ตอนที่ 34 : แสงเทียนที่ริบหรี่ (รีไรต์)
" วันนี้เจ้ามาหาแม่แต่เช้าเชียวนะ หยางเฉิง "
สวี่กุ้ยเฟยเอ่ยขึ้น เมื่อสายตานั้นแลไปเห็นการมาของผู้เป็นพระโอรสเพียงองค์เดียว
" ลูกเพียงอยากมาร่วมมื้อเช้า เป็นเพื่อนเสด็จแม่ พ่ะย่ะค่ะ "
มู่หรงหยางเฉิง กล่าวพลางระบายยิ้มอ่อนโยนส่งไปให้ผู้เป็นพระมารดา ทั้งยังก้าวเข้าไปประคองให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่แกะสลักสวยงาม ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
" ช่างเอาใจแม่เสียจริงนะ "
พระนางเอ่ยขึ้นทั้งปล่อยให้พระโอรสประคองแต่โดยดี มู่หรงหยางเฉิงผู้เป็นโอรสของพระนางนั้นอ่อนโยน และแสนดีเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร บุคลิกสุภาพ นุ่มนวล เอาใจใส่ผู้คนรอบข้างและให้เกียรติผู้อื่นเสมอ ทั้งยังมิเคยทำสิ่งใดให้พระนางต้องเป็นกังวลเลยสักครั้ง
" หากลูกมิเอาใจใส่ผู้เป็นพระมารดา แล้วจะให้เอาใจใส่ผู้ใดกัน "
บุรุษสูงศักดิ์กล่าวพลางยิ้มละมุน ทุกการกระทำที่ปฏิบัติต่อพระมารดาล้วนอ่อนโยนยิ่งนัก
" สตรีงดงามแลสูงศักดิ์ ในแผ่นดินนี้นั้นมีหลายนาง มิสู้เจ้าแต่งชายามาเคียงข้างบ้างเล่า ถึงกาลนั้นเจ้าอาจจะลืมเอาใจใส่ข้าผู้เป็นมารดาดั่งแต่ก่อนก็ได้ "
" สตรีใดก็มิอาจเทียบเคียงสวี่กุ้ยเฟยผู้นี้ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ ในใจของลูกพระมารดาย่อมสำคัญเป็นที่สุดอยู่แล้ว เทิดทูนเอาไว้เหนือหัว หากเห็นสตรีอื่นนั้นสำคัญกว่าบุพการีผู้ให้กำเนิดก็นับว่าอกตัญญูยิ่งแล้ว "
" ปากหวานจริงเชียว วาจาก็คมคายขึ้นทุกวัน รู้จักพูดเพื่อเอาใจผู้อื่นอยู่เสมอเลยนะเจ้า "
" หาได้เป็นเช่นนั้น ลูกกล่าวความจริง มิได้หวังเอาใจผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ "
มู่หรงหยางเฉิงเอ่ยแก้ตัว
" แต่ที่แม่กล่าวเรื่องสตรีที่จะเป็นชายาของเจ้าน่ะ ก็สำคัญนะ...วัยของเจ้าก็มิน้อยแล้ว สมควรมีคู่ครองเสียที ว่าแต่เจ้าหมายตาสตรีใดเอาไว้บ้างหรือยังล่ะ หากยังไม่มีสตรีใดที่ต้องตาต้องใจ จะให้แม่ช่วยคัดเลือกให้หรือไม่ เหล่าขุนนางที่รู้จักมักคุ้นก็มีบุตรีอยู่หลายคน เลือกแต่งเข้าเป็นชายาสักคนก็คงดีไม่น้อย "
เอ่ยแนะนำพระโอรส ด้วยยังไม่เห็นวี่แววว่ามู่หรงหยางเฉิงนั้น จะมีทีท่าสนใจสตรีใดเป็นพิเศษเลย พระนางเองก็เคยเกริ่นเรื่องนี้กับพระโอรสไปบ้างแล้วเช่นกัน เพราะอายุนั้นก็ล่วงเข้าวัย 23 ปี ถือว่าอยู่ในช่วงวัยที่เหมาะสม
