ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 [100%] Rewritten

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 57


     


     
     




     
    บทที่ 9

     
     

    วันอาทิตย์...

    อะไรเล่าจะทรมานเท่าการเรียนในวันอาทิตย์ วันที่แม้แต่เพราะเยซูคริสต์ยังหยุดพักผ่อน  

    “ยุคเมจิเริ่มขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1868 โดยจักรพรรดิเมจิได้ยึดอำนาจการปกครองจากโชกุน...” ท่ามกลางความเงียบสงบของห้องสมุด มีเพียงเสียงนุ่มทุ้มของรินเท่านั้น และมันไม่ต่างอะไรไปจากเพลงกล่อมเด็ก

    วันอาทิตย์ที่ฉันควรจะได้นอนตื่นสาย กลับกลายเป็นว่าต้องแหกขี้ตาตื่นมาเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า ถึงจะเป็นการเรียนชดเชยก็ไม่มีการอ่อนข้อใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าจิ้งจอกนั่นเอาจริงกับการเป็นอาจารย์น่าดู

    “จากนั้นทรงย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตมาที่เอโดะ แล้วเปลี่ยนชื่อจากเอโดะเป็นโตเกียว องค์จักรพรรดิทรงปฏิรูปญี่ปุ่นในทุกด้านๆ โดยเริ่มจากเปลี่ยนระบอบการปกครองในสมัยนั้นเป็นระบอบประชาธิปไตย...”

    โอย...ง่วง

    “ประกาศยกเลิกการครอบครองที่ดินระบอบศักดินา และแบ่งที่ดินนั้นแจกจ่ายแก่ชาวนาชาวไร่ ทรงสร้างระบบการคมนาคมและการขนส่ง ปรับปรุงระบบไปรษณีย์ การเงิน และการธนาคาร....”

    หาววววววว...

    “และทรงประกาศยกเลิกสิทธิพิเศษของซามูไร โดยยึดหลักการปกครองที่ให้ประชาชนทุกคนมีฐานะเท่าเทียมกัน... นี่ ฟังอยู่หรือเปล่า”

    ก๊อก!

    อาจารย์ปีศาจใช้สันหนังสือเคาะหน้าผากเรียกให้ฉันตื่น แต่ต่อให้มียูยะคุงในชุดจักรพรรดิเมจิอะไรนั่นอยู่ตรงหน้า ฉันก็ไม่สนแล้วนาทีนี้

    ฉันพยายามลืมตาขึ้นแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะยังไม่ฟื้นคืนชีพหลังจากที่เมื่อวานเล่นเจ็ท โคสเตอร์ไปห้ารอบ ต่อด้วยฟลายอิ้ง ทาวเวอร์อีกสาม ยังไม่นับเครื่องเล่นหวาดเสียวอื่นๆ ที่อายุลากฉันขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังไปร้องคาราโอเกะกันต่อจนดึก

    เรียกได้ว่าแทบลากสังขารกลับบ้านกันไม่ไหว

    แม้จะไม่ได้ส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจแบบที่อาจารย์คนอื่นๆ ที่เคยสอนฉัน แต่ตาปรือๆ ของฉันก็เห็นล่ะว่าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามแอบพ่นลมหายใจอย่างมีมาด เป็นไงล่ะ รู้ซึ้งหรือยังว่าการเป็นอาจารย์ที่ต้องรับมือกับนักเรียนหัวตื้อเฉพาะด้านแถมยังง่วงนอนสุดๆ อย่างฉันมันลำบากขนาดไหน

    เอาล่ะ ต้องชี้แจงก่อนว่านี่ไม่ใช่นิสัยปกติของฉัน ถ้าเป็นวันที่ต้องไปโรงเรียนฉันออกจะเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและมีความรับผิดชอบสูง แต่คุณรู้ไหม? ชีวิตคนมันก็เหมือนโทรศัพท์มือถือ แบตเตอร์รี่ของฉันจะเต็มเปี่ยมในเช้าวันจันทร์ จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยในๆ ในวันต่อไปจนกว่าจะถึงวันหยุด แล้วดูสิว่าสองวันก่อนฉันผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งดงปีศาจและสวนสนุกต่างก็สูบพลังงานชีวิตฉันจนเกลี้ยง วันนี้ก็เลยเดี้ยงอย่างที่เห็น

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...ที่ฉันต้องมานั่งสัปหงกอยู่นี่ก็เพราะทำตัวเองนั่นแหละนะ

    ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้โดดเรียนเองล่ะยัยฮารุกะ

    “กรุณาตื่นด้วยครับซากุระซากะซัง...” รินเปรยขึ้นด้วยเสียงที่เขาใช้สยบเหล่านักเรียน (หญิง) ทั้งหลาย “ไม่อย่างนั้นผมต้องขออนุญาตปลุกคุณนะ”

    ถ้าคิดว่าพูดแค่นั้นแล้วฉันจะสร่างได้ล่ะก็ คงไม่มีนักเรียนคนไหนถูกลงโทษเพราะหลับในห้องแล้วล่ะ

    “ซากุระซากะซัง...”

