ตอนที่ 35 : สถานการณ์สร้างรัก (รีไรต์)
...เคร้งงงง....
เสียงข้าวของซึ่งวางอยู่บนโต๊ะที่ต้วนหลี่เจี้ยนเซไปปะทะนั้น หล่นลงพื้นกระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจานกับแกล้มและขนม รวมถึงจอกสุราที่ทำจากกระเบื้องเคลือบอย่างดีนั้นหล่นพื้นแตกเป็นเสี่ยง แขกที่นั่งอยู่ใกล้บริเวณนั้นรีบขยับกายให้พ้นรัศมีการทำลายล้างนี้ ซึ่งหากอยู่ใกล้อาจทำให้ได้รับลูกหลงจากเหตุการณ์เบื้องหน้าเอาได้
ต้วนหลี่เจี้ยนที่ยังมีอาการมึนงงจากหมัดหนักๆเมื่อครู่นั้น ยังไม่ทันได้หันกลับไปมองว่าผู้ใดกันที่กล้าทำร้ายเขาเช่นนี้ หากแต่สายตานั้นเหลือบไปเห็นความแหลมคมจากเศษกระเบื้องที่พื้นนั่นเสียก่อน จึงรีบคว้ามันเอาไว้อย่างรวดเร็วพลางใช้มือบังเอาไว้ ก่อนจะรีบหันกลับไปปะทะกับคนที่มันทำร้ายเขา ทั้งตวัดเศษกระเบื้องในมือที่บัดนี้กลายเป็นอาวุธมีคม ซึ่งสามารถทำร้ายอีกฝ่ายให้บาดเจ็บได้เช่นกันหากไม่ทันระวัง
เขาโถมกายเข้าใส่คนตรงหน้าด้วยความโกรธสุดขีดและมุ่งจะทำร้าย โดยไม่ทันสนใจที่จะมองหน้ามันผู้นั้นด้วยซ้ำไป ขอให้มันได้เจ็บอย่างที่เขาเจ็บเสียก่อนเถิด เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง...
เป็นจังหวะที่มันหันไปมองสตรีโฉมงามนางนั้นที่ยืนอยู่ไม่ไกล เสี้ยวเวลาเพียงนิดที่เขาฉวยโอกาสนี้ตวัดอาวุธในมือใส่บุรุษร่างสูงตรงหน้า
" ระวังเพคะ "
จางซูหนี่ว์ที่เห็นเหตุการณ์ก่อน รีบร้องเตือนจวิ้นอ๋องที่เผลอหันหน้ามาดูอาการของนางด้วยความเป็นห่วง หากแต่เป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายลอบทำร้ายเอาได้
หวืดดด
มู่หรงหย่งหมิงเอี้ยวตัวหลบการมุ่งร้ายจากคนที่โถมเข้ามา ถึงแม้ว่าจะโกรธและโมโหบุรุษจากสกุลต้วนมากมาย จนอยากจะหั่นมันเป็นชิ้นๆสักพันสักหมื่นชิ้นเพียงใด ที่หาญกล้ามาฉวยโอกาสแตะต้องมารดาของลูกเขาในอนาคต ช่างบังอาจนัก ท่าทางคงมิอยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วกระมัง....
หากแต่ความห่วงใยในตัวสตรีผู้เป็นที่รักย่อมมีมากกว่า จึงอดที่จะหันมามองนางด้วยใจที่เป็นห่วงไม่ได้ และแม้ว่าจะระวังตัวและเอี้ยวตัวหลบทันมิโดนคมจากอาวุธนั่นโดยตรง แต่ก็ถากแขนเขาไปจนได้เลือดอยู่มิน้อย ยังดีว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ในวันนี้นั้นหนาอยู่พอสมควร จึงทำให้ลดแรงปะทะจากคมกระเบื้องทำให้บาดแผลนั้นไม่ลึกมากนัก และเท้าของเขาก็ไวเท่าความคิด ยกมันขึ้นถีบคนตรงหน้าสวนกลับไปเต็มแรงในทันที....
' พลั๊กกกก '
' อั๊คคคคค '
คุณชายสกุลต้วนผู้หยิ่งยโสท่าทางอวดดีเมื่อสักครู่ บัดนี้กระเด็นลงไปกองอยู่ที่พื้นไร้มาดคุณชายใดใด โดยมีผู้ติดตามที่มาด้วยในตอนแรกนั้นรีบเข้ามาพยุงผู้เป็นนาย ในตอนแรกพวกมันก็ตั้งท่าจะเข้าไปช่วยเจ้านาย ทว่ากลับต้องเปลี่ยนความคิดกะทันหัน
เพราะเมื่อหันไปมองคู่กรณีที่มาใหม่ของผู้เป็นนาย ก็ต้องหยุดความคิดที่จะเข้าไปช่วยเหลือในบัดดล เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงจวิ้นอ๋อง ทั้งยังรั้งตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้น ฉายาอ๋องกระดูกเหล็ก อันเป็นที่รู้กันดีว่าสามารถตัดหัวข้าศึกได้โดยไม่กระพริบตาเลยทีเดียว หากเข้าไปช่วยผู้เป็นนายในตอนนั้นเห็นทีศีรษะคงได้ปลิดปลิวหลุดออกจากบ่าเป็นแน่
ต้วนหลี่เจี้ยนนั้นทั้งเจ็บและจุกจนพูดอะไรไม่ออก ทว่าเมื่อได้เห็นผู้ที่มีเรื่องกับเขาอย่างเต็มตา ก็ให้ตกตะลึงพรึงเพริดด้วยว่าคนที่มีเรื่องกับเขานั้นหาได้เป็นคนธรรมดาไม่ แต่เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง เขารู้สึกได้ว่าหัวใจของเขานั้นหล่นไปอยู่ที่พื้นเสียแล้ว ความหยิ่งยโสและทระนงตนว่ามีอำนาจและอิทธิพลมากกว่าใครในที่นี้ กลับมลายหายไปจนหมดสิ้น
" จะ จวิ้นอ๋อง "
คุณชายสกุลต้วน เอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก ด้วยรู้ตัวดีว่าในตอนนี้ตนมีความผิดติดตัวอยู่ที่ทำร้ายเชื้อพระวงศ์ เขาเหลือบไปมองที่ต้นแขนของบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าซึ่งมีโลหิตไหลซึมออกมา ก็ยิ่งหน้าเผือดสีลงไปอีก ตื่นตระหนกยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่น่าหาเรื่องให้ตนเองเลยจริงๆ...