องค์ชายตำหนักอื่นๆ เมื่อย่างเข้าสู่วัย 18 -19 ปี เหล่ามารดาก็จัดหาบุตรีของขุนนางต่างๆแต่งเป็นชายากันไปก็หลายคนแล้ว พระนางเองก็เกรงว่าสาวงามที่เพียบพร้อมด้วยศักดิ์ ฐานะ ชาติตระกูล อันคู่ควรกับผู้เป็นโอรสของพระนางจะถูกองค์ชายคนอื่นตัดหน้าไปเสียหมด
" อย่าให้ต้องลำบากเสด็จแม่เลยพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างลูกยังไม่คิดถึงเรื่องแต่งชายานักหรอก อยากทุ่มเทเอาใจใส่เสด็จแม่ และรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยเช่นนี้ไปอีกสักระยะ เพราะก็ถือว่าเป็นการช่วยงานเสด็จพ่อไปด้วยในตัว เรื่องอื่นนั้นค่อยคิดทีหลัง "
ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล พลางลอบถอนหายใจ
" แม่ก็เพียงอยากเห็นเจ้ามีคนมาดูแลบ้าง เพราะเจ้านั้นเอาแต่ห่วงและดูแลผู้อื่นจนเคยชิน อีกทั้งแม่เองก็อยากอุ้มเจ้าตัวเล็กนัก เห็นพระสนมคนอื่นๆนั้นมีหลานให้อุ้มกันเสียแล้ว ก็อดที่จะอิจฉาไม่ได้ ร่างกายของแม่เองก็ใช่ว่าจะแข็งแรง มิรู้ว่าจะอยู่กับเจ้าไปได้อีกนานเท่าใด จะมีโอกาสได้อยู่ทันอุ้มหลานคนแรกหรือไม่ก็ยังไม่รู้ "
สวี่กุ้ยเฟยกล่าวคล้ายปลงกับสังขารที่อ่อนแอเจ็บป่วยง่ายของตนเอง อีกทั้งเมื่อครู่ฟังจากที่มู่หรงหยางเฉิงกล่าวนั้น ก็ดูท่าทางว่าคงอีกนานจึงจะคิดแต่งพระชายา จึงกล่าวคล้ายตัดพ้อกับชะตาชีวิตเพื่อกระตุ้นบุตรชายให้ได้คิดตาม...
การแต่งบุตรสาวของขุนนางสักคนมาเป็นชายานั้น แม้ว่าอาจจะไม่ได้รัก แต่อย่างน้อยการแต่งเข้ามาเป็นชายาก็เป็นการเสริมอำนาจบารมีให้พระโอรสอย่างหนึ่ง
" เสด็จแม่อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ท่านร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยง่ายก็จริง หากแต่ว่าก็มิได้อยู่ในขั้นย่ำแย่อะไร ยังอยู่กับลูกไปได้อีกนานพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องแต่งชายานั้นลูกจะนำไปคิดดูอีกที..."
เขากล่าว ทว่าในใจนั้นกระหวัดคิดไปถึงสตรีนางหนึ่ง ที่เขาพึงพอใจนางตั้งแต่แรกเห็น เพียรหาทางเข้าใกล้และมีหวังอยู่ในใจลึกๆว่านางจะเห็นถึงความในใจของเขาบ้าง ซึ่งดูเหมือนว่าความสัมพันธ์นั้นจะเป็นไปด้วยดีในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะยังไม่ใช่ในฐานะคนรักก็ตามที
แต่กระนั้นความรู้สึกของเขาก็ต้องสะดุดลงเมื่อเห็นท่าทีของนางที่มีต่อผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาของเขาในคืนนั้น...
