ตอนที่ 13 : จุดเริ่มต้น (รีไรต์)
" อย่าได้วิตกจนเกินเหตุ เปิ่นกงคิดว่าให้คอยดูความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต่อไปสักระยะก่อน พวกเจ้าก็อย่าได้ก่อเรื่องให้จวิ้นอ๋องขุ่นเคืองใจล่ะ รู้มิใช่หรือว่าจวิ้นอ๋องหาได้นิยมชมชอบสตรีวุ่นวาย วางตัวให้น่ารักใคร่น่าเอ็นดูไว้เถิด "
ต้วนฮองเฮาเสนอความคิด ภายใต้ท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยน หากแต่ในใจนั้นพระนางมิได้นิ่งนอนใจเลย บุตรีเสนาบดีจาง เจ้ากรมการคลังเช่นนั้นหรือ....
มู่หรงหย่งหมิง กำลังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่...
ที่ผ่านมาพระนางสามารถควบคุมความคิดอ่านของมู่หรงเหลียนฮวาได้ ด้วยเพราะความรักและไว้ใจของเด็กสาวที่มีต่อพระนางเสมอมารดาคนหนึ่ง เด็กสาวที่พระนางเฝ้าเลี้ยงดู และตามใจจนทำให้นางกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจ ที่ทำไปนั้นมิได้เสียเปล่าเลย สิ่งใดที่สร้างความทุกข์ใจและช้ำใจให้แก่ เฟิ่งจินเหลียน ได้นั้นพระนางไม่รีรอเลยที่จะกระทำ ...
เหตุใดพระนางจึงได้เจ็บแค้นและเกลียดชังเฟิ่งจินเหลียน หรือ เฟิ่งหวงกุ้ยเฟย ย่อมมีเหตุผลอันเกิดจากความรักทั้งสิ้น
หากคิดว่าเป็นความรักสามเส้า ระหว่างพระนาง ฮ่องเต้หย่งไท่ และเฟิ่งหวงกุ้ยเฟยล่ะก็...ผิดถนัด
ทว่าเป็นความรักระหว่าง ต้วนลี่ถิง เมิ่งชงอวี้ และเฟิ่งจินเหลียน ต่างหากเล่า...
รักที่ลึกซึ้ง ตราตรึง และเจ็บปวดแสนสาหัส จนเป็นบาดแผลที่กัดกินหัวใจของพระนางถึงทุกวันนี้ ให้คงอยู่ด้วยไฟแค้นที่พร้อมจะแผดเผานางผู้นั้นให้มอดไหม้ไปตามบุรุษผู้เป็นรักแรกของพระนาง
เมื่อครั้งที่พระนางยังเยาว์วัย เป็นดรุณีแรกรุ่นอายุราวสิบหกปี หรือก็คือ ต้วนลี่ถิง ในตอนนั้น...
นางคือบุตรีของเสนาบดีต้วน เจ้ากรมพิธีการ มีหน้าที่ดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ รวมถึงการต้อนรับคณะทูตจากต่างแคว้น และดูแลในเรื่องการจัดสอบบัณฑิตที่จะรับเข้ามาทำงานราชการในตำแหน่งต่างๆอีกด้วย
ในครั้งนั้นนางได้รู้จักบุรุษผู้หนึ่ง นามว่า เมิ่งชงอวี้ เขาคือบุตรชายของเจ้าเมืองหน้าด่าน ผู้เป็นสหายสนิทบิดาของนาง ด้วยบุคลิกงามสง่า เฉลียวฉลาด วาจาคมคายหากทว่าอ่อนโยน หลายคนยามได้สนทนากับเขาต่างก็บอกว่าเป็นบัณฑิตที่อนาคตไกล หากเป็นขุนนางจะต้องรุ่งเรืองมากเป็นแน่
ต้วนลี่ถิง ในตอนนั้นได้พบกับ เมิ่งชงอวี้บ่อยครั้ง...ด้วยว่าเขามาจากเมืองหน้าด่าน และพักอาศัยอยู่ที่เรือนรับรองสกุลต้วน เพื่อรอเวลาเข้าสอบในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึง ช่วงเวลานั้นความสัมพันธ์ของนางและเมิ่งชงอวี้พัฒนาจากเพียงคนรู้จัก ขยับมาเป็นความรักลึกซึ้ง...
