ตอนที่ 31 : หนีอย่างไรก็ไม่พ้น..วัง (รีไรต์)
หญิงสาวกลับมาถึงจวนสกุลจางในช่วงค่ำ หลังจากที่ได้สั่งการให้ผู้ช่วยของนางดูแลความเรียบร้อยเรื่องต่างๆภายในหอซือซิงในคืนนี้แทนนาง ระยะหลังนางมักจะค้างที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง ด้วยสะดวกกว่าเดินทางกลับจวนในยามค่ำคืน ถึงแม้ครานี้บิดาของนางจะจัดเตรียมผู้คุ้มกันมากฝีมือให้คอยดูแลนางก็เถิด แต่นางก็รู้สึกเกียจคร้านและเหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะไปกลับได้ในทุกวัน สองถึงสามวันจึงกลับจวนเสียหนึ่งครั้ง
หากแต่เมื่อกลางวันมารดาของนางให้คนมาแจ้งว่าคืนนี้ให้นางกลับไปที่จวน ด้วยมีธุระสำคัญจะบอกกล่าวแก่นาง
" ท่านแม่ของข้าล่ะ อยู่ที่ใด "
หญิงสาวหันไปถามสาวใช้ที่อยู่บริเวณนั้นทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในเรือนใหญ่
" กำลังดูแลให้สาวใช้จัดโต๊ะมื้อค่ำอยู่ด้านในเจ้าค่ะ "
สาวใช้เอ่ยตอบคุณหนูของจวน
" อืม..เจ้าไปได้แล้ว "
นางพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันไปหาเพ่ยเพ่ย ที่เดินตามนางมาทางด้านหลัง และยื่นเจ้ากระต่ายน้อยที่นางอุ้มอยู่ในขณะนี้ ให้อีกฝ่ายเป็นผู้ดูแลต่อ
" จัดการให้อาหารซือซือแทนข้าทีนะเพ่ยเพ่ย "
เมื่อกล่าวจบจึงเดินไปอีกทาง จุดมุ่งหมายคือห้องอาหาร สถานที่ที่มารดาของนางอยู่ในตอนนี้
" ท่านแม่เจ้าคะ "
จางซูหนี่ว์เดินเข้าไปสวมกอดมารดาทันทีที่ได้พบหน้าอย่างอ้อนๆ
" คิดถึงท่านแม่เหลือเกินเจ้าค่ะ "
" หึ ทำเป็นกล่าวประจบแม่เสียมากกว่านะหนี่ว์เอ๋อร์ หากไม่ให้บ่าวไปตามเจ้ากลับมา วันนี้ก็คงมิได้พบหน้าเจ้าเช่นนี้หรอก "
จางฮูหยิน แสร้งทำเป็นน้อยใจใส่บุตรสาว
" โธ่ ท่านแม่ก็...หอซือซิงนั้นเปิดมาได้เพียงไม่นานนัก ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงปรับตัว กิจการภายในยังไม่คงที่ ลูกจึงยังต้องคอยดูแล ด้วยไม่อยากวางมือให้ผู้ช่วยดูแลแต่ฝ่ายเดียว ช่วงนี้เริ่มเป็นที่รู้จัก จึงอาจจะยังฉุกละหุกอยู่บ้าง แต่คิดว่าราวสามถึงสี่เดือน ทุกอย่างน่าจะลงตัวแล้วเจ้าค่ะ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยให้มารดาสบายใจ ด้วยนางก็ทราบดีว่ามารดาของนางนั้นเป็นห่วงนางมากเพียงใด ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกาย และเรื่องการเดินทางยามในวิกาลอีกด้วย แม้ว่าจะมีผู้คุ้มกันและเดินทางกลับไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เถิด
" เอาเถิดๆ เอาเป็นว่าแม่เข้าใจเจ้า ไม่ต้องกล่าวอะไรเสียยืดยาวนัก เพราะก็รู้อยู่แล้วว่าถึงอย่างไร เจ้าก็คงยังไม่วางมือปล่อยให้ผู้อื่นช่วยดูแลทุกเรื่องในเร็ววันนี้หรอก "
จางฮูหยินตัดบท ด้วยยามที่กล่าวเรื่องนี้ทีไร บุตรสาวก็จะหาเหตุผลมาอ้างเสียทุกครั้งไป
" ท่านแม่เตรียมอาหารเสียเยอะแยะ วันนี้พี่ใหญ่กับพี่รองอยู่ด้วยหรือเจ้าคะ "
หญิงสาวได้แต่ยิ้มแก้เก้อไปที่มารดานั้นรู้ทัน และชวนเปลี่ยนเรื่องคุย เมื่อเห็นสาวใช้ลำเลียงนำอาหารมาจัดวางบนโต๊ะหลากหลายอย่าง
