ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 [100%] Rewritten

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 57



     

    บทที่ 4

     

     

                    คาบภาษาญี่ปุ่น

                    “อาจารย์....ปีนี้อาจารย์อายุเท่าไหร่คะ”

                    “อาจารย์ขา...อาจารย์ชอบกินอะไรคะ”

                    “อาจารย์มีแฟนหรือยังคะ? ถ้ายัง...แล้วชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอคะ?”

                    ห้องคิงของเรายังคงเต็มไปด้วยคำถาม ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่ฉันที่ต้องหาคำตอบ แต่เป็นชายหนุ่มรูปงามนม โยชิดะ ริน ระเบียงทางเดินหน้าห้องเราเต็มไปด้วยนักเรียนหญิงจากทุกชั้นปีที่ถูกดึงดูดด้วยกิตติศัพท์ความหล่อของเขา ขณะที่สารพัดคำถามซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อหาในวิชาถูกถามขึ้นโดยกลุ่มที่นักเรียนหญิงคนอื่นๆ ในห้องลงมติให้เรียกพวกหล่อนว่า สาวเฟี้ยว ถึงจะเปรี้ยวก็หัวดีซึ่งนั่นก็ไม่ได้สร้างความอึดอัดหรือรำคาญให้กับนักเรียนหญิงคนอื่นนัก เพราะมันเป็นคำถามที่ใครๆ ต่างก็อยากรู้กันทั้งโรงเรียน

                    ...ยกเว้นฉันซึ่งฝันสลายและนักเรียนชายที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าหมั่นไส้เขาเสียเต็มประดา

                    “ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ผมดีใจนะที่มีเด็กสาวน่ารักๆ อย่างพวกเธอสนใจเรื่องของผม แต่ว่าตอนนี้ถ้าเธอตั้งใจเรียนล่ะก็ ...ผมจะดีใจมากๆ เลย”

                    เหล่านักเรียนหญิงพากันตายเรียบเมื่อเจอประโยคเชิงออดอ้อนและรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาขึ้นมาโดยพร้อมเพรียง ...พวกหล่อนไม่มีทางรู้ได้เลยว่าไอ้อาจารย์ท่าทางเหมือนหนุ่มโฮสต์ในบาร์นั่นไม่ใช่มนุษย์

                    “อาจารย์กำมะลอ...”  

    มีเสียงพึมพำมาจากนักเรียนชายที่นั่งข้างๆ ได้ยินอย่างนั้นแล้วฉันก็อดที่จะแสดงความเห็นด้วยไม่ได้ “ใช่...”

    ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่น่าอึดอัด บีบคั้น และชวนให้เวียนหัว ที่สำคัญ...มันแผ่มาจากคนที่นั่งข้างๆ ...เขาคือหนุ่มแว่นท่าทางสุขุมและเงียบขรึมคล้ายนักปราชญ์ แต่งกายเรียบร้อย และดูน่ากลัวยามที่นัยน์ตาใต้กรอบแว่นหนากรอกมามอง...ด้วยหางตา

    “...ฉันชื่อซากุระซากะ ฮารุกะ แล้วนายล่ะชื่ออะไร” ไวเท่าความคิด ฉันกลบเกลื่อนด้วยการแนะนำตัวเอง แต่แล้ว...

                    “...”

                    ก็ได้ความเงียบเป็นคำตอบ ...นั่นหมายความว่าฉันถูกเมินโดนสิ้นเชิง

                    “เธอควรดีใจที่มีคนหยิบยื่นมิตรภาพให้นะ” การสนทนาแป้กๆ ของเราถูกแทรก ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่อาจารย์กำมะลอเดินมาคั่นกลางระหว่างโต๊ะของเรา เขาฉีกยิ้มหวานหยด ขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร

                    แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามีกระแสไฟฟ้าสองขั้วแล่นเข้าปะทะกันดังเปรี๊ยะ!

