ตอนที่ 19 : หมอชาวบ้าน (รีไรต์)
" เอาล่ะ ข้าตรวจดูแล้วบุตรสาวเจ้าไม่เป็นอะไรมากหรอก เพียงได้แผลถลอกและมีฟกช้ำอยู่บ้าง ทั้งยังอยู่ในอาการตกใจ แต่อีกสักพักก็คงจะหาย เดี๋ยวเจ้าจงไปรับยาสมุนไพรกับคนของข้า ที่โต๊ะตรงหัวมุมถนนด้านโน้นเอาไปรักษาบุตรสาวของเจ้าก็แล้วกันนะ ครั้งหน้าก็จงดูแลนางให้ดีล่ะ นางยังเล็กนัก ซุกซนไปตามประสาเด็กที่ยังไม่รู้ความ ครานี้ยังดีที่สารถีของจวิ้นอ๋องนั้นหยุดรถม้าได้ทันการณ์ ไม่เช่นนั้นแล้วเด็กน้อยนี่คงเจ็บหนักกว่านี้เป็นแน่ "
มู่หรงหยางเฉิง กล่าวกับมารดาของเด็กน้อยตรงหน้า ซึ่งก็เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ค้าขายผักอยู่ในตลาด ด้วยว่าเป็นหม้ายสามีตายลูกก็ยังเล็กนัก แม่สามีก็ชรามากแล้ว ญาติพี่น้องคนอื่นๆก็ต้องทำมาหากิน จึงไม่มีใครช่วยเลี้ยงดูต้องนำเด็กมาที่ตลาดด้วย
" ขอบพระคุณท่านหมอมู่ยิ่งนักเจ้าค่ะ แต่ค่ายาสมุนไพรเหล่านั้น ข้า...เอ่อ..."
มารดาของเด็กอ้ำอึ้ง ด้วยเพราะตั้งแต่เช้านั้นค้าขายผักได้ไม่ค่อยดีนัก จึงเกรงว่าจะมีเงินไม่พอค่ายานั่นเอง
" ไม่เป็นไร เปิ่นหวางจะเป็นผู้จ่ายค่ารักษาและค่ายาสมุนไพรให้เอง "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นอาการอึกอักของสตรีวัยกลางคนผู้นี้
" เป็นพระกรุณาเพคะ ที่ทรงเมตตาทั้งยังไม่ถือโทษเอาผิดหม่อมฉันกับลูก ที่ไปขวางขบวนเสด็จของจวิ้นอ๋อง "
" ไม่เป็นไร ดั่งเช่นที่หยางเฉิง เอ่อ...ท่านหมอมู่ผู้นี้กล่าว ลูกของเจ้ายังเด็กนักยังไม่รู้ความอะไร อย่างไรเจ้าก็ต้องดูแลลูกของเจ้าให้ดีกว่านี้ จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่ "
มู่หรงหย่งหมิงเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกมู่หรงหยางเฉิง ด้วยสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวนั้นคงไม่ได้เปิดเผยฐานะของตนเอง มิเช่นนั้นคงมิปลอมตนเป็นหมอชาวบ้านธรรมดาเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าตัวไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะต้องเผยความเช่นกัน
" เพคะ..."