เจ็บปวดเพียงใด ก็ได้แต่ฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า สายตาของทั้งคู่นั้นดั่งว่ามีความนัยที่สื่อถึงกันได้ตลอดเวลา แม้มิได้กล่าวสิ่งใด เขารับรู้ได้ในตอนนั้นว่าความหวังที่มีนั้นช่างริบหรี่เหลือเกิน
พยายามถอยห่างออกมาแล้ว หากแต่ก็ห้ามความคิดถึงไม่ได้เลย ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสตรีเพียงคนเดียวที่อยู่ในใจในห้วงคำนึงของเขาตลอด
สวี่กุ้ยเฟยลอบมองบุตรชายที่เมื่อกล่าวตอบพระนางแล้ว ก็ให้นิ่งงันไปเหมือนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ใบหน้าหมองลงไปเล็กน้อย ทั้งแววตานั้นก็เจือไปด้วยความเศร้า ถึงแม้ว่าจะส่งยิ้มมาให้พระนางหากแต่มันก็ไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก เหตุใดโอรสของพระนางจึงมีท่าทีเช่นนั้น ประหนึ่งทีท่าดั่งบุรุษช้ำรักกระนั้นล่ะ...
ช้ำรัก?? หรือว่ามีสิ่งใดที่พระนางยังมิรู้กันแน่
" เอาเถิดเจ้ายังมิคิดเรื่องชายาของเจ้าก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้าต้องตาต้องใจสตรีใดก็ขอให้บอกแม่ แม่จะรีบจัดการให้เจ้าทันที "
พระนางตัดบทด้วยรู้ดีว่าถึงกล่าวต่อไปก็คงจะยังไม่ได้ความใดเป็นแน่ มิสู้หาโอกาสให้ผู้เป็นโอรสได้พบเจอเหล่าบุตรีของขุนนางเหล่านั้นบ้างยังดีเสียกว่า....
ให้ได้พบได้ยลได้พูดคุยกัน โอรสของนางอาจจะนึกพึงใจคุณหนูจากตระกูลใดตระกูลหนึ่งก็เป็นได้
" ขอบพระทัยเสด็จแม่ พ่ะย่ะค่ะ "
มู่หรงหยางเฉิงกล่าว สตรีที่ต้องตาต้องใจเขานั้นพบแล้ว หากแต่นางมิได้มีใจแล้วเขาจะทำกระไรได้
ทั้งคนที่นางอาจจะกำลังมีจิตปฏิพัทธ์ด้วยนั้น ก็คือพี่ชายของเขาเอง...พี่ชายที่มีทุกอย่างอยู่เหนือกว่าและเพียบพร้อมกว่า แล้วเขาจะเอาสิ่งใดไปสู้ได้เล่า
ความหวังที่นางจะมีใจให้เขาคงเปรียบได้ ดั่งแสงเทียนที่พร้อมดับลงทุกเมื่อ ยามต้องลมที่พัดผ่านมาเพียงวูบเดียวเท่านั้น
ไฉนจะสู้เปลวเพลิงจากกองไฟที่กำลังลุกโชติช่วงให้แสงสว่างได้กระจ่างตากว่า เช่นพี่ชายของเขากัน
คล้อยหลังผู้เป็นโอรสที่กลับไปเพียงไม่นาน.....
" ข้าคิดจะหาโอกาสให้หยางเฉิงได้พบกับบุตรีของขุนนางที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลเรามาตลอด เผื่อว่าบุตรชายของข้าจะพึงพอใจพวกนางก็ได้ แต่งนางคนใดคนหนึ่งเข้าเป็นชายา คงซื้อใจขุนนางตระกูลนั้นให้จงรักภักดี และเสริมอำนาจให้หยางเฉิงได้มิน้อย เจ้าคิดว่าความคิดนี้เป็นเช่นไรบ้าง จื่อเว่ย "
สวี่กุ้ยเฟยหันไปถามความคิดเห็นจากนางกำนัลคนสนิทนามว่า จื่อเว่ย
" หม่อมฉันด้อยปัญญา มิกล้าออกความคิดเห็นหรอกเพคะ แต่ว่าหากสิ่งใดกระทำแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อองค์ชายห้า หม่อมฉันก็เห็นว่าดียิ่งแล้วเพคะ "
