิ่นหวางบอกเจ้านั่นแหละหนี่ว์เอ๋อร์ ว่าเปิ่นหวางจะเป็นคนพาเจ้าไปเอง จะได้ไม่รบกวนเวลาการรักษาคนเจ็บของหยางเฉิง ดูสิคนรอเยอะแยะเชียว "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยแทรก
" ทำตามที่จวิ้นอ๋องกล่าวเถิดซูหนี่ว์ "
ประโยคสั้นๆหลุดออกมาจากปากของมู่หรงหยางเฉิง กว่าที่เขาจะหาเสียงและเค้นมันออกมาเป็นคำพูดได้ช่างยากเย็นนัก ด้วยตอนนี้นั้นเขารู้สึกปวดหนึบไปทั้งใจแล้ว จนยากจะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้
" เพคะ "
จางซูหนี่ว์กล่าวรับคำในที่สุด ใช่ว่านางจะปิดใจจนไม่รับรู้เลยว่าบุรุษตรงหน้ารู้สึกอย่างไรกับนาง ที่ผ่านมาองค์ชายห้าดีกับนางมาก สุภาพ อ่อนโยน ให้เกียรตินางเสมอมา ทั้งก่อนหน้านั้นแม้ว่าจะไม่เชื่อในความรักและไม่คิดจะผูกพันธ์กับใคร
ทว่านางก็เคยคิดเล่นๆอยู่ว่า..หากต้องสร้างครอบครัวจริงๆ นางก็คงจะเลือกผู้ชายที่ดูอบอุ่น อ่อนโยน แสนดีมาเป็นคู่ครอง เทียบกันแล้วองค์ชายห้าผู้นี้ก็ใกล้เคียงกับคนที่นางอยากจะร่วมใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยมากทีเดียว
หากถามว่านางเคยหวั่นไหวกับองค์ชายห้าบ้างหรือไม่ นางก็ขอตอบตามตรงว่าก็มีบ้าง นางก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อมีคนมาทำดีกับนางด้วยใจบริสุทธิ์ย่อมต้องมีหวั่นไหวบ้าง จะเรียกว่าเป็นความรู้สึกดีก็คงจะได้กระมัง
ไม่แน่ว่านางอาจจะรักองค์ชายห้าได้ในสักวันหนึ่ง ถ้าไม่มีบุรุษอีกคนเข้ามาวนเวียนอยู่ภายในใจของนางเช่นตอนนี้ บุรุษที่แทบจะไม่มีสิ่งใดใกล้เคียงกับคนที่นางเคยจินตนาการถึงเลยแม้สักนิดเดียว แต่กลับมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของนางทีละน้อยๆ
" เปิ่นหวางว่าเจ้าไปเตรียมตัวรอเปิ่นหวางที่รถม้าก่อนเถิด แล้วเดี๋ยวเปิ่นหวางจะตามเจ้าไป "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าวขึ้นหลังจากลอบมองปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ ความสงสารจะนำไปสู่ความเห็นใจเขาไม่อยากให้นางเกิดความลังเลใดใด ขณะเดียวกันเขาก็อยากให้มู่หรงหยางเฉิงนั้นตัดใจจากจางซูหนี่ว์เสียที
บางครั้งการพูดออกไปตรงๆ อาจจะเป็นการดีก็ได้ อาจจะเจ็บแต่ก็ยังดีกว่าให้ผู้เป็นน้องชายถลำใจเสน่หาคนที่จะมาเป็นจวิ้นหวางเฟยของเขาเช่นนี้
" เช่นนั้น หม่อมฉันทูลลาองค์ชายห้าเพคะ "