มารดาของเด็กรับคำ พลางเอ่ยขอตัวออกไปจากตรงนั้น
คล้อยหลังคู่แม่ลูกที่เดินห่างออกไปยังทิศทางบริเวณคนขององค์ชายห้ามู่หรงหยางเฉิง หรือท่านหมอมู่ของชาวบ้านนั้น ตั้งโต๊ะเพื่อเป็นสถานที่ในการรักษาอาการป่วยของชาวบ้าน
" นี่เงินค่ารักษาและค่าสมุนไพรของเจ้า หยางเฉิง "
มู่หรงหย่งหมิง หันมากล่าวกับผู้เป็นอนุชาต่างมารดาของเขา พลางยื่นถุงเงินให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มทั้งเอื้อมมือมารับแต่โดยดี
" คราแรกหม่อมฉันก็ไม่คิดจะเรียกเก็บค่ารักษาใดจากนางหรอก ทว่าเงินนี่พี่รองเป็นผู้ออกให้นาง เช่นนั้นแล้วหม่อมฉันก็จะขอรับไว้ก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ....คุณหนูท่านนี้เราพบกันอีกแล้วนะ "
มู่หรงหยางเฉิง เอ่ยขึ้นกับผู้เป็นพี่ชายคนรองอย่างยียวนกวนอารมณ์พี่ชายเล่น หากแต่ประโยคหลังนั้นเขากลับหันมาเอ่ยกับสตรีนางนั้น ที่จำได้ว่าเคยพบกันเมื่อหลายวันก่อน รอยยิ้มและแววตาวับวาวของนางใครได้ยลก็ยากที่จะลืมเลือน
" เพคะ..."
จางซูหนี่ว์ ยิ้มพลางยอบกายลงคารวะองค์ชายห้า
มู่หรงหย่งหมิง ออกจะแปลกใจเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนนั้นส่งยิ้มให้แก่กัน ดั่งว่าเคยพานพบกันมาก่อน แล้วไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อใด
" พวกเจ้าทั้งสองนั้นรู้จักกันมาก่อนหรืออย่างไร "
" มิได้เพคะ...เพียงเคยพบแต่มิได้รู้จักเป็นการส่วนตัวเพคะ "
นางเอ่ยตอบจวิ้นอ๋อง แน่นอนว่าการพบกันในครั้งนั้นนางย่อมต้องรู้จักองค์ชายห้าผู้นี้อยู่แล้ว รับรู้ได้จากการเรียกขานของนางกำนัล และจากบทสนทนาระหว่างเขากับเฟิ่งหวงกุ้ยเฟย
ก็รู้เพียงองค์ชายห้าผู้นี้มีนามว่ามู่หรงหยางเฉิง เป็นโอรสของสวี่กุ้ยเฟย เป็นองค์ชายที่มีความรู้ด้านการแพทย์ และ รูปงามมาก....
แต่คาดว่าองค์ชายห้านั้นคงมิรู้จักนางหรอก ด้วยมิได้มีการแนะนำตัวใดใด มิได้มีการสนทนากันแม้เพียงสักคำ เช่นนั้นกล่าวได้ว่านางรู้จักองค์ชายห้าแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ย่อมได้
" เช่นนั้นได้โปรดบอกชื่อเสียงเรียงนามของคุณหนู ให้เปิ่นหวาง เอ้ย..ให้ท่านหมอจนๆ ผู้นี้รู้จักบ้างจะได้หรือไม่ "
มู่หรงหยางเฉิง เอ่ยอย่างอารมณ์ดี ดูไม่ถือตัวใดใด
" ย่อมได้เพคะ เอ้ย..เจ้าค่ะ ข้าน้อยมีนามว่า จางซูหนี่ว์ เป็นบุตรีของเสนาบดีจาง "
หญิงสาวเห็นว่าองค์ชายห้ากล่าวทีเล่นมาเช่นนั้น นางก็กล่าวตอบกลับไปทำนองเดียวกันด้วยคำพูดธรรมดา ดูองค์ชายห้าจะชอบคำพูดที่ไม่ใช้ราชาศัพท์ใดใดนั่นอยู่ไม่น้อย บรรยากาศนั้นคงจะดีกว่านี้ถ้า....
" จะยืนคุยกันที่ริมถนนเช่นนี้อีกนานหรือไม่ "
เสียงเข้มๆ ห้วนๆ เอ่ยขึ้น...จะเป็นใครไปได้อีกเล่า นอกจากจวิ้นอ๋องหน้าโหดผู้นี้
มู่หรงหยางเฉิงและจางซูหนี่ว์ ต่างก็พากันชะงักไปเล็กน้อย
นางไม่ชอบน้ำเสียงห้วนๆ ของจวิ้นอ๋องเลย พูดจาดีๆนุ่มนวลนางว่าเขาก็พูดได้แต่ทำไมไม่ชอบพูด ดีแต่ข่มขู่ข่มขวัญกันอยู่ได้ พูดจานุ่มนวลอ่อนโยนอย่างคนอื่นเขาบ้างจะตายหรืออย่างไร....