รักครั้งแรก ที่หวานซึ้งและตราตรึงอยู่ในจิตใจของพระนางจวบจนทุกวันนี้
รักที่มิอาจลบเลือนออกไปจากใจได้ แม้ชายคนรักจะจากไปนานแสนนานเพียงใด ก็ยังคงสถิตย์อยู่ในหัวใจของนางมิอาจมีผู้ใดแทนที่ได้ แม้แต่ฮ่องเต้หย่งไท่ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระราชสวามีก็ตามที...
อำนาจ และเกียรติยศ ในทุกวันนี้..
หากย้อนเวลากลับได้ แลกกับชีวิตของผู้เป็นที่รักให้คงอยู่ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าไม่จากกันไกล ต้วนลี่ถิงผู้นี้พร้อมสละได้ไม่เสียดายแม้สักนิด ขอเพียงได้ครองคู่ชายคนรักเพียงเท่านั้น...
" ลี่ถิง ข้าสัญญาวันใดที่ข้าพร้อมและสามารถสร้างเกียรติยศได้ด้วยตัวของข้าเอง ข้าจะแต่งเจ้ามาเป็นฮูหยินของข้า...ฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เจ้ายินดีที่จะรอข้าได้หรือไม่ "
เมิ่งชงอวี้ ยกมือขึ้นมาเชยคางของคนรักให้เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับเขา ดวงตาคู่งามนั้น ดั่งว่ามีดวงดาวนับร้อยนับพันกำลังทอประกายวับวาวอยู่ในแววตาของนาง ใบหน้างามประดับรอยยิ้ม
" ข้ายินดีรอท่าน ไม่ว่านานแค่ไหนข้าก็จะรอ "
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยให้คำมั่นสัญญาต่อคนรัก
" หลับตาสิ ข้ามีของจะให้เจ้าด้วยนะ "
เมิ่งชงอวี้ เอ่ยบอกนางผู้เป็นที่รัก ทันทีที่นางได้เอ่ยคำมั่นสัญญานั้น เขามีความสุขเหลือจะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ ภายในหัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ความรักนั้นช่างมีอานุภาพยิ่งนัก
ต้วนลี่ถิง หลับตาอยู่เพียงครู่ก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างถูกสวมเข้ามาที่ข้อมือของนาง จึงลืมตาขึ้นมาดูก็พบว่า มันคือกำไลหยกเนื้อดีทรงกลมเกลี้ยง แม้รูปแบบมันจะเรียบง่ายและไม่มีสิ่งใดสะดุดตา แต่นางก็ชอบทั้งนั้นเพราะมันคือสิ่งที่คนรักได้มอบให้นาง ดังนั้นคุณค่าทางจิตใจของกำไลวงนี้ ย่อมมีค่ามากกว่าเครื่องประดับทุกชิ้นที่นางมี
" ชอบหรือไม่ "
เมิ่งชงอวี้ถามหญิงสาว เมื่อเห็นนางเอาแต่มองกำไลนิ่งไม่กล่าวสิ่งใดเลย
" ชอบสิ..ชอบมาก ไม่ว่าท่านจะให้สิ่งใดแก่ข้า ข้าก็ชอบทั้งนั้น "
นางเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม
" กำไลวงนี้ มันมีสิ่งที่พิเศษซ่อนอยู่นะ "
" สิ่งพิเศษสิ่งใดหรือ? "
" เจ้าลองดูด้านในนั้นให้ดีๆสิ "
ชายหนุ่มเอ่ยบอกคนรัก
" เมิ่งชงอวี้ "
ต้วนลี่ถิง เอ่ยออกมา เมื่อสังเกตได้ว่าด้านในของกำไลนั้นถูกสลักอักษรบางอย่างเอาไว้ เมื่อเพ่งมองจึงรู้ว่าเป็นนามของคนรัก
" เวลาเจ้าสวมมันเจ้าจะได้รู้ว่ามีข้าอยู่ข้างกายเจ้าตลอด ความรักของข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไปไม่จืดจางหรือเลือนหายไปที่ใด ดั่งอักษรที่ถูกสลักลงบนหยกเนื้อดีนั่น "
เมิ่งชงอวี้ค่อยๆเคลื่อนกายเข้าไปจุมพิตหญิงสาวที่เขานั้นได้มอบหัวใจให้นางไปหมดแล้วทั้งดวงใจ ท่ามกลางทิวทัศน์งดงามบนหน้าผาที่เขาชอบพานางขึ้นมาดูทิวทัศน์เมืองหลวงที่อยู่เบื้องล่าง
ณ ตรงนี้ คือ ที่ของเขาและนาง มันโอบล้อมไปด้วยกลิ่นไอความรักอบอวลไปทั่วบริเวณนี้
มีผู้เคยกล่าวว่าความสุขนั้นอยู่ไม่นาน มักมาควบคู่กับทุกข์ก็เห็นจะเป็นจริงดั่งว่า...
