ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 [100%] Rewritten

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.ค. 57








    บทที่ 2

     

     

    นาฬิกาปลุกฉุดฉันออกจากห้วงแห่งความฝัน อากาศอุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบกายนั้นบอกว่าพระอาทิตย์ได้ขึ้นแล้ว ฉันกลิ้งตัวไปมาบนฟูกอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะงัวเงียลุกขึ้นมาปิดทีวีและหลอดไฟบนเพดานเพราะเมื่อคืนดันผลอยหลับไปทั้งอย่างนั้น จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูข้างห้องที่เชื่อมต่อกับเฉลียงเพื่อให้แสงแดดยามเช้าสาดเข้ามา

    อากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าช่วยให้ฉันกระปรี้กระเปร่าสุดๆ

                    ฉันบิดขี้เกียจท่ามกลางแสงอาทิตย์อุ่น ซึมซับความสดชื่นอย่างที่หาไม่ได้ในมหานครอย่างโตเกียวให้เต็มที่ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปจัดการเก็บฟูกนอนให้เข้าที่ และล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย ตามตารางวางไว้คร่าวๆ วันนี้ฉันต้องเข้าเมืองไปซื้อของใช้ แวะไปดูโรงเรียนและรับชุดนักเรียน แล้วต้องกลับมาให้ทันตอนบ่ายที่บริษัทขนส่งจะเอาของมาส่ง เค้าลางของความเหนื่อยยากลอยมาแต่ไกล...วันนี้คงเป็นอีกวันที่ฉันต้องหลับเป็นตายอย่างเมื่อคืน

                    จริงสิ เมื่อคืนฉันฝันแปลกๆ ล่ะ มันเป็นฝันที่เหมือนจริงมาก ทั้งสัมผัส กลิ่น และเสียง ราวกับว่าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางนั่นมีตัวตนอยู่จริง จู่โจมฉันจริง 

                   แต่ช่างเถอะ...มันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้นล่ะ

                   ฉันเลิกสนใจเรื่องในฝัน แล้วก้มลงกวักน้ำขึ้นล้างหน้า ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีอะไรบางอย่างวางทิ้งไว้ข้างๆ อ่างทั้งที่ปกติจะต้องอยู่ติดตัวฉันตลอดเวลา มันเป็นเครื่องรางที่นักบวชท่านหนึ่งให้ฉันมาในตอนที่เริ่มมองเห็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็น มันช่วยปกป้องฉันจากปีศาจที่คอยรังควาน แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้บดบังสายตาไม่ให้ฉันมองเห็นปีศาจได้

    แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าการลืมสวมเครื่องรางทำให้ฉันฝันร้าย

                    กริ้งงงง กริ้งงงง

                    โทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องเร่งเร้าให้ฉันหยิบเครื่องรางขึ้นสวม รีบเช็ดหน้าตา แล้ววิ่งไปหยิบโทรศัพท์แบบฝาพับกับบรรดาตุ๊กตาสารพัดสัตว์ห้อยเป็นพวงขึ้นมาเปิดดูก็พบข้อความของโค

                   

    ฉันรออยู่หน้าบ้านนะ ^0^’

                   

                    โอ้ ตายล่ะ! ฉันลืมไปเลยว่านัดกับเขาไว้เมื่อวาน!

    และนั้นก็ทำให้ฉันต้องกุลีกุจอเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วรีบออกจากบ้าน

                   

                    สถานีรถไฟอยู่ไม่ไกลจากบ้านฉันนัก แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น เราก็ต้องเดินผ่านทุ่งนา บ้านเรือน และที่รกร้างหลายที่ ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้ทำการเกษตร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้เห็นแผงผักสดที่ไร้คนเฝ้าอยู่ข้างทาง ดูแล้วช่างเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ผิดกับโตเกียวลิบลับ

                    ช่างเป็นหมูบ้านที่สงบและเรียบง่าย ท่ามกลางธรรมชาติที่ล้อมรอบกาย ไม่วุ่นวาย และที่สำคัญ..ไม่มีวี่แววปีศาจตนไหนเลย!