                    “ว่าไงครับ มุราคามิ อาคิระคุง” อาจารย์กำมะลอย้ำอีกครั้ง และมิราคามิคุงก็คงเป็นนักเรียนที่ดีพอควรจึงได้หันมาพูดกับฉันซะที

                    “ได้ยินแล้วนี่”

                    “จะ...จ้ะ จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ”

                    “หึ...” ว่าแล้วก็เบือนหน้าหนี

                    ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย!

                    หลังจากที่พวกอาจารย์ท่านอื่นๆ ช่วยกันต้อนกองทัพนักเรียนหญิงกลับห้องไปหมดแล้ว ชั่วโมงประวัติศาสตร์ก็ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยท่ามกลางหัวใจที่หลุด-ลอย-ล่องของสาวๆ (?) และความหมั่นไส้ของเหล่านักเรียนชาย ฉันลอบมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินสำรวจตรวจตราไปรอบห้องอย่างมีมาด แม้ว่าจะพับเก็บเสียเรียบร้อยทั้งหูและหาง ทว่าเสน่ห์แสนร้ายกาจนั่น ต่อให้เอาโลกทั้งใบมาบังก็คงปิดไม่มิด และชุดสูทสีครีมที่แม้ว่าตอนนี้จะเหลือเพียงเสื้อกั๊กก็ช่วย ให้ความรู้สึกราวกับว่าหมอนั่นเป็นมนุษย์จริงๆ

    สิ่งหนึ่งที่ฉันได้เรียนรู้ตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านมาคือเจ้าจิ้งจอกเหนือกว่า พวกกากๆที่เคยเจอมาในทุกๆ ด้าน เขาให้ความรู้สึกไม่ต่างจากมนุษย์ยามเก็บหูและหาง ทั้งยังไม่เคยจู่โจมฉันสักครั้ง การกระทำแต่ละอย่างก็มีมรรยาท สมกับเป็นปีศาจชั้นสูงตามที่ได้กล่าวอ้างไว้

                    แต่...อย่าเพิ่งชะล่าใจไป ยังไงปีศาจก็คือปีศาจ สักวันมันต้องเผยธาตุแท้ออกมาแน่!

    มีเสียงเคาะโต๊ะเบาๆ ในตอนที่ฉันก้มหน้าอ่านหนังสือ ...เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นกระดาษแผ่นเล็กกับแผ่นหลังกว้างของอาจารย์กำมะลอซึ่งตีบทแตกกระจุยที่เพิ่งเดินผ่านไป

                    ฉันคลี่กระดาษพับออกด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นข้อความข้างในก็ต้องกัดปากข่มใจไม่ให้ล้มโต๊ะ

     

                    เย็นนี้อยากทานอะไร?’

     

                     

                    พักเที่ยง

                    “ฮารุกะ กินข้าวกะ...”

                    “โทษที ฉันมีธุระ!

                    ฉันบอกโคที่อุตส่าห์มากินข้าวเป็นเพื่อนอย่างนั้น (เราอยู่คนละห้องกัน ฉันอยู่ห้องหนึ่ง ส่วนโคอยู่ห้องสอง) ก่อนจะพุ่งตัวออกมา เป้าหมายคือห้องอาจารย์ และฉันก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าจิ้งจอกคิดจะทำอะไรกันแน่!

                    “ขอโทษค่ะ เจ้าจิ้ง... เอ้ย! อาจารย์โยชิดะอยู่ไหมคะ?” ฉันถามกลุ่มอาจารย์ที่นั่งจับเข่าทานข้าวกลางวันในห้องพักเพราะไม่รู้ว่าโต๊ะหมอนั่นอยู่ที่ไหน แล้วเขาก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย

                    “อ้อ เห็นออกไปกับประธานนักเรียนเมื่อกี้นี้เอง ได้ยินว่าจะไปห้องวิทย์น่ะ” หนึ่งในนั้นยอมสละเวลาจากกล่องอาหาร