นางถอยออกมาเล็กน้อย และรับเอาซือซือมาจากจวิ้นอ๋อง นางกระชับเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเดินออกมาจากมาตรงนั้น ทั้งที่ภายในใจนั้นก็อดที่จะสงสัยใคร่รู้มิได้ ว่าจวิ้นอ๋องจะกล่าวสิ่งใดกับองค์ชายห้ากันแน่ นึกหวั่นอยู่บ้าง หวังว่าคงจะไม่ใช่เรื่องของนางหรอกนะ
คล้อยหลังสตรีผู้กุมหัวใจของบุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองคนไปเพียงไม่นาน บัดนี้มู่หรงหยางเฉิงเดินตามผู้เป็นพี่ชายที่ก้าวไปยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ไม่ไกลนัก หากแต่ก็ห่างจากกลุ่มคนจนเสียงจอแจนั้นเบาบางลง มุมนี้จึงดูเป็นส่วนตัวมากขึ้นจากเดิมที่ยืนสนทนากันริมทางเดินเมื่อครู่
" ได้ยินว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของเจ้า ข้าขออวยพรให้เจ้ามีความสุข และสมประสงค์ในทุกสิ่งนะหยางเฉิง "
มู่หรงหย่งหมิง กล่าวเกริ่นขึ้นมาก่อน
" ขอบพระทัย พี่รอง "
" เจ้าอ่อนกว่าข้าเพียงปีเดียว เท่ากับว่าวันนี้เจ้าก็คงจะอายุ 24 ปีแล้วสินะ ไม่นานสวี่กุ้ยเฟยก็คงจะเตรียมหาชายาให้เจ้าเป็นแน่ "
" หม่อมฉันยังมิคิดเรื่องนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ "
" ยังไม่คิด หรือยังไม่เจอสตรีใดที่ถูกตาต้องใจ หรือเจอแล้วแต่ยังไม่แน่ใจในความรู้สึก "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยพลางมองสบตากับผู้เป็นน้องชายนิ่ง มู่หรงหยางเฉิงนั้นก็ไม่ต่างกัน เขามองสบตากับพี่ชายต่างมารดา รู้ความนัยในสิ่งที่พี่ชายต้องการจะสื่อ
" หม่อมฉันก็คงจะคิดเช่นเดียวกันกับท่าน พี่รอง คือยังไม่คิดเรื่องคู่ครอง มิเช่นนั้นท่านก็คงแต่งสตรีสักคนสองคนเข้าวังจวิ้นอ๋องเสียตั้งนานแล้ว ส่วนเรื่องที่หม่อมฉันมีสตรีใดอยู่ในใจหรือไม่นั้น ขอตอบตามตรงว่า..มี "
ผู้เป็นน้องชายเอ่ยพลางสบตากับผู้เป็นพี่ชายไม่คิดหลบ ตัวเขาเองก็อยากจะสื่อให้รู้เช่นกันว่าเขานั้นก็มีความจริงใจให้จางซูหนี่ว์ ไม่น้อยไปกว่าพี่ชายเลย
เขาเองก็เป็นลูกผู้ชายพอในเมื่อรัก ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะบอกว่าไม่รัก หากแต่ก็ไม่คิดจะแย่งชิงหรือหักหาญน้ำใจนางมาเป็นของตัว ถ้าในที่สุดแล้วคนที่นางเลือกคือพี่ชายของเขา ก็คงต้องยอมรับการตัดสินใจของนาง
" หึ เมื่อก่อนก็อาจจะใช่ ที่ว่าข้ายังไม่คิดเรื่องคู่ครอง ทว่าตอนนี้ข้าเองก็มีสตรีที่รักยิ่งในดวงใจเสียแล้ว รักมาก และจะไม่ยอมเสียนางไปให้ผู้ใดเด็ดขาด "
คนพี่เอ่ยตอบน้องชาย ทว่าน้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นมาเล็กน้อย ก็ไยจะไม่รู้ว่าสตรีใดที่อยู่ในใจของมู่หรงหยางเฉิง