" ใช่ นานครั้งที่ครอบครัวเราจะได้อยู่พร้อมหน้ากันบนโต๊ะอาหาร ต่างคนต่างก็มีหน้าที่ต้องกระทำ พี่ใหญ่เจ้านั้นก็ต้องติดตามจวิ้นอ๋องไปเกือบทุกที่ ส่วนฮุ่ยเฟิงก็ต้องดูแลการค้า ปัญหามีให้แก้ไขอยู่เรื่อย มิค่อยอยู่ที่จวนสักเท่าไร เมื่อก่อนมีเจ้าร่วมโต๊ะกินข้าวกับแม่และท่านพ่อของเจ้าทุกวัน บัดนี้เจ้าก็มิค่อยมีเวลาเสียอีกคนหนึ่ง จวนสกุลจางจึงเงียบเหงาไม่น้อย "
ผู้เป็นมารดาอดที่บ่นบุตรสาวออกมาอีกไม่ได้
นั่นไง เข้าตัวอีกจนได้...จางซูหนี่ว์ได้แต่ทำหน้าปุเลี่ยน ไม่ว่าจะพูดกล่าวสิ่งใดก็ดูเหมือนจะเข้าตัวเสียอย่างนั้น มิใช่ว่านางไม่สงสารมารดาหรอกนะ ทว่าด้วยอุปนิสัยของนางแต่เดิม ก็มิใช่ว่าจะเป็นคนอยู่เฉยไปวันๆ นางชอบที่จะออกไปพบปะผู้คนตามสายอาชีพของนาง
แต่กระนั้นด้วยประโยคเมื่อสักครู่ก็ได้สะกิดบางสิ่งบางอย่างในใจนางขึ้นมา...คำว่า ครอบครัว ผุดขึ้นมาในความคิด ครอบครัว คือ สิ่งที่นางโหยหามาตลอดมิใช่หรือ เมื่อนางเป็นคนในครอบครัวนี้มีบิดามารดาที่รักนางยิ่งกว่าสิ่งใด มีพี่ชายทั้งสองที่คอยห่วงใย แม้บางครั้งจะดูเหมือนมิค่อยใส่ใจนางเท่าใดก็ตามเถิด
และถึงแม้ว่าต่างคนต่างมีเวลาว่างที่ไม่ตรงกันนัก แต่ครอบครัวนี้ก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่น น่ารัก สามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกันดี แล้วเหตุใดนางจึงมิถนอมความรู้สึกของคนในครอบครัวให้มาก เพราะสนุกและหลงไปกับการทำงาน จนมิทันได้เฉลียวใจว่าได้ทิ้งคนที่รักนางให้เงียบเหงาอยู่ที่จวน
มองมารดาที่มีใบหน้าขรึมลง แววตาเจือเศร้าเล็กน้อยด้วยคงจะน้อยใจลูกๆอยู่เป็นแน่ จึงเข้าไปโอบกอดและคลอเคลียผู้เป็นมารดาอย่างต้องการออดอ้อนง้องอน
" จากนี้ไปหนี่ว์เอ๋อร์จะกลับมาที่จวนบ่อยขึ้น วันเว้นวันดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่จะได้มิเหงา "
" เจ้าพูดจริงนะ ห้ามคืนคำด้วยล่ะ "
จางฮูหยินค่อยมีสีหน้าดีขึ้นมาบ้าง พลางหันมากล่าวกับบุตรสาวอย่างต้องการสัญญา
" หนี่ว์เอ๋อร์พูดจริงเจ้าค่ะ เพราะว่าหนี่ว์เอ๋อร์ก็คิดถึงท่านแม่เช่นเดียวกัน คิดถึงมากๆด้วยเจ้าค่ะ "
หญิงสาวยังกอดประจบต่อไปเรื่อยๆ
" เอ้า กอดแม่แน่นเพียงนี้ ประเดี๋ยวก็หายใจไม่ออกกันพอดี "
นางอดที่จะยิ้มและเอ็นดูกับความขี้อ้อนของบุตรสาวมิได้ ต่อให้เติบโตขึ้นมากเพียงใด เป็นเจ้าของกิจการดูแลคนเกือบร้อยชีวิตในหอซือซิง หากแต่เมื่อกลับมาที่จวนจางซูหนี่ว์ก็ยังเป็นบุตรสาวที่น่ารักขี้ประจบของนางเสมอ ให้โกรธหรือน้อยใจบุตรสาวเพียงใด เมื่อนางออดอ้อนผู้เป็นมารดาก็ใจอ่อนให้ทุกทีไป
" ก็หนี่ว์เอ๋อร์รัก หนี่ว์เอ๋อร์คิดถึงนี่เจ้าคะ...ว่าแต่วันนี้ที่ท่านแม่ให้คนไปตามหนี่ว์เอ๋อร์กลับมาที่จวนมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ "
หญิงสาวขยับอ้อมแขนกอดมารดาแน่นกว่าเดิมอีกนิดเป็นการหยอกเย้า หากแต่ก็คิดถึงเรื่องที่ว่ามารดานั้นมีธุระกับตนขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามออกไป..