" ใช่ เปิ่นหวางเอง "
ใบหน้าถมึงทึง น้ำเสียงเยียบเย็น ดวงตาวาวโรจน์ เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้คุณชายสกุลต้วนผู้นั้น ซึ่งขณะนี้ตัวสั่นเทิ้มด้วยความเกรงกลัว (ตาย) ใบหน้านั้นซีดแล้วซีดอีก
" ได้โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจคิดทำร้ายพระองค์แต่อย่างใด มันเป็นความเข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าเป็นคนอื่นที่เข้ามาทำร้าย จึงป้องกันตัวเองออกไป หากรู้ก่อนว่าเป็นพระองค์กระหม่อมคงมิบังอาจเป็นแน่ "
ต้วนหลี่เจี้ยนรีบเอ่ยคำแก้ตัวอย่างรวดเร็ว แม่ว่ามันอาจจะฟังไม่ขึ้นเท่าไร แต่ก็ขอให้ได้ยกหาเหตุผลมาอ้างสักหน่อย เผื่อจวิ้นอ๋องจะทรงมีพระเมตตาผ่อนปรนโทษทัณฑ์ให้เขาบ้าง
" เจ้ากำลังจะบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้น ไม่ได้ตั้งใจแต่เป็นอุบัติเหตุ เป็นความเข้าใจผิดเช่นนั้นหรือ "
น้ำเสียงเข้มที่กดต่ำลงของจวิ้นอ๋อง ให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นต่อผู้ที่ได้ฟังไม่น้อย โดยเฉพาะคู่กรณีอย่างต้วนหลี่เจี้ยน ที่กำลังก้มหน้าหลบสายตาของบุรุษสูงศักดิ์อยู่ในขณะนี้
หากมองในมุมของคนที่ยืนสังเกตการณ์ภายนอกนั้น คุณชายต้วนก็เปรียบดั่งลูกแกะตัวจ้อยที่พยายามกระทำตัวประหนึ่งพยัคฆ์ หากแต่ไม่ว่าอย่างไรแกะก็คือแกะ มิอาจเทียบเคียงพยัคฆ์ที่สง่างามได้เลย
" เอ่อ พะ พะ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้ตั้งใจจริงๆ "
คุณชายสกุลต้วน เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ซึ่งกว่าจะหาเสียงตัวเองและเค้นมันออกมาเป็นคำพูดได้ก็ลำบากนัก ในใจนั้นรีบคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว ไม่แคล้วต้องอ้างถึงผู้เป็นบิดาและต้วนฮองเฮาผู้เป็นอาดั่งเดิม หากแต่ก็มิแน่ใจเท่าใรนักว่าจะได้ผลกับบุรุษตรงหน้าหรือไม่ ด้วยเท่าที่ได้ฟังบิดานั้นกล่าวให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง ว่าจวิ้นอ๋องผู้นี้มิได้เห็นใครอยู่ในสายตาเท่าใดนัก
กระทั่งฮองเฮายังไม่เสี่ยงที่จะปะทะกันโดยตรงกับบุรุษผู้นี้เลย แล้วเช่นนี้ชะตาชีวิตเขาจะเป็นเช่นใดหนอ หันไปส่งสายตาอ้อนวอนอยู่ในทีให้กับสตรีที่ยืนอยู่ทางเบื้องหลังของจวิ้นอ๋องในขณะนี้ ยอมลดศักดิ์ศรีขอให้นางช่วยเช่นนี้ช่างน่าอัปยศยิ่ง หากแต่ถ้ามันต้องแลกกับการรับโทษจากบุรุษเบื้องหน้านี้เขาก็ยอมทำทุกอย่างจริงๆ
" เจ้าใช้อิทธิพลของตระกูลต้วน ข่มขู่และก่อกวนกิจการของผู้อื่น ฉวยโอกาสคิดลวนลามจางซูหนี่ว์ ทำร้ายเปิ่นหวางผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ เจ้ากลับบอกไม่ตั้งใจ เป็นการเข้าใจผิดเช่นนั้นหรือ พูดมา..."
เขาถามเสียงเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะกลายเป็นตะคอกในประโยคสุดท้าย ยิ่งนึกถึงภาพชายตรงหน้านำมืออันน่ารังเกียจนั่น แตะต้องกายของจางซูหนี่ว์ ถึงจะแค่เพียงข้อมือของนางก็เถิด มู่หรงหย่งหมิงก็โกรธจนมิรู้จะกล่าวเช่นใดแล้ว
ทั้งมันยังคิดจะยื่นหน้าหมายจะเข้าไปจูบนางอีก หากว่าตอนนี้มิได้มีสายตารู้เห็นของชาวบ้านผู้บริสุทธิ์จับจ้องอยู่มากมาย เขาคงลุแก่โทสะปลิดชีพชายผู้นี้ไปเสียแล้ว หากแต่ก็ไม่อยากให้การตายของมันเป็นเสนียดแก่สายตาผู้ที่ได้พบเห็นเช่นกัน
" กระหม่อมขอประทานอภัยด้วย กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมผิดไปแล้ว "
เมื่อเจอเสียงตวาดของจวิ้นอ๋องเข้าไป ต้วนหลี่เจี้ยนก็สติแตกทำอะไรไม่ถูกได้แต่ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงนั้น
หญิงสาวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆนั้น ก็อึ้งไปกับโทสะของบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าไม่น้อย ยอมรับว่านางก็ตกใจมากอยู่เหมือนกัน ที่ได้เห็นอารมณ์โกรธของจวิ้นอ๋อง สีหน้าดุดัน แข็งกร้าว นัยน์ตาของเขาที่ค่อยๆวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ
ที่ผ่านมานางเคยเห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยไม่สนใจใคร หรือไม่ก็รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทั้งใบหน้าอ่อนโยนขยันยิ้มนี่ก็เพิ่งจะมาได้เห็นในช่วงหลังๆเช่นกัน หากไม่พอใจสิ่งใดก็เพียงนิ่งขรึมเท่านั้น ไม่เคยเห็นอีกด้านของโทสะเช่นนี้ เลยทำให้นางไม่กล้าที่จะยื่นมือเข้าไปแทรกตั้งแต่ต้น
หากแต่ตอนนี้คงต้องทำใจดีสู้เสือเสียแล้ว มิเช่นนั้นได้มีการตายเกิดขึ้นในหอซือซิงของนางเป็นแน่....
" จวิ้นอ๋องเพคะ "
นางค่อยๆเดินเข้าไปหาบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้า พลางยื่นมือข้างที่ไม่เจ็บนั้นแตะลงที่แขนของเขาเพื่อเรียกสติ ซึ่งเขาก็หันกลับมามองนาง ทั้งปรับสีหน้าให้คลายความดุดันลง จึงทำให้นางใจชื้นขึ้นมาบ้าง จากที่ตอนแรกเข้าไปแทรกยังกลัวอยู่ว่าจะโดนลูกหลงจากความโมโหโกรธาของเขาหรือไม่
" เจ้าจะให้เปิ่นหวางทำสิ่งใดกับชายผู้นี้ดี ที่บังอาจฉวยโอกาสกับเจ้า "
" ให้เขากล่าวขอโทษหม่อมฉันต่อหน้าผู้อื่น และชดใช้ค่าเสียหายและค่าเสียเวลาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในค่ำคืนนี้ และสัญญาว่าจะไม่กลับมาที่นี่ หรือระรานหม่อมฉันและคนที่หอซือซิงอีกก็เพียงพอแล้วเพคะ "
นางมิใช่คนดีอะไรนักหรอก ใจจริงก็อยากให้คุณชายผู้นี้โดนสั่งสอนมากกว่านี้ด้วยซ้ำ คนที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจและเหลิงในอำนาจ หยิ่งผยองในศักดิ์ศรีอันไม่ได้สร้างมาด้วยตนเองอย่างต้วนหลี่เจี้ยน ผ่านเหตุการณ์นี้ไปก็คงมิสำนึกหรอก แต่นางก็ไม่อยากให้กิจการของนางมีปัญหาในภายภาคหน้าเช่นกัน จึงตัดบทกล่าวออกไปเช่นนั้น
" ขอบคุณแม่นางที่ให้อภัยข้า ข้ายินดีชดใช้ทุกสิ่ง ทั้งขออภัยที่ได้ล่วงเกินแม่นาง ข้าสัญญาจะไม่กลับมาที่นี่อีกเด็ดขาด "
ต้วนหลี่เจี้ยนได้ยินที่จางซูหนี่ว์กล่าว ก็ละล่ำละลักให้คำมั่นสัญญาต่อสตรีตรงหน้าทันทีด้วยความดีใจ
" คุณหนูจางให้อภัยเจ้านั่นก็ส่วนของนาง แต่ที่เจ้าทำร้ายเปิ่นหวางก็อีกเรื่อง "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยขึ้น ส่งผลให้ชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้านั้นชะงักไปทันที
" พระทัยเย็นก่อนนะเพคะ หม่อมฉันไม่อยากให้พระองค์มีศัตรูเพิ่มเพราะหม่อมฉัน คิดทำสิ่งใดขอทรงไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิด ที่นี่คนคนเยอะ จะทำอะไรอย่าให้ประเจิดประเจ้อนัก และอย่าให้ถึงตายก็เพียงพอ "
นางขยับเข้าใกล้ และกระซิบเสียงเบาให้เขาได้ยินเพียงคนเดียว ก็บอกแล้วว่านางไม่ได้จิตใจดีเป็นนางชีนักหรอก เรื่องของนางก็จบไปแล้ว ส่วนเรื่องของจวิ้นอ๋องคิดว่าคงจะไม่จบง่ายๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากให้เขาบุ่มบ่ามทำอะไรในขณะที่ยังมีโทสะเช่นนี้
ดูก็รู้ว่าเขาไม่ใคร่จะพอใจนักที่นางไม่เอาความกับต้วนหลี่เจี้ยน แล้วนิสัยของจวิ้นอ๋องเรื่องจะให้ยอมความนั้นคงไม่ใช่วิสัยเป็นแน่ แต่อย่างไรเขาก็ไม่ได้ทักท้วงความคิดของนางแต่อย่างใด
มู่หรงหย่งหมิงยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ต้องอย่างนี้สิ..เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงยอมความง่ายดายนัก ลำพังนางนั้นหากสู้หรือเอาความซึ่งหน้า ก็อาจจะมีผลเสียหรือผลกระทบนางจึงเลือกที่จะยอมความ แต่ถ้าหาทางสั่งสอนวิธีอื่นผลเสียย่อมน้อยกว่า...