" เช่นนั้นหม่อมฉันก็ยินดีด้วย ที่พี่รองจะมีจวิ้นหวางเฟยเสียที เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยคงดีพระทัยยิ่ง "
มู่หรงหยางเฉิงกล่าวด้วยใบหน้าที่ขรึมลงไปจากเดิม เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ของพี่ชายที่ยอมรับออกมาตามตรงว่ามีสตรีอันเป็นที่รักยิ่ง เขาคงจะยินดีกับผู้เป็นพี่ชายได้มากกว่านี้ และสนิทใจกว่านี้ ถ้าหากว่านางผู้นั้นจะไม่ใช่คนเดียวกันกับนางในดวงใจของเขาด้วยอีกคน
ใช่ว่าเขาจะไม่พยายามไขว่คว้าหัวใจนางมาครอบครอง แต่เท่าที่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ หัวใจของนางนั้นเอนเอียงไปอยู่ที่พี่ชายของเขาเสียมากกว่าครึ่งแล้ว
เช่นนั้นต่อให้เขาทำดีอย่างไร ก็ยากยิ่งที่จะได้ใจนาง แต่ถึงอย่างนั้นจะตัดใจให้เลิกรักไม่ง่ายเลย
ความรักนั้นยากที่จะเกิด ทว่ายากยิ่งกว่ารักคือสั่งให้ใจเลิกรัก
" ก็คงจะเป็นเช่นนั้น...จะว่าไปข้าดีใจนะที่เจ้าดูสนิทสนมและเป็นกันเองกับจางซูหนี่ว์ ต่อไปเมื่อนางเข้าไปเป็นคนในราชวงศ์ก็เท่ากับเป็นพระญาติของเจ้าคนหนึ่ง "
มู่หรงหย่งหมิงสังเกตว่ามู่หรงหยางเฉิงนั้นเงียบขรึม และนิ่งฟังอยู่ไม่ได้โต้แย้งใด แม้จะนึกสงสารน้องชายอยู่มาก แต่ก็ต้องกล่าวประโยคเหล่านี้ เพื่อให้น้องชายรู้ตัวและตัดใจจากคนรักของเขาเสียที
มิเช่นนั้นหากปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตใจมู่หรงหยางเฉิงให้เจ็บหนักในเรื่องความรักไปมากกว่าเดิม
เพราะรู้ว่ามันเจ็บมากเพียงใด ด้วยเขาก็เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว จึงไม่อยากจะให้น้องชายต่างมารดาผู้นี้ดำเนินเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมกับเขาอีก
" นางคือ..พี่สะใภ้ของเจ้าในเวลาอันใกล้นี้ ความจริงเรื่องนี้ข้ายังไม่ทันได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดมากนัก แต่เห็นว่าเจ้าเป็นน้องชายและเป็นผู้ที่หนี่ว์เอ๋อร์นางให้ความเคารพ จะบอกเจ้าก่อนก็ได้ว่าข้าให้พระมารดาเจรจาสู่ขอหนี่ว์เอ๋อร์กับมารดาของนางแล้ว เรื่องนี้ไทเฮา ฝ่าบาท และฮองเฮา ก็ทรงทราบแล้วเช่นกัน
เฮ้อ..ดูสิ ตอนแรกแค่ต้องการจะอวยพรให้แก่เจ้าประสาพี่น้องเท่านั้น แต่ก็เผลอพูดคุยกับเจ้าเสียตั้งนาน ป่านนี้หนี่ว์เอ๋อร์นางคงรอข้านานแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าค่อยพูดคุยกันใหม่นะ หยางเฉิง "
มู่หรงหย่งหมิง กล่าวพลางระบายยิ้มอ่อน ทั้งขยับเข้าไปตบบ่าน้องชายเบาๆ และเดินจากมา เขาทำดีที่สุดก็เท่านี้...