                    แฮปปี้!

                    โอเค...ฉันรู้ตัวว่าหวาดระแวงอย่างหนัก แต่เชื่อสิว่ามันไม่สนุกห หากการเดินเล่นในวันฟ้าใสของคุณจะถูกรบกวนด้วยฝูงอีกาปีศาจที่บินโฉบไปมาแล้วทำท่าว่าอยากจะจิกกินเนื้อสมอง หรือจะถูกลากเข้าป่าข้างทางในตอนกลับบ้านเพราะปีศาจแถบนั่นอยากลองชิมเนื้อลูกมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนที่คุณกำลังปลดทุกข์อยู่ในห้องน้ำสาธารณะ แล้วมีกรงเล็บโผล่ขึ้นมาจากคอห่านพร้อมเสียงกรีดร้องว่า ข้าจะกินเจ้า!’

    มันไม่สนุก... ไม่สนุกจริงๆ เชื่อฉันสิ

     

    ต้องบอกไว้ก่อนว่านี่ไม่ใช่การเดต หากแต่เป็นการให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยแก่ผู้มาอยู่ใหม่ โคอาสาเป็นไกด์พาฉันไปรับชุดนักเรียนโรงเรียน และหลังจากที่ฉันกรี้ดกราดให้หุ่นโชว์ที่สวมชุดนักเรียนแบบกลาสีด้วยความตื่นเต้นแล้ว เราสองคนพบว่ายังมีเวลาอีกนิดหน่อยในการเดินชมโรงเรียน

    โดยรวมแล้วที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ห้องน้ำห้องท่าก็ดี ตึกเรียนสะอาดใช้ได้ แม้จะไม่ทันสมัยเท่าโรงเรียนเก่าที่โตเกียว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกดีคือที่นี่ไม่ภูตผีหรือปีศาจ...

    ...แล้วคราวนี้ฉันก็จะได้ใช้ชีวิตนักเรียนม. ปลายอย่างสงบสุขเหมือนอย่างที่ฝันมาตลอดเสียที

    กว่าเราสองคนจะกลับออกมาจากโรงเรียนได้ก็เล่นเอาเกือบสิบเอ็ดโมงแล้ว และฉันยังมีข้าวของที่ต้องซื้ออีกเป็นกระบุง และเมื่อพูดถึงการซื้อของ เชื่อฉันเถอะว่าสิ่งแรกที่คนญี่ปุ่นจะนึกถึงคือร้านร้อยเยน...

                    “เธอซื้ออะไรน่ะ” โคที่วนมาโซนผ้าปูโต๊ะเดินเข้ามาถามหลังจากที่เราตัดสินใจแยกกันเดินในตอนแรก

                    “ผ้าปูโต๊ะกับผ้ากันเปื้อนน่ะ นายล่ะซื้ออะไร”

                    “ก็มีของที่แม่ฝากซื้อน่ะ แล้วก็นี่” เขาชูตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมา “ของเธอน่ะ แม่ฝากบอกด้วยว่าว่างๆ มาทานข้าวเย็นที่บ้านก็ได้ แล้วผ้ากันเปื้อนที่ซื้อไปนั่น เธอทำอาหารเป็นเหรอ”

                    “ก็...อื้ม...นะ” ฉันอึกอัก “บางทีฉันก็ทำออมเล็ตกินเองบ้าง”

                    “สุดยอดเลยแฮะ ฉันน่ะพอทอดไข่ทีไรเป็นต้องทำกระทะไหม้ทุกที” โคเกาหัวแกร็กๆ พลางหัวเราะแหะๆ แก้เขิน ฉันมองเขาด้วยความเข้าใจ

                    ...เพราะแม้แต่คุณพ่อของฉัน ก็ยังห้ามไม่ให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของท่านเข้าครัวด้วยข้อหาวางเพลิงเลย

                    “คราวหน้าสอนฉันทำบ้างสิ...พอแม่ไม่อยู่แล้วมันลำบากน่ะ” นัยน์ตาสีเข้มของมาโคโตะเปล่งประกาย เขาเป็นผู้ชายน่ารักที่คว้าตะกร้าในมือฉันไปถือไว้โดยที่ไม่อายว่าข้างในจะมีอะไรอยู่บ้าง นั่นทำให้ฉันรับฟังถ้อยคำนั้นด้วยความละอาย...