นางกำนัลวัย 25 ปี ก้มหน้าพลางเอ่ยตอบอย่างนอบน้อมต่อสตรีสูงศักดิ์เบื้องหน้า ภายใต้ท่าทางสงบนิ่ง ดั่งว่าไร้ความรู้สึกนั้น นางเก็บซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ในจิตใจอย่างยิ่งยวด มิให้ผู้ใดได้รับรู้ความรู้สึกนี้เป็นอันขาด โดยเฉพาะสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า
ใช่แล้ว...นางแอบรักองค์ชายห้ามาเนิ่นนาน ในชีวิตกำพร้าของนางมีเพียงสวี่กุ้ยเฟย และองค์ชายห้าเท่านั้นที่นางยึดมั่น และให้ความเทิดทูนจงรักภักดีมาโดยตลอด
สำหรับองค์ชายห้านั้นตั้งแต่เมื่อใดก็มิรู้ได้ ที่ในหัวใจของนางนั้นมีแต่ชายผู้นี้อยู่เต็มหัวใจ รู้ตัวอีกทีก็มอบหัวใจให้บุรุษสูงศักดิ์ไปเสียแล้ว หากแต่ก็เป็นความรักที่ต้องเก็บซ่อน ปิดบัง ความต่ำต้อยของนางไม่สมควรแม้แต่จะเอ่ยบอกให้ผู้ใดรับรู้ด้วยซ้ำว่ามีใจรักให้ชายสูงศักดิ์เช่นนั้น
" เอาไว้ให้ผ่านงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮาเสียก่อน ข้าจะจัดการเรื่องนี้เสียที "
สวี่กุ้ยเฟย เอ่ยขึ้นอย่างหมายมาด โดยมิทันได้สังเกตนางกำนัลคนสนิทที่อยู่ข้างกายเลยว่าภายใต้ท่าทางที่กำลังก้มหน้าอยู่นั้น ใบหน้าของนางซ่อนความเศร้าหมองเพียงใด
ณ หอซือซิง
แม้ว่าหอซือซิงนั้นจะต้องเตรียมซักซ้อมการแสดงต่อหน้าพระพักตร์ในงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา ซึ่งมีเวลาเตรียมการแสดงเพียงเดือนกว่าเท่านั้น แต่ในทุกคืนนั้นหอซือซิงก็ยังเปิดทำการแสดงตามปกติ
โดยจางซูหนี่ว์ได้ขอความร่วมมือจากทุกคน ให้ร่วมแรงร่วมใจกันขยันฝึกซ้อมมากกว่าปกติในช่วงกลางวัน ด้วยระยะนี้ไปจนกว่าจะถึงวันแสดงในงานฉลองฯ ทุกคนคงจะเหนื่อยมากกว่าเดิม แต่ก็ให้คิดเสียว่าทำเพื่อหอซือซิง และเมื่อจบงานนี้นางจะแบ่งค่าตอบแทนที่ได้เป็นพิเศษให้กับทุกคนด้วย
ซึ่งทุกคนล้วนยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งตื่นเต้นที่จะได้มีโอกาสแสดงต่อหน้าพระพักตร์ อันเป็นความใฝ่ฝันของเหล่านางรำและนักดนตรีทั้งหลาย เพราะมิใช่ว่าคนภายนอกจะได้เข้าเฝ้าหรือทำการแสดงหน้าพระพักตร์ได้โดยง่าย จึงตั้งใจฝึกซ้อมในทุกวันอย่างไม่มีปริปากบ่นแต่อย่างใด สร้างความสบายใจให้กับจางซูหนี่ว์เป็นอย่างมาก ทั้งเชื่อมั่นว่าในวันนั้นจะต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ในค่ำคืนนี้หอซือซิงได้เปิดทำการแสดงปกติ ซึ่งผลตอบรับจากการเปิดทำการแสดงตั้งแต่วันแรกจนถึงขณะนี้นั้นเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง มีลูกค้าเข้ามารับชมการแสดงในแต่ละคืนค่อนข้างเยอะ ด้วยนางนั้นเปลี่ยนการแสดงใหม่ๆหมุนเวียนกันไปเกือบทุกสัปดาห์ โดยมีบ้างนานๆครั้งที่นางจะร่วมการแสดงร่ายรำด้วยความที่มีผู้เรียกร้องเนื่องจากมีโอกาสได้เห็นนางร่ายรำเมื่อครั้งเปิดหอซือซิง ในคืนนี้ก็เช่นกัน....
