ตอนที่ 30 : บทเพลงรัก ฤ ไฉนจึงเศร้านัก (รีไรต์)
หนึ่งนางเคียงข้างสองบุรุษผู้สูงศักดิ์ ย่อมเป็นที่สนใจของผู้คนที่มารอชมการแสดง บางคนตื่นเต้นที่ได้พบและเข้าเฝ้าเชื้อพระวงศ์อย่างใกล้ชิด บางคนสนใจในความสัมพันธ์ของจวิ้นอ๋องกับคุณหนูสกุลจาง บางคนสนใจในตัวองค์ชายห้าด้วยจำได้ว่า คือ คนเดียวกับท่านหมอมู่ที่มารักษาผู้ป่วยในตลาดอยู่บ่อยครั้ง จนถึงความสัมพันธ์ของสองบุรุษกับหนึ่งสตรีที่ก้าวเข้ามาภายในหอซือซิง ว่ามีความสัมพันธ์ฉันใดกันแน่
' เจ้าเห็นนั่นหรือไม่..เหตุใดนางจึงรู้จักกับเชื้อพระวงศ์ตั้งสองพระองค์แน่ะ '
' ดูหน้านางสิ..เชิดเสียอย่างนั่น หมั่นไส้จริง '
' องค์ชายห้าที่เจ้าว่า ใช่คนเดียวกับท่านหมอที่มารักษาคนป่วยในตลาดบ่อยๆหรือไม่ '
' ข้าอิจฉานางจริงๆ ได้อยู่ใกล้จวิ้นอ๋องด้วย '
' ข้าว่านางต้องยั่วยวน จวิ้นอ๋องกับองค์ชายห้าแน่ๆเลย คงได้เคล็ดวิชายั่วยวนบุรุษมาจากนางรำพวกนี้เป็นแน่ '
' นั่นน่ะสิ แล้วตกลงนางจะเลือกผู้ใดกัน องค์ชายพี่ หรือ องค์ชายน้อง '
' เคียงข้างสองบุรุษเช่นนั้น ช่างไร้ยางอายเสียจริง '
เสียงซุบซิบนั้นมีแว่วเข้ามาให้นางได้ยินในขณะที่เดินผ่าน มนุษย์หนอช่างมีพรสวรรค์ในการนินทาเสียจริง ระยะเผาขนเสียด้วยสิ โดยเฉพาะอิสตรีด้วยกันยิ่งแล้วใหญ่
ภายในใจนางตอนนี้นั้นเดือดปุดๆ ทว่าก็ต้องอดทนให้ได้ ท่องไว้ๆ ลูกค้าๆๆ หากแต่ในมโนภาพตอนนี้นางก็เปรียบดั่งก้อนเนื้อชิ้นหนึ่ง ที่กำลังโดนแร้งหลายตัวรุมจิกรุมทึ้ง ต่างกันคือ เป็นการจิกทึ้งด้วยคำพูดพล่อยๆของพวกนางขี้อิจฉาเหล่านี้ต่างหาก หากเป็นผู้อื่นโดนนินทาเช่นนี้บ้างอาจจะมีการวิวาทกันแล้วเป็นแน่แท้
แต่สำหรับจางซูหนี่ว์ผู้นี้เหมือนจะติดนิสัยมาจากการเป็นนักแสดงหรือไม่ ยิ่งมีคนนินทาเท่าไร ยิ่งต้องยิ้มเข้าไว้ แม้ว่าในใจจะนึกรังเกียจเพียงใดก็ตาม ว่าแล้วนางจึงหันกลับไปยิ้มให้พวกนางๆเหล่านั้นที่กำลังนินทานางอยู่ ยิ้มน้อยๆเชิดๆ ให้พวกนางกระอักความอิจฉาของตัวเองไปเสีย แล้วจึงเดินผ่านพวกนางไป เสมือนนางพญาเดินผ่านจอมปลวก
นั่นแหละใช่เลย..คิดแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นมามากทีเดียว
เค่อเหยียนเหว่ย มองสตรีที่เดินผ่านหน้าเขาไปพร้อมกับบุรุษสูงศักดิ์ทั้งสอง ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองนั้นจะโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้ ทิ้งอัญมณีเม็ดงามด้วยมือของเขาเองอย่างไร้ค่า ต่อเมื่อเวลาผ่านไปอัญมณีถูกเจียระไนจนส่องแสงแวววาวเลอค่า ต้องตาต้องใจผู้ที่ได้ยล
หากแต่เขากลับทำได้เพียงแค่มอง แม้อยากเอื้อมมือออกไปไขว่คว้ามันนั้นกลับมาเป็นของตนเองเท่าใดก็ไม่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นบุรุษด้วยกันเขาจึงดูออกว่า ผู้ที่ต้องตาต้องใจอัญมณีเม็ดนั้น คือ บุรุษผู้สูงศักดิ์ถึงสองคน ที่เขาไม่อาจเทียบเคียงได้เลย ไม่ว่าจะด้านใดก็ตาม ชาติกำเนิด ฐานะ ยศศักดิ์
และที่สำคัญเขาทำผิดต่อจางซูหนี่ว์เอาไว้อย่างแสนสาหัสเหลือเกิน เท่าที่นางกล่าววาจาดีด้วย และไม่ได้คิดเคืองแค้นจนตัดขาดคนในสกุลเค่อทั้งหมดนั้นก็ถือว่าดีเพียงใดแล้ว
ยิ่งนานวันที่เขาอยู่กับม่านฉิงเซียง ก็ยิ่งพบว่านางไม่ได้มีนิสัยอ่อนหวาน อ่อนโยน ดั่งเช่นตอนแรกที่รู้จักกัน ยิ่งทำให้เขาเกิดข้อเปรียบเทียบกับอดีตคู่หมั้นในกาลก่อน แม้ว่านางจะจืดชืดไปเสียหน่อย ทว่าอยู่ใกล้แล้วกลับรู้สึกสบายใจมากกว่าอยู่กับผู้เป็นภรรยาของเขาในตอนนี้ ก็ได้แต่เสียดายเหลือเกิน.....