                    เพราะแท้จริงแล้ว...ฉันทำอาหารไม่เป็น :P

     

                    ฉันกับโคออกจากร้านร้อยเยนในตอนที่นาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือบอกว่าเที่ยงครึ่ง ตอนนี้ฉันต้องกลับบ้านด้วยความเร่งรีบแล้ว แต่ถึงจะรีบเร่งสักแค่ไหน ฉันก็ไม่ลืมตอบแทนน้ำใจของเขาด้วยขนมไทยากิที่เจ้าตัวบอกว่าอร่อยนักหนา และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เจ้าขนมรูปปลาถูกฉันกินไปหลายชิ้นแล้วในตอนที่เราเดินมาถึงสถานีรถไฟแบบไม่สนใจว่าสะโพกฉันจะขยายหรือไม่

                    ก็แหม...มันอร่อยจนหยุดไม่ได้เลยนี่น่า

                    “นี่ แม่หนู” มีเสียงแหบพร่าของหญิงชราดังขึ้นข้างกายฉัน และเมื่อหันไปมอง ก็พบว่าคุณยายเจ้าของเสียงนั้นจับแขนฉันไว้แน่น “ไทยากินั่น ยายขอได้ไหม”

                    “ก็...ได้สิคะ”

                    “ขอบใจนะ”

                    ฉันยื่นถุงไทยากิให้คุณยายไป แม้ว่าข้างในนั้นจะมีไทยากิชิ้นสุดท้ายอยู่ก็ตาม ก็นะ...คุณยายตัวเล็กแถมยังผอมแห้งแบบนี้ ฉันไม่ใจร้ายถึงขนาดปฏิเสธได้ลงหรอก

                    “ชิ้นสุดท้ายเสียด้วย แม่หนูนี่ใจดีจริงๆ แทนคำขอบคุณ ยายจะทำนายอนาคตให้นะ เอาล่ะ ยื่นมือมาสิจ๊ะ”

                    “เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณยาย เรื่องตอบแทนอะไรนั่นไม่จำเป็นหรอกค่ะ”

                    “เอาน่าๆ”

    หมับ!

    คุณยายคว้ามือฉันไว้ด้วยความเร็วแสง ก่อนจะลูบไล้ตรงฝ่ามืออย่างเบามือและอ่อนโยน ...แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนพลังงานอะไรสักอย่างแล่นปลาบไปทั่วร่าง วูบวาบไปทั่วท้อง ราวกับมีพายุขนาดย่อมพัดเครื่องในฉันปั่นป่วน

                    “สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้เป็นสิ่งที่หนูไม่อาจปฏิเสธ ต่อให้พยายามหลบหลีก หลีกหนี หรือขัดขืนสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เพราะด้ายแดงของแม่หนูกับท่านผู้นั้นได้บรรจบกันแล้ว”

                    “...”

                    “ดอกไม้ย่อมมีวันผลิบาน เช่นเดียวกับความรัก เรื่องบางเรื่องก็ไม่ต้องหาเหตุผลมารองรับ บางการกระทำก็ไม่ต้องการคำอธิบาย ปลดปล่อย เปิดใจ แล้วแม่หนูจะได้พบกับความสุขชั่วนิจนิรันดร์...”

                    “...”

                    “ฮารุกะ! ฮารุกะ! เฮ้!

                    “ฮะ?”