" วันนี้เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยส่งคนมาบอกกับแม่ว่า พรุ่งนี้ให้แม่เข้าไปพบพระนางที่ตำหนักด้วย "
" แล้ว? "
จางซูหนี่ว์ฟังมารดากล่าวก็ไม่เข้าใจเท่าใดนัก แล้วมันเกี่ยวกับนางตรงไหนกัน...
" แล้วพระนางยังบอกว่าให้พาเจ้าไปเข้าเฝ้าพระนางด้วยน่ะสิ "
จางฮูหยินกล่าวถึงจุดประสงค์ที่นางต้องให้คนไปตามบุตรสาวให้กลับมาที่จวนในวันนี้
" ลูกหรือเจ้าคะ "
หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เข้าเฝ้า?? ทำไมกัน
" ท่านแม่พอจะทราบหรือไม่เจ้าคะ ว่าพระนางทรงมีธุระใดกับลูก "
" แม่ก็ไม่รู้ได้ พรุ่งนี้เข้าเฝ้าก็คงจะรู้เองนั้นล่ะ ส่วนเรื่องชุดและเครื่องประดับที่จะใส่เข้าวังนั้น แม่ให้คนจัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้าแล้ว กลัวไม่ถูกใจเจ้าจึงเตรียมไว้หลายชุด เจ้าก็ไปเลือกเองก็แล้วกัน "
ผู้เป็นมารดากล่าวกับบุตรสาว
" เจ้าค่ะ "
นางส่งยิ้มกลับไปให้ผู้เป็นมารดา หากแต่ในใจนั้นกลับครุ่นคิดถึงสาเหตุการเข้าวังหลวงในวันพรุ่งนี้อย่างฉุกละหุก เพราะปกติหากเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยจะให้มารดาของนางเข้าเฝ้าก็จะส่งคนมาแจ้งก่อนล่วงหน้าสองถึงสามวัน เผื่อมารดาของนางติดกิจธุระใด จะได้เตรียมตัวเข้าเฝ้าอย่างไม่ติดขัดสิ่งใด แต่ครั้งนี้ก็นับว่าแปลกนัก ทั้งยังบอกให้นางเข้าเฝ้าอีกด้วย...
หลังจากรับประทานมื้อค่ำพร้อมหน้ากันเสร็จเรียบร้อย ก็มีพูดคุยกันภายในครอบครัวอยู่สักพักจากนั้นจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
" พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งไปเจ้าค่ะ "
นางเรียกจางฮุ่ยหรานเอาไว้ หลังจากที่เขาเตรียมจะหมุนกายกลับไปยังห้องนอนของตนเองเพื่อพักผ่อนบ้าง ด้วยบิดาและมารดานั้นแยกตัวไปได้สักครู่แล้ว เป็นเหตุให้จางฮุ่ยเฟิงที่กำลังจะเดินออกไปนั้นหยุดชะงักและหันกลับมาด้วยอีกคน
" มีอะไรหรือ "
จางฮุ่ยหรานเอ่ยถามน้องสาวคนเล็ก
" ท่านรู้หรือไม่ ว่าเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยทรงเรียกข้าเข้าไปที่ตำหนักด้วยเรื่องใด "
จางซูหนี่ว์ลองเลียบเคียงถามผู้เป็นพี่ชาย เผื่อว่าจะทราบความใดบ้าง ก็ในครอบครัวแล้วนอกจากท่านพ่อที่เข้าไปยังวังหลวงอยู่เป็นประจำ ก็มีจางฮุ่ยหรานนี่ล่ะที่เข้าไปบ่อยที่สุด
" ข้าไม่รู้หรอก ตำหนักเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยน่ะ ตั้งอยู่ภายในส่วนของวังหลังนะหนี่ว์เอ๋อร์ ถ้าหากว่าไม่ได้ประทานอนุญาตใครจะเข้าออกได้โดยง่ายกัน "
" ก็ใช่แหะ.."