" คุณหนูเจ้าคะ มีแขกร้องขออยากจะให้คุณหนูแสดงการร่ายรำในคืนนี้เป็นพิเศษเจ้าค่ะ "
เพ่ยเพ่ยเดินเข้ามากระซิบให้ผู้เป็นนายรับรู้ พลางบุ้ยใบ้ให้นางมองไปยังแขกที่นั่งอยู่ทางโต๊ะแถวหน้าสุดใกล้กับบริเวณลานแสดง อันบ่งบอกว่าคงเป็นผู้มีฐานะอยู่พอสมควร เพราะค่าโต๊ะบริเวณนั้นสูงกว่าโต๊ะในแถวหลังอยู่มาก
นางเหลือบสายตามองตามสาวใช้คนสนิท ก็เห็นว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่งแต่งกายดูภูมิฐานเนื้อผ้าและลวดลายดูมีราคาอยู่มิน้อย ดวงตาเรียวรี รูปหน้าค่อนข้างกลม คล้ายใครกันนะ นางรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้คล้ายกับใครสักคนที่นางรู้จักเป็นแน่ แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียที
และดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นจะจับตาดูนางมาตั้งแต่ต้น เมื่อนางหันไปมองจึงปะทะเข้ากับเจ้าของดวงตาเรียวรีนั้น เขายกจอกสุราในมือขึ้นมาตรงหน้า คล้ายทำการทักทายนาง อะไรก็มิเท่ารอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้านั้นมันเจือไปด้วยความหยิ่งยโส และวางตัวข่มผู้อื่นอยู่ในที คราแรกนางก็นึกไม่ชอบบุรุษผู้นี้เสียแล้ว
" เพ่ยเพ่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุรุษผู้นั้นคือใครกัน ข้าแน่ใจนักว่าต้องมิใช่แขกประจำของหอซือซิงนี้เป็นแน่ "
หญิงสาวเอ่ยถาม
" เมื่อครู่ก่อนมารายงานคุณหนู ข้าได้สอบถามกับแม่นางชิงไฉเรื่องบุรุษผู้นั้นแล้ว ได้ความว่าเป็นคุณชายรองจากสกุลต้วน นามว่า ต้วนหลี่เจี้ยน ที่ทราบก็เพราะว่าคุณชายผู้นี้นั้นเป็นแขกประจำที่หอบุปผาเริงรมย์เจ้าค่ะ "
นางเอ่ยรายงานผู้เป็นนายสาว ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดอยู่มิน้อย เมื่อได้ฟังแม่นางชิงไฉกล่าว ซึ่งแม่นางชิงไฉก็คือคนที่คุณหนูนั้นซื้อตัวมาจากหอคณิกา เพื่อมาสอนการร่ายรำให้เหล่านางรำโดยเฉพาะ
" คุณชายรองสกุลต้วนเช่นนั้นหรือ เช่นนั้นก็หลานชายของฮองเฮาน่ะสิ "
หญิงสาวนั้นกระจ่างแจ้งแก่ใจในทันที ถึงว่าบุรุษผู้นี้ใบหน้าคล้ายกับผู้ใด ที่แท้ก็คล้ายกับผู้เป็นน้องสาว คุณหนูนกแก้วผู้นั้นนี่เอง
" ใช่เจ้าค่ะ...และแม่นางชิงไฉนั้นยังกล่าวอีกด้วยว่าเป็นไปได้อย่าไปข้องเกี่ยวกับคุณชายผู้นี้จะดีกว่าเจ้าค่ะ ยิ่งคุณหนูนั้นรูปโฉมงดงามเช่นนี้ยิ่งไม่สมควร ด้วยว่าคุณชายต้วนนั้นออกจะมีนิสัยเอาแต่ใจ เกเร ทั้งยังวางอำนาจข่มผู้อื่นอยู่เสมอด้วยมิเกรงกลัวผู้ใด เพราะถือตนว่าเป็นหลานชายของฮองเฮา ไม่มีใครกล้าขัดใจหรือมีเรื่องด้วย "
สาวใช้กล่าวเตือนผู้เป็นนาย
" เช่นนั้นเจ้าจงไปบอกแก่คุณชายผู้นั้นเถิด ว่าข้ามิใคร่สบายตัวเท่าไรคล้ายจะมีอาการไข้ คงมิสามารถร่ายรำให้ชมได้ "
นางกล่าวกับสาวใช้ให้ไปบอกบุรุษผู้นั้นตามที่นางกล่าว
" คุณหนูเจ้าคะ แย่แน่ๆเลยเจ้าค่ะ "
เพ่ยเพ่ยซึ่งหายไปทำตามที่นางสั่งการได้สักครู่ ก็กลับเข้ามารายงานนางด้วยสีหน้าแตกตื่นอยู่มิน้อย พลางกล่าวรายงาน
" อะไรที่ว่าแย่ "
" ก็คุณชายต้วนนั้นมิยอมน่ะสิเจ้าคะ กล่าวว่าตั้งใจมาเพื่อดูการร่ายรำของคุณหนูโดยเฉพาะ ทั้งยังพูดอีกว่าหากวันนี้คุณหนูมิยอมร่ายรำ ก็จะปักหลักอยู่ที่นี่ทั้งคืนมิยอมกลับเช่นกัน ร้ายไปกว่านั้นยังสั่งให้ผู้ติดตามออกไปยืนอยู่ทางด้านหน้าประตูทางเข้า แขกที่กำลังทยอยกันเข้ามาชมการแสดงนั้นก็พากันหวาดกลัวด้วยมิกล้าพากันเข้ามาด้านใน หลายคนก็กลับไปแล้วด้วย หากเป็นเช่นนี้คงมิมีผู้ใดกล้าเข้ามาที่นี่เป็นแน่ ด้วยก็รู้กิตติศัพท์คุณชายผู้นี้อยู่พอสมควร เพราะมีเรื่องกับผู้อื่นไปทั่ว "
" แย่จริงๆด้วยสิ "
จางซูหนี่ว์นั้นเกลียดจริงๆกับพวกยกตนข่มท่าน หากแต่ตอนนี้ก็ต้องคิดหาวิธีแก้ไขเสียก่อน มิเช่นนั้นหอซือซิงคงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาชมการแสดงเป็นแน่ ใคร่ครวญดูแล้วลำพังนางนั้นสามารถปฏิเสธไม่ยอมออกไปร่ายรำก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องกระทำตามที่ชายอันธพาลผู้นั้นร้องขอ ด้วยบิดาของนางก็มิใช่ตาสีตาสาที่ไหน เป็นถึงเสนาบดีใหญ่ผู้หนึ่ง
แต่ตระกูลของอีกฝ่ายก็มีอำนาจของฮองเฮาหนุนอยู่ ทั้งนิสัยอันธพาลเช่นนี้กลัวแต่ว่าจะใช้อำนาจมืดมาลอบกัดนี่สิ กิจการของนางเพิ่งเปิดได้ไม่นาน หากคุณชายผู้นี้มาสร้างปัญหาให้บ่อยๆ ผู้ใดจะกล้ามาชมการแสดงกัน นางจึงตัดสินใจตัดปัญหาไปในที่สุด...
" เจ้าไปบอกคุณชายต้วน ว่าข้าจะทำการแสดงร่ายรำให้ชม แต่ขอเวลาข้าเตรียมตัวสักครู่ แล้วบอกให้คุณชายต้วนเรียกคนออกจากประตูทางเข้าเสียด้วย มิเช่นนั้นข้าจะไม่ทำการแสดงแน่นอน จากนั้นเจ้าก็ไปเตรียมคนของเราให้พร้อม เผื่อว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น อ้อ..รีบส่งคนไปบอกพี่รองที่หอการค้าให้รีบมาที่นี่โดยด่วน "
" เจ้าค่ะ คุณหนู "
เพ่ยเพ่ยรีบปฏิบัติตามคำสั่งผู้เป็นนายสาว ซึ่งเมื่อไปกล่าวกับคุณชายต้วนแล้วดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะพึงพอใจขึ้นมาก และเรียกให้ผู้ติดตามมายืนอยู่ข้างกายเขาเช่นเดิม แขกคนอื่นๆจึงพากันทยอยเข้ามาด้านในได้ตามปกติ หากแต่ก็ยังน้อยกว่าเดิมอยู่ดี
ผ่านไปครู่ใหญ่.....