                    “เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า” โคที่กลับมาพร้อมตั๋วรถไฟสองใบในมือทำหน้าซีด “ฉันเรียกตั้งนานแต่เธอก็นิ่ง นิ่งเหมือนตุ๊กตาเลย”

                    “เปล่านี่ ฉันไม่เป็นไร แล้วก็กำลังคุณกับคุณยายอยู่ นี่...” ฉันบอกเขา และหันไปหาคุณยาย แต่ว่าข้างกายฉันกลับ...

                    ...มีแต่ความว่างเปล่า

     

                    “เธอเป็นไงบ้าง”

                    “ก็...ไม่เป็นไรนี่”

                    “ที่ตาฝาดเห็นคนแก่ แถมยังยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาแบบนั้นน่ะเหรอที่เรียกว่าไม่เป็นอะไร ถ้ารู้สึกไม่สบายก็ไปให้พ่อฉันตรวจก็ได้นะ” โคบอกด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยในตอนที่เรากำลังจะแยกกันกลับบ้าน และถึงแม้ว่าลุงมาซาฮิโระจะดูล่ำสัน บึกบึนเหมือนชาวนาชาวไร่ แถมยังจัดสวนเก่ง แต่จริงๆ แล้วลุงแกเป็นคุณหมอเชียวนะ

                    “ขอบใจนะ แต่ว่าฉันสบายดีจริงๆ” ฉันเน้นย้ำว่าตัวเองไม่เป็นอะไร ไม่ได้เจ็บป่วยตรงไหน หลังจากที่ฉันอธิบายให้เขาฟังว่าตอนนั้นฉันกำลังยืนคุยอยู่กับคุณยาย แต่โคก็ย้ำซ้ำๆ ว่าเห็นฉันยืนอยู่คนเดียว

                    น่าปวดหัวดีแท้

    “ก็แล้วไป จริงสิ อาทิตย์หน้าโรงเรียนก็เปิดแล้ว เอ่อ..” ประโยคของโคขาดห่วงไปเมื่อเจ้าตัวเริ่มอึกอัก เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้า ทว่า..หลังจากที่ลังเลอยู่ประมาณห้าวินาที เขาก็ได้ตัดสินใจ “เธอสนใจไปโรงเรียนพร้อมกับฉันมั้ย”

    โธ่...ก็นึกว่าอะไร ที่แท้ก็ชวนไปโรงเรียนด้วยกัน

    “เอาสิ ฉันไปด้วย”

    “โอเค แล้วเจอกัน”

                    เขาทั้งหล่อ คุยง่าย มีน้ำใจ เดาว่าที่โรงเรียนเขาต้องฮอตมากแน่ๆ

     

                    ฉันหมุนตัวกลับเข้าบ้าน และพยายามลืมคำถามที่ว่า คุณยายหายไปไหนเพราะบางทีคุณยายอาจจะเดินหนีไปตอนที่โคส่งเสียงดังเรียกฉันก็ได้ ส่วนคำทำนาย ฉันก็ไม่ได้เอาเก็บมาใส่ใจเท่าไหร่หรอก

    ข้าวของที่ซื้อมาถูกจัดว่างให้เข้าที่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีอาหารแห้งจำพวกบะหมี่กับราเม็งกึ่งสำเร็จรูป อย่างที่รู้ๆ กันว่าความสามารถในการทำอาหารของฉันอยู่ในขั้น ง่อย และหากจะบอกว่าที่ฉันอยู่รอดมาได้เพราะบะหมี่ถ้วยก็ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง

    ถึงจะน่าอายแต่ก็อยากบอก...ฉันเคยฝันว่าอยากแต่งงานกับลูกชายโรงงานบะหมี่ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ สมัยเรียบประถมด้วยล่ะ

    นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาว่าใกล้จะบ่ายโมงแล้ว อีกไม่นานบริษัทส่งของคงมาถึง

                    “สวัสดีคร้าบบบบ บริษัทส่งของคุโรดะคร้าบบบบ”