การแสดงในเรื่องโฉมงามกับองค์ชายอสูร นั้นเริ่มต้นแสดงได้สักครู่แล้ว หญิงสาวลอบสังเกตปฏิกิริยาของผู้ที่นั่งชมโดยรอบ ก็เห็นว่าให้ความสนใจกับเนื้อเรื่องแปลกใหม่ และการแสดงที่สมจริงทั้งดูจะชื่นชอบและมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปกับตัวแสดงด้วยซ้ำ ถือว่าการที่นางฝึกซ้อมการแสดงให้กับนางรำและนักแสดงเหล่านี้มิเสียเปล่า ใช้หัวใจในการแสดงและถ่ายทอดความรู้สึกออกมาให้ผู้คนรับรู้
เหลือบสายตาไปมองจวิ้นอ๋องนั้นทรงประทับ ณ ที่นั่งที่นางได้จัดแยกเอาไว้ให้ ซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัวอยู่มาก ด้วยทราบแต่แรกแล้วว่าอาจจะเสด็จมา ก็เห็นว่าเขาให้ความสนใจการแสดงนั้นอยู่ไม่น้อย อันที่จริงนางก็แอบเปรียบจวิ้นอ๋องผู้นี้ กับ เจ้าชายอสูรอยู่เหมือนกัน เพราะคราแรกที่เจอก็ไม่ต่างจากจอมอสูรเท่าไรเลย โหด เถื่อน เจ้าเล่ห์ เอาแต่ใจ ชอบฉวยโอกาส หากแต่ตอนนี้......
ส่วนองค์ชายห้านั้นประทับเยื้องจากผู้เป็นพี่ชายลงมาเพียงนิด ซึ่งนางก็ได้ให้คนเข้าไปจัดที่ประทับเพิ่มให้องค์ชายห้าอย่างสมพระเกียรติเช่นกัน
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วภายในหอซือซิง หลังจากที่การแสดงได้จบลง ผู้ชมส่วนใหญ่นั้นพูดคุยกันถึงการแสดงที่เพิ่งจบไปอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งเสียงวิจารณ์ส่วนมากนั้นเป็นไปในแง่ชื่นชมเกือบทั้งหมด ลูกค้าบางส่วนนั้นทยอยกลับบ้างแล้ว และบงส่วนนั้นก็รอส่งเสด็จเชื้อพระวงศ์เสียก่อน
" เจ้าเป็นผู้ควบคุมการแสดงทั้งหมดเลยหรือ ซูหนี่ว์ "
มู่หรงหยางเฉิง หันไปเอ่ยกับสตรีที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก
" เพคะ ในเรื่องของการแสดงตามบทบาทต่างๆหม่อมฉันจะเป็นผู้ฝึกสอน หากเป็นเรื่องการขับร้องและร่ายรำ ก็จะมีผู้ฝึกสอนเฉพาะด้านช่วยดูแลอีกสองสามคน แล้วหม่อมฉันก็จะคอยดูแลในภาพรวมอีกที เพคะ "
หญิงสาวเอ่ยตอบออกไป
" ดีจริง เจ้าเก่งมากนะ การแสดงชุดนี้น่าสนใจและชวนให้น่าติดตามมาก ทุกคนแสดงได้ดั่งว่าเป็นคนๆนั้นตามบทบาทเลยทีเดียว ทั้งเนื้อหาก็แปลกใหม่ เช่นนี้แล้วคงจะดึงดูดผู้คนให้อยากเข้ามาชมการแสดงได้มากโข "
มู่หรงหยางเฉิงกล่าวจากใจจริง ในวังหลวงนั้นการแสดงร่ายรำอันวิจิตรและสวยงามมากมาย แต่ก็ไม่มีการแสดงใดเหมือนกับการแสดงที่สตรีตรงหน้าคิดขึ้นมาเลย
" ขอบพระทัยเพคะ เป็นเพราะความทุ่มเทของทุกคนเพคะ การแสดงจึงออกมาสมบูรณ์เช่นนี้...จะว่าไปเมื่อวันก่อนตอนที่ทรงรักษาเด็กคนหนึ่ง แล้วเด็กคนนั้นร้องไห้ หม่อมฉันเห็นองค์ชายทรงเป่าขลุ่ยปลอบโยนเด็กผู้นั้น เป็นท่วงทำนองบทเพลงอะไรหรือเพคะ หม่อมฉันไม่เคยได้ยิน ทว่าไพเราะเหลือเกิน "