" เอาล่ะ...เรื่องของเจ้านั้นโทษถึงประหาร แต่เปิ่นหวางจะเห็นแก่พระพักตร์ของต้วนฮองเฮาสักครา ครั้งนี้จะไม่เอาโทษถึงเพียงนั้น "
" ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ "
" เจ้าจงคุกเข่า เพื่อสำนึกผิดที่ด้านหน้าหอซือซิง พร้อมทั้งกล่าวขอโทษเปิ่นหวางและคุณหนูจาง เป็นเวลาสามชั่วยาม (หกชั่วโมง) ห้ามลุกขึ้นเด็ดขาด เจ้ายินดีจะทำหรือไม่ หาไม่แล้วก็คงต้องส่งเจ้าให้ทางการดำเนินการต่อไป "
" กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ ถือเป็นพระกรุณายิ่งแล้วที่ไม่ทรงมอบโทษตายแก่กระหม่อม "
ต้วนหลี่เจี้ยนเอ่ยขึ้น จะว่าดีใจที่พ้นโทษตายก็ดีใจอยู่หรอก แต่โทษใหม่แม้จะเบากว่ามาก หากแต่มันก็น่าอับอายขายหน้าน้อยเสียเมื่อไร คุกเข่าและกล่าวขอโทษเป็นเป็นเวลาถึงสามชั่วยาม มันก็คือการให้เขาประจานความผิดนั้นด้วยตัวของเขาเอง
ช่างน่าอัปยศอดสูนัก ผู้เป็นหลานชายฮองเฮาของแผ่นดินต้องมาทำอะไรเช่นนี้ หากแต่ก็ต้องจำยอมทำด้วยมิอาจหลีกเลี่ยง เพราะความผิดที่ได้กระทำนั้นยากที่ฮองเฮาจะยื่นมือเข้ามาช่วย
คล้อยหลังที่ผู้ติดตามของต้วนหลี่เจี้ยนพยุงผู้เป็นนายไปด้านหน้าหอซือซิง เพื่อกระทำตามสิ่งที่จวิ้นอ๋องทรงกล่าวแล้ว จางซูหนี่ว์จึงหันมามองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายนางขณะนี้ ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา...
" ไยจึงมองเปิ่นหวางเช่นนั้น "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นสายตาของจางซูหนี่ว์ที่ใช้มองเขา มันดูแปลกไปกว่าที่เคย หรือนางจะนึกกลัวที่เห็นเขาแสดงโทสะใส่คุณชายสกุลต้วนเมื่อครู่ นางอาจตกใจและกลัวเขาก็เป็นได้
" ขอบพระทัยเพคะ ที่ช่วยเหลือหม่อมฉันจากคุณชายต้วน "
" เปิ่นหวางจะไม่ยอมให้ใครแตะต้อง หรือทำร้ายเจ้าได้หรอกหนี่ว์เอ๋อร์ ตราบใดที่เปิ่นหวางยังมีชีวิตอยู่ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยดั่งให้คำมั่นสัญญากับสตรีตรงหน้า คิดทำร้ายเขานั้นยังไม่เท่าไร แต่ถ้าหากใครที่คิดร้ายกับสตรีที่เขารักเมื่อไรเป็นได้เห็นดีกันแน่
" เพคะ "
นางเอ่ยเพียงเท่านั้น พลางส่งยิ้มให้กับบุรุษตรงหน้า เป็นยิ้มที่ออกมาจากใจของนางจริงๆ ไร้ความอคติใดใดที่มีมาเหมือนเคย และเป็นยิ้มที่นางคิดว่าคงอ่อนหวานที่สุดเท่าที่นางเคยยิ้มให้คนตรงหน้านับตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมา อาจเป็นเพราะนางเปิดใจที่จะมองบุรุษตรงหน้าในอีกด้านหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะนางมีใจให้กับบุรุษผู้นี้ ยิ้มนี้จึงอ่อนหวานได้มากกว่าที่เคยยิ้ม
มู่หรงหย่งหมิงยืนตะลึงไปกับรอยยิ้มหวานของสตรีที่เขามีใจให้ รอยยิ้มเช่นนี้ที่อยากเห็นมาโดยตลอดในที่สุดก็ได้เห็นเสียที ก้อนเนื้อที่อกด้านซ้ายนั้นให้รู้สึกว่ามันพองโตอย่างน่าประหลาด
ภายในห้องที่ใช้ในการรับรองแขกสำคัญ ณ หอซือซิง
สาวใช้คนสนิทของจางซูหนี่ว์ นำอ่างใบย่อมที่บรรจุน้ำใสสะอาด พร้อมทั้งผ้าสีขาวและสมุนไพรรักษาบาดแผล ทั่งตลับยาทา มาวางบนโต๊ะเสร็จแล้วจึงถอยออกมาอยู่ข้างๆเผื่อว่าผู้เป็นนายสาวจะเรียกใช้สิ่งใด
มู่หรงหย่งหมิงเหลือบมอบจางซูหนี่ว์ ซึ่งยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ พลางปรายสายตาไปมองยังสาวใช้ของนางที่ยืนสงบนิ่งอยู่ทางด้านหลังของนายสาว ก็ให้นึกรำคาญใจนัก ตัวเขาเองยังสั่งให้ผู้ติดตามรออยู่ทางด้านนอกเลย เพราะเกรงว่าจะเข้ามาเกะกะ ช่วงเวลาที่จะได้พูดคุยกับสตรีตรงหน้าเป็นการส่วนตัว
" ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันขอทำแผล "
หญิงสาวกล่าวกับบุรุษที่นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้า พลางขยับกายเข้ามาหมายจะทำความสะอาดบาดแผลให้ เพ่ยเพ่ยเองก็ขยับเข้ามาเพื่อจะช่วยนางหยิบจับสิ่งของ ทว่าเสียงจากบุรุษเพียงหนึ่งเดียวกลับเอ่ยขึ้น...