นางก็ลืมนึกไป วังของจวิ้นอ๋องนั้นตั้งอยู่นอกกำแพงวังหลวง ส่วนตัวเขาเองนั้นก็มิได้เข้าเฝ้าพระมารดาทุกวันเสียเมื่อไร หากจวิ้นอ๋องไม่เข้าเฝ้า พี่ชายนางที่คอยติดตามก็ไม่ได้เข้าไปยังวังหลวงด้วยเช่นกัน
" แน่หรือพี่ใหญ่ "
จางฮุ่ยเฟิงเอ่ยพลางเหล่ตามองผู้เป็นพี่ชายอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าใดนัก พี่ชายของเขานั้นเดาอารมณ์ยากนัก เก็บความลับก็เก่ง การจะงัดถ้อยความใดออกจากปากพี่ชายนั้นยากยิ่งกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อนด้วยเป็นน้องชายที่เติบโตด้วยกันมา ไยจะไม่รู้ว่ายามใดที่ต้องโกหกสิ่งใด พี่ชายมักทำหน้านิ่ง ทว่ากลับเนียนหลบสายตาไปทางอื่นอยู่บ่อยครั้ง
" ข้าจะโกหกไปทำไมกัน "
" ก็เห็นว่าติดตามจวิ้นอ๋องดั่งเงาจะไม่รู้อะไรเชียวหรือ จวิ้นอ๋องก็เป็นโอรสของเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย พระมารดาจะไม่กล่าวสิ่งใดให้พระองค์ฟังเลยเชียวหรือ "
จางฮุ่ยเฟิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้พี่ชาย พลางคาดคั้นด้วยความอยากรู้เช่นเดียวกับน้องสาว
" พวกเจ้าจะถามข้าให้ได้สิ่งใดขึ้นมา ไม่รู้ก็คือไม่รู้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ้าเข้าเฝ้าก็รู้เองนั่นล่ะ "
จางฮุ่ยหรานมองน้องชายและน้องสาวที่ต่างพากันขยับเข้ามาใกล้ พลางจ้องหน้าตนดั่งว่ากำลังสอบสวนสิ่งใด นี่เขาไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเสียหน่อย..
" อันที่จริงข้าก็เพียงผู้ติดตาม ส่วนคนที่จวิ๋นอ๋องทรงให้ความสนิทสนมด้วยนั้น น่าจะรู้ดีกว่าข้าเสียอีก "
ผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยโต้กลับไปบ้าง ทำทีเป็นมองไปยังน้องสาว คล้ายกำลังบอกเป็นนัยๆว่าเจ้านั่นล่ะ
" ข้าไม่รู้ "
จางซูหนี่ว์เห็นพี่ชายมองนางด้วยสายตาเช่นนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา กล่าวแก้ตัวออกไปทันควัน
" ข้าก็ยังมิได้กล่าวเลยว่าเป็นเจ้า ไยต้องร้อนตัว หรือยอมรับแล้วว่าสนิทสนมอยู่กับจวิ้นอ๋อง "
จางฮุ่ยหราน ได้ทีเอ่ยสัพยอกน้องสาว
" พี่ใหญ่!! "
ท่านมันร้าย หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนให้จนมุมด้วยคำพูดอย่างไรก็ไม่ทราบได้ พี่ใหญ่ของนางปกติไม่ใช่คนพูดมากเท่าใด แต่บทจะพูดก็อย่างที่เห็น...ชักจะเหมือนนายของท่านเข้าไปทุกทีสินะ
" ถ้าจะสนิทสนมกับจวิ้นอ๋อง ข้าก็ว่านางสนิทสนมกับองค์ชายห้าด้วยเช่นกัน เพราะองค์ชายห้าเองก็ออกจะมาหานางบ่อยอยู่ไม่น้อย "
จางฮุ่ยเฟิงเอ่ยขัดขึ้นบ้าง รู้มาตั้งนานแล้วว่าพี่ชายของเขานั้นสนับสนุนจวิ้นอ๋องกับหนี่ว์เอ๋อร์ ก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ หากแต่เขากลับชอบองค์ชายห้ามากกว่า หากทั้งสองพระองค์นั้นพึงพอใจน้องสาวของเขา เขาก็ว่าองค์ชายห้านั้นเหมาะสมกับหนี่ว์เอ๋อร์มากกว่าจวิ้นอ๋องนัก
กล่าวอะไรกัน...คนละเรื่องกับที่นางอยากจะรู้แล้ว นางอยากรู้ว่าเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยเรียกนางเข้าไปทำไม ไม่ได้ให้มาคุยกันถึงเรื่องว่านางสนิทสนมกับใครทั้งนั้น แล้วที่พูดกันนี่ลืมไปหรือไม่ว่าน้องสาวก็ยืนอยู่ทั้งคน จางซูหนี่ว์ได้แต่ยืนมองพี่ชายทั้งสอง ที่กำลังใช้สายตาปะทะกันอยู่เงียบๆ
....วันถัดมา ณ ตำหนักเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย....