จางซูหนี่ว์เอ่ยถามบ้าง ด้วยเมื่อวันก่อนมีโอกาสได้ฟังโดยบังเอิญแล้วนางชอบท่วงทำนองมาก อ่อนหวาน นุ่มนวล ฟังแล้วเคลิบเคลิ้มไม่น้อย หากมีเนื้อร้องใส่ลงไปด้วยคงไพเราะยิ่งขึ้น อีกอย่างหากว่าคนตรงหน้าไม่หวง นางอาจจะขอมาใช้เพื่อประกอบการร่ายรำบ้าง
" เปิ่นหวางแต่งทำนองเพลงนี้เอาไว้เป่าเล่นในยามว่างเท่านั้น ทั้งยังไม่ได้ตั้งชื่อเสียด้วยสิ จึงมิรู้จะบอกเจ้าว่าอย่างไร "
มู่หรงหยางเฉิงกล่าวพลางยิ้มละมุน ที่อย่างน้อยนางก็ใส่ใจและจดจำเรื่องของเขาได้อยู่มิน้อย ความจริงแล้วบทเพลงนั้นเขาเพิ่งแต่งได้ไม่นาน ขณะที่แต่งท่วงทำนองเขานั้นนึกถึงใบหน้าของนางไปด้วยเสมอ และมันก็ออกมาเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองอ่อนหวานเช่นนี้
หากแต่นางผู้เป็นแรงบันดาลใจของบทเพลงนี้คงไม่รู้ตัวแม้สักนิด ถึงอย่างนั้นเมื่อนางได้ฟังและชื่นชอบมัน เขาก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ เพราะอย่างน้อยก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกผ่านบทเพลงนี้ให้นางได้ฟัง
" เช่นนั้นแล้ว ทรงบรรเลงเพลงนั้นประทานให้หม่อมฉัน และทุกคนได้ฟังสักครั้งจะได้หรือไม่เพคะ "
หญิงสาวเอ่ยคะยั้นคะยอ
" ย่อมได้สิ "
มู่หรงหยางเฉิงมองไปรอบๆ เห็นทุกคนนั้นมองมาที่เขาด้วยความสนใจ หากแต่ความสนใจนั้นไม่ได้มีค่าต่อเขาเท่าความสนใจของสตรีตรงหน้าในตอนนี้เลยสักนิด เขาจึงหยิบขลุ่ยประจำตัวที่ชอบพกไปในที่ต่างๆขึ้นมา
จากนั้นจึงเดินออกไปด้านหน้า ทว่าเมื่อเตรียมจะเป่าบทเพลงนั้นก็มีเสียงสตรีนางหนึ่งขัดขึ้นมาเสียก่อน
" ประเดี๋ยวก่อนเพคะ หม่อมฉันม่านฉิงเซียงขอประทานอภัยที่ขัดจังหวะเพคะ "
ม่านฉิงเซียงเอ่ยขัดขึ้นมา
" เจ้าขัดจังหวะองค์ชายห้าทำไมกันฉิงเซียง "
จางซูหนี่ว์เอ่ยขึ้น ทั้งมองอาการจีบปากจีบคอกล่าวพลางยิ้มของม่านฉิงเซียง สีหน้านางดูมีเลศนัยเช่นนี้แล้วคงมิได้คิดการดีเป็นแน่
หญิงสาวนึกรำคาญและเบื่อหน่ายสตรีนางนี้เหลือทน ไม่รู้ว่าจางซูหนี่ว์คนก่อนนั้นทนคบกับนางอสรพิษผู้นี้ไปได้อย่างไรเป็นสิบปี โดยดูไม่ออกเลยสักนิดว่านางไว้ใจไม่ได้
เป็นนางหน่อยไม่ได้คงได้จับแม่สหายตัวดีนี่โขกพื้นให้สมองเท่าเม็ดถั่วนั้นกลับตาลปัตร เผื่อสมองด้านดีจะได้ทำงานเสียบ้าง
" โธ่...ฟังข้าก่อนสิซูหนี่ว์ อย่าเพิ่งใจร้อนนักเลย ข้าก็เพียงอยากให้การบรรเลงเพลงขลุ่ยขององค์ชายห้านั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็เท่านั้นเอง มิได้ต้องการขัดจังหวะอันใดเลย "