" ออกไป "
เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ ทั้งยังนั่งยิ่งไม่ยอมขยับแต่อย่างใด
อ้าว...จะเอาอย่างไรกันแน่ หญิงสาวงงงันในสิ่งที่จวิ้นอ๋องได้กล่าวเมื่อสักครู่ คราแรกจะให้คนไปตามหมอมารักษาบาดแผลให้ก็ไม่ยอม บอกว่าบาดแผลเพียงแค่นี้ให้นางทำแผลให้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตามหมอมาให้ยุ่งยากและเอิกเกริกจนเกินไปนัก
" ถ้าหม่อมฉันออกไปแล้วใครจะทำแผลให้จวิ้นอ๋องล่ะเพคะ หรือว่าจะทรงให้หม่อมฉันตามผู้ติดตามของพระองค์เข้ามาทำให้ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยถามออกไป
" เปิ่นหวางมิได้หมายจะไล่เจ้า แต่เปิ่นหวางหมายถึงสาวใช้ของเจ้าต่างหากเล่า "
" แล้วเหตุใดเพ่ยเพ่ยจะต้องออกไปจากห้องนี้ด้วยเล่า เพคะ "
" แล้วไยเจ้าต้องถามทุกคำที่เปิ่นหวางกล่าวด้วยล่ะ "
มู่หรงหย่งหมิงคงตอบกลับนางไปแล้ว หากไม่มีสาวใช้ของนางยืนอยู่ในห้องนี้ด้วย ว่าเพราะอยากอยู่กับนางสองต่อสองบ้าง หลายวันนี้ภารกิจของเขารัดตัวนัก ไม่ได้เจอนางเสียตั้งหลายวัน ก็อยากคุย อยากสนทนา อยากเห็นหน้า อยากสบตา อยากเห็นรอยยิ้มของนาง มิได้หรือ....
เขาวางหน้าขรึมมิยอมขยับตัวแต่อย่างใด นิ่งเงียบไปได้สักครู่ วัดใจกันไปว่าเพียงเท่านี้นางจะทำให้เขาไม่ได้ ทั้งที่บาดแผลนี้ก็ได้มาจากการเข้าไปช่วยนางแท้ๆ
จางซูหนี่ว์มองคนตรงหน้าที่นั่งนิ่งอยู่เช่นนี้ได้สักครู่หนึ่งแล้ว ใช่ว่าจะไม่เคยอยู่สองต่อสองกับจวิ้นอ๋องหรอกนะ หากแต่นางก็มีเหตุผลที่ให้เพ่ยเพ่ยอยู่กับนางในห้องนี้ ก็เพราะว่าที่นี่คือหอซือซิง เป็นสถานที่เปิดที่คนนอกสามารถเข้าออกได้ มิใช่ห้องทรงงาน ภายในวังของจวิ้นอ๋องดั่งที่ผ่านมา ซึ่งนั่นอย่างไรก็มีแต่คนในทั้งนั้น
เพ่ยเพ่ยที่ลอบมองเหตุการณ์นั้นกลับเป็นคนที่รู้สึกอึดอัดที่สุดแทน ด้วยทราบแล้วว่าเป็นต้นเหตุของอาการนิ่งเงียบ และทำให้จวิ้นอ๋องทรงไม่พอพระทัย หากแต่ถ้าคุณหนูของนางไม่เอ่ยบอกให้นางออกไปรอด้านนอก นางก็ไม่สามารถทิ้งคุณหนูอยู่กับจวิ้นอ๋องเพียงลำพังได้ ไม่เหมาะ ไม่งาม หากเป็นองค์ชายห้าคงมิกล่าวออกมาเช่นนี้แน่
นางออกจะเสียดายเล็กน้อย ถ้าหากผู้ที่เข้ามาช่วยคุณหนูของนาง คือ องค์ชายห้า คงเป็นอะไรที่ดีงามเหมาะสมยิ่งนัก แต่กระนั้นในความเป็นจริงคือ จวิ้นอ๋องเป็นผู้เข้ามาช่วยเหลือ ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณอยู่ดี นางเพียงแต่เสียดายเท่านั้นจริงๆ....
ช่างดื้อดึงนัก..จางซูหนี่ว์เหลือบมองบาดแผลที่แขนของเขา ซึ่งบัดนี้โลหิตนั้นซึมออกมากระจายเป็นวงกว้างบริเวณแขนเสื้อ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่อนาทรร้อนใจใดใดกับบาดแผลนั้นเลย ต่างเงียบกันไปมาได้สักครู่ ในที่สุดก็เป็นนางนั่นเองที่ต้องยอม ถ้าไม่เห็นว่าบาดแผลนั้นยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด และถ้าไม่เห็นว่าเป็นผู้ช่วยเหลือนางเมื่อครู่นะ...นางจะปล่อยให้นั่งนิ่งๆแบบนี้ไปทั้งคืนเลยเชียว เพราะดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังดื้อแพ่งกับนางในตอนนี้
" เพ่ยเพ่ย เจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน ข้าทำแผลให้จวิ้นอ๋องเสร็จแล้วจะเรียกเจ้าเข้ามา "
หญิงสาวหันไปกล่าวกับสาวใช้ในที่สุด จึงมิทันได้เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บริเวณมุมปากของจวิ้นอ๋องที่ยิ้มอย่างสมใจอยู่ในขณะนี้
" เอาล่ะเพคะ ทีนี้ก็คงให้หม่อมฉันทำความสะอาดบาดแผลได้แล้วกระมัง หากยังไม่ยอมคราวนี้เลือดไหลออกมาหมดตัวหม่อมฉันไม่รู้ด้วยนะเพคะ "
นางก็กล่าวออกไปอย่างนั้นแหละ เขาไม่ใช่เด็กที่จะต้องกลัวกับบาดแผลเพียงแค่นี้หรอก เป็นถึงแม่ทัพหนักกว่านี้ก็คงเคยเจอมาแล้วกระมัง
" เข้ามาใกล้ๆสิ "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าว พลางทำเป็นถกแขนเสื้อขึ้น เพื่อให้นางได้เข้ามาทำความสะอาดบาดแผลและใส่ยาให้เขา โดยไม่ได้คิดอะไรมาก
" ก็เท่านี้ไม่เห็นต้องให้เพ่ยเพ่ยออกไปเลยนี่เพคะ "
นางขยับเข้าไปใกล้ หากแต่ก็ยังอดที่จะเปรยออกมาไม่ได้
" เปิ่นหวางเขิน "
" เขิน? "
" ใช่ เขิน.."