หญิงสาวก้าวเท้าตามมารดาเข้าไปยังตำหนักที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และใหญ่โตสมพระเกียรติ ซึ่งตัวนางนั้นเคยเข้ามาเยือนเมื่อหลายเดือนก่อน ตั้งแต่ครั้งนั้นก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนอีกครั้ง เพราะตั้งใจจะไม่ทำสิ่งใดอันนำพาตัวเอง ให้เข้าไปเฉียดกรายใกล้วังหลวงเด็ดขาด
หากแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยิ่งถอยห่าง ก็เหมือนยิ่งขยับเข้าใกล้ขึ้นทุกที
นางและมารดา ยอบกายถวายบังคมผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าอันได้แก่ เฟิ่งหวงกุ้ยเฟย จวิ้นอ๋อง และองค์หญิงเหลียนฮวา ซึ่งคนสุดท้ายนั้นเมื่อหันมาเห็นนางก็พาลทำหน้าบึ้งตึงเสียอย่างนั้น
ไม่รู้ว่านางไปทำสิ่งใดให้หนักหนา ครั้งก่อนที่เจอจนกระทั่งครานี้เห็นหน้านางทีไรเป็นได้ทำอาการหน้างอคอหักเช่นนั้น จางซูหนี่ว์เห็นแล้วก็นึกหมั่นไส้เป็นน้องเป็นนุ่งเสียหน่อยมิได้จะเขกกะโหลกให้สักที แต่ก็คงได้เพียงคิดอยู่ภายในใจ อย่างไรเสียเด็กสาวหน้างอตรงหน้าก็เป็นถึงองค์หญิงของแคว้น
" ตามสบายเถิด ซูฉี ซูหนี่ว์ "
" ขอบพระทัยเพคะ "
นางและมารดาเอ่ยขอบพระทัยเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย จากนั้นจึงเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้
" เจ้าสบายดีหรือไม่ซูฉี ช่วงหลังนี้ไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไรเลย "
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยเอ่ยถามผู้เป็นสหายกันมา ตั้งแต่ก่อนที่พระนางจะเข้าวังหลวงเสียด้วยซ้ำ และนับว่าเป็นสหายเพียงคนเดียวกระมัง ที่พระนางสนิทและไว้ใจมากที่สุด จนสามารถที่จะระบายเรื่องราวบางเรื่องที่อัดอั้นภายในใจให้สหายรับฟังได้ โดยที่มิเกรงว่ามันจะรั่วไหลถูกนำไปเล่าต่อในภายหลัง
มิตรแท้เพียงหนึ่ง ย่อมดีกว่าสหายนับร้อยแต่หาความจริงใจมิได้
" หม่อมฉันสบายดีเพคะ แล้วพระนางทรงพระเกษมสำราญดีหรือไม่เพคะ "
จางฮูหยินทูลถามสหายผู้สูงศักดิ์ที่กำลังส่งยิ้มละไมมาให้นางอยู่ในขณะนี้
" ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั่นล่ะ อยู่ในวังหลวงนั่งๆนอนๆ มีอะไรก็ทำไป เป็นเช่นนี้อยู่ทุกวัน หากเบื่อนัก...ก็ปักผ้า หรือไม่ก็เล่นไพ่ เล่นหมากรุก หาสิ่งใดทำแก้เบื่อไปวันๆ "
" แค่ได้ยินว่าพระนางทรงแข็งแรงดี มิได้ประชวรใดใด หม่อมฉันก็ดีใจแล้วเพคะ...แล้วเรื่องที่พระนางให้บุตรสาวของหม่อมฉันเข้าเฝ้า ทรงต้องการให้นางรับใช้สิ่งใดหรือเพคะ "
จางฮูหยินทูลถามเข้าเรื่อง ด้วยก็อยากรู้ถึงจุดประสงค์ที่ให้นางและบุตรสาวเข้าเฝ้าในวันนี้ไม่น้อย
" เป็นอย่างไรบ้าง ซูหนี่ว์ ไม่ได้เจอกันนานสบายดีหรือไม่ "
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟย หันไปเอ่ยกับบุตรีของผู้เป็นสหาย
" หม่อมฉันสบายดีเพคะ "
หญิงสาวเอ่ยตอบอย่างนอบน้อมและสำรวมกิริยา
" เปิ่นกงได้ยินมาว่าเจ้าเปิดกิจการหอเริงรมย์หรือ ชื่อว่าอะไรนะ..."