                    พูดถึงก็มาพอดี

                    ฉันออกไปเปิดประตูรั้วข้างบ้านซึ่งกว้างพอที่จะให้รถแล่นผ่านเข้ามาได้ แล้วหลังจากที่เราทักทายกันตามมารยาท คุณพนักงานสองคนในชุดซาฟารีสีฟ้าและหมวกแก๊ปก็เริ่มลำเลียงข้าวของต่างๆ อย่างขยันขันแข็งโดย ฉันคอยชี้จุดที่จะให้ ไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อยดี

                    “ตรวจสอบรายการข้าวของ หากครบแล้ว กรุณาประทับตราตรงนี้ด้วยครับ” พนักงานคนหนึ่งยื่นใบรับของมาให้ ฉันจึงเริ่มนับรายการ

                    “ตู้เย็น... ไมโครเวฟ... กล่องอีก...หนึ่ง สอง สาม...ห้า หก เอ่อ...คุณคะ ฉันว่ามันหายไปกล่องหนึ่ง” ฉันบอกหลังจากที่สำรวจแล้วว่ากล่องลายแพนด้าของฉันหายไป

                    “แต่ว่าบนรถเราไม่มีอะไรเหลือแล้วนะครับ” พนักงานอีกคนเดินมาบอก และฉันก็เริ่มคิดมาก

                    ...กล่องแพนด้าเป็นสมบัติล้ำค่าของฉัน เพราะข้างในนั้นมีอัดแน่นไปด้วยซีดีเพลงและอัลบั้มรวมภาพของนักร้องคนโปรดฉันด้วยน่ะสิ!

                    “ใช่กล่องนี้หรือเปล่าครับ” มีพนักงานอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนา ที่น่าสนใจคือในมือเขาถือกล่องแพนด้าของฉันมาด้วย

                    “ใช่เลยค่ะ กล่องนี้เลยค่ะ” ฉันบอกด้วยความโล่งใจ และแทบจะหยิบอัลบั้มภาพในกล่องออกมาพรมจูบ ฮู้วววว~ เกือบไปแล้วไหมล่ะยูยะคุง

                    “โอเค ได้ครบทุกรายการแล้วนะครับ”

                    “ค่ะ โล่งอกไปที นึกว่าจะหายจริงๆ ซะแล้ว” ฉันบอกพลางหยิบตราประทับขึ้นมาประทับตราที่ใบรับของ ในขณะที่พนักงานทั้งสองต่างก็ปาดเหงื่อพรายบนหน้าผากอย่างโล่งใจ ก่อนจะโค้งศีรษะให้ฉันอย่างนอบน้อมและกล่าวอำลา

    “ขอบคุณที่ใช้บริการครับ”

                    เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังขึ้น ก่อนที่รถบรรทุกขนาดกลางจะเคลื่อนตัวออกไป ฉันปิดประตูรั้วไว้อย่างเดิม ก่อนจะกลับเข้ามาในบ้านแล้วก็ต้องแปลกใจที่ยังเห็นว่ามีพนักงานอีกคนอยู่ข้างใน

                    หรือว่า...สองคนนั้นจะลืมเขาไว้!

                    “ตายจริง ฉันจะโทรเรียกให้สองคนนั้นกลับมารับนะคะ” ฉันกุลีกุจอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ว่า...

                    “ไม่ต้องหรอก เดิมทีพวกเขาก็ไม่รู้จักข้าอยู่แล้ว”

                    สรรพนามเรียกแทนตัวเองแปลกๆ ทำให้ฉันชะงัก ก่อนจะรู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายมันเย็นเสียจนเสียวสันหลังวาบเมื่อพนักงานคนนั้นถอดหมวกแก๊ปออก ...นัยน์ตาสีอำพันปรากฏให้เห็นพร้อมกับเรือนผมสีเงินยาวตกลงมาเคลียไหล่ เปลวไฟสีน้ำเงินพวยพุ่งออกมาเผาไหม้ชุดซาพารีสีฟ้า ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดกิโมโนเลอค่าที่ดูคุ้นตา พร้อมกับพวงหางสีเดียวกับเรือนผมทั้งเก้าโบกสะบัดไปมาอย่างอิสระ ฉันมองภาพนั้นด้วยความตื่นตะลึง

                    คุณพระคุณเจ้า... นี่มันจิ้งจอกเก้าหาง!