มู่หรงหย่งหมิงตอบหน้าตาย
" ทรงเขินสิ่งใดเพคะ "
นางก็ยังไม่เข้าอยู่ดี ถ้าหากบาดแผลนั้นเป็นที่ลำตัว จนต้องถอดเสื้อผ้าเพื่อทำแผลให้ก็ว่าไปอย่าง และถ้าเป็นเช่นนั้นก็สมควรเป็นนางมากกว่าที่ต้องเขิน
" ก็นี่อย่างไรล่ะ "
เขาบอกพลางยื่นแขนที่ที่ถกชายเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอก เผยให้เห็นท่อนแขนและบาดแผลนั่นที่เป็นรอยกรีดยาวประมาณสองนิ้ว ทว่าไม่ลึกมากนัก
" เขินบาดแผล? "
นางก็ตอบในสิ่งที่เห็น ถึงแม้จะยังงงๆว่ามันน่าเขินตรงไหน
" เปล่า..ใครจะเขินบาดแผลกัน เปิ่นหวางเขินที่ต้องเผยเนื้อหนังให้ผู้อื่นดูต่างหากเล่า "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าว แสร้งทำสีหน้าจริงจังรอนางตกหลุมพลางถามต่อ...และนางก็ถามจริงๆ
" เผยท่อนแขนเพียงเท่านี้ จำเป็นต้องเขินขนาดนี้เชียวหรือเพคะ "
" จำเป็นต้องเขินสิ เพราะเปิ่นหวางตั้งใจจะให้มารดาของลูกเห็นเนื้อหนังของเปิ่นหวางได้เพียงผู้เดียว "
เขายกยิ้มแววตาตากรุ้มกริ่ม ชวนให้หญิงสาวที่มองเขาอยู่ในขณะนี้รู้สึกหมั้นไส้เป็นอย่างมาก กับความแถและความเจ้าเล่ห์นี้ของจวิ้นอ๋อง
" ก็ได้ยินว่ามีนางเล็กๆอุ่นเตียงอยู่หลายคน คนไหนล่ะเพคะ...มารดาของลูก "
ไงล่ะ...เจอประโยคนี้ของนางชะงักไปเลยล่ะสิ จะกล่าวว่านางใจแคบหรือไม่ หรือผิดธรรมเนียมปฏิบัติหรือเปล่า ที่บุรุษสามารถมีภรรยาได้หลายคน แม้จะมีการแต่งภรรยาเอกเพียงคนเดียวก็เถิด แต่นางไม่สามารถยอมรับในข้อนี้ได้เลยอดีตเป็นอย่างไรนางคงสามารถมองข้ามไปได้บ้าง แต่ปัจจุบันและอนาคตสามารถมีนางเพียงคนเดียวได้หรือไม่เล่า
แม้ว่าตอนนี้นางจะมีใจให้เขาไปแล้ว แต่ถ้าหากเขายังไม่สามารถจัดการปัญหาเหล่านี้ได้นางก็คงไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้มากกว่านี้ เขาเป็นจวิ้นอ๋องคงไม่ยากนักที่จะจัดการเรื่องนี้ หาใช่องค์รัชทายาทที่จะต้องขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต และมีนางสนมนับร้อยนับพันที่อยู่ในวังหลัง หากต้องเวียนวนใช้สามีร่วมกับพวกนางเหล่านั้น แค่คิดนางก็รับไม่ได้เสียแล้ว
" เลิกแล้ว ไม่ได้อุ่นเตียงกับพวกนางตั้งนานแล้วด้วย จริงๆนะ.."
มู่หรงหย่งหมิงรีบตอบ พอรู้ตัวว่ารักนางเขาก็ไม่ได้เรียกใครมาอุ่นเตียงอีกเลย จะให้มานอนได้อย่างไร ในเมื่อหัวสมองของเขามีแต่ภาพสตรีตรงหน้าวนเวียนย้ำเตือนตลอดเวลา ทั้งยังรู้อีกว่านางเป็นคนเช่นไร....นางกล่าวเช่นนี้ก็ทำให้เขาคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ กลับวังไปคงต้องจัดการปัญหานี้เสียที...
" แล้วบอกหม่อมฉันทำไมเพคะ "
นางแสร้งทำเป็นไม่สนใจบ้าง หากแต่ลึกๆก็พึงพอใจในคำตอบอยู่ไม่น้อย แต่ก็คงต้องรอดูกันต่อไปอีกสักพัก พลางหยิบผ้าขึ้นมาชุบน้ำและนำมาเช็ดคราบเลือดบริเวณบาดแผลไปพลาง
" ก็ต้องบอกเจ้าน่ะถูกแล้ว หรือจะให้เปิ่นหวางไปบอกผู้อื่น "
เขาก็พูดเย้านางเล่นเท่านั้น หากแต่เมื่อกล่าวจบประโยคเห็นนางปรายสายตามามองเขาเพียงนิด ก็รู้สึกว่าคงกล่าวมากไป จึงออกจะเก้อไปเมื่อนางยังนิ่งเช่นนั้น
" โอ๊ะ..."
