ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 [100%] Rewritten

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 57






    "เอาเถอะ ข้าไม่ได้เกลียดผู้หญิงหัวรั้น...กลับกัน ข้าชอบเอาชนะ"





    บทที่ 6

     

     

     

                               

                    นั่นเพราะเราทั้งคู่ต่างผูกพันด้วยด้ายแดงอย่างไรล่ะ

                    ถ้อยคำของจิ้งจอกยังคงวนเวียนหลอกหลอน แล้วฉันก็แทบจะกรี๊ดออกมาดังๆ เมื่อคิดถึงเรื่องวันก่อน ด้ายแดง...ไอ้สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแถมยังจับต้องไม่ได้นั่นน่ะหรือคือเหตุผลที่เขาเข้ามาวุ่นวายกับฉัน...? เป็นการกระทำที่งี่เง่าสิ้นดี!

                    “เป็นอะไรฮารุจัง ทำหน้าตาน่ากลัวเชียว” อายุร้องทัก ฉันถึงได้ฉุดตัวเองออกมาจากห้วงความคิด

                    “เปล่า แค่ดันนึกถึงเรื่องน่าโมโหนิดหน่อยน่ะ”

                    “แล้วเย็นนี้อยากไปไหน” คุมิโกะถามขึ้นขณะที่พวกเรากำลังเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน “ฮารุกะอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า”

                    “ไม่รู้สิ สำหรับฉันน่ะจะที่ไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ” ฉันตอบขณะสอดเก้าอี้เข้าใต้โต๊ะ

                    เมืองนี้เคยเป็นเมืองเล็กๆ ในความทรงจำของฉัน ทว่าปัจจุบันนี้นั้นความเจริญได้ขยายพื้นที่ให้มีอาณาเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น และแค่สามปีที่ไม่ได้มาเยือน เมืองนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่ฉันไม่รู้จัก เหล่าอาคารพาณิชย์มากมายถูกสร้างขึ้นเป็นทิวแถว ร้านราเมนที่ครั้งหนึ่งคุณยาพาฉันมากินได้ยกเลิกกิจการไปแล้ว และสวนสนุกถูกสร้างขึ้นใกล้ๆ กันนั้นเป็นเครื่องยืนยัน

                    “ถ้างั้นไปคาเฟ่แถวๆ สถานีใต้กันดีมั้ย” อายุที่พร้อมแล้วสำหรับการผจญภัย (?) ในเย็นวันศุกร์เสนอ “สตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กสูตรพิเศษของที่นั่นอร่อยมากๆ เลยนะ”

                    “เอางั้นมั้ยฮารุกะ”

                    “เค้กเหรอ? ก็ดีนะ ฉันเองก็ไม่ได้กินของหวานมาเป็นอาทิตย์ได้แล้วมั้ง”  

    สิ่งที่ฉันชอบรองลงมาจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคือของหวาน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะซัดของหวานทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ฉันรู้ดีว่าน้ำตาล แป้ง และคุณค่าทางโภชนาการอันสูงปรี้ดของมันจะทำให้ไขมันสะสมเพิ่มขึ้น เพราะงั้นฉันจึงเลือกทานเฉพาะที่ชอบจริงๆ แล้วสิ่งที่ฉันยกให้เป็นที่หนึ่งในดวงใจคือพุดดิ้งรสวานิลลาซึ่ง...ไม่มีขายในละแวกนี้

    ต้นไม่ที่ขาดน้ำนั้นเหี่ยวเฉาฉันท์ใด ฉันที่ขาดของหวานก็แห้งเหี่ยวฉันท์นั้น

                    “งั้นก็โอเคตามนั้น”

                    เมื่อได้ข้อสรุป พวกเราจึงออกเดินทาง แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าออกจากห้องเรียน เสียงกรีดร้องก็ขโมยความสนใจจากพวกเราไป อาจารย์โยชิดะของสาวๆ กำลังตรงมาทางนี้ และในตอนนั้นเองที่ฉันรู้ตัวว่าเราควรรีบออกไปให้พ้นเขตโรงเรียนให้ไวที่สุด

                    “ไปกันเถอะ”

    ฉันแทรกตัวอยู่ตรงกลางและคล้องแขนเพื่อนสาวทั้งสอง ก่อนจะรีบสาวเท้าเดินด้วยความกระอักกระอวนอย่างคนมีชนักติดหลัง ในใจภาวนาขออย่าให้เจ้าอาจารย์กำมะลอมองเห็นฉัน ...ไม่อย่างนั้น ฉันต้อง...

                    หมับ!

                    เร็วกว่าความคิด แรงกระชากจากทางด้านหลังเกือบทำให้ฉันล้มก้นจ้ำเบ้า โชคดีที่ได้คุมิโกะผู้เปี่ยมล้นด้านทักษะการกีฬาดึงช่วยไว้ ฉันจึงยืนอยู่ได้แม้จะมีไอเย็นปริศนาแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลัง...และจิตมุ่งร้ายนั้นก็แทบทำให้ฉันเข่าอ่อน

                    “อาจารย์มีอะไรกับพวกเราเหรอคะ” อายุผู้ไร้เดียงสาหันไปถามคนที่กระชากปกเสื้อด้านหลังของฉันแบบไม่ยอมปล่อย

                    “กับพวกเธอสองคนน่ะไม่ แต่ว่า...” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นหูเว้นวรรค ก่อนที่ฉันจะต้องขนลุกเกรียวกราวเพราะลมหายใจที่เป่ารดต้นคอพร้อมกับเสียงกระซิบแหบพร่า... “กับคนที่กำลังจะโดดเรียนเสริมเป็นครั้งที่สองน่ะ...มีแน่”

                    อึ๋ยยยย!!

                                   

                    ในห้องสมุด หมวดประวัติศาสตร์ โต๊ะทางซ้าย มุมในสุด

                    “เจ้าหลบหน้าข้า” อาจารย์กำมะลอเอ่ยเสียงราบ ...ทว่าเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ฉันไม่เคยสัมผัสได้จากปีศาจตนไหนมาก่อน “ทั้งวันนี้ เมื่อวาน และวันก่อน เจ้าตื่นเช้ามาโรงเรียนโดยไม่รอทานอาหารของข้า ตกเย็นก็โดดเรียน เอาเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ จนดึกตื่น กับข้าวที่ข้าทำไว้คอยท่าเจ้าก็ไม่สนใจมัน เจ้าตั้งใจหลบหน้าข้าจริงๆ”

                    “...”

                    ฉันนั่งตัวลีบอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางความเงียบสงบของหนังสือนับพันเล่ม โดยที่มีอาจารย์กำมะลอยืนกอดอกอยู่ข้างหน้า ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ที่เคยพูดคุยกับฉันอย่างยิ้มแย้ม ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสีหน้าไร้อารมณ์อย่างที่มุราคามิชอบทำ

    แม้จะมีกลิ่นหอมรวยรินอยู่รายรอบ แต่บรรยากาศที่รอบกายเรากลับเย็นเยียบและอึดอัดราวกับห้องสอบสวน ไหล่ทั้งสองข้างของฉันหนักอึ้งราวกับถูกเหล็กหนักร้อยตันถ่วงไว้ ขณะที่ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมอย่างไม่มีข้อโต้แย้งหรือแก้ตัวใดๆ เพราะมันเป็นจริงอย่างที่เขาพูดทุกประการ

                    ใช่แล้วล่ะ...ฉันโดดเรียนเสริมบ้าๆ นี่มาสองครั้งแล้ว นอกจากนี้ฉันยังตื่นแต่เช้ามาโรงเรียน และอยู่เที่ยวเล่นกับสองคนนั้นในตอนเย็น ก่อนจะหาที่นั่งทำการบ้านและทานข้าวเย็นที่ร้านอาหาร และขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้ายกลับบ้าน ซึ่งทั้งหมดที่ทำไปนั่นก็เพื่อ...หลบหน้าอย่างที่จิ้งจอกว่านั่นล่ะ

                    โอเค การโดดเรียนเพื่อหลบหน้าอาจารย์สำหรับเด็กห้องคิงอย่างฉันอาจฟังดูเป็นเรื่องร้ายแรงและบ้าระห่ำอยู่บ้าง แต่ว่า...การที่เขาหนีการหนีงานมาปั่นป่วนชีวิตฉันโดดยกด้ายแดงบ้าบออะไรนั่นมาเป็นเหตุผลก็ใช่จะว่าจะยอมรับได้สักหน่อย!

                    “เจ้ามีเหตุผลอะไรต้องทำแบบนั้นรึ ฮารุกะ” จิ้งจอกทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ บรรยากาศน่าอึดอัดอย่างเมื่อครู่ยั้งไม่จางหาย ฉันรู้ว่าเขาไม่ชอบใจ แล้วไง...? ฉันต้องแคร์เหรอ?

                    “ก็แค่ฉันไม่อยากเจอนาย” ฉันบอกความจริงอย่างไม่คิดจะปกปิด และฉันก็คิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องคุยกันอย่างจริงจังแล้วล่ะ “นายเองก็น่าจะรู้นี่นาว่ามนุษย์กับปีศาจน่ะอยู่ร่วมกันไม่ได้”

                    “แต่ไม่ใช่กับเจ้า คนที่โชคชะตากำหนด...”

                    “พอทีเถอะ” คำตอบที่ได้รับนั้นฟังแล้วขัดหู ฉันเหวี่ยงเสียงขึ้นสูงอย่างไม่พอใจ “คำก็ด้ายแดง สองคำก็โชคชะตา นายน่ะบ้าหรือเปล่าที่ให้สิ่งที่มองไม่เห็น หรืออาจไม่มีอยู่จริงคอยชักนำให้ทำแบบนี้แบบนั้น โชคชะตาที่นายว่านั่นก็จับต้องไม่ได้ ไอ้ด้ายแดงอะไรนั่นก็มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเหมือนกัน เหตุผลบ้าๆ แบบนั้น ฉันไม่ยอมรับหรอกนะ!

                    จิ้งจอกจ้องหน้าฉันนิ่ง เขาถอนหายใจอย่างหมดหวังและเอ่ยเสียงเบา“...แม้มองไม่เห็นด้วยตา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีจริงเสียหน่อย”

                    “...”

    “เจ้าเอง หากไม่ได้เห็นปีศาจอย่างข้าตัวเป็นๆ ก็คงไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง”

                    ฉันไม่ขอออกความคิดเห็นใดๆ กับประโยคนั้น และต้องสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ ยอมรับว่าอารมณ์เสียอยู่นิดหน่อย และ...โอเค ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ อสูรอาจเป็นสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งชนิดที่เราต้องศึกษา แต่ว่า...ด้ายแดง ต่อให้ชักแม่น้ำทั้งห้าก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้เลย!

                    “เอาเถอะ ข้าไม่ได้เกลียดผู้หญิงหัวรั้น” แล้วจู่ๆ น้ำเสียงราบเรียบก็แปรผัน ความทะลึ่งทะเล้นนั้นปรากฏพร้อมแววตาแพรวพราวเจ้าเล่ห์สมกับเป็นจิ้งจอก “กลับกัน...ข้าชอบเอาชนะ”

                    เจ้าของนัยน์ตาสีอำพันระบายยิ้มร้าย บอกตามตรง แววตามุ่งมั่นแบบผิดที่ผิดทางของปีศาจทำให้ฉันกลัวใจ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงความวุ่นวายยกกำลังสาม สี่ ห้า ซึ่งตั้งเค้ามาแต่ไกล

                    “ข้าอารมณ์เย็นลงแล้ว มาคุยเรื่องการเรียนเสริมของเจ้ากันดีกว่า” เจ้าจิ้งจอกเปลี่ยนท่านั่ง นัยน์ตาสีอำพันยังคงความเจ้าเล่ห์ไว้อย่างเดิม “บทลงโทษของคนที่โดดเรียนถึงสองครั้งคือต้องอยู่เรียนซ่อมในวันพรุ่งนี้”

                    หา!?

                    “วันเสาร์อ่ะน่ะ!?”

                    “ช่างน่ายินดีที่เจ้ายังจำวันคืนได้ ฮารุกะของข้า”

                    ยะ...แย่ล่ะสิ ฉันมีนัดไปเที่ยวสวนสนุกกับพวกอายุนี่!

                    “แต่พรุ่งนี้ฉันมีนัด”

                    “...สำคัญกว่าการเรียนเชียวรึ?” เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว เจ้าจิ้งจอกคลี่ยิ้มร้ายอีกแล้ว

                    อึก...นี่ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่ากำลังถูกกวนประสาท บทจะเล่นเป็นอาจารย์ก็ทำได้ดีซะจนอยากเอารางวัลออสก้าฟาดหน้าให้เลยเชียว!

                    “ทว่า...ใช่ว่าจะเปลี่ยนวันไม่ได้” อาจารย์กำมะลอเว้นวรรค และฉันก็เกือบจะขอบคุณในความเมตตาของเขาอยู่แล้ว หากไม่ได้ฟังประโยคถัดไป “หากเจ้าขอร้องอ้อนวอนข้าด้วยน้ำเสียงหวานๆ กับรอยยิ้มพิมพ์ใจ ข้าอาจ...”

                    “ฝันไปเถอะ” ฉันสวนกลับแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย

                    ครืด...

                    มีเสียงเปิดประตูในตอนที่ฉันเซ็งสุดจิต

                    “เอ่อ...อาจารย์โยชิดะอยู่ไหมครับ” อีกเสียงที่ตามมานั้นเรียกให้จิ้งจอกต้องลุกออกไปดู

                    ฉันมองผ่านช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือก็เห็นอาจารย์ที่สอนวิชาคณิตศาสตร์ยืนเกาะขอบประตูอยู่หน้าห้อง และเขาก็พูดอะไรสักอย่าง เจ้าจิ้งจอกพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ

    “ข้าจะกลับมาในไม่ช้า อย่าเพิ่งหนีกลับบ้านเสียก่อนล่ะ เรายังมีอีกเรื่องต้องคุยกัน” อาจารย์กำมะลอที่ทำตัวประหนึ่งอาจารย์จริงๆ กำชับไว้ก่อนจะตามอาจารย์คณิตศาสตร์ไป ส่วนฉัน...

                    คิดเหรอว่าจะอยู่ให้หมอนั่นกลับมาบ่นอีกรอบ?

                    ไวเท่าความคิด ฉันรีบคว้ากระเป๋านักเรียนแล้วเผ่นออกมากห้องสมุด แม้จะเจ็บใจอยู่บ้างกับการเอาคืนของจิ้งจอกแต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันรู้ดีว่าตัวเองทำผิด และเจ้าจิ้งจอกนั่นก็แค่ทำตามหน้าที่ที่ต้องสั่งสอนนักเรียนเกเร

                    ช่วยไม่ได้ คงต้องขอเลื่อนนัดสองคนนั้นไปเป็นวันอาทิตย์แล้วล่ะ

     

                    ฉันเดินมาถึงประตูโรงเรียนในตอนที่นาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาห้าโมงสิบห้า แล้วก็พบว่าประตูโรงเรียนที่นักเรียนทุกคนรวมถึงบุคลากรใช้สัญจรเข้า-ออกโรงเรียนถูกปิดสนิท  ...ไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว และนั่นก็หมายความว่าฉันต้องกลับทางประตูด้านหลังโรงยิม

                    โรงยิมอยู่ด้านหลังของโรงเรียนซึ่งมีอาณาเขตติดกับภูเขาลูกใหญ่ ป่าไม้และผืนป่านั้นยังคงโกร๋นใบเนื่องด้วยอากาศที่ยังคงหนาวเย็นอยู่ ทุกคนรู้ว่าอากาศจะอบอุ่นขึ้นในอีกไม่ช้า และคุมิโกะเคยเล่าให้ฉันฟังว่าต้นไม้ในป่าหลังโรงเรียนนั้นเต็มไปด้วยต้นซากุระ นั่นทำให้ฉันตั้งตารอที่จะได้เห็นภูเขาและผืนป่าถูกปกคลุมด้วยสีชมพู ซึ่งก็คงอีกไม่นานเกินรอ

    แสงตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้าตกกระทบบนแผ่นหลังของฉันและสร้างเงาที่ทอดยาวบนทางเดินสู่ประตูทางออก เงาที่ดูไม่เป็นรูปเป็นร่างช่างน่าขบขัน สายลมที่พัดผ่านหอบเอากลิ่นหอมของฤดูใบไม้ผลิสอดแทรกมาชวนผ่อนคลาย ฉันชอบโรงเรียนนี้ที่แม้ว่าจะอยู่ในละแวกเดียวกับย่านการค้าแสนคึกคักแต่ก็ยังดำรงธรรมชาติไว้ได้ ว่าแต่หอมจัง...หอมกลิ่นดอกไม้

    นี่กลิ่นดอกอะไร...ทำไมถึงได้หอมยวนใจแบบนี้นะ

     

    แม่ทัพอสูรเดินออกมาจากห้องประชุมในตอนที่นาฬิกาเรือนงามบนข้อมือซึ่งสร้างขึ้นมาจากมนตราบอกเวลาหกโมงสี่สิบห้า ท้องนภาในเวลานี้ถูกความมืดโรยตัวเข้าแทนที่ แสงนีออนจึงทำหน้าที่ส่องสว่าง เขาคลายปมเนคไทขณะเดินไปห้องสมุดอย่างไม่เร่งรีบ ในใจนึกเบื่อหน่ายเครื่องแต่งกายของมนุษย์ซึ่งมีมากชิ้น แม้จะออกห่างห้องประชุมมาสักระยะ ทว่าเสียงถกเถียงกันของเหล่าผู้ที่เรียกตนว่าครูบาอาจารย์ก็ยังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เป็นเพราะความสามารถด้านการรับฟังเหนือมนุษย์ เขาจึงยังคงได้ยินเสียงน่ารำคานที่แฝงไว้ด้วยความโลภ หลง และอัตตา

    ...มนุษย์ช่างโง่เขลา อ่อนแอ และกระหายโลภ

    ทว่า...ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น ท่ามกลางคนโงเขล่าเหล่านั้นยังมีคนที่คิดต่าง เห็นต่าง มีความสามารถ และนำพามนุษย์สู่จุดสูงสุดดังเช่นทุกวันนี้ เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ เขาถึงรู้สึกสนุกเมื่อได้คุยกับมนุษย์

    ซากุระซากะ ยาจิโยะคือบุคคลที่โผล่ขึ้นมาในความคิดเขา ในความทรงจำของเขาเธอยังคงเป็นสาวสวยไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไป หรือแม้แต่ในตอนที่เธอกลายเป็นคุณยาย รอยยิ้มของเธอก็ยังอ่อนโยน

     

    ดูสิเจ้าคะท่านริน

    ประโยคหนึ่งในความทรงจำผุดขึ้นมาในความทรงจำ พร้อมกับใบหน้าของหญิงชราที่ระบายยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ร่องรอยความชราบนใบหน้าบอกเขาว่าเธอเดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว ทั้งที่ในความรู้สึกของเขา มันเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจ เขาจำได้ว่าวันนั้นเธอสวมยูคาตะสีฟ้า คาดโอบิสีน้ำเงินเข้ม สวมทับด้วยเสื้อฮาโอริสีน้ำตาลซึ่งดูไม่เข้ากันสักเท่าไหร่ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าในอ้อมกอดของเธอมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ น่าทะนุถนอมอยู่

    นั่นคือ...?

    หลานสาวของฉันเจ้าค่ะ ชื่อว่าฮารุกะ เพิ่งคลอดเมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เองเธอกอดกระชัดวงแขนอย่างรักใคร่ ท่านรินอยากลองอุ้มดูไหมเจ้าคะ

    จะดีรึ ข้าน่ะ...ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจนจบประโยค หญิงชราก็ยื่นทารกมาตรงหน้าเขาเสียแล้ว เจ้าของพวงหางทั้งเก้าผู้ขึ้นชื่อด้านความร้ายกาจในทุกๆ ด้านรับทารกน้อยที่คลุมร่างกายเล็กๆ นั้นด้วยผ้าแพรอย่างดีมาอุ้ม และสิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้คือความอบอุ่น

    ...ลูกมนุษย์คนนี้ช่างอบอุ่นนัก ราวกับแสงอาทิตย์ในวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ...

    เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตนในตอนนี้นัก เกิดอะไรขึ้นกับเขา แม่ทัพของเหล่าอสูรร้ายกำลังถูกปั่นป่วนโดยทารกเพศหญิงที่ทั้งบอบบางและยังไม่ประสีประสา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังถูกอุ้มโดยปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ความอบอุ่นของเธอทำให้เขารู้สึกประหลาด ใบหน้ายามพริ้มหลับของเธอทำให้เขานึกเอ็นดู และเมื่อเธอยิ้มให้เขา...รอยยิ้มบริสุทธิ์นั้นได้เร่งให้หัวใจอันเปล่าเปลี่ยว หยาบกระด้าง และเดียวดายของเขาเต้นระรัวขึ้นมา ...อย่างที่ไม่เคยมีอิสตรีนางใดทำได้มาก่อน

    ซากุระซากะ ฮารุกะอย่างนั้นรึ ไพเราะยิ่งนัก

    แม่ทัพอสูรระบายยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า เขารู้แล้วว่าในวินาทีนั้นโชคชะตาของจิ้งจอกผู้โดดเดี่ยวได้เชื่อมต่อกับเด็กน้อยด้วยสิ่งที่เรียกว่า ด้ายแดงแล้ว

    จงเติบใหญ่อย่างเริงร่าและแข็งแรงเถิด ฮารุกะของข้า

     

    “จงเติบใหญ่อย่างเริงร่าและแข็งแรงอย่างนั้นรึ...ดูท่าพรของข้าจะสัมฤทธิ์ผลเกินไปกระมัง” ผู้ที่มักให้คนสนิทเรียกตนเองด้วยชื่อมนุษย์ว่า รินแค่นหัวเราะ เพราะในยามปัจจุบันเด็กน้อยที่เขาให้พรนั้นออกจะเกินคาดสักหน่อย แน่นอนว่าเธอเติบโตเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยดังที่เขาจินตนาการไว้ ทว่านิสัยต่างไปโดยสิ้นเชิง

    ซากุระซากะ ยาจิโยะผู้เป็นยายของเธอนั้นแสนอ่อนหวาน ต่างกับซากุระซากะ ฮารุกะผู้เป็นหลานที่ซึ่ง...เอ่อ เอาเป็นว่า แม้เธอจะมิได้หยาบคาย แต่กระนั้นก็มิได้สุภาพ และแม้ว่าเธอจะมิได้หยาบกระด้าง แต่กระนั้นเธอก็มิได้อ่อนหวาน เธอหัวรั้น แต่กระนั้นก็มิได้ยึดตนเองเป็นที่ตั้ง และน้ำหนักของฝ่ามือเล็กๆ ที่คอยผลักไสเขาบ่งบอกได้ว่าเธอแข็งแรงดี

    และในตอนนี้ ปัญหาชวนหัวทั้งยังหนักอกของเขาก็คงหนีไม่พ้นการที่ดวงหน้าสวยหวานของเธอนั้นไม่เคยยิ้มให้เขาเลยสักครั้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนราวกับผลวอลนัทก็ไม่เคยมองเขาด้วยความยินดี หากจะบอกว่าเธอพร้อมแยกเขี้ยวใส่ทันที่ที่เห็นเขาในรัศมีสายตาก็ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง

    ต้องทำอย่างไรเธอจึงจะยอมโปรยยิ้มหวานๆ ให้เขาเสียที...?

    จิ้งจอกหนุ่มหยุดฝีเท้าที่หน้าห้องสมุด เขาเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไป ก่อนจะเดินลัดเลาะเหล่าชั้นหนังสือสู่หมวดประวัติศาสตร์ด้วยความคาดหวัง เขาคิดว่าเธอจะยังคงรออยู่ตรงนั้น ทว่า...สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานั้นมีเพียงความว่างเปล่า

    เด็กสาวหัวรั้นของเขาหนีไปเสียแล้ว...

    “เด็กดื้อ”

    แม่ทัพอสูรผู้ผ่านการศึกมาอย่างโชกโชนถึงกับกุมขมับ เขาผ่านศึกมาเป็นร้อย จัดการศัตรูมาเป็นพัน แต่ความดื้อด้านของเด็กสาวเพียงคนเดียวกลับทำให้เขารู้สึกจนมุม ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนต่อโลก ไม่ใช่ว่าเขามิเคยรับมือกับอิสตรี แต่เพราะเธอคือซากุระซากะ ฮารุกะ คนที่เขาปรารถนาจะอยู่ข้างกายจนกว่าจะสิ้นชีวิตอสูร

                    จิ้งจอกหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนใจ แต่กระนั้นกลับระบายยิ้มขึ้นบนใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ ความอยากเอาชนะทำให้เขาเริ่มคิดแผนการรับมือกับความรั้นของเด็กสาว แต่แล้วแผนการซึ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างนั้นก็ต้องหยุดกะทันหันเมื่อสายลมพัดผ่าน

    ในตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นว่ามีหน้าต่างบานหนึ่งยังคงเปิดไว้ ปลายม่านปลิวไสวเมื่อสายลมผ่านมาอีกครั้ง...พร้อมทั้งพัดเอากลิ่นหอมยวนใจผ่านปลายจมูกของจิ้งจอก

                    ทว่า...กลิ่นนั้นแสนอันตราย

                    เปลวไฟล่อลวงแมงเม่าให้เข้าใกล้ฉันท์ใด กลิ่นหอมของเหล่าบุบฝาที่ลอยตามลมมาก็ล่อลวงผู้ที่ได้สูดดมให้เข้าใกล้ต้นกลิ่นฉันท์นั้น แม้จะดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้มายาวนาน แต่กระนั้นความทรงจำของเขาก็ไม่ได้ลบเลือน แม่ทัพอสูรจำได้ดีว่านี่คือกลิ่นของเครื่องหอมแห่งโลกภูติซึ่งจะถูกจุดขึ้นปีละหนึ่งครั้ง เพื่อต้อนรับการกลับมาของฤดูใบไม้ผลิ เครื่องหอมนี้จะทำหน้าที่นำสารเรียกภูตผีปีศาจที่กระจัดกระจายกันอยู่ตามหุบเขาต่างๆ ให้กลับสู่ นาสึนะโนะยามิโมริหรือ ป่านาสึนะผืนป่าซึ่งเป็นที่อยู่หลักของเหล่าปีศาจในกาลปัจจุบัน ก่อนที่เทศกาลชมดอกซากุระจะเริ่มขึ้น

                    หากแต่...ไม่เพียงแค่ปีศาจเท่านั้น บางครั้งสิ่งมีชีวิตอื่นก็ถูกกลิ่นเครื่องหอมชักนำมาสู่ป่านาสึนะด้วย
                    ...เช่นมนุษย์ผู้มีสัมผัสพิเศษ...

                    ความจริงข้อนั้นทำให้เขาฉุกคิด ก่อนจะต้องกระโจนออกหน้าต่างไปด้วยความร้อนใจ เป้าหมายคือบ้านซากุระซากะ และชั่วพริบตาที่เขาเห็นว่าภายในบ้านนั้นยังคงมืดทึบ ไร้แสงสว่างและกลิ่นของคนที่เขาคำนึงหา ความตื่นตระหนกก็พลันพุ่งพล่านขึ้นในใจของเขา ความกังวลที่กำลังสั่นคลอนให้เขาเสียความเยือกเย็นเรียกร้องให้แม่ทัพอสูรต้องเรียกบริวารออกมา

                    “คุงะ นางะ ริวงะ ยูงะ”

                    “ขอรับท่านริน”

                   แม่ทัพอสูรมองบริวารทั้งสี่ซึ่งปรากฏกายในท่านั่งคุกเข่ารอบกายเขาแล้วจึงออกคำสั่งด้วยความร้อนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “จงตามหานาง!

    --------------------------------------------------------------
     

    09.05.14
    งะ...งะ..เงอะ
    หายหัวไปสองสามวัน คนอ่านหายไปไหนกันหมด (กระซิกๆ)
    เวลาเปิดหน้าเว็บขึ้นมาแล้วพบว่ายอดวิวไม่ขึ้นนี่มันเจ็บจี้ดๆ ในใจจริงๆ
    แต่...เวลารีดเดอร์เปิดหน้าเว็บขึ้นมาแล้วพบว่านิยายยังไม่ได้อัพก็คงก็จี้ดๆ เหมือนกันใช่มั้นคะ 
    555 งั้นเอาเป็นว่าเราเจ๊ากันเนอะ

    ตอนนี้บาฮันนี่กำลังสงสัยค่ะว่า...นิยายเรื่องนี้มันสนุกจริงหรือเปล่า
    วอนใครสักคนช่วยตอบคำถามนี้ที่เถอะค่ะ //คุกเข่าประสานมือ


    10.05.14
    นิยายร้อนๆ มาเสิร์ฟแล้วค่ะทุกท่าน
    โปรดอ่านอย่างระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นตาจะพองเอานะคะ
    (เพิ่งปั่นเสร็จ)
    มีความสุขมากตอนที่อัพถึงตรงนี้ ปู่รินนี่แกขี้เหงานะคะ ไล่เที่ยวไปเม้าท์มอยหอยกาบกับชาวบ้านเค้าไปทั่ว
    ไม่เท่านั้น ยังไปตีตราจองหลานสาวชาวบ้านเค้าอีก
    ร้ายอ่ะ

    สุดท้ายนี้จะบอกว่าการพบกันของปู่รินกับฮารุกะนั้นไม่้ใช่เพราะโชคชะตาพัดพามา
    แต่เพราะอะไรนั้น เฉลยตอนท้ายๆ เด้อ เหอๆๆๆ //ยังจะมีคนอ่านอยู่มั้ยเนี่ย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×