" หอซือซิงพ่ะย่ะค่ะ "
ยังไม่ทันที่นางจะได้ทูลตอบสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า บุรุษผู้นั้นก็กล่าวแทรกนางขึ้นมา ทั้งชิงเป็นผู้ตอบคำถามเสียเอง...เหอะ ได้ยินว่าพระมารดาของท่านเอ่ยถามข้านะ
" กิจการของหม่อมฉันเพิ่งเปิดได้ไม่นานเพคะ ต้องผ่านไปอีกสักระยะอะไรหลายๆสิ่งจึงจะเข้าที่เข้าทาง "
หญิงสาวเอ่ยขยายความให้เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยได้ทรงทราบ ต่อจากที่จวิ้นอ๋องได้เอ่ยนามไปแล้ว
" เก่งจริงนะ "
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟย ยังกล่าวมิทันจบกลับมีเสียงของสตรีน้อยนางหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นมา
" ท่านแม่ทรงให้ลูกมาเข้าเฝ้า เพื่อให้มาฟังท่านเอ่ยถึงสารทุกข์สุกดิบผู้อื่นหรือเพคะ "
มู่หรงเหลียนฮวา เอ่ยขึ้นอย่างนึกรำคาญด้วยไม่ชอบหน้าสตรีผู้นี้เป็นทุนเดิม แล้วไยพระมารดาของนาง จึงได้เรียกนางเข้ามาพบเจอด้วยเล่า
" ฮวาเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท ผู้อื่นที่เจ้ากล่าวถึง คือ สหายของแม่ ถึงแม้เจ้าเป็นองค์หญิงมากด้วยยศศักดิ์ ก็ควรรู้ว่าสิ่งใดควรหรือมิควร ความอ่อนน้อมถ่อมตนต้องมี "
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟย หันไปดุพระธิดาองค์เล็ก พระนางนั้นให้อ่อนพระทัยเหลือเกิน สั่งสอนก็แล้ว ดุก็แล้ว แม้กระทั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในตำหนัก หากแต่ก็แก้นิสัยเอาแต่ใจของนางไม่ได้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเพราะสาเหตุใด แม้นพยายามขัดขวางไม่ให้เหลียนฮวาไปหาสตรีผู้นั้น แต่ก็เป็นคนของเราเองที่ดิ้นรนไปหาเขาอยู่บ่อยๆ ยิ่งเจริญวัยขึ้นก็ยิ่งห้ามยาก
คงผิดตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่เหลียนฮวายังเด็กนัก สตรีผู้นั้นเข้ามาหาพระนางที่ตำหนักอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังหยอกล้อและเอ็นดูเหลียนฮวาเป็นอย่างมาก ผิดที่พระนางคิดว่าความใสซื่อบริสุทธิ์ประดุจผ้าขาวนี้ คงช่วยให้สตรีผู้นั้นลดความโกรธแค้นต่อพระนางลง ยิ่งตอกย้ำความคิดก็เมื่อสตรีผู้นั้นเอ่ยขอองค์หญิงน้อยไปเล่นที่ตำหนักของนางอยู่บ่อยๆ
หากแต่นานวันเข้าพระธิดาองค์น้อยก็มีนิสัยที่เปลี่ยนไปทุกทีๆ จนกระทั่งวันหนึ่งพระนางทรงไปรับองค์หญิงน้อยที่ตำหนักนั้นด้วยพระองค์เอง จึงทันได้ยินคำสอนผิดๆหลายอย่างที่สตรีผู้นั้นค่อยๆฝังเข้าไปในความคิดของเด็กน้อยตรงหน้า นับจากนั้นพระนางก็หาทางขัดขวางในทางอ้อมมาโดยตลอด หากแต่ก็อย่างที่กล่าวคนของเรานั้นเลือกที่จะฟังผู้อื่นมากกว่าพระนาง ผู้เป็นมารดาแท้ๆ....
" ลูก...."
มู่หรงเหลียนฮวา ตั้งท่าจะแย้งด้วยความเสียหน้าที่ถูกพระมารดาดุต่อหน้าสตรีทั้งสอง หากแต่สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นสายตาดุของผู้เป็นพี่ชายซึ่งนั่งฝั่งตรงข้าม จึงจำต้องสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองและเงียบไป
ท่านพี่ของนางนั้นยามพระทัยดีก็ดีมาก ยามโมโหก็น่ากลัวไม่น้อย เมื่อครั้งยังเด็กนางเผลอปาของใส่นางกำนัลที่ขัดใจด้วยความโมโหจนศีรษะแตก ท่านพี่มาเห็นเข้าจึงถูกดุ และตีมือนางเป็นการลงโทษไปเสียหลายที จากนั้นนางจึงไม่กล้าใส่อารมณ์ใดใดกับพี่ชายเท่าไรนัก
" ที่เรียกเจ้ามาร่วมฟังด้วย ก็เพราะจะกล่าวถึงเรื่องงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา ที่ใกล้จะเวียนมาถึงในเดือนหน้านี้แล้ว คงยังมิลืมหรอกนะ "