ม่านฉิงเซียง ฉีกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อหันไปกล่าวกับจางซูหนี่ว์ ในใจนั้นออกจะนึกหยันคนตรงหน้าอยู่มากด้วยแผนการที่นางเพิ่งจะคิดได้เมื่อครู่นั้นอาจทำให้จางซูหนี่ว์นั้นได้อับอายเป็นแน่
" เจ้ามีสิ่งใดก็รีบกล่าวมาเถิด อย่ามัวอมพะนำอยู่นักเลย ไม่เห็นหรือว่าองค์ชายนั้นทรงรอฟังความอยู่ มิเกรงใจข้าและคนอื่นๆ ก็เกรงพระทัยจวิ้นอ๋อง และองค์ชายห้าบ้าง "
จางซูหนี่ว์ตัดบทด้วยความรำคาญ
" ข้าเพียงแต่เห็นว่าการแสดงเมื่อสักครู่กับการร่ายรำต่างๆนั้นงดงามนัก และได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกสอนพวกนางเหล่านี้ ก็คงมีฝีมือการร่ายรำไม่ธรรมดา ประจวบเหมาะกับที่องค์ชายห้าจะทรงบรรเลงเพลงขลุ่ย ข้าก็เห็นว่าอาจจะดูเงียบเหงาไปสักหน่อย อันว่าเสียงดนตรีนั้นย่อมเคียงคู่กับการร่ายรำจึงจะนับว่าสมบูรณ์ "
ม่านฉิงเซียง หันไปกล่าวกับทุกคนให้ได้ยินกันถ้วนทั่ว ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานทั้งรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ก่อนจะหันไปทางองค์ชายห้า และจวิ้นอ๋องที่ทรงประทับอยู่เบื้องหลัง
" หม่อมฉันจึงเห็นควรว่าในระหว่างที่ทรงบรรเลงเพลงขลุ่ยนั้น หากมีนางรำออกมาร่ายรำไปด้วยคงเป็นภาพที่งดงามมากเป็นแน่ และคนที่จะมาร่ายรำได้สมพระเกียรติขององค์ชาย จะให้เป็นนางรำทั่วไปก็กระไรอยู่ ไยเจ้าไม่ออกมาแสดงฝีมือร่ายรำให้ทุกคนได้ยลกันสักคราเล่าซูหนี่ว์ "
นางกล่าวออกไปตามแผนการที่วางเอาไว้ในใจ ม่านฉิงเซียงผู้นี้เติบโตมาพร้อมกับจางซูหนี่ว์ ไยจึงไม่ทราบว่าฝีมือการร่ายรำของอดีตสหายอยู่ในระดับใด ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดีเทียบเท่ากับนาง แล้วจะเป็นไปได้เชียวหรือว่าจางซูหนี่ว์จะเป็นผู้ฝึกสอนนางรำทั้งยังช่วยคิดท่ารำใหม่อันวิจิตรแปลกตาขึ้นมามากมาย
นางคิดว่าอดีตสหายนั้นกล่าวอ้างเอาดีเข้าตัวเสียมากกว่า หากนางออกมาร่ายรำจริงๆคงได้ขายหน้าเป็นแน่ เพราะทุกคนจะได้เห็นฝีมือรายรำที่แท้จริงของนางว่าไม่ได้ดีเด่นอะไรเลย
จางซูหนี่ว์มองม่านฉิงเซียงนิ่ง ทั้งสองนั้นกำลังปะทะกันด้วยสายตาหาใช่คำพูด
" ย่อมได้ เรื่องเพียงนี้เอง..."
หญิงสาวเอ่ยตอบ เหตุใดข้าจะมิรู้เท่าทันเจ้า คงวางแผนอยากเห็นข้านั้นขายหน้าต่อธารกำนัลเป็นแน่ อุบายตื้นเขินนักสมองเมล็ดถั่วของเจ้าคงคิดได้เพียงเท่านี้ ผู้คนภายนอกนั้นมิรู้ความนั้นก็ช่างเถิด หากแต่คนภายในครอบครัวสกุลเค่อนั้นรู้ดีว่าซูหนี่ว์(คนเก่า) นั้น มิถนัดการร่ายรำเช่นนั้นแล้วเจ้าคิดว่าแผนของเจ้าจะหลอกคนเหล่านั้นได้หรือ เป็นสะใภ้ที่ไม่ถูกโปรดปรานจากบิดามารดาของสามีก็นับว่าแย่แล้ว ยังคิดหาเรื่องใส่ตัวอีก....