" จริงสิ หม่อมฉันช่างเสียมารยาทแท้ ที่ชวนพี่รองกับคุณหนูจางยืนสนทนากันอยู่ข้างทางเช่นนี้ ไม่ทราบว่าพี่รองทรงมีธุระเร่งด่วนหรือไม่ หากไม่รีบร้อนเกินไป ข้างหน้านี้มีโรงน้ำชาขนาดไม่ใหญ่นักแต่ชงชารสชาติดีทีเดียว เชิญพี่รองกับคุณจางร่วมจิบชาด้วยกันสักครู่ดีหรือไม่ "
" ข้าก็อยากจะอยู่สนทนากับเจ้านะหยางเฉิง ระยะหลังมิค่อยได้เจอกันสักเท่าใด แต่คงจะต้องเป็นคราวหน้า เพราะตอนนี้ข้าต้องไปส่งหนี่ว์เอ๋อร์ที่จวนสกุลจางเสียก่อน นางคงคิดถึงบิดามารดาเต็มทีแล้ว "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยกับอนุชาพลางเรียกขานชื่อนางอย่างสนิทสนม หากแต่ก็ต้องหน้าเจื่อนลง เมื่อน้ำเสียงหวานใสนั้นเอื้อนเอ่ยขึ้นมา
" หม่อมฉันไม่รีบเพคะ จวิ้นอ๋องทรงไปปราบกบฏที่เมืองฉางอยู่นานหลายเดือน นานๆทีจะได้พบพระอนุชาเช่นนี้ ก็ทรงสนทนากันก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันรอได้ อย่างไรเสียจวนสกุลจางก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิมไม่หายไปไหน "
จางซูหนี่ว์ เอ่ยขึ้นอย่างหวังดี ไม่ได้ตั้งใจหักหน้าใครเลยจริงๆ
" คุณหนูจางกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก..."
มู่หรงหยางเฉิงเอ่ยสนับสนุน พลางส่งยิ้มกว้างให้สตรีตรงหน้า แม้จะข้องใจที่เห็นว่าทั้งสองคนนั้นมาด้วยกัน ก็ไม่รู้ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไร
หากแต่สังเกตดูปฏิกิริยาของจางซูหนี่ว์แล้วก็ไม่น่าจะมีความสัมพันธ์ใดที่ลึกซึ้งกับผู้เป็นพระเชษฐาของเขาเลย
เช่นนั้นแล้วเมื่อมีโอกาสได้สานไมตรีที่ดีกับนาง คว้าเอาไว้ย่อมไม่เสียหาย
ณ โรงน้ำชา…
บริเวณโต๊ะที่ทั้งสามนั่งอยู่นั้น ถูกเจ้าของโรงน้ำชาจัดให้ใหม่ โดยมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ผู้คนที่นั่งจิบชาอยู่ภายในร้าน ย้ายไปนั่งยังบริเวณที่ห่างออกไปจากโต๊ะที่เชื้อพระวงศ์ทรงประทับอยู่ ซึ่งไกลพอที่จะไม่ได้ยินบทสนทนาจากบุคคลทั้งสาม
" อากาศช่วงนี้ค่อนข้างหนาวเย็น ได้จิบชาอุ่นๆนั้นให้ความรู้สึกดีต่อร่างกายยิ่งนัก พี่รองว่าหรือไม่ "
มู่หรงหยางเฉิงเปิดการสนทนาขึ้น เมื่อคล้อยหลังจากที่เสี่ยวเอ้อร์นำชาที่ดีที่สุดมาวางพร้อมขนมอีกสองสามอย่าง ซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยจากผู้เป็นพี่ชายเท่านั้น