    ฉันโค้งขอบคุณอีกครั้งแล้วจึงรีบเดินไปห้องวิทยาศาสตร์ นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฉันสามารถเดินไปมาทั่วโรงเรียนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องคอยหวาดระแวงว่าจะมีตัวอะไรโผล่มาหรือไม่ ก็อย่างที่บอกไปว่าโรงเรียนนี้เงียบสงบและปลอดภัย ไร้เงาปีศาจ

    ถ้าไม่นับเจ้าอาจารย์กำมะลอคนนั้นน่ะนะ 

    “...คุณคิดจะทำอะไร ว่างมาหรือไงถึงได้มาเล่นเป็นอาจารย์แบบนี้”

    มีเสียงผู้ชายแว่วมาจากห้องวิทยาศาสตร์ที่ประตูคงปิดไม่สนิท ความไม่ชอบใจที่เร้นกายในน้ำสียงและสัมผัสที่ชวน อึดอัด บีบคั้น และหายใจลำบากทำให้ฉันชะงัก ทั้งๆ ที่กำลังจะผลักประตูเข้าไป

    “ด้วยความเคารพ ข้ามีเหตุผลของข้า”

    อีกหนึ่งตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สบายๆ และฉันก็จำได้ว่าเป็นเสียงของเจ้าจิ้งจอก

    นั่นเขากำลังคุยกับใครน่ะ?

    “เหตุผลที่ทำให้คุณทิ้งหน้าที่ แล้วไปกอร่อกอติกเด็กสาวชาวมนุษย์นั่นน่ะเหรอ” ความเย้ยหยันแฝงอยู่ในประโยคนั้น ท่าทางดูถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยนั่นมันอะไร?

                    “ด้วยความเคารพแด่จ้าวอสูร กว่าร้อยปีที่รับใช้ท่านและบรรพบุรุษตระกูลมุราคามิมาข้าหาได้บกพร่องต่อหน้าที่ไม่ ในยามนี้ที่ฤดูเปลี่ยนผัน ขั้วอำนาจเปลี่ยนแปร มนุษย์ขึ้นเป็นใหญ่ ปีศาจอย่างเราหาได้มีบทบาทสำคัญดังเช่นกาลก่อนไม่”

                    เดี๋ยวก่อนนะ อะไรคือ จ้าวอสูร...?

                    “หากเป็นเช่นกาลที่อสูรเช่นเรายังคงรบราฆ่าฟันและกัดกินมนุษย์เป็นอาหาร ข้าคงยังสวมเกราะเหล็ก ขึ้นแท่นแม่ทัพนำทัพอสูรเข้าตีศัตรูเสียให้ปราชัย หากแต่กาลนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ แล้วท่านมีเหตุผลอันใดจึงปรารถนาให้ข้าฟาดดาบใส่ลม”

                    “...”

                    “อนึ่ง...ตัวข้านี้ชราภาพลงเสียแล้ว และเกรงว่าจิ้งจอกชราตนนี้คงอยู่รับใช้ท่านได้อีกไม่นาน”

                    นี่ฉันมาได้ยินอะไรเข้าเนี่ย!?

                    ฉันปฏิเสธไม่ออกว่าไม่รู้สึกอะไรกับประโยคที่ฟังดูคล้ายคำสั่งเสียของคนที่กำลังจะลาไปตาย และนั่นก็อยู่เหนือความคาดหมายของฉันที่คิดมาตลอดว่าปีศาจพวกนั้นเป็นอมตะตลอดกาลเหมือนแวมไพร์ ที่ไหนได้...ปีศาจก็ตายเป็นเหมือนกัน

                    “ถ้าอย่างนั้นก็ใช้ลมหายใจที่ยังเหลืออยู่ทำหน้าที่ของคุณซะสิ!

    ฝ่ายที่ถูกเรียกว่าเจ้าอสูรขึ้นเสียง บรรยากาศมาคุข้างในนั้นทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ...ถ้าจะพูดให้ถูกคือหายใจไม่ออกต่างหาก เพราะแรงกดในอากาศกับความอึดอันชวนคลื่นไส้นั้นทบทวีความรุนแรงขึ้นหลายเท่าตัว

    คุณพระคุณเจ้า ฉันเริ่มเวียนหัวแล้วล่ะ...

                    “ขออภัยที่ข้าต้องปฏิเสธ เพราะนั่นหาใช่สิ่งที่ข้าต้องการไม่” จิ้งจอกเองก็เค้นเสียงแน่นเหมือนกัน “ข้าจมกับกลิ่นคาวเลือดมานานพอแล้ว ชีวิตที่เหลือนับจากนี้...ข้าปรารถนาจะใช้มันร่วมกับใครสักคน”

                    “หึ! เด็กมนุษย์อ่อนแอคนนั้นน่ะเหรอที่คุณต้องการ ทั้งๆ ที่ผมให้คุณได้ทุกอย่างเพียงแค่คุณเอ่ยปาก”

                    “...ท่านยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจโลกนี้อย่างถ่องแท้ว่าสิ่งเหล่านั้นแท้จริงแล้วน่าเบื่อหน่าย สิ่งของนอกกายไม่อาจเติมเต้มที่ว่างในจิตใจ”

                    ทุกอย่างสงบลงเมื่อสิ้นคำพูดของจิ้งจอก ก่อนที่บรรยากาศน่าอึดอัดจนหายใจไม่ออกจะเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ เมื่อคนที่ถูกเรียกว่าจ้าวอสูรเอ่ยทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์

    “ผมหวังว่าคุณจะตาสว่างในเร็ววัน”

    “ข้าเองก็หวังไว้เช่นกันว่าท่านจะตระหนักได้ว่าสิ่งสำคัญในช่วงชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ผู้อ่อนแอ หรือปีศาจผู้ทะนงตนว่าแข็งแกร่งนั้นคืออะไร”

    การปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เวลานี้ทำให้ฉันดูเหมือนพวกที่ชอบสอดรู้เรื่องชาวบ้าน แต่พอกำลังจะก้าวเท้าออกจากตรงนั้น ประตูห้องวิทยาศาสตร์ก็เปิดออกมาพร้อมร่างสูงโปร่งของนักเรียนชาย ใส่แว่น แถมยังเป็นคนเดียวกันกับอีตาแว่นไร้อัธยาศัยที่นั่งโต๊ะข้างๆ อีกต่างหาก

    จะ...จ้าวอสูรที่จิ้งจอกคุยด้วยคือมุราคามิ อากิระ ถ้างั้น...มุราคามิคุงก็ไม่ใช่มนุษย์น่ะสิ! ละ...ละ...แล้วตลอดภาคเช้าที่ผ่านมาฉะ...ฉันนั่งเรียนกับตัวอะไรเนี่ย!?!

                    ความจริงข้อนั้นทำให้ฉันเข่าอ่อน ยิ่งในตอนนี้ที่สัมผัสได้ถึงไออะไรสักอย่างซึ่งแผ่ออกมาจากร่างของมุราคามิด้วยแล้ว ฉันแทบจะล้มทั้งยืนด้วยซ้ำ นัยน์ตาหลังกรอบแว่นสีดำนั่นจ้องฉันเขม็ง ใบหน้าที่เมื่อได้มองตรงๆ แล้วต้องยอมรับว่าดูดีอย่างเหลือร้ายนั่นไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าเขาอยากฆ่าหักคอฉันให้ตายๆ ไปซะ

                    ไอเย็นพัดเสียดผิวในวินาทีที่มุราคามิเดินผ่านหน้าฉัน พลันแข้งขาก็อ่อนแรงเอาเสียดื้อๆ ความด้านชาแล่นปลาบไปทั่วร่าง กระดูกสันหลังเย็นเยียบ ฉันเห็นแผ่นหลังของมุราคามิหมุนวนเป็นวงกลม ลมหายใจเริ่มติดขัด มันอึดอัด บีบคั้น และทรมานอย่างไม่อาจหาคำไหนมาอธิบาย

    นั่นเพราะฉันเพิ่งจะมีอาการแบบนี้เป็นครั้งแรก

    แล้วในตอนที่ฉันกำลังจะทรุดลงกับพื้น เจ้าจิ้งจอกที่เดินตามออกมาหน้าห้องก็รับไว้ได้ทันทวงที

                   

     

                    กลิ่นฉุนอันเป็นเอกลักษณ์ของห้องพยาบาลลอยมาเตะจมูก จิ้งจอกค่อยๆ วางฉันลงบนเตียงพยาบาลอย่างระมัดระวัง และเมื่อรู้สึกได้ถึงสายลมที่พักเข้ามาทางหน้าต่าง เขาก็จัดการดึงผ้าห่มมาคลุมให้ฉันเสียเรียบร้อย

                    “เป็นอย่างไรบ้าง” ร่างสูงนั่งลงที่ขอบเตียงและเอ่ยถามน้ำเสียงห่วงใย “ยังอึดอัดอยู่หรือไม่”

                    “ไม่... แค่เวียนหัวนิดหน่อย” ฉันตอบไปตามจริง ถึงจะรู้สึกแปลกๆ กับท่าทางของเขาก็เถอะ

     จะว่ายังไงดี... ไม่บ่อยนักหรอกที่ฉันจะป่วย และไม่บ่อยนักหรอกที่จะฉันจะถูกดูแล อย่างที่รู้กันว่าพ่อแม่ฉันไม่ค่อยว่าง และฉันก็ดูแลตัวเองมาตลอด นั่นคือสาเหตุที่ฉันไม่ชินกับการปฏิบัติแบบนี้...ยิ่งจากปีศาจแล้วด้วย

                     ฉันไม่ชินกับการเป็นผู้รับเลยจริงๆ

                    “ดูเหมือนว่าไออสูรจะส่งผลต่อเจ้าไม่น้อยเลย”

                    “อะไรคือไออสูร” ฉันถามออกไปเมื่อได้ยินคำศัพท์ไม่คุ้นหู และร่างสูงในชุดสูทไม่สมประกอบเพราะขาดแจ็คเก็ตก็ไม่ได้ตอบในทันที

                    เขาลุกจากเตียงไปวุ่นวายกับกล่องปฐมพยาบาลที่วางอยู่บนชั้น หลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมก้านสำลีกับกลิ่นฉุนแอมโมเนียซึ่งทำให้ฉันจมูกโล่ง

                    “ไออสูรคือส่วนหนึ่งของจิตปีศาจ ความรุนแรงของมันจะต่างกันไปในปีศาจแต่ละตน ยิ่งปีศาจมีฤทธิ์มาก ไออสูรย่อมยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น”

                    อ้อ แบบนี้นี่เอง

                    “น่าแปลกที่นายก็เป็นปีศาจ แต่ฉันกลับไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย”

                    “นั่นเพราะข้ารู้จักควบคุมมันต่างหากเล่า” แล้วจิ้งจอกก็กลับไปวุ่นวายกับชั้นวางของอีกครั้ง และคราวนี้ก็กลับมาพร้อมยาหนึ่งเม็ดกับน้ำอีกหนึ่งแก้ว ก่อนจะนั่งลงที่เดิมเพื่อมองดูฉันกินยา สายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงหาทำเอาฉันประหม่าไม่น้อยเลย

                    ฉันกระเถิบตัวออกห่าง ด้วยว่าไม่อยากอยู่ใกล้เขาเท่าไหร่ บอกตามตรงว่ายังหวาดระแวงอยู่พอสมควร ต่อให้เขาจะเป็นคนช่วยพยาบาล แต่ก็ใช่ว่าจะน่าไว้ใจ เพราะฉันรู้ดีว่าพวกปีศาจเป็นยังไง แล้วก็แน่ใจด้วยว่าตอนนี้ฉันไม่มีปัญญาจะทำอะไรนอกจากการเขยิบออกไปให้ห่างๆ

                    ไออสูรพวกนั้นเล่นงานฉันหนักเอาเรื่อง

                    อาการของฉันดีขึ้นตามลำดับ ระบบหายใจกลับมาทำงานเป็นปกติ ความอึดอัด บีบคั้นหรืออะไรทำนองนั้นหายไปหมดแล้ว จะเหลือก็แค่มึนหัวอยู่นิดหน่อย แต่ถ้าได้นอนสักพักคงหาย ทว่า...ฉันจะหลับตานอนได้ยังไงในเมื่อในใจมีแต่คำถาม

                    “ตกลงนายมาทำอะไรกันแน่” และแล้ว...ฉันก็ตัดสินใจถามออกไป “คงไม่ใช่เพราะแค่จะถามคำถามงี่เง่านั่นใช่ไหมล่ะ”

                    จิ้งจอกฉีกยิ้มร้าย “เจ้าฉลาดมาก ฮารุกะ เสียแต่ว่าคำถามของข้าไม่ได้งี่เง่า และเจ้าคือเหตุผล...ข้าปรารถนาอยากอยู่ข้างกายเจ้าเหลือเกิน”

                    บรรยากาศที่เคล้าคลอสองเรานั้นแสนเรียบง่าย คล้ายกับว่าเจ้าจิ้งจอกกำลังปล่อยตัวตามสบาย วัดได้จากรูปประโยค น้ำเสียงและยิ้มบางๆ บนใบหน้า หากเป็นนักเรียนคนอื่น เขาก็ใช้สำนวนการพูดอย่างมนุษย์ทั่วไป แต่หากเป็นฉัน หรือมุราคามิ เจ้าจิ้งจอกมักจะใช้ภาษาโบราณคุยด้วยเสมอ ยิ่งเฉพาะกับมุราคามิ...ฟังราวกับราชาศัพท์ก็ไม่ปาน

                    “ถ้าจะมาเป็นครูเพราะแค่อยากอยู่ใกล้ฉันล่ะก็ นายกลับไปทำหน้าที่ของนายเถอะ หน้าที่ของครูบาอาจารย์ไม่ใช่ของที่จะเอามาล้อเล่นได้หรอกนะ” ฉันบอกปัดด้วยความรำคาญ การมีปีศาจตามติดเป็นขี้ปลาทองนั้น ดูแล้วไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกสักเท่าไหร่

                    “ข้ารู้ และสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากบอกให้เจ้ารู้คือ...ข้าจริงจังในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า”

                    “...”

                    “แม้สิ่งที่ข้าทำอยู่อาจดูเป็นเรื่องน่าขบขัน เพียงแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ข้าจะให้ความสำคัญ เจ้าเพียงคนเดียว...คนเดียวเท่านั้นที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาของข้าจะเกี่ยวพัน ...ฮารุกะ”

                    โทนเสียงลุ่มลึกชวนให้ใจเต้นผิดจังหวะ ฉันคงเขินอายหากสิ่งที่ได้ยินนั้นออกมาจากปากมนุษย์เหมือนกัน สมองฉันสั่งการให้ต่อต้าน...ปีศาจกับมนุษย์จะมาอยู่ร่วมกันได้ยังไง


    --------------------------------------------
    *แปะ* 
    เผื่อใครอยากเห็นปู่รินของเราในมาดคุณครูค่ะ




    เครดิต : www.worldcosplay.com
    จำชื่อคนคอสไม่ได้ โกะเมนนาไซ
    Original Charactor: Makishima Shougo
    จาก Psycho-Pass จ้า




    ปล.ตอนนี้บาฮันนี่เป็นผื่นค่ะ คันคะเยอไปทั้งตัวไม่รู้ว่าแพ้อะไร
    พิมพ์ตกหล่นไปบ้าง ต้องอภัยด้วยนะคะ
    คือพิมพ์ไป เกาไป บางทีจะพิมพ์อะไรก็ลืมมม

    แหะแหะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×