หญิงสาวปรายตาไปมองยังตำแหน่งที่สกุลเค่อนั่งอยู่ ก็เห็นว่าสายคาของเค่อเหยียนเป่าและเค่อฮูหยินนั้น มองไปทางศรีสะใภ้อย่างมิชอบใจอยู่ในที ไม่เว้นแม้กระทั่งเค่อเหยียนเหว่ยผู้เป็นสามีที่มองภรรยาด้วยสีหน้ามึนตึงขึ้นเรื่อยๆ
จางซูหนี่ว์หันไปมององค์ชายห้า ก็เห็นว่ากำลังยืนส่งยิ้มละมุนมาให้นางอยู่ดั่งให้กำลังใจ จึงส่งยิ้มกลับไปให้ จากนั้นก็อดที่จะเหลือบไปมองบุรุษสูงศักดิ์อีกคนไม่ได้ หากแต่นางก็ได้พบกับสายตาสงบนิ่งของเขาเป็นการตอบแทน เป็นสายตาที่นางมิอาจคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
แล้วเพราะอะไรถึงรู้สึกว่าจิตใจของนางนั้นกำลังรู้สึกแปลกๆ นางคาดหวังอะไรจากเขากัน ความสนใจ กำลังใจ หรือ รอยยิ้มละมุนละไม ดั่งเช่นที่องค์ชายห้ามีให้...
เสียงขลุ่ยในท่วงทำนองอ่อนหวานค่อยดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน เป็นบทเพลงที่ไม่เคยมีใครได้ยิน ทุกคนนั้นนิ่งสงบปล่อยใจไปความสุนทรียภาพทางเสียง ซาบซึ้งไปกับท่วงทำนองที่เริ่มจากแผ่วเบาราวขนนกอันลอยละล่อง ค่อยๆไต่ระดับในท่วงทำนองให้เร็วขึ้นอีกนิด
ทว่ายังคงความอ่อนหวาน และ ละมุนละไม มันคล้ายบทเพลงรักที่บุรุษนั้นพึงมอบให้สตรีอันเป็นดวงใจ
หญิงสาวหลับตาพริ้มเพื่อเรียกสมาธิ และปลดปล่อยใจตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับเสียงดนตรีแว่วหวานนั้น ก่อนจะลืมตาขึ้นใบหน้างามประดับรอยยิ้มเบาบาง ร่างบางทว่างามสง่านั้นเคลื่อนกายไปยังพื้นที่ว่างตรงกลาง เริ่มกรีดกรายร่ายรำไปพร้อมกับท่วงทำนอง ชายผ้าสีชมพูกลีบบัวที่นางสวมใส่นั้นสะบัดไปมาตามการเคลื่อนไหว บทเพลงอ่อนหวาน ร่ายรำอ่อนช้อย ได้ยลย่อมสร้างความสุขความชื่นฉ่ำในจิตใจไม่น้อย
มู่หรงหย่งหมิงมองดูภาพการร่ายรำของจางซูหนี่ว์ กับการบรรเลงขลุ่ยของผู้เป็นน้องชาย ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอย่างใช้ความคิดก่อนจะยกยิ้มออกมาเพียงน้อย ซึ่งหากจางซูหนี่ว์ได้ทันเห็นเข้า นางก็คงจะกล่าวว่าเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกเป็นแน่...
นางร่ายรำพลางสะบัดชายผ้าไปทางด้านหลัง ทว่าอยู่ๆมือของนางกลับถูกใครบางคนนั้นจับเอาไว้และดึงเข้าหาตัว เมื่อหันไปมองกลับพบว่าเป็นบุรุษสูงศักดิ์ที่นั่งหน้าเฉยเมยใส่นางเมื่อสักครู่ บัดนี้เขายืนอยู่ใกล้ชิดกับนางอยู่มากทีเดียว ทันได้เห็นเขาส่งสัญญาณไปทางองค์ชายห้าที่บรรเลงเพลงสะดุดไปชั่วขณะ ให้บรรเลงเพลงต่อไปจนจบ ก่อนเอ่ยบอกกับทุกคนว่า....
" การแสดงนี้หากขาดเปิ่นหวางร่วมด้วย คงมิอาจสมบูรณ์ได้ "
การร่ายรำของหนึ่งสตรีงดงามกับหนึ่งบุรุษสูงศักดิ์ เริ่มขึ้นพร้อมๆกับท่วงทำนองที่บรรเลงโดยหนึ่งบุรุษที่สูงด้วยศักดิ์มิต่างกัน ทว่าครั้งนี้ความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงนั้นกลับเจือไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่มากกว่าอ่อนหวาน มันแฝงไปด้วยความเศร้า ความน้อยใจ ตามความรู้สึกของผู้บรรเลง...