    “...”

    “ซากุระซากะซัง...”

    “...”

    “ซากุระซากะ...ซัง”

    !!!

    โป้ก!
                    “โอ๊ยย!!

                    ฉันกำลังเคลิ้มหลับ แล้วจู่ๆ ขนทั้งร่างก็ต้องลุกชันเพราะเสียงแหบพร่าที่กระซิบข้างหู ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ที่โน้มเข้ามาใกล้ กับลมหายใจร้อนๆ ที่เป่ารดลงมาทำให้ฉันสะดุ้งสุดโหยงจนเข่ากระแทกโต๊ะเสียงดังลั่น ความเจ็บปวดที่เล่นปลาบไปตามขาฉันตอนนี้ข่มความง่วงซะหงอไปเลย

                    “ทำบ้าอะไรของนายฮะ!

                    “ปลุกเจ้าไง” รินยิ้มร่า และมันน่าโมโหสุดๆ “ก็เรียกให้ตื่นเอง เจ้าก็ไม่ตื่นนี่”

                    “แล้วไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือไง” ฉันค้อนใส่เขา มือก็ลูบหัวเข่าที่เริ่มขึ้นสีแดงป้อยๆ เจ็บชะมัด เข่าฉันจะช้ำมั้ยเนี่ย

                    “เจ็บมากรึ”

                    “ลองให้ฉันจับเข่านายกระแทกโต๊ะดูบ้างไหมล่ะ”

                    “ฮารุกะใจร้าย” จิ้งจอกในชุดสูทสากลที่ดูจะมากเกินไปสำหรับคนเป็นครูกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะมาทางฉัน

    ตั้งแต่คืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าระยะห่างระหว่างเราจะหดสั้นลงนิดหน่อย สิ่งหนึ่งที่ฉันเรียนรู้ได้คือเขาไว้ใจได้ จะว่าไปเขาก็ไม่ใช่ปีศาจที่ชั่วร้าย แถมยังทำอาหารอร่อยอย่างที่คุณยายชอบพูดอยู่บ่อยๆ ว่าคนทำอาหารอร่อยไม่ใช่คนไม่ดี และตอนนี้ฉันก็เริ่มพูดกับเขาดีๆ บ้างแล้ว

    “ขอข้าดูหน่อยสิ”  รินจับขาฉันอย่างเบามือราวกับกลัวว่ามันจะหัก เขานิ่งมองมันสักพักอย่างพินิจพิจารณา แล้วฉันก็ปฏิเสธไม่ออกว่าใบหน้าตอนครุ่นคิดของเขานั้นดูดีมาก เครื่องหน้าสุดเป๊ะนั่นทำให้ฉันนึกอิจฉาและไม่อาจละสายตาไปได้เลยถ้าเขาไม่เอ่ยขึ้นมาว่า...

                    “ทำแบบนี้...ก็หายแล้ว” สิ้นเสียง ริมฝีปากนุ่มนิ่มและสัมผัสร้อนๆ ก็จรดจุมพิตลงบนเข่าฉัน

                    ใบหน้าฉันร้อนเห่อขึ้นมาในวินาทีนั้น สมองสั่งการให้ฉันรีบชักขากลับแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อมือหนาของรินยึดไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งยังกดริมฝีปากให้แนบสนิทยิ่งขึ้น แล้วก็...อย่างกับว่าความร้อนจากเขาส่งผ่านมาถึงหัวใจฉัน เพราะงั้นมันถึงได้เต้นระรัวอยู่ในอก

                    นี่มัน...อะไรกัน

                    “เสร็จแล้ว”

                    “ฉะ...ฉันจะไปห้องน้ำ”

     

    ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลจากห้องสมุดนัก ใช้เวลาวิ่งมาไม่นานก็มาถึง ฉันจัดการปิดประตูห้องน้ำก่อนจะนั่งลงตรงนั้นเพื่อสงบใจ โอย...หัวใจฉันเต้นