ลำดับตอนที่ #22
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : อารยธรรมch in
https://lipzaza852.wordpress.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99/
สมัยก่อนประวัติศาสตร์” ศูนย์กลางความเจริญของจีน ระยะแรกอยู่แถบลุ่มแม่น้ำฮวงโห ร่องรอย
ความเจริญในยุคหินใหม่ คือ วัฒนธรรมยางเชา ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา เขียนสีแดง น้ำตาล ดำ (?) / ดำ ม่วง(?)
และวัฒนธรรมยางเชา ซึ่งมีเครื่องปั้นดินเผาสีดำเป็นจุดเด่น และภาชนะเครื่องปั้นดินเผาชนิดสามขา
“สมัยประวัติศาสตร์ของจีน” เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซาง (Shang Dynasty) เป็นต้นไป โดยแหล่งอารยธรรมความเจริญในสมัยราชวงศ์ต่างๆ อยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำหวงเหอ (ฮวงโห) และลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง
(ภาคตะวันออกของจีน) สรุปได้ ดังนี้
- ชาง (Shang Dynasty) ประมาณ 1766-1122 ปี
- การใช้โลหะสำริดทำเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
- ปกครองแบบนครรัฐ
- บูชาบรรพบุรุษ
- การประดิษฐ์ตัวอักษร
- กระดูกทำนายโชคชะตา - กระดองเต่า
- โจว (Chou Dynasty) ประมาณ 1122-221 ปี
- ปกครอง - กษัตริย์ ตือ โอรสสวรรค์
- เริ่มต้นยุคศักดินาของจีน
- ความเจริญด้านภูมิปัญญา กำเนิดลัทธิความเชื่อทางศาสนา 2 ลัทธิ คือ ลัทธิขงจื๊อ(อนุรักษณ์นิยม ชมชอบกับตำรา) และลัทธิเต๋า (เรียบง่าย ปรับเข้าหาธรรมชาติ)
- ความเจริญทางวัตถุ รู้จักหลอมเหล็กและนำเหล็กมาใช้ทำอาวุธและเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
- จิ๋นหรือฉิน(Chin Dynasty) ประมาณ 221-206 ปี
- สร้างกำแพงเมืองจีน
- รวบรวมจีนให้เป็นจักรวรรดิ แนวความคิดนิติธรรมนิยม คือ รวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง และใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ต่อต้านแนวคิดปราชญ์(ยุคล้างลัทธิขงจื๊อ)
- สุสานซิวั่งตี่ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพ
- ฮั่น (Han Dynasty) ประมาณ 206 ปีก่อนค.ศ. จนถึง ค.ศ. 221
- ยุคทองด้านการค้า คือ เส้นทางสายไหม (โรมัน อาหรับ อินเดีย) สินค้าที่สำคัญ คือ ผ้าไหม คันฉ่อง สำริด
- พระพุทธศาสนาเริ่มแพร่หลายและเจริญรุ่งเรืองในจีน ส่งพระถังซำจั๋ง
- งานเขียนของซื่อหม่าเจียน
- เครื่องเคลือบสีเขียวมะกอก
- สุสานราชวงศ์ฮั่นทำด้วยอิฐ มีประติมากรรมขนาดใหญ่
(ระหว่างนี้คือราชวงศ์ซุย/สุ่ย จีนแตกเป็น3ก๊ก ขุดคลองเชื่อมฮองโหกับแยงซี)
- ถัง (Tang Dynasty) ประมาณ ค.ศ. 618-907 ปี
- ยุคทองอารยธรรมจีน
- ความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา ได้แก่ พุทธศิลป์ เช่น พระพุทธรูป เจดีย์ วัด พระโพธิสัตว์ ภาพพุทธประวัติ
- การส่งเสริมด้านการศึกษามีการสอบแข่งขันเข้าราชการหรือสอบจองหงวน
- วรรณกรรม เป็นยุคทองของกวีนิพนธ์จีน (หลีป๊อ ตัวแทนของเต๋า)
- จิตรกรรม วาดภาพทิวทัศน์ (หวาง ไหว)
- นครฉางอาน / เตียงฮัน ศูยน์รวมของซีกโลกตะวันตก
- ซ้องหรือซ่ง(Song, Sung.Dynasty) ประมาณ ค.ศ. 960-1279 ปี
- มีการประดิษฐ์ดินปืน
- ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ก่อนยุโรป 400 ปี
- มีการฝังเข็ม
- ก้าวหน้าด้านการเดินเรือ มีการใช้เข็มทิศ และ ลูกคิด
- การผลิตภาชนะถ้วยกระเบื้องสีขาวและสีเขียวไข่กา มีอิทธิพลต่อสังคโลกของสุโขทัย
- จิตรกรรม ภาพทิวทัศน์ที่สมบูรณ์ (กว๋อซี)
- เริ่มมีประเพณีและค่านิยมรัดเท้าสตรีชนชั้นสูงให้เล็ก
- หยวนหรือหงวน (Yuan Dynasty) ประมาณ ค.ศ. 1279-1368 ปี
- เป็นราชวงศ์ต่างชาติ คือ มองโกล
- มีความเข้มแข็งในการปกครอง
- มีความเจริญในศิลปะการละคร โดยเฉพาะงิ้ว
- วรรณกรรมสามก๊ก(?)
- จิตรกรรมภาพม้า
- หมิงหรือเหม็ง (Ming Dynasty)ทประมาณ ค.ศ. 1368-1644 ปี
- เป็นราชวงศ์ของจีนอย่างแท้จริง
- อนุรักษ์ศิลปะเลียนแบบราชวงศ์ถังและซ้อง
- เครื่องเคลือบสีน้ำเงิน-ขาว ลายคราม
- วรรณกรรม นิยมภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน สามก๊ก และ ไซอ๋ว เด่น
- สถาปัตยกรรม สร้างพระราชวังกรุงปักกิ่ง หรือ“นครต้องห้าม”
- ชิงหรือเช็ง (Ching Dynasty) ประมาณ ค.ศ. 1644-1912 ปี
- เป็นพวกแมนจู ขัดแย้งกับพวกตะวันตกในยุคจักรวรรดินิยม
- แพ้สงครามฝิ่นกับอังกฤษ
- เครื่องเคลือบ ได้แก่ เบญจรงค์
- จิตรกรรม 2 สำนัก คือ สำนักประเพณีนิยม กับอัตนิยม
- วรรณกรรมความฝันในหอแดง
- สถาปัตยกรรม มีการสร้างพระราชวังฤดูร้อนของซูสีไทเฮา
ค.ศ. 1911 เป็นยุคที่จีนเสื่อมถอยความเจริญ และถูกล้มล้างโดยพวกก๊กมินตั๋ง เป็นระบบสาธารณรัฐ
ถูกปฎิวัติโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ค.ศ.1949 และเป็นการปกครองแบบคอมมิวนิสต์
อินเดีย “แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ” ( Indus Civilization )
1. สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ( ประมาณ 2,500-1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ) กำเนิดตัวอักษรอินเดียโบราณ ที่เรียกว่า “บรามิ ลิปิ” ( Brahmi lipi ) พบหลักฐานเป็นซากเมืองโบราณ 2 แห่ง เป็นอารยธรรมของชนพื้นเมืองเดิม ที่เรียกว่า “ทราวิฑ” หรือพวกดราวิเดียน ( Dravidian ) ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ คือ
(1) เมืองโมเฮนโจ ดาโร ( Mohenjo Daro ) ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถาน
มีผังเป็นระเบียบ รับบชลประทาน และการเกษตร
2. สมัยพระเวท ( ประมาณ 1,500-600 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-อารยัน ( Indo-Aryan ) ซึ่ง อพยพมาจากเอเชียกลาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคาโดยขับไล่ชนพื้น เมืองทราวิฑให้ถอยร่นลงไปทางตอนใต้ของอินเดีย
สมัยพระเวทแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ หลักฐานที่ทำให้ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์พระเวท” ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากนี้ยังมีบทประพันธ์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ มหากาพย์รามายณะและ มหาภารตะ บางทีจึงเรียกว่าเป็นยุคมหากาพย์
สรุปเหตุการณ์สำคัญมหากาพย์รามายณะ
3. สมัยพุทธกาล หรือสมัยก่อนราชวงศ์เมารยะ ( Maurya ) ประมาณ 600-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) เป็นช่วงที่อินเดียถือกำเนิดศาสนาที่สำคัญ 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธและศาสนาเชน
4. สมัยจักรวรรดิเมารยะ ( Maurya ) ประมาณ 321-184 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าจันทรคุปต์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เมารยะได้รวบรวมแว่นแคว้นในดินแดนชมพู ทวีปให้เป็นปึกแผ่นภายใต้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของอินเดีย
สมัยราชวงศ์เมารยะ พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์ให้เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช ( Asoka ) ได้ เผยแพร่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนทั้งใกล้และไกล รวมทั้งดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินไทยในยุคสมัยที่ยังเป็นอาณาจักรทวารวดี
5. สมัยราชวงศ์กุษาณะ ( ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ.320 ) พวกกุษาณะ (Kushana ) เป็น ชนต่างชาติที่เข้ามารุกรานและตั้งอาณาจักรปกครองอินเดียทางตอนเหนือ กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้ากนิษกะ รัชสมัยของพระองค์อินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการแพทย์
นอก จากนั้น ยังทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ( นิกายมหายาน ) ให้เจริญรุ่งเรือง โดยจัดส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระศาสนายังจีนและทิเบต มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีศิลปะงดงาม และสร้างเจดีย์ใหญ่ที่เมืองเปชะวาร์
6. สมัยจักรวรรดิคุปตะ ( Gupta ) ประมาณ ค.ศ.320-550 พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ต้นราชวงศ์คุปตะได้ทรงรวบรวมอินเดียให้เป็นจักรวรรดิอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอินเดีย มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอดจนการค้าขายกับต่างประเทศ
7. สมัยหลังราชวงศ์คุปตะ หรือยุคกลางของอินเดีย ( ค.ศ.550 – 1206 ) เป็นยุคที่จักรวรรดิแตกแยกเป็นแคว้นหรืออาณาจักรจำนวนมาก ต่างมีราชวงศ์แยกปกครองกันเอง
8. สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี หรืออาณาจักรเดลฮี ( ค.ศ. 1206-1526 ) เป็นยุคที่พวกมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย มีสุลต่านเป็นผู้ปกครองที่เมืองเดลฮี
9. สมัยจักรวรรดิโมกุล ( Mughul ) ประมาณ ค.ศ. 1526 – 1858 พระเจ้าบาบูร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โมกุลได้รวบรวมอินเดียให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิอิสลามและเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอินเดีย โดยอินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1858
กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช ( Akbar ) ทรงทะนุบำรุงอินเดียให้มีความเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน และในสมัยของชาห์ เจฮัน ( Shah Jahan ) ทรงสร้าง “ทัชมาฮัล” ( Taj Mahal ) ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะอินเดียและเปอร์เซียที่มีความงดงามยิ่ง ทัชมาฮาล หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
สมัยอาณานิคมอังกฤษ
ปลายสมัยอาณาจักรโมกุล กษัตริย์ทรงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ต้องเพิ่มภาษีและเพิ่มการเกณฑ์แรงงานทำให้ราษฎรอดอยาก และยังกดขี่ทำลายล้างศาสนาฮินดูและชาวฮินดูอย่างรุนแรง
เกิดความแตกแยกภายในชาติ เป็นเหตุให้อังกฤษค่อยๆเข้าแทรกแซงและครอบครองอินเดียทีละเล็กละน้อย
ในที่สุดอังกฤษล้มราชวงศ์โมกุลและครอบครองอินเดียในฐานะอาณานิคมอังกฤษ
สิ่งที่อังกฤษวางไว้ให้กับอินเดียคือ
เกิดความแตกแยกภายในชาติ เป็นเหตุให้อังกฤษค่อยๆเข้าแทรกแซงและครอบครองอินเดียทีละเล็กละน้อย
ในที่สุดอังกฤษล้มราชวงศ์โมกุลและครอบครองอินเดียในฐานะอาณานิคมอังกฤษ
สิ่งที่อังกฤษวางไว้ให้กับอินเดียคือ
- รากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย แบบรัฐสภา
- การศาล การศึกษา
- ยกเลิกประเพณีบางอย่าง เช่น พิธีสตี (การเผาตัวตายของหญิงฮินดูที่สามีตาย)
สมัยเอกราช
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการชาตินิยมอินเดียนำโดย มหาตมะ คานธี และ เยาวราลห์ เนห์รู เป็นผู้นำเรียกร้องเอกราช
มหาตมะ คานธี ใช้หลักอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน ความสงบ) ในการเรียกร้องเอกราชจนประสบความสำเร็จ หลังจากได้รับเอกราชอินเดียปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
มหาตมะ คานธี ใช้หลักอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน ความสงบ) ในการเรียกร้องเอกราชจนประสบความสำเร็จ หลังจากได้รับเอกราชอินเดียปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น