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยกล่าวกับพระธิดาของพระนาง จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับสตรีอีกนางที่พระนางทรงเรียกให้เข้าพบ
" เปิ่นกงต้องขออภัยพวกเจ้าแทนเหลียนฮวาด้วยนะ และอย่างที่กล่าวไปเมื่อครู่ ว่าใกล้จะถึงงานฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮาแล้ว หย่งหมิงบอกว่าหอซือซิงของเจ้านั้นกำลังเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ด้วยการแสดงที่สนุกสนานและมีเรื่องราวแปลกใหม่ชวนน่าติดตาม เปิ่นกงจึงอยากให้เจ้านั้นทำการแสดงต่อหน้าพระพักตร์ในวันนั้น เพื่อเป็นของขวัญจากเปิ่นกงและลูกๆให้แก่ไทเฮา เจ้าจะว่าอย่างไรซูหนี่ว์ จะปฏิเสธเปิ่นกงหรือไม่ "
พระนางกล่าวพลางทอดสายพระเนตรยังสตรีนางนั้น ผู้ที่พระโอรสของพระนางนั้นมักจะเอ่ยถึงอยู่บ่อยครั้ง และครั้งนี้ก็เป็นความคิดของมู่หรงหย่งหมิงอีกเช่นกัน
คราแรกก็คิดอยู่นานว่าจะหาสิ่งใดมอบให้แก่ไทเฮาในวันนั้นดี สิ่งของเลอค่าก็มีมากแล้ว ด้วยทุกปีแต่ละคนก็ไม่พ้นเครื่องใช้ เครื่องประดับสูงค่าอันวิจิตรต่างๆ ปีนี้เปลี่ยนมาเป็นการแสดงแปลกใหม่บ้างก็ดีไม่น้อย
" หม่อมฉันยินดี...และถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เพคะ "
จางซูหนี่ว์นั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ เฟิ่งหวงกุ้ยเฟยทรงรับสั่งขอร้องด้วยพระองค์เอง จะปฏิเสธก็คงเป็นการเสียมารยาทและน่าเกลียดแย่ ด้วยมารดาของนางก็เป็นสหายกับสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ด้วย
หากจะว่าไปงานฉลองนี้เป็นงานใหญ่ ทั้งยังแสดงต่อหน้าพระพักตร์เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง และขุนนางระดับสูงด้วย ถ้าแสดงออกมาดีย่อมต้องเพิ่มชื่อเสียงให้โด่งดังยิ่งขึ้น ใช้เป็นการตลาดได้ว่าหอซือซิงนั้นเคยแสดงต่อหน้าพระพักตร์มาแล้ว คิดได้แบบนี้นางย่อมมีกำลังใจที่จะทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด ในที่สุดจึงเอ่ยตกลงออกไป...
เฟิ่งหวงกุ้ยเฟย หันไปสบสายตากับพระโอรสก็เห็นว่าฝ่ายนั้นแอบยกยิ้มที่มุมปากอยู่ในที เจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการเหลือเกินนะ แล้วยังลากมารดาเข้ามาเกี่ยวอีกต่างหาก...
...ณ อุทยานหลวง....
มู่หรงหย่งหมิง เดินทอดน่องไปเรื่อย ดั่งว่ากำลังรื่นรมย์ในการชมสวนไม้ดอกไม้ประดับที่กำลังบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมรวยรินอยู่ในยามนี้ ใบหน้านั้นแต้มรอยยิ้มอยู่ไม่จาง ข้างกายนั้นมีจางซูหนี่ว์เดินอยู่เคียงข้าง
พระมารดาของเขานั้นให้เขาพานางออกมาเดินเล่นเที่ยวชมอุทยาน และสถานที่ต่างๆภายในวังเป็นการฆ่าเวลาแก้เบื่อ ด้วยพระมารดาของเขากับมารดาของนางนั้นมีเรื่องพูดคุยกัน คงอีกสักพักเขาจึงจะพานางกลับไปคืนมารดาของนาง
ต่างคนต่างเดินเคียงข้างกันไปเงียบๆ ในความคิดของหญิงสาวในขณะนี้นั้นกำลังระดมความคิดที่มีอยู่ในสมองอย่างหนักว่าจะทำการแสดงเรื่องใดดี รูปแบบควรเป็นเช่นไร หากตัดเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่ตอนนี้จะทันการณ์หรือไม่ จะฝึกเพิ่มการร่ายรำท่วงท่าใหม่ๆกี่ท่าดี คิดกระทั่งว่าต้องลงทุนไปเท่าไร และจะได้กำไรคืนเมื่อไร