ในที่สุดการสอบคัดเลือกก็มาถึง บัณฑิตมากมายทั่วแคว้นเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในตำแหน่งต่างๆ โดยการสอบได้แบ่งออกเป็นสามรอบ หากผ่านรอบสุดท้ายผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดตามลำดับทั้งหมดสี่คน จะได้เป็นผู้ช่วยเสนาบดีเจ้ากรมต่างๆ ส่วนที่เหลือนั้นก็จะกระจายกันไปทำหน้าที่ต่างๆ
เพียงรอบแรกนั้นบัณฑิตที่สอบไม่ผ่านถูกคัดออกไปมากมายเสียเกือบครึ่งเลยก็ว่าได้ หากแต่ก็เป็นไปตามที่นางคาดการณ์ เมิ่งชงอวี้ สอบผ่านรอบแรกไปด้วยคะแนนในลำดับต้นๆ เป็นที่จับตามองของหลายๆคนอยู่ไม่น้อย นางยินดีและปลาบปลื้มไปกับเขายิ่งนัก...
อนาคตอันงดงามและสดใสรอเขาอยู่ไม่ไกลแน่นอน
หากใครจะคาดคิดว่าเพียงไม่กี่วันก่อนการสอบคัดเลือกครั้งที่สอง อยู่ๆเขาก็หายตัวไปหลังจากที่บอกกล่าวนางว่าจะออกไปทำธุระนอกจวน จากนั้นเขาก็ไม่กลับเข้ามาอีกเลย บิดาของนางนั้นส่งคนออกตามหาเขาหลายวัน หากแต่ก็หาไม่พบ...
ห่วงแสนห่วง แต่นางก็จนด้วยปัญญา มิรู้จะตามหาเขาได้ที่ไหน ทั้งสาเหตุของการหายตัวไปของเขาก็ไม่มีผู้ใดทราบ หากแต่ก็สันนิษฐานถึงเรื่องการสอบได้คะแนนนำของเมิ่งชงอวี้ ว่าน่าจะเกี่ยวข้องเป็นแน่ เพราะความโดดเด่นนั้น อาจจะไปขัดหูขัดตาใครเข้า ด้วยว่าบัณฑิตที่เข้ารับการสอบคัดเลือกนั้นมากหน้าหลายตา มาจากทุกสารทิศในแคว้นหวงหรง จิตใจผู้ใดเป็นเชนไรบ้างใครจะรู้ได้
จากวันเป็นเดือนล่วงเข้าสู่สองเดือนก็ไม่มีวี่แววของเขาเลย จนนางเริ่มหมดกำลังใจ
ทว่าวันหนึ่งบ่าวในจวนนั้นเข้ามารายงานว่าพบเมิ่งชงอวี้ภายในตลาด กับสตรีโฉมงามผู้หนึ่ง ซึ่งบ่าวรับใช้ก็ไปสืบความได้ว่านาง มีนามว่า เฟิ่งจินเหลียน เป็นบุตรีของเฟิ่งจินหู่ ผู้เป็นอาจารย์สอนเรื่องการปกครองให้องค์ไท่จื่อมู่หรงหย่งช่าง หรือต่อมาก็คือ ฮ่องเต้หย่งไท่ ในปัจจุบัน...