" หม่อมฉันเห็นว่าทรงตั้งโต๊ะรักษาผู้ป่วยชาวบ้าน โดยไม่คิดรังเกียจแต่อย่างใด ทั้งยังปลอมองค์เป็นเพียงหมอธรรมดาอีก ช่างน่ายกย่องยิ่งนักเพคะ "
จางซูหนี่ว์เอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อสักครู่ที่ผ่านจุดรักษาผู้ป่วยนั้นก็เห็นว่ามีชาวบ้านรอรักษาและรับยาอยู่หลายคนทีเดียว นางนั้นนึกชื่นชมองค์ชายห้าผู้นี้จากใจจริง
ด้วยศักดิ์ฐานะสูงส่งนั้นอยู่ภายในพระราชวังก็สุขสบายดีอยู่แล้ว มิจำเป็นต้องออกมาทำอะไรให้ลำบากเช่นนี้เลย ทั้งยังทำไปโดยไม่เปิดเผยตัวเองอีก ไม่คาดหวังทำผลงานเอาหน้าจากผู้ใด ชาวบ้านโดยเฉพาะคนยากคนจนจึงรู้จักองค์ชายห้าในฐานะ...ท่านหมอมู่ หมอชาวบ้านโดยแท้
" เจ้าก็กล่าวเกินไปนัก เปิ่นหวางไม่ไดมีอะไรให้น่ายกย่องเลย เพียงแต่อยากทำอะไรที่มีประโยชน์ต่อราษฎรบ้าง ความจริงนั้นสิ่งที่เปิ่นหวางทำแทบจะเทียบไม่ได้เลยกับที่พี่รองทรงกระทำ ปราบกบฏคืนความสงบให้ชาวเมือง เสี่ยงชีวิตในสนามรบน่ายกย่องกว่าอีก
เปิ่นหวางนั้นไร้ความสามารถจับอาวุธไปสู้รบกับผู้ใดไม่เป็น จะมีก็แต่วิชาการแพทย์ที่ศึกษามาเท่านั้นที่พอจะมีประโยชน์ แต่หมอในวังหลวงก็มีเยอะแยะแล้ว ครั้นออกมารักษาให้ราษฎร ก็คงไม่มีใครกล้าเข้าหาด้วยเพราะเป็นองค์ชาย จึงต้องปลอมตัวมาเช่นนี้อย่างไรล่ะ แต่ก็ดีนะจะได้รับรู้ความลำบากของราษฎรด้วย คนจน คนเร่ร่อนนั้นมีอยู่มาก เจ็บป่วยบางทีก็ไม่มีแม้แต่เงินจะนำไปเป็นค่ารักษา ต้องนอนเจ็บหรือนอนรอความตายไปอย่างนั้น "
จางซูหนี่ว์ได้ฟังแล้วนึกอยากจะปรบมือให้รัวๆเลยเชียว องค์ชายห้าท่านหล่อมาก หน้าตาว่าดีแล้ว แต่จิตใจท่านดีกว่ามากนัก....
ดีกว่าคนบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ นางตอนนี้เป็นไหนๆ คิดแล้วก็อดที่จะเหลือบไปมองทางบุรุษหน้าโหดไม่ได้ เทพเซียนกับจอมมารโดยแท้...
มู่หรงหย่งหมิง รู้สึกได้ว่าจางซูหนี่ว์นั้นแอบชำเลืองมองมาทางเขาบ่อยๆด้วยสายตาครุ่นคิดอะไรอยู่ จึงหันไปสบสายตากับนางก็เห็นว่าเจ้าตัวรีบหันกลับไปตามเดิม ทั้งทำหน้าเฉยไม่รู้ไม่ชี้ใดใด มันน่า…นัก!!
แล้วรอยยิ้มระรื่นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านางนั้นอีกเล่า ทีอยู่กับเขานั้นเฉยได้เฉยดี ทั้งประหยัดถ้อยคำจำนรรจา ทีอยู่กับผู้อื่นไยจึงร่ำรวยรอยยิ้มและคำพูดนักเล่า คิดไปก็นึกเคืองอยู่ในใจมิน้อย....