นักดนตรีก็บรรเลงขลุ่ยและกู่เจิงขึ้นด้วยท่วงทำนองค่อนข้างสนุกสนานรื่นเริง จางซูหนี่ว์ที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดที่เหมาะแก่การร่ายรำ ได้กรีดกรายออกมาร่ายรำ การเคลื่อนไหวนั้นค่อนข้างพลิ้วไหวและรวดเร็วไปตามจังหวะของท่วงทำนองที่บรรเลง ใบหน้างดงามนั้นส่งยิ้มสดใสไปยังผู้ชม หากแต่นางเลือกที่จะไม่หันไปสบตาหรือให้ความสนใจกับคุณชายต้วนนัก
เมื่อจบท่วงทำนองสุดท้ายพร้อมกับการหยุดการร่ายรำ นางจึงย่อตัวเป็นการคำนับผู้ชมเสียหนึ่งครั้งท่ามกลางเสียงปรบมือของเหล่าคนที่มาชม
ทว่าเมื่อหมุนกายกลับเข้าไปด้านในข้อมือของนางกลับถูกคุณชายต้วนผู้นั้นฉุดเอาไว้ มิยอมให้กลับเข้าไปด้านในโดยง่าย นางชักสีหน้าด้วยมิชอบใจต่อการกระทำอันอุกอาจของคุณชายหยิ่งยโสผู้นี้ อีกทั้งยังท่ามกลางสายตาของผู้คนในหอซือซิงอีกด้วย
" ปล่อยมือข้าเถิดคุณชาย ท่านคงจะเมาสุรามากจนเกินไปแล้ว "
หญิงสาวข่มอารมณ์โกรธ และพยายามดึงข้อมือออกจากมือหนาที่จับนางแน่น กลิ่นสุราฟุ้งออกมาจากกายบุรุษตรงหน้าอยู่ไม่น้อย
" อย่างไรเล่าคุณหนูจางคนงาม ได้ยินมาว่าเจ้านั้นร่ายรำงดงามนัก ทั้งรูปโฉมหรือก็งามดั่งนางเซียนจำแลง ข้าหลี่เจี้ยนผู้นี้ ก็อยากยลโฉมแลสนทนาด้วยก็เท่านั้น มานี่เถิด มานั่งคุยกันก่อน "
ต้วนหลี่เจี้ยนกล่าวพลางยื่นหน้าเข้าไปหาสตรีเบื้องหน้า เขาดื่มสุราไปมากก็จริง มีอาการมึนเมาอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากจนคุมสติมิได้ วันนี้น้องสาวของเขาได้เอ่ยถึงสตรีที่มีนามว่า จางซูหนี่ว์ ว่ารูปงามนักจนทำให้เขาเกิดอยากจะยลโฉมนางสักครั้งว่าจะงดงามอย่างที่ต้วนลี่จูกล่าวหรือไม่
ซึ่งเมื่อได้พบก็ไม่ผิดไปจากที่นางกล่าวเลยแม้แต่น้อย หรืออาจจะงดงามมากกว่าที่น้องสาวของเขากล่าวด้วยซ้ำ ทั้งยังสายตาไม่ยอมคนของสตรีผู้นี้ที่มองเขา ช่างพยศได้ถูกใจเขานัก...
ยิ่งได้มายากเท่าไร ก็ยิ่งท้าทาย เขายังคงจับข้อมือนางแน่น ยิ่งนางพยายามกระชากข้อมือของนางออกเท่าไร เขาก็ยิ่งบีบมันแน่นยิ่งขึ้น ดูสิว่านางจะทำอย่างไร...
" ถ้าอยากสนทนากัน ท่านก็ควรกล่าวกับข้าดีๆ มิใช่ฉวยโอกาสกับข้าเช่นนี้ ปล่อยข้า "
นางชักจะหมดความอดทนกับบุรุษตรงหน้า ความโมโหแล่นพล่านไปทั่วร่างกาย รวมทั้งความเจ็บแปลบที่ข้อมือของนาง ยังบริเวณที่ถูกบุรุษตรงหน้าบีบอยู่ในขณะนี้ มองไปยังคนของนางที่เตรียมจะเข้ามาช่วยหากแต่ก็ถูกคนของคุณชายต้วนสกัดเอาไว้
ทั้งบุรุษตรงหน้ายังทำกร่างเอ่ยว่าอยากมีเรื่องกับคนสกุลก็เข้ามา หากเขาได้รับอันตรายแม้เพียงสักนิดครอบครัวของคนผู้นั้นคงได้เดือดร้อนเป็นแน่
" นี่เป็นเรื่องของข้ากับแม่นางจางผู้นี้ ผู้ใดมิเกี่ยวข้องอย่าเข้ามายุ่ง แต่ถ้าหากอยากมีเรื่องกับสกุลต้วนก็เข้ามา "
" ท่านทำตัวเช่นนี้ ยังกล้ายกเอาสกุลต้วนมาอ้างอีกหรือ หากข้าเป็นคนในสกุลต้วนคงอับอายขายหน้ายิ่งนักที่มีคนเช่นท่านเป็นลูกหลานในสกุล "
บุรุษผู้นี้มิได้ฉลาดเลยที่กระทำตัวระรานผู้อื่นให้คนเขาเกลียดกันทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วยังเอาอิทธิพลของตระกูลเข้ามาข่มเหงรังแกผู้อื่น เช่นนี้แล้วถึงจะมีคนเกรงกลัวเพราะบารมีของฮองเฮาคุ้มตระกูลนี้อยู่ แต่ในขณะเดียวกันคนก็เกลียดชังคนในสกุลต้วนเช่นกัน และเมื่อนานเข้าจะส่งผลกระทบไปถึงต้วนฮองเฮาแน่นอน
" ปากและวาจาเจ้านี่คมคายดีนักนะ "
ต้วนหลี่เจี้ยนกล่าวเช่นนั้น หากแต่มือกลับกระชากนางเข้ามาหาตัว ด้วยความโมโหกับประโยคเมื่อสักครู่ของนาง ตั้งแต่เกิดมาหามีผู้ใดกล้าตำหนิ หรือกล่าววาจาด่าทอเขาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้
ความโมโหจนลืมตัวเขาบีบข้อมือนางแน่นยิ่งขึ้นไปอีก จนเห็นชัดว่านางนั้นนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ เขายื่นหน้าเข้าไปหมายจูบสั่งสอนนางให้หายพยศ ในเมื่อกล้าตำหนิเขาต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ เขาก็จะทำให้นางรู้ถึงโทษของการที่ทำให้เขาโกรธเช่นกัน
ทว่าใบหน้าเขาเข้าใกล้นางเพียงนิด กลับมีมือของผู้ใดก็ไม่รู้มากระชากไหล่เขาอย่างแรงให้หันไปหาคนผู้นั้น และยังไม่ทันที่เขาจะทันตั้งตัวใดใด
' พั๊วะ '
' โอ๊ะ '
หมัดหนักๆของผู้ใดก็ไม่รู้ชกเข้าที่ใบหน้าของเขาเสียเต็มแรง จนเขาเซไปปะทะกับโต๊ะข้างๆจนล้มระเนระนาด สร้างความแตกตื่นให้คนรอบข้างมิน้อย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สงสารองค์ชายห้า
สนุกจิงกำลังลุ้นเลยย
รอๆๆๆๆ
อยากให้เหลียนฮวารู้ธาตุแท้ฮองเฮาไวๆจัง
ส้วนคุณชายรองก็็็็็็็็็็น่ารักนักน่ารักนัน่ารักนน่ารักน่ารัน่ารน่าน่น
ขอยคุณไรท์นะคะที่เสียสละเวลา รออ่านต่อนะคะ