เสียงของบุรุษตรงหน้าดังขึ้นเล็กน้อย พลางมีสีหน้าเหยเก
" เจ็บหรือเพคะ หม่อมฉันขอโทษ แต่ก็เบามือที่สุดแล้วนะ "
นางรีบกล่าวขึ้น ทั้งยังชะงักมือที่กำลังทำความสะอาดบาดแผลที่แขนของเขาอยู่
" เจ็บสิ เจ็บมาก เจ็บที่สุด ขาดกำลังใจอย่างไรก็เจ็บ เป็นกำลังใจให้เปิ่นหวางได้หรือไม่ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยพลางเอนศีรษะไปซบที่ต้นแขนของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หาโอกาสเนียนใกล้ชิดนางไปเรื่อย
" ทำอะไรน่ะเพคะ "
นางพยายามยันกายออก หากแต่แขนอีกข้างของเขาก็จับแขนของนางที่เขาใช้ซบเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
" ขอกำลังใจหน่อยมิได้หรือ "
เขากล่าวเสียงอ่อน คล้ายอ้อนสตรีข้างกาย
กะล่อน เจ้าเล่ห์ แถเก่งเป็นที่หนึ่ง....
จางซูหนี่ว์คิดอยู่ภายในใจ หากแต่ก็ยอมให้คนข้างๆใช้แขนนางซบหน้าอยู่อย่างนั้น ด้วยใจของนางมันไม่ได้คิดปฏิเสธเขาดั่งแต่ก่อน หากคิดจะให้โอกาสเขาในฐานะคนรักในอนาคต ตามใจตัวเองและเขาบ้างเล็กๆน้อยๆ คงมิถือว่าผิดนักหรอกกระมัง
หญิงสาวทำความสะอาดบาดแผลและใส่สมุนไพรห้ามเลือดและสมานแผลให้บุรุษตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย ทว่าอยู่ๆเขาก็คว้าเอวของนางและดึงให้นางล้มลงมานั่งที่ตักของเขา สร้างความตกใจให้นางมิน้อย พยายามลุกขึ้นจากตักของเขา และเตรียมจะหันมาโวยวาย
" อยู่เฉยๆ อย่าเพิ่งโวยวาย เดี๋ยวคนข้างนอกตกใจเข้ามาเห็นตอนนี้ เปิ่นหวางมิรู้ด้วยนะ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยดักคอนางอย่างรู้ทัน พลางยกยิ้มให้อย่างเป็นต่อ เขาหยิบตลับยาทาขึ้นมา ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งสมุนไพรที่ใช้นวดบริเวณปวดเมื่อยหรือฟกช้ำ ทั้งยังทามันลงที่ข้อมือของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนตักของเขาอย่างอ่อนโยน พลางนวดให้ตัวยานั้นซึมไปอย่างเบามือ
" ยังเจ็บอยู่หรือไม่ "
เขาเอ่ยถามนางที่เงียบไป ทั้งยังเห็นนางมองมาทางเขาตาแป๋ว และยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่ที่มุมปากของนางนิดๆ ช่างเป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูนักสำหรับเขา
" ยังเจ็บอยู่บ้างเพคะ "
จากที่ตั้งใจจะโวยขึ้นมา หากแต่เมื่อเห็นว่าเขาทำอะไรให้ นางก็โวยบุรุษตรงหน้าไม่ลง จึงเลือกที่จะเงียบและให้เขานวดข้อมือนางต่อไปเรื่อยๆ แต่เรื่องที่นั่งตักนี่ท่านจะเนียนเกินไปหน่อยนะท่านอ๋อง
" เปิ่นหวางขอห้ามไม่ให้เจ้าออกไปร่ายรำให้ผู้ใดได้ชมอีก ยกเว้นว่าจะมีเปิ่นหวาง หรือพี่ชายของเจ้าอยู่ด้วย เข้าใจหรือไม่ "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าวพลางมีสีหน้าขรึมลงดูจริงจังขึ้นมา หากแต่มือก็ยังคงนวดข้อมือให้นางเช่นเดิม
" เข้าใจหรือไม่...คงไม่ต้องบอกเหตุผลเจ้าหรอกนะ ว่าเพราะเหตุใดในเมื่อผลมันก็ออกมาให้เห็นถึงเพียงนี้ "
เขาเอ่ยถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นนางยังนิ่ง
" เพคะ "
นางเอ่ยตอบไปเพียงประโยคสั้นๆ ปกติก็ใช่ว่านางจะออกมาร่ายรำบ่อยเสียเมื่อไร หากแต่ใครจะรู้ว่าครั้งนี้มันจะมีเรื่อง แต่ก็นั่นล่ะมีเรื่องถึงเพียงนี้นางก็คิดแล้วล่ะว่า คอยคุมงานอยู่เบื้องหลังนั้นคงจะดีแล้วล่ะ เข็ดอยู่เหมือนกัน...
" ดีมาก "
มู่หรงหย่งหมิงระบายยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจที่นางยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดี พลางยกมือขึ้นมาบีบจมูกนางเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวแกมเอ็นดู วันนี้นางทำให้เขาเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนาง ดูเหมือนนางจะยอมเปิดใจให้เขามากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเขา ไม่แน่อีกไม่นานนางอาจจะยอมตกลงปลงใจแต่งให้เขาเสียที
ทั้งสองสบตากันนิ่งเนิ่นนาน ใบหน้าของทั้งคู่ค่อยๆเคลื่อนเข้าหากันดั่งว่ามีแรงดึงดูดระหว่างเขาและนาง
บางเบาดุจปุยเมฆ
ทว่าหวานล้ำราวมธุรส
ชวนหลงใหลให้ใจถวิลหา
แต่นางอยู่ร่ำไป...