นางเดินเหมือนเหม่อลอยจมอยู่กับความคิดของตนเอง บุรุษข้างกายพาเดินไปทางใดก็เดินตามไปอย่างนั้น ไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าเขาเอามือเข้ามาสอดประสาน และเป็นฝ่ายเดินจับจูงมือนางตลอดทางมาสักครู่แล้ว
หญิงสาวชะงักสติหลุดออกมาจากความคิดที่นางคิดมาตลอดทาง พลางมองไปยังจวิ้นอ๋องที่อยู่ๆก็หยุดเดิน ทั้งยังเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆดอกหนึ่ง ซึ่งนางก็ไม่ทราบว่าเป็นดอกอะไรเช่นกัน รู้แต่ว่ามีกลิ่นหอมอ่อนๆรวยรินมาให้ได้กลิ่น เขานำมันไปแตะที่จมูกพลางสูดกลิ่นหอม ก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้นางทีละนิดๆ
จางซูหนี่ว์ขยับกายจะถอยห่าง หากแต่ก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ามืออีกข้างนั้นถูกเขากอบกุมมืออยู่
" จะทรงทำอะไรน่ะเพคะ "
" อยู่เฉยๆเถิดน่ะ เปิ่นหวางมิทำสิ่งใดเจ้าหรอก "
มู่หรงหย่งหมิง ค่อยๆนำดอกไม้ในมือนั้นไปแซมที่ผมของนาง จากนั้นจึงเอื้อมมือจัดปอยผมที่หลุดร่วงลงมานั้นไปทัดไว้ที่ข้างหู เขาบรรจทำอย่างอ่อนโยนที่สุด เท่าที่มือหยาบคู่นี้จะทำได้ มือที่เคยจับแต่กระบี่ ดาบ ทวน หรือไม่ก็พู่กัน
ดอกไม้ดอกแรกที่เขาจับขึ้นมาถือและมอบให้สตรี ก็คือดอกไม้ในแจกันที่อยู่ในจวนของนาง
ดอกไม้ดอกที่สอง ก็คือ ดอกไม้ที่เขาเพิ่งเด็ดมันออกมาจากต้น และส่งผ่านรอยจูบนั้นลงบนกลีบสีขาวอันบอบบางของมันไปถึงสตรีตรงหน้า จากนั้นจึงค่อยๆบรรจงแซมมันลงบนเรือนผมของนาง
" ดอกไม้นี่ถือว่าทดแทน ดอกที่เปิ่นหวางเอาจากในแจกันที่จวนของเจ้าในวันนั้น "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยขึ้น พลางมองหน้าของสตรีตรงหน้าที่ยังคงวางสีหน้าเรียบเฉยออกจะเชิดเล็กน้อยตามบุคลิกที่นางชอบกระทำ หากแต่ที่ผิดไปจากเดิมก็คือริ้วแดงๆที่ปรากฏอยู่บนใบหน้างามนั้น ไม่อาจปิดบังอาการได้เลย เขาเห็นดังนั้นก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ น้อยครั้งที่จะเห็นนางเขินอายออกมาบ้างสักครา ในวันนี้เขาก็ได้เห็นเสียที...
" ทรงยิ้มอะไรเพคะ "
ยิ้มอะไร ยิ้มอยู่ได้ แล้วนี่นางจะเขินทำไม ไม่สินางต้องไม่เขิน ไม่เขิน แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวเสียอย่างนั้น
" มีความสุขก็ต้องยิ้ม เปิ่นหวางผิดหรือ "
มู่หรงหย่งหมิงยังคงวางท่าทางนิ่ง หากแต่ก็ยังคงยิ้มไม่หุบ
" ปล่อยมือหม่อมฉันเพคะ ใครมาเห็นจะว่าอย่างไร "
" เปิ่นหวางว่า ใคร ที่เจ้าว่าน่ะ คงเห็นกันหมดแล้วล่ะ...จับจูงมาตั้งนานแล้วไม่รู้สึกตัว มัวแต่เหม่อลอย "
" แล้วจะทรงจับจูงมือหม่อมฉันทำไม หม่อมฉันก็เดินเองได้"
" กลัวหลง เดี๋ยวล้ม "
มู่หรงหย่งหมิงกล่าวหน้าตาย
จางซูหนี่ว์ตั้งท่าจะโต้ตอบวาจากับบุรุษตรงหน้า หากแต่สายตากลับปะทะเข้ากับร่างบอบบางของสตรีนางหนึ่ง หากแต่รูปโฉมนั้นงดงามมากทีเดียว
" องค์ชายรอง "
เสียงนุ่มนวลอ่อนหวานนั้นเอื้อนเอ่ยออกมา พร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม
มู่หรงหย่งหมิงชะงักไปเพียงนิด เมื่อได้ยินเสียงของสตรีนางหนึ่งจากทางด้านหลัง ที่นานมาแล้วเขาเคยคุ้นกับน้ำเสียงอ่อนหวานนี้กว่าใคร จึงค่อยๆหันกลับไปมองยังต้นเสียงนั้น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตบมัน นังแพศยา!!! ถถถถ ขออภัยที่หยาบคาย ตัวข้านั่นมิชอบนางผู้นี้เลย
ไม่เห็นหวานเลยอะ มีความเด็กน้อยแง่งอนมากกว่า เอามะม่วงมาฟรีเลย
ไรท์จ้ากลับมาลงน้ำปลาหวานเร็ว.....มะม่วงเขาคอยอยู่เดียวเหี่ยวหมด
เอาหวาน หวานนะจ้าเขาคอยอยู่นะตะเอง