" คนเรามีความสามารถที่แตกต่างกัน เจ้ากับข้านั้นทำเพื่อแบ่งเบาราชกิจของเสด็จพ่อ จะเป็นเจ้าที่ช่วยเหลือราษฎรให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ หรือจะเป็นข้าที่ปกป้องบ้านเมืองให้สงบสุข ก็ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อแผ่นดินหวงหรงและความสุขของราษฎรในแคว้นทั้งนั้น ไม่มีใครดีกว่าใครเลยหยางเฉิง "
มู่หรงหย่งหมิงหันไปเอ่ยกับมู่หรงหยางเฉิง จะว่าไปเขาก็เห็นดีด้วยกับการกระทำของผู้เป็นน้องชายคนนี้อยู่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะตัวเขาเองนั้นก็ไม่ชอบความวุ่นวายเช่นกัน ออกบ่อยครั้งที่มักปลอมตัวเป็นชาวบ้านเวลาไปไหนมาไหนนั้นสะดวกกว่ามากนัก
" กล่าวแต่เรื่องของข้า แล้วเรื่องของพี่รองเล่า ไยจึงไม่ทรงเล่าให้หม่อมฉันฟังบ้าง "
มู่หรงหยางเฉิงเอ่ยขึ้น ทั้งลองหยั่งเชิงเรื่องความสัมพันธ์ของพี่ชายกับสตรีโฉมงามตรงหน้านี้
" เรื่องของข้า...เรื่องใดกัน "
" ก็เรื่องของท่าน กับคุณหนูจางอย่างไรเล่า เหตุใดจึงมาด้วยกันได้ ทั้งหลายวันก่อนหม่อมฉันเห็นนางอยู่กับเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยด้วย ดูท่าทางวังจวิ้นอ๋องของท่าน จะมีผู้ดำรงตำแหน่งจวิ้นหวางเฟยเสียทีกระมัง "
" ข้ายินดีมอบให้นาง หากนางต้องการ "
มู่หรงหย่งหมิงเอ่ยพลางยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แต่กับผู้ฟังอีกสองคนนั้นต่างมีปฏิกิริยาต่างกันไป
มู่หรงหยางเฉิงนั้นหน้าเจื่อนลงไปเพียงนิด คำตอบของผู้เป็นพี่ชายนั้นสั้นๆแต่ได้ใจความนัก เรื่องความสัมพันธ์นั้นคงมีมากกว่าที่เห็นแน่
จางซูหนี่ว์ นึกเคืองคนข้างๆยิ่งนัก จำเป็นที่ต้องพูดไหมเรื่องแบบนี้ หากแต่ที่ทำได้ตอนนี้คือรีบแก้ความเข้าใจผิด ให้คนนอกที่ไม่ได้รู้เรื่องราวระหว่างนางกับจวิ้นอ๋องผู้นี้ให้เข้าใจเสียใหม่
" จวิ้นอ๋องทรงกล่าวล้อหม่อมฉันเล่นเพคะ ความจริงแล้วหม่อมฉันเพียงไปช่วยดูแลจวิ้นอ๋องที่วังเป็นการแทนคุณที่ทรงช่วยเหลือหม่อมฉันจากโจรป่า แล้วยังทรงได้รับบาดเจ็บเพราะหม่อมฉันด้วยก็เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกินเลย "
" เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ "
มู่หรงหยางเฉิง รู้สึกว่าจิตใจนั้นปลอดโปร่งขึ้นมาในทันที แม้ว่าดูท่าทางแล้วพี่ชายของเขานั้นอาจจะมีความรู้สึกใดให้สตรีผู้นี้อยู่บ้าง แต่กับจางซูหนี่ว์นั้นกลับดูเหมือนไม่ได้มีใจให้พี่ชายของเขาเลย หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ผิดมิใช่หรือ หากว่าเขาจะให้ความสนใจนาง...
" ข้าว่าเสียเวลามาพอสมควรแล้ว คงต้องขอตัวก่อน เจ้าเองก็ต้องไปรักษาชาวบ้านต่อมิใช่หรือหยางเฉิง "
มู่หรงหย่งหมิงตัดบท
" พ่ะย่ะค่ะ....เช่นนั้นหวังว่าโอกาสหน้าเปิ่นหวางคงได้พบคุณหนูจางอีกนะ "
มู่หรงหยางเฉิง หันไปเอ่ยกับจางซูหนี่ว์
" หากว่าท่านหมอมู่นั้นมารักษาชาวบ้านที่ตลาดนี้อยู่บ่อยๆ เราคงได้พบกันเพคะ "
นางเอ่ยยิ้มๆ
" เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา.."
เมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้ว มู่หรงหยางเฉิงจึงหันไปเอ่ยลาพี่ชาย ทั้งเดินออกไปยังบริเวณที่ตั้งโต๊ะรักษาผู้ป่วย
" เจ้าห้าเดินไปไกลแล้ว คงมองไม่เห็นรอยยิ้มเจ้าหรอก หุบยิ้มบ้างก็ได้ "
มู่หรงหย่งหมิง เอ่ยขึ้นมาอย่างนึกหงุดหงิด รำคาญกับรอยยิ้มพร่ำเพรื่อของสตรีที่ยืนข้างๆ
จางซูหนี่ว์หันมามองหน้า ก่อนจะฉีกยิ้มยิ่งขึ้นกว่าเดิมเป็นการประชด ทำไมคนจะยิ้มก็ยังหาเรื่องแขวะกันอยู่ได้
" เห็นคนทำดี หม่อมฉันมีความสุขและยินดีด้วย มันแปลกตรงไหนที่จะยิ้มเพคะ "
" ยิ้มมากไป ระวังเจ้าห้าจะคิดว่าเจ้ามีใจให้ก็แล้วกัน "
" ไม่มีใครเขาคิดไปไกลถึงเพียงนั้น นอกจากพระองค์หรอกเพคะ ยิ้มให้กันด้วยมีไมตรีที่ดีต่อกันก็เท่านั้น เอ...แต่ถ้าองค์ชายห้าทรงสนพระทัยในตัวหม่อมฉันก็ดีไม่น้อยนะเพคะ รูปก็งาม จิตใจก็งาม ดีกว่าใครบางคนเป็นไหนๆ "
กล่าวจบนางก็รีบก้าวขาขึ้นรถม้าไป ไม่อยู่รอปะทะคารมกับคนชอบหาเรื่องนักหรอก เหนื่อยใจ...
หากจางซูหนี่ว์นั้นหันกลับมามองสักนิด จะเห็นสีหน้าของบุรุษที่นางกล่าวด้วยนั้นนิ่งไป สายตานั้นวูบไหวดั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
" เจ้าเองก็สนใจคนแต่ภายนอกนั่นล่ะ หนี่ว์เอ๋อร์ ดูเท่าที่ตาเจ้ามองเห็นเท่านั้น "
มู่หรงหย่งหมิงพึมพำออกมาเบาๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่ได้เชียร์กับซูหนี่ว์นะ กับตัวเองนี่แหลค่า ฮิ้วววว
#เม้นท์ยาวเว่อร์555????????
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 1 ธันวาคม 2560 / 15:12
ต่างคนก็ต่างความคิดเนอะ กับพระเอกนั้น ตอนแรกนางเอกก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกค่ะ แค่คิดว่ามาดโหดเหมือนโจรก็เท่านั้นเอง แต่พอโดนหลอกเป็นไม้กันหมาเท่านั้นนางก็เลยอคติ ผิดกับองค์ชายห้าที่เปิดตัวมาดีกว่าและบุคลิกดี นางก็เลยมองในแง่ดีมากกว่าเท่านั้นเอง...อาจจะบอกว่ามองที่ภายนอกนิดนึงก็ได้ 555
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 1 ธันวาคม 2560 / 16:02