มู่หรงหยางเฉิง ยืนมองพี่ชายที่เดินจากไปจนลับสายตา นางเลือกแล้วใช่ไหม เขาควรต้องยินดีกับผู้เป็นพี่ชายและสตรีที่เขารักใช่ไหม
รู้ว่าตัวว่าคงหมดโอกาสที่จะรั้งใจนางให้หันมามองเขาแล้ว อีกไม่นานนางกำลังจะเปลี่ยนสถานะ จากสตรีที่เขาหลงรัก มาเป็นพี่สะใภ้....
ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่ใต้ร่มไม้นั่น หัวใจเหนื่อยล้าจนไม่อยากจะทำสิ่งใดอีกต่อไป ในความคิดมันสับสน ใบหน้าของจางซูหนี่ว์ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง คำพูด รอยยิ้ม แววตา ใบหน้างามนั้นยังตราตรึงอยู่ในความคิดและหัวใจของเขา พอๆกับคำพูดของผู้เป็นพี่ชายที่แว่วเข้ามา ว่านางคือพี่สะใภ้ของเขา...
อีกด้านหนึ่งภายนอกกำแพงวัด...
จางซูหนี่ว์นั้นกำลังยืนรอจวิ้นอ๋องอยู่ที่รถม้า โดยมีคนของนางที่นำมาด้วยยืนอยู่ไม่ไกลเพื่อคอยอารักขาความปลอดภัยให้นาง ยกเว้นเพ่ยเพ่ยที่ยืนก้มหน้าหลบสายตานายสาว ที่กำลังจ้องมายังตนอย่างคาดคั้น
" ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ข้ารู้นะเพ่ยเพ่ย ว่าเจ้ารู้แต่แรกว่าองค์ชายห้าเสด็จมาที่นี่วันนี้ เจ้าจึงได้ชวนให้ข้ามาที่นี่ใช่หรือไม่ "
หญิงสาวเอ่ยเสียงเข้ม นางไม่ชอบให้เพ่ยเพ่ยทำตัววุ่นวายและก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนางเช่นนี้ เหตุใดจะไม่รู้ว่าสาวใช้ทำเช่นนี้ทำไม ในเมื่อเพ่ยเพ่ยเอ่ยยกย่องชมเชยองค์ชายห้าให้นางฟังอยู่บ่อยครั้ง
นางรู้ว่าเพ่ยเพ่ยหวังดี และอยากให้นางเลือกและลงเอยกับองค์ชายผู้นี้ หากแต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของนาง ที่นางจะต้องตัดสินใจเอง ไม่ใช่ให้ใครมาตัดสินใจให้เพราะเห็นว่าเหมาะสมกันเท่านั้น
" เพ่ยเพ่ยขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู แต่ว่าเพ่ยเพ่ยหวังดีจริงๆ องค์ชายห้าทรงเป็นคนดีมาก ก็อยากให้คุณหนูเปิดใจให้องค์ชายบ้างเท่านั้น "
สาวใช้อ้อมแอ้มตอบผู้เป็นนายออกมา ด้วยก็รู้ตัวว่าตนนั้นผิดแต่ก็มิวายเอ่ยจุดประสงค์ของตนเอง
" มันเป็นเรื่องส่วนตัวของข้านะเพ่ยเพ่ย ข้าจะรักใครชอบใครต้องให้เจ้าคอยบอกหรือไม่ ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกับข้า ไหนจะใช้เล่ห์ลวงข้ามาที่นี่อีก เจ้าเป็นคนสนิทที่ข้าไว้ใจมากคนหนึ่ง กลับหลอกลวงข้าได้ แล้วต่อไปข้าจะไว้ใจเจ้าได้อย่างไร "
จางซูหนี่ว์เอ่ยอย่างนึกเคืองสาวใช้ หากว่าจุดประสงค์ของสาวใช้ไม่ทำไปเพราะหวังดีกับนางทั้งหมด นางคงสั่งโบยตามธรรมเนียมไปแล้ว หากสาวใช้ทำผิดต่อผู้เป็นนายจะสั่งโบย สำหรับคนที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่นางก็ไม่นิยมการทำร้ายร่างกายผู้อื่นเช่นนั้น หากว่าไม่จำเป็นจริงๆ