งดงามอ่อนหวานแลเย้ายวน ชวนหลงไหลตราตรึงราวภาพฝัน
มู่หรงหย่งหมิงเคลื่อนไหวตามทิศทางที่สตรีร่างบางนี้เป็นผู้นำ บ้างกรีดกรายดูเย้ายวน มือเรียวของนางเคลื่อนเข้าหาใบหน้าของเขาราวลูบไล้ ชวนเคลิบเคลิ้มหากแต่ก็สะบัดมือออกด้วยท่วงท่าร่ายรำ ก่อนหันกลับมาสอดประสานฝ่ามือพลางหมุนกายพลิ้วไหวตามท่วงทำนอง
หนุ่มสาวร่ายรำเคล้าเคียงกัน ท่ามกลางแสงตะเกียงส่องสว่างกระจ่างตา ประหนึ่งว่าใต้หล้ามีเพียงข้าและเจ้าหามีใคร
ท่วงทำนองสุดท้ายของบทเพลงจบลง พร้อมกับการร่ายรำของจางซูหนี่ว์และจวิ้นอ๋องที่จบลงด้วยท่วงท่าที่สวยงามเช่นกัน จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงปรบมือที่ดังขึ้นจากหลายคนที่ทั้งสองก็หลงลืมไปชั่วขณะ
" บทเพลงช่างไพเราะ และการร่ายรำก็งดงามยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ "
เสนาบดีจางกล่าวขึ้นหลังจบการบรรเลงเพลงและการร่ายรำของคนทั้งสาม
" เปิ่นหวางคงต้องมอบความดีความชอบให้องค์ชายห้า กับบุตรสาวของท่านต่างหาก ตัวเปิ่นหวางนั้นด้อยความสามารถในด้านนี้ เพียงอยากร่วมสนุกในการแสดงครั้งนี้ด้วยก็เท่านั้น "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยยิ้ม พลางมองไปยังจางซูหนี่ว์ ที่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาเลยตั้งแต่จบการร่ายรำ
จางซูหนี่ว์ที่บัดนี้กลับมายืนอยู่ข้างกายผู้เป็นมารดา ให้รู้สึกแปลกกับความรู้สึกเมื่อครู่ยิ่งนัก ความเผลอไผลยามที่สบตาและใกล้ชิดกับจวิ้นอ๋องนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกัน
ความรู้สึกวูบไหวยามที่ได้สัมผัสต้องกายกัน นางเผลอไผลจนแทบจะลืมไปว่าระหว่างร่ายรำนั้นมีผู้อื่นอยู่ด้วย มิใช่มีเพียงเขาและนาง
ต้องเป็นเพราะบรรยากาศแน่ๆ ที่ทำให้นางเป็นได้ถึงเพียงนี้ แต่อาการใจหวิวๆนี่คืออะไร หรือว่าโรคหัวใจนางจะกำเริบกัน อดที่จะเอามือขึ้นมาทาบที่ตรงตำแหน่งหัวใจไม่ได้
" เป็นอะไรหรือ หนี่ว์เอ๋อร์ "
จางฮูหยินเห็นอาการนิ่งเงียบของบุตรสาว พลางมีท่าทีเช่นนั้นก็นึกเป็นห่วง เกรงว่านางจะเหนื่อยจนเกินไปและอาการป่วยกำเริบขึ้นมาอีก
" ป่ะ เปล่าเจ้าค่ะ ลูกอาจจะเหนื่อยเล็กน้อย "
นางตอบปัดมารดาไปเสียอีกทาง
" ถ้าเหนื่อยก็พักเถิดหนี่ว์เอ๋อร์ เปิ่นหวางคงต้องขอตัวกลับเสียที แล้วเจ้าล่ะอยางเฉิง "
มู่หรงหย่งหมิง แม้จะอยากพูดคุยกับนาง หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนเยอะแยะเพียงนี้ จึงเห็นว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไร คิดว่าภายหลังค่อยกลับมาหานางน่าจะดีกว่า หากแต่จะกลับไปเพียงคนเดียวก็กระไรอยู่ อย่างไรก็ต้องพ่วงเอาน้องชายต่างมารดาผู้นี้กลับไปพร้อมกันให้ได้
มิได้คิดกันท่าอะไรผู้เป็นน้องชายหรอกนะ เพียงอยากให้จางซูหนี่ว์นั้นได้กลับไปพักผ่อนเร็วขึ้นก็เท่านั้น....
" พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันก็เห็นควรว่าสมควรกลับเสียที "
มู่หรงหยางเฉิงที่ละสายตาจากจางซูหนี่ว์ หันมาเอ่ยกับพี่ชายหลังจากนิ่งเงียบมานาน ความรู้สึกปวดหนึบที่ใจยามที่เห็นภาพการร่ายรำของทั้งคู่นั้น ทำให้เขาอยากจะออกไปจากตรงนี้เสียนานแล้ว ก็รู้แก่ใจดีว่าผู้เป็นพี่ชายต่างมารดานั้นคงมีใจให้จางซูหนี่ว์ แต่เขาก็ยังปลอบใจและคิดเข้าข้างตนเองอยู่บ้าง ด้วยนางนั้นที่ผ่านมาก็มิได้แสดงท่าทีใดต่อพี่ชายของเขามากนัก หากแต่คืนนี้บางอย่างในสายตาของทั้งคู่ที่ฉายชัดออกมาให้เขาได้เห็นนั้น กลับตอกย้ำว่าความพ่ายแพ้กำลังมาเยือนเขาในเวลาอันใกล้นี้....
หลังจากที่ส่งเสด็จบุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองเป็นที่เรียบร้อย นางจึงกลับเข้ามาด้านในอีกครั้งพอดีกับที่สกุลเค่อนั้นกำลังร่ำลาบิดามารดาของนาง จางซูหนี่ว์สบสายตากับม่านฉิงเซียงที่ใบหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม ด้วยทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผนการที่ได้วางไว้ เหตุใดนางจึงเป็นสตรีที่ขี้อิจฉาริษยาได้ถึงเพียงนี้ จางซูหนี่ว์นึกสมเพชเวทนาอยู่บ้าง ชีวิตนี้ม่านฉิงเซียงจะหาความสุขอย่างแท้จริงได้ไหมหนอ
ม่านฉิงเซียงจ้องมองจางซูหนี่ว์ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แผนการทำให้นางผู้นี้ขายหน้านั้นพังไม่เป็นท่า ซ้ำยังทำให้นางได้รับคำชื่นชมอีกมากมาย สำคัญคือเสียงซุบซิบที่นางได้ยินจากเหล่าสตรีที่มาร่วมชมการแสดงเมื่อครู่ เอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างจางซูหนี่ว์กับจวิ้นอ๋อง ถึงตำแหน่งจวิ้นหวางเฟยที่อาจจะเป็นของนางเป็นแน่ ก็ทำให้นางเกิดความรู้สึกชิงชังอดีตสหายยิ่งขึ้นไปอีก
เหตุใดนางผู้นี้จึงได้ดีไปเสียทุกเรื่อง นางอุตส่าห์ยั่วยวนจนได้แต่งเข้าสกุลเค่อแทนนางผู้นี้ แต่ก็หามีความสุขไม่ กระนั้นก็คิดมาโดยตลอดว่านางเป็นผู้ชนะและเหนือกว่าจางซูหนี่ว์ที่ไม่มีใครต้องการ แต่เวลาผ่านไปชีวิตของจางซูหนี่ว์กลับรุ่งเรืองและโดดเด่น ทั้งมีบุรุษสูงศักดิ์นั้นหมายปองให้ความสนใจ ผิดจากนางที่นานวันสามีก็ยิ่งห่างเหิน เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ม่านฉิงเซียงได้แต่เจ็บใจ....
" เห็นทีข้าคงต้องขอตัวกลับจวนเสียที ครั้งหน้าเมื่อมีโอกาสข้าจะมาอุดหนุนชมการแสดงที่หอซือซิงของเจ้านะหนี่ว์เอ๋อร์ "
" หนี่ว์เอ๋อร์ยินดีต้อนรับท่านลุงท่านป้าเจ้าค่ะ "
นางตอบกลับ คหบดีเค่อและเค่อฮูหยิน พลางคารวะบุคคลทั้งสองที่ยิ้มและเดินผ่านไป ก่อนจะทันได้สบตากับเค่อเหยียนเหว่ยที่มองนางอยู่ก่อนแล้ว เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนส่งยิ้มมาให้นางจากนั้นจึงเดินตามบิดามารดาของเขาออกไปเช่นกัน
ม่านฉิงเซียงที่ตั้งท่ากำลังจะเดินตามผู้เป็นสามีไปติดๆ หันไปมองจางซูหนี่ว์ด้วยสายตาชิงชังอย่างเปิดเผยเพราะไม่มีใครทันสังเกต ด้วยเห็นผู้เป็นสามีส่งยิ้มให้สตรีผู้นี้เมื่อสักครู่ ก็ยิ่งเพิ่มความชิงชังในใจนางยิ่งขึ้นไปอีก ก่อนจะสะบัดหน้าและเดินตามสามีออกไป ทว่า......
ว๊ายยยย
ตุ๊บบบบ
เสียงอุทานของม่านฉิงเซียงดังขึ้นพอสมควร และเมื่อทุกคนหันกลับมามองทางต้นเสียงก็พบว่าสะใภ้สกุลเค่อ ได้ลงไปกองอยู่ที่พื้นเป็นที่เรียบร้อย
" โธ่...ฉิงเซียง เมื่อครู่ข้าก็เตือนเจ้าแล้ว ว่าเดินให้ระวังและมองทางเสียบ้าง พื้นข้างหน้านั้นต่างระดับประเดี๋ยวจะล้มเอาได้ เจ้าก็ไม่ฟัง "
จางซูหนี่ว์ที่อยู่ใกล้ที่สุดรีบเข้าไปประคองสตรีตรงหน้า หึ..ล้มลงไปแรงเช่นนั้นคงเจ็บน่าดูเชียวล่ะ
" เจ้า "
ม่านฉิงเซียงได้แต่กัดฟันกรอด นางมิได้ไม่มองทาง แต่นางถูกจางซูหนี่ว์ขัดขาจนล้มลงไปต่างหาก แล้วนางยังมีหน้ามามารยาต่อหน้าผู้อื่นอีก ทั้งจุกทั้งเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนน้ำตาปริ่ม หากเจ็บใจนั้นมีมากกว่า
" อยู่ในที่ในทางของเจ้า อย่ามาหาเรื่องข้าอีก มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน "
จางซูหนี่ว์กระซิบบอกให้ม่านฉิงเซียงได้ยิน ในขณะที่นางทำทีก้มลงไปช่วยอดีตสหายให้ลุกขึ้นมา พลางแสร้งส่งสายตาแข็งกร้าวไปให้ ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นความห่วงใย เมื่อเค่อเหยียนเหว่ยเข้ามาช่วยประคองม่านฉิงเซียงแทน
ม่านฉิงเซียงได้แต่อึ้งไปกับถ้อยคำและท่าทีของจางซูหนี่ว์ที่เปลี่ยนไปมาก สายตาเช่นนั้นดูแข็งกร้าวนัก และทำให้นางนึกกลัวไม่น้อย ดูจากที่ขัดขานางจนล้มลงไปที่พื้นอย่างแรง แล้วยังมีสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ดูเป็นผู้บริสุทธิ์ได้อย่างแนบเนียน อีกทั้งผู้คนก็ต่างหลงเชื่ออีกด้วย อดีตสหายของนางในตอนนี้ประมาทไม่ได้เสียแล้ว
จางซูหนี่ว์มองตามเค่อเหยียนเหว่ยที่ประคองม่านฉิงเซียง ซึ่งเดินขากระเผลกออกไปอย่างช้าๆ เมื่อสักครู่นางนึกสมเพชเวทนาม่านฉิงเซียงก็จริง หากแต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เอาคืนเสียเมื่อไร
คนอย่างสตรีนางนั้นต้องถูกกำราบเอาไว้เสียบ้าง มิเช่นนั้นจะได้ใจ ต่อไปหากม่านฉิงเซียงคิดจะกลั่นแกล้งอะไรนางก็คงต้องคิดให้ดีเชียวล่ะ
สงสารชายห้าจุง ฮืออออออ
เป็นเพียงภาพประกอบการร่ายรำเท่านั้น เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพเท่านั้น ไม่ใช่อิมเมจพระเอกนางเอกนะคะ
เถียนเถียนเองค่ะ
ต่อไปก็เดินระวังๆนะจ๊ะ ฉิงเซียงงง เดินไม่ดูทางระวังจะเจอตอ(เบ้อเร่อ) 5555
ส่วนนาทีนี้ไรต์สงสารองค์ชายห้ามาก แต่งเพลงรักหวานละมุนให้สาว แต่กลับต้องมาบรรเลงให้นางเต้นรำกับชายอื่นแทน ตำตาตำใจมากกกก น้ำตาตกในได้อีกกก เศร้าจริงไรจริง
ปล. ในบทแรกๆเลย ไรต์ได้เขียนเอาไว้ว่านางเอกเรียนบัลเลต์ตั้งแต่เด็กๆ จนเป็นนักแสดงล่าสุดก็มาเข้าคอร์สเรียนร่ายรำแบบจีนอย่างจริงจัง เป็นเวลาแรมเดือนก่อนเปิดกล้องภาพยนต์ บอกไว้เผื่อใครสงสัย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตัดใจซะเถอะ องค์ชายห้า
รับสมัครคนดามใจมั้ยคะ ^^
ส่วนหวงกุ้ยเฟยกับจวิ้นอ๋องก็ใช่ว่าจะไม่ขัดขวางเหลียนฮวา แต่นางก็โตแล้วและไม่ใช่เด็กอ่ะเนอะที่จะกักขังได้ ทั้งเตือนก็แล้ว กักบริเวณก็แล้ว แต่เป็นตัวเหลียนฮวาเองต่างหากที่พอใจจะเชื่อฮองเฮา
เหลียนฮวาโดนฮองเฮาหลอกใช้ทำสิ่งร้ายๆแน่เลย
ริบหรี่ ใช้ ร.เรือ