" คุณหนูเจ้าคะ คุณชายรองขอเข้าไปด้านในเจ้าค่ะ "
เสียงของสาวใช้คนสนิทปลุกให้ทั้งคู่ตื่นจากภวังค์ที่หวานล้ำนั้น และเคลื่อนกายออกห่างจากกันในทันที จางซูหนี่ว์นั้นใบหน้าแดงก่ำ เอ่ยอนุญาตให้พี่ชายเข้ามาด้านใน พลางแสร้งทำเป็นจัดแจงเก็บของที่ใช้ทำแผลและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับเหตุการณ์เผลอไผลเมื่อสักครู่ หากแต่อาการที่แสดงออกก็ยังดูลุกลี้ลุกลนอยู่ดี
ส่วนมู่หรงหย่งหมิงก็ยิ้มกริ่มมองดูอาการของนางอย่างเอ็นดู แต่อย่าได้คิดว่าเขาจะไม่เขินนางหรอกนะ เพราะใจของเขาก็เต้นรัวไม่ต่างกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของนางเช่นกัน เป็นเช่นนี้นางคงมีใจให้เขาแน่แล้วเพียงนางยังไม่เอ่ยคำรักให้เขาได้ยินเพียงเท่านั้น แต่ไม่เป็นไรอย่างไรเขาก็รอนางได้ เพราะตำแหน่งจวิ้นหวางเฟย เขาก็จะมอบมันแด่นางเพียงผู้เดียวเช่นกัน...
ต้วนหลี่เจี้ยนนั้นคุกเข่าสำนึกผิดตามคำสั่งของจวิ้นอ๋องครบสามชั่วยามแล้ว ยังดีว่าครบโมงยามก่อนรุ่งสางเล็กน้อย ชาวบ้านจึงยังไม่ทันได้ออกมาทำมาหากิน และได้เห็นภาพเขานั่งคุกเข่าที่ด้านหน้าหอซือซิงอยู่ทั้งคืน มิเช่นนั้นคงได้อับอายมากกว่าที่เป็นอยู่แน่ แค่เมื่อคืนนั่นก็มีคนเห็นเยอะอยู่พอสมควร คงเอาไปกล่าวโพนทะนากันสนุกปากเป็นแน่
เขานั่งอยู่ในรถม้ากำลังมุ่งหน้ากลับจวนสกุลต้วน โดยมีผู้ติดตามกำลังบีบนวดขาให้เขาอยู่ เพราะนั่งอยู่ตั้งสามชั่วยามโดยมิได้ลุกเลย จึงเจ็บปวดและเมื่อยบริเวณขาและหัวเข่าเป็นอย่างมาก ทว่าทันใดนั้นรถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้ติดตามจึงโผล่หน้าออกไปดูอย่างสงสัย ทว่ายังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ก็ถูกกระชากตัวดึงออกไปทันที สร้างความตกใจให้เขาไม่น้อย มันอะไรกันอีกล่ะนี่
เขาและคนของเขาถูกกลุ่มชายชุดดำปิดบังใบหน้า เข้ามาปิดล้อมเอาไว้ คนของเขาต่อสู้เพื่อปกป้องเขาจากคนกลุ่มนี้ แต่ฝีมือกลับสู้กลุ่มคนชุดดำมิได้เลย สุดท้ายจึงถูกพวกมันรุมทำร้ายอย่างไม่มีการปรานีปราศัยใดใด จนต้วนหลี่เจี้ยนและผู้ติดตามนั้นสะบักสะบอมและย่ำแย่ไปตามๆกัน พวกมันจึงหยุด...
ไม่มีการเรียกค่าไถ่ทรัพย์สิน ไม่ใช่โจร ไม่มีการพูดกล่าวสิ่งใด พวกมันมาถึงก็รุมทำร้ายพวกเขา เสร็จแล้วพวกมันก็ไป มิต้องคิดสงสัยแล้วว่าใครส่งพวกมันมารุมทำร้ายเขา....เจ็บทั้งใจเจ็บทั้งกาย
เถียนเถียนเองค่ะ
ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น เปิดโอกาสขึ้น ต่างคนต่างมีใจ แต่นางเอกยังไม่เอ่ยปากบอกคำว่ารักออกไป มันก็จะประมาณนี้ เฮียหมิงควรดีใจนะ ที่น้องยอมลงให้ขนาดนี้ ถ้าทำตัวดีตั้งแต่แรกคงไม่เจ็บตัวเสียหลายครั้งหรอก ก็ได้แต่หวังว่าเฮียจะไม่ดีแตกนะเพคะ 555555
1 คอมเมนต์ หรือ 1 โหวต ก็เป็นกำลังใจให้ไรต์ เด้อค่าเด้ออออ
บางตอนอาจจะมีตัวละครใหม่เข้ามาบ้าง หลายคนอาจจะมองว่ามันเยอะ แต่ไรต์เพียงนำเข้ามาให้มีบทบาทบ้างเล็กๆน้อยๆ เพื่อที่จะปูพรมเอาไว้เขียนในภาคต่อของชายาอ๋องกระดูกเหล็กเท่านั้นเอง มีแพลนจะเขียนพาท ของพี่ใหญ่ พี่รอง องค์ชายหมอ แยกออกมาแต่ให้ตัวละครมันสัมพันธ์กัน ก็เลยให้โผล่มาบ้างในเรื่องนี้ ทั้งโครงเรื่องก็คิดเอาไว้คร่าวๆบ้างแล้ว ซึ่งระยะเวลาในเรื่องอาจจะไล่เลี่ยกันไม่มากนัก (บอกเอาไว้ก่อนคร่าวๆ)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไท่จือเฟย ตอนแรกก็ไม่ชอยหล่อนหรอกน่ะ แค่พอหล่อนบอกว่าสตรีไม่มีสมองสองคนนั่น ฉันก็ชอบหล่อนขึ้นมาทันที 5555