" คุณหนูยกโทษให้เพ่ยเพ่ยเถิดนะเจ้าคะ เพ่ยเพ่ยผิดไปแล้วจริงๆ แต่ว่าไม่ได้มีเจตนาจะหลอกลวงอะไรคุณหนูเลยนะเจ้าคะ ทำไปเพราะหวังดีเท่านั้น จึงไม่ทันคิดถึงความรู้สึกของคุณหนู เพ่ยเพ่ยจะไม่ทำอีกแล้ว "
สาวใช้รีบคุกเข่าลงต่อหน้าผู้เป็นนายอย่างสำนึกผิด พลางกล่าวน้ำตารื้น เมื่อเห็นว่าคุณหนูนั้นโกรธตนเองอยู่มากทีเดียว
" แต่บางครั้งความหวังดี ก็สามารถกลายเป็นความประสงค์ร้ายได้นะเพ่ยเพ่ย "
จางซูหนี่ว์เห็นสาวใช้หน้าจ๋อยน้ำตารื้นด้วยสำนึกผิด ก็ใจอ่อนอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังแสร้งทำหน้าขรึม ขึงโกรธนางอยู่ เพราะเกรงว่าหายโกรธเคืองเพ่ยเพ่ยเร็วไปนัก นางจะได้ใจและไม่จดจำเหตุการณ์นี้ ครั้งหน้าก็อาจจะก้าวก่ายมาคิดแทนนาง ในเรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัวของนางอีก
" อย่างไรเจ้าคะ เพ่ยเพ่ยไม่เข้าใจ "
นางหวังดี แล้วจะกลายเป็นการทำร้ายคุณหนูได้อย่างไร
" ความรักมันห้ามกันได้หรือเพ่ยเพ่ย มันสามารถกำหนดได้หรือว่าจะต้องรักเพียงคนที่เขาดีพร้อม และเหมาะสมกับเรา ข้าจะบอกให้นะว่าไม่ได้หรอก "
แน่ล่ะ...ขนาดนางไม่คิดจะรักและผูกพันธ์กับใคร ยังเผลอให้บุรุษเจ้าเล่ห์ผู้นั้นทลายกำแพงในจิตใจของนางทีละนิดทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว เข้ามาก่อกวนในหัวใจของนาง
มารู้ตัวอีกทีก็มีคนผู้นี้อยู่ในห้วงความคิดและจิตใจเสียแล้ว มันห้ามกันได้ที่ไหน
" สมมติว่าถ้าข้าเลือกใครสักคนที่เหมาะสมกับเจ้า ให้เจ้าแต่งงานด้วย โดยที่แท้จริงแล้วเจ้ามิได้มีใจรักใคร่ชอบพอคนคนนั้นเลย ต่อให้เขาเพียรทำดีกับเจ้าอย่างไร เจ้าอาจจะรักเขาได้ในสักวัน แต่ถ้าหากว่าไม่รักล่ะ ความหวังดีของข้าจะกลายเป็นการทำร้ายพวกเจ้าในทันที เจ้าทั้งสองคนจะไม่มีโอกาสได้พบใครที่พวกเจ้ารักและเขาก็รักเจ้า ต้องจมปรักอยู่กับชีวิตคู่ที่ข้าเลือกให้เพราะความเหมาะสม ความรักมันบังคับไม่ได้ จะดีจะร้ายอย่างไรเราก็สมควรเป็นผู้เลือกมันเอง จะผิดจะถูก จะมีสุขหรือไม่มีอย่างไรก็จะได้รู้ว่าเราเป็นผู้เลือกมันด้วยตัวเอง "
" เพ่ยเพ่ยเข้าใจคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ "
สาวใช้เมื่อได้ฟังก็หน้าจ๋อยและรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม ทว่ากลับเข้าใจเหตุผลและความรู้สึกของนายสาวมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
" เพราะฉะนั้นอย่าได้ทำอีกเพ่ยเพ่ย อย่าคิดหรือตัดสินแทนคนอื่นว่าสิ่งนี้ดี หรือควรจะรักใคร ความสุขของคนเราน่ะไม่เหมือนกัน บางครั้งคนที่เราคิดว่าไม่เหมาะสมกับเรา แตกต่างจากเรา ก็อาจจะเป็นผู้เติมเต็มในสิ่งที่เราขาดหายไปก็ได้ "
จางซูหนี่ว์พูดออกไปเช่นนั้นก็จริง แต่จะใช่เหตุผลเดียวกับที่นางเผลอมีใจให้กับจวิ้นอ๋องหน้ายักษ์นั่นหรือไม่ก็สุดจะรู้ได้ จะหาเหตุผลอะไรกับคำว่ารักกัน...