แม้จะแปลกใจในการหายตัวไป และการปรากฏกายเคียงข้างสตรีอื่นเช่นนี้ หากแต่ความดีใจที่เห็นเขาปลอดภัยนั้นมีมากกว่า
นางและบิดารีบรุดหน้าไปที่จวนสกุลเฟิ่ง และก็ได้พบกับเมิ่งชงอวี้จริงๆ หากแต่เป็นเมิ่งชงอวี้ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ใช่...ไม่เหมือนเดิม เพราะในความทรงจำของเขาไม่มีนางหลงเหลืออยู่ในนั้นเลยสักนิด แท้จริงเขาจำกระทั่งตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เฟิ่งจินเหลียนไปพบเขาถูกทำร้ายสาหัสนอนหมดสติอยู่ที่ข้างทางไม่ไกลจากจวนสกุลเฟิ่งเท่าใดนัก จึงได้ช่วยเหลือเอาไว้ หากแต่เมื่อฟื้นเขากลับจำสิ่งใดไม่ได้เลย คนในจวนสกุลเฟิ่ง จึงพากันเรียกเขาว่า อาฉือ...
อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม ดั่งว่าห่างไกลนับพันลี้
คำนี้คงตรงกับใจของนางเป็นที่สุด เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง แม้เขาจะรับรู้ว่านางคือคนรักของเขา แต่เขากลับปฏิบัติกับนางอย่างห่างเหินยิ่งนัก ผิดกับเฟิ่งจินเหลียนที่เขาวนเวียนอยู่ใกล้ชิดนางผู้นั้นตลอดเวลา ใบหน้าประดับรอยยิ้มดูช่างมีสุขนัก ผู้ที่ยืนเคียงข้างเขาควรเป็นนางมิใช่หรือ...
เมิ่งชงอวี้ กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่จวนสกุลต้วนได้สักพัก นางพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของเขาทุกวิถีทาง หากแต่ก็สูญเปล่า เขาไม่มีทีท่าจะจดจำความรักระหว่างเขากับนางได้เลย กลับกันความรู้สึกนึกคิดของเขานั้นมีแต่เฟิ่งจินเหลียนผู้นั้นตลอด สุดจะชอกช้ำใจแต่นางจะทำอย่างไร...
และในที่สุดเขาก็เอ่ยขอโทษและบอกให้นางตัดใจจากเขาเสีย เพราะใจของเขาตอนนี้ไม่สามารถมอบให้นางได้อีกต่อไป เพราะข้างในนั้นเขามอบให้เฟิ่งจินเหลียนไปหมดแล้ว
เหมือนความรักที่เขาเป็นผู้สร้างให้กับนางมันพังทลายลงด้วยน้ำมือของเขาเอง หากแต่นางก็คงไม่โทษเขาหรอก เพราะนางรู้ว่าหากเป็นเมิ่งชงอวี้คนเดิม เขาจะไม่มีวันกล่าวเช่นนี้กับนางเป็นแน่ คงได้แต่ปล่อยเขาไป เพียงแต่เก็บความรักของเมิ่งชงอวี้คนเดิมเอาไว้ในใจนางตลอดไป
หากแต่การกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด เฟิ่งจินเหลียน ปฏิเสธรับความรักจากเมิ่งชงอวี้ ความว่านางนั้นมีใจให้กับองค์ไทจื่อ จึงมิอาจรับรักจากเมิ่งชงอวี้ได้
เขาเจ็บปวดเสียใจ เอาแต่ดื่มสุราเมามาย ปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนหมดราศีจากที่เคยสง่างาม เลิศปัญญา ตอนนี้สภาพกลับดูไม่ได้ แม้นางจะเอ่ยเตือนสติเขาเพียงใดก็มิมีสิ่งใดดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงๆ เป็นเพราะเฟิ่งจินเหลียนทั้งนั้นที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ นางยอมเสียสละหลีกทางให้..แต่เฟิ่งจินเหลียนกลับไปมอบใจรักให้องค์ไท่จื่อแทน คงเพราะหวังสูงเป็นพระชายาเป็นแน่ ช่างน่ารังเกียจนัก...
และวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้นเมื่อเมิ่งชงอวี้ดื่มสุราจนเมามาย และเกิดสะดุดล้มลงไปศีรษะกระแทกพื้นอาการหนักเอาการ เมื่อเขาฟื้นขึ้นมากลับเป็นอัมพาตกล้ามเนื้อช่วงล่างมิสามารถขยับได้
หากแต่ความทรงจำเดิมของเขานั้นค่อยๆกลับมาแทน เขาจำนางได้แล้ว...เขากลับมาเป็นเมิ่งชงอวี้คนเดิมที่รักนางสุดหัวใจ
ต้วนลี่ถิงผู้นี้ดีใจยิ่งนัก..ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร หากแต่รักของนางก็ยังมั่นคงเสมอ นางยอมรับได้แม้ว่าเขาจะกลายเป็นคนพิการเช่นนี้ นางก็พร้อมที่จะดูแลเขาไปตลอดชีวิตไม่คิดตีจากไปไหน
หากแต่คนที่รับไม่ได้กับสภาพร่างกายพิการนั้น กลับเป็นเมิ่งชงอวี้เสียเอง เขาอาละวาดขว้างปาข้าวของ หงุดหงิดง่าย ใครก็เข้าหน้าเขาไม่ติด...ยกเว้นเพียงแต่นางที่พอจะทำให้เขาสงบลงได้บ้าง
เมิ่งชงอวี้มักจะน้ำตาซึมและร้องไห้บ่อยครั้งที่เห็นนางคอยดูแลเขา หากแต่นางก็ปลอบใจเขาไปว่าเพราะรัก และนางก็เต็มใจดูแลเขาเช่นนี้ตลอดไป หากแต่เพียงไม่นาน ....
เช้าวันหนึ่งที่นางเข้าไปหาเขาก็พบว่าร่างที่นอนอยู่บนเตียงนั้น เป็นเพียงร่างที่ไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว เขาฆ่าตัวตายด้วยการเอาแจกันบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ติดหัวเตียงนอนนั้น ทุบจนกลายเป็นเศษแหลมคมและปลิดชีวิตตัวเองด้วยการกรีดข้อมือ....
ต้วนฮองเฮาน้ำตาซึมเมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้น มันช่างทรมานจิตใจของพระนางจนถึงที่สุด เพราะเฟิ่งจินเหลียน นางหญิงมักใหญใฝ่สูงผู้นั้น....
หากนางเลือกเมิ่งชงอวี้ ป่านนี้เขาก็คงจะยังมีชีวิตอยู่และไม่จบชีวิตลงอย่างน่าอนาถเช่นนั้น แม้คนที่เขาเลือกจะไม่ใช่ต้วนลี่ถิงผู้นี้ แต่เพียงเขามีชีวิตอยู่นางก็มีความสุขแล้ว เมื่อได้เห็นคนที่รักมีสุขสมหวัง
พระนางยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาทิ้ง เพื่อขับไล่ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นมาทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องราวแต่หนหลัง มู่หรงเหลียนฮวากับต้วนลี่จูกลับไปได้สักพักแล้ว
" ฟางหรู จัดการส่งคนของเราไปคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของคนในสกุลจางทีนะ โดยเฉพาะบุตรสาวของเสนาบดีจาง แล้วรายงานข้าเป็นระยะ "
พระนางหันไปเอ่ยกับสาวใช้อาวุโสคนสนิท ซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงของนางมาตั้งแต่นางยังไม่ก้าวเข้าวังหลวงเสียด้วยซ้ำ เรื่องความจงรักภักดีนั้นสามารถไว้ใจได้ เปรียบดั่งมือขวาของต้วนฮองเฮาเลยทีเดียว
" เพคะ...ฮองเฮา "
ฟางหรู ในวัย 50 ปี รับคำสั่งจากผู้เป็นนาย ก่อนจะออกไปทำตามที่ต้วนฮองเฮารับสั่งทันที
เถียนเถียนเองค่ะ
บทแรกๆจนถึงกลางเรื่องจะเป็นการรีไรต์คำผิด และสำนวนเล็กๆน้อยๆนะคะ แต่ช่วงหลังๆประมาณตอนที่ 40 ไปแล้วอาจจะมีการปรับโครงเรื่องใหม่(บ้าง) แต่เส้นหลักๆจะยังคงอยู่เหมือนเดิม
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อ่อออ ความเป็นมาช่างลึกซึ้ง
จะสนิทสนมกับองค์หญิงองค์ชายก็ไม่แปลก
ที่เห็นว่าหลายเรื่องไม่สนิทเพราะตัวฮองเฮาเอง
แต่ฮองเฮาเรื่องนี้นางมีแผนในใจไง
นางก็คอยสร้างภาพเป็นมารดาแผ่นดินใจดี
ถึงท่านแม่จะรู้จะกันแต่ก็ออกหน้าออกตาชัดเจนไม่ได้
แถมองค์หญิงนสงก็เอนมาทางฮองเฮาไง