                    ภาพที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้าชวนให้นึกถึงภาพฝัน นัยน์ตาสีอำพัน คิ้วเรียวยาว จมูกเป็นสันกับริมฝีปากได้รูปนั้น เป็นสิ่งเดียวกันกับที่ฉันได้เห็น

                    ทว่านี่ไม่ใช่ความฝัน ...แต่มันคือความจริง!

                    “ตกใจอะไรฮารุกะ เจ้ายังไม่ชินกับข้าอีกหรือ”

                    ไม่! ไม่ชิน! และไม่มีวันชินเป็นอันขาด!

                    ฉันถอยกรูดข้างอย่างอัตโนมัติ ความตกใจที่ฉาบบนใบหน้าฉันนั้นคงดูน่าขบขัน เพราะงั้นปีศาจถึงได้คลี่ยิ้ม

    “เอาเถอะ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะทำความคุ้นเคยกับข้าได้ในไม่ช้า ทว่า...ก่อนหน้านั้น ข้าคงต้องจัดการไอ้เครื่องรางเจ้าปัญหานั่นเสียก่อน”

                    เครื่องรางที่ฉันห้อยคอไว้ลอยโผล่พ้นคอเสื้อขึ้นมาสิ้นคำนั้น แล้วจู่ๆ เปลวไฟสีน้ำเงินก็จุดติดตรงมุมขวาของเครื่องรางและเริ่มแผดเผา!

                    ไม่ๆๆๆ

        อย่าเผามันเชียวนะ!

                    ฉันวิ่งกลับเข้าไปในครัวอย่างไม่คิดกลัวปีศาจที่ยืนอยู่หัวโด่ตรงนั้น เพราะนาทีนี้เครื่องรางสำคัญกว่า ฉันรีบถอดเครื่องรางออกจากคอเมื่อเห็นว่ามุมขวาของเครื่องรางเริ่มไหม้ แล้วใช้จุกยางปิดทางระบายน้ำ เปิดน้ำใส่อ่างล้างจานไว้ จากนั้นก็จุ่มเครื่องรางลงไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเปลวไฟจะดับมอด ทว่าผลลัพธ์กลับไม่ออกมาอย่างที่หวังไว้ น้ำกว่าครึ่งอ่างไม่ส่งผลอะไรกับเปลวไฟสีเงินทั้งนั้น มันยังคงแผดเผาไปเรื่อยๆ ฉันเปิดน้ำแรงขึ้น แถมยังใช้มือช่วยตบๆๆ ดับไฟ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไร

    ...สุดท้ายเครื่องรางก็มอดไหม้และกลายเป็นแค่เศษธุลี

                    บรรยากาศรอบกายเย็นเฉียบ ...ความเงียบงันจุดความหวาดหวั่นในกายฉันให้พุ่งพล่าน แข่งกับชีพจรที่ตอนนี้เต้นถี่จนแทบระเบิด จิ้งจอกสาวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆ ในขณะที่ฉันก้าวถอยหลังอย่างยากลำบาก แข้งขาชาไปหมด ความกลัวที่แล่นปราดขึ้นทำให้ฉันหายใจไม่ออก และน้ำเสียงของฉันก็สั่นเครือ เมื่อแผ่นหลังชิดกับกำแพงอย่างไร้หนทางหนี

                    “อย่าเข้ามานะ”

    “ใจเย็นก่อน สาวน้อยของข้า”

    “ไม่! อย่านะ!” มือหนาของจิ้งจอกยื่นมา แต่ฉันก็ปัดออกไปก่อนที่มันจะได้แตะต้องส่วนไหนร่างกาย เรายื้อยุดกันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ฉันจะหมดทางสู้เพราะถูกมือหนาคว้าแขนไว้ทั้งสองข้าง

    “เพราะเหตุใด เจ้าจึงหวาดกลัวข้า...” มืออันสั่นเทาของฉันฉันถูกดึงไปสัมผัสกับผิวหน้าเรียบเนียน นัยน์ตาสีอำพันมองฉันอย่างหาคำตอบ

     ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

    “นายเป็นปีศาจ ...แค่นั้นก็พอแล้วที่ฉันจะเกลียดและกลัวนาย”

    “อย่างนั้นรึ”

    “...”

    “มองข้าสิฮารุกะ ...มองให้ดีอีกครั้งแล้วค่อยตัดสินว่าข้าน่ากลัวอย่างที่เจ้าว่าไว้หรือไม่” น้ำเสียงโทนต่ำกับถ้อยคำนั้นคือเวทมนต์ที่ทำให้ฉันไม่อาจขัดขืน...

    ...กลิ่นกายหอมนุ่มรวยรินอยู่ในอากาศ ปีศาจโน้มใบหน้าลงมาใกล้เสียจนฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าว เรียวหูยาวถูกเก็บไปแล้ว และเดาว่าพวงหางทั้งเก้าก็เช่นกัน สิ่งที่ฉันเห็นตรงหน้านั้น...มีเพียงแค่ใบหน้าที่จัดว่ามีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ฉันเห็นเงาสะท้อนของใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอยู่บนนั้น ในขณะที่นัยน์ตาสีอำพันกับกรอบตาเรียวยาวมองฉันด้วยแววตาสื่อความหมายว่าไม่ได้คิดร้ายใดๆ

     ทั้งๆ ที่กลัวแทบตาย แต่ฉันก็ไม่อาจละสายตา

                  “เห็นไหมว่าข้าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิด”

                  “...ฉันไม่ได้พูดถึงรูปลักษณ์ภายนอก”

                  “แล้ว...อะไรกันเล่าที่ทำให้เจ้าเกลียดและกลัวข้า”

                    คำถามนี้เองที่ทำให้ฉันคิดหนัก จริงอยู่ที่ฉันเจอปีศาจมาเป็นร้อย วิ่งหนีมาเป็นพัน แต่ในจำนวนนั้นไม่มีตนไหนเลยที่ปฏิบัติกับฉันเหมือนอย่างเขา

                    “นายต้องการอะไร” ฉันตัดสินใจอ้าปากถามในตอนที่ความกลัวลดไปกว่าครึ่ง แต่ความตกตะลึงและตื่นตระหนกยังคงมีอยู่

                    ปีศาจไม่ตอบในทีแรก แต่กลับผุดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก นัยน์ตาสีอำพันจับจ้องมาที่ฉันขณะริมฝีปากได้รูปเอ่ยถ้อยคำที่ฉันไม่นึกฝันว่าจะได้ยินจากปากของปีศาจ

                    “พื้นที่ข้างกายเจ้า...ข้าขอได้หรือไม่?”




    ----------------------------------------------------------------------------------------
    กำลังลังเลอยู่ว่าควรจะตัดจบแล้วเริ่มตอนใหม่ดีหรือเปล่า ในความรู้สึกคือมันยาวเกิ๊นนน (มโนไปเอง)
    เมื่อกี้เห็นว่ามีแฟนคลับเพิ่มขึ้นเป็น 3 คนแล้ว
    ขอบคุณมากๆ นะคะ บาฮันนี่อาจป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง...
    แต่ขอขอบคุณจากใจเลยค่ะ
     

    ลงครบร้อยแล้ววววววว 
    แถมยังมีคนแอดแฟนเพิ่มอีกหนึ่ง เย่ะ!
    ขอบคุณทุกๆ คนที่แอดนะคะ กรี้ดลั่นบ้านเลยเชียว
    หากมีข้อเสนอ/ติชมอะไรก็บอกกันได้น้า
    ช่วงนี้บาฮันนี่เป็น M อยู่แล้วว //กรี้สสสสสสสสสสสสส 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×