หญิงสาวเอ่ยบอกให้สาวใช้ที่นั่งคุกเข่าต่อหน้านางนั้นลุกขึ้น ด้วยเห็นว่าจวิ้นอ๋องนั้นได้เดินมายังทิศทางที่นางและเพ่ยเพ่ยยืนรออยู่ แต่นางก็ยังคงแสร้งตีหน้าขรึมใส่เพ่ยเพ่ยอยู่ หายโกรธง่ายไปเดี๋ยวได้ใจ
เรื่องเคืองสาวใช้ก็จัดการไปแล้ว แต่สำหรับบุรุษเจ้าเล่ห์ที่เดินส่งยิ้มมาให้นางแต่ไกลนั่น ก็คงต้องมีการว่ากล่าวกันบ้างล่ะ ไอ้เรื่องทำให้ผู้อื่นเข้าใจนางผิดนี่ถนัดนักนะ หมั่นไส้....
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ท่านอ๋องรีบไปจัดการเรื่องสาวอุ่นเตียงด่วนเลย
ท่านอ๋องก็จะซึนๆหน่อย ชอบความตรงๆของนาง555 รักก็บอกว่ารักไปและบางมุมก็มีความเป็นผู้ใหญ่(ตามอายุ) ส่วนหนูหนี่ว์ของเรา ชอบที่นางเป็นคนคิดเป็น อาจจะที่ว่าเคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อนพอมาอยู่ในร่างเด็ก(สาว) ก็ยังมีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ในหลายๆมุม ได้ใจรีดไปเลยค่ะ
และก็พี่ใหญ่ รอติดตามค่ะ (แอบเสียดาย เค้ารักคนนี้TT ไม่อยากให้หญิงใดครอบครอง)
ส่วนพี่ไรท์นี่ รีดเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ เอาไปล้านกำลังใจเลย
ดีใจที่มีคนชอบและติดตามค่ะ ชอบที่มีคนอ่านและวิจารณ์ตัวละครนะ มันอาจจะถูกใจใครหลายคน และไม่ถูกใจใครบ้าง แต่ว่าคนเรามันมีหลายอารมณ์ความรู้สึกในคนคนเดียว ไม่มีใครโง่ หรือฉลาดตลอดเวลา ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ ย่อมมีผิดมีพลาดกันได้
ไรต์จึงไม่เขียนให้คนหนึ่งคนเพอร์เฟ็คสมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ นางเอกเองบางทีก็เก่งในบางเรื่อง โง่ในบางเวลาเหมือนกัน 55555
ทั้งนี้ก็ขอให้อ่านอย่างมีความสุขและสนุกไปกับทุกตัวละครนะคะ ไรต์ดีใจที่รี้ดชอบ สัญญาว่าจะอัพให้เรื่อยๆสม่ำเสมอ (แม้ส่ามันจะเหนื่อยมากก็ตาม แต่ก็คุ้มค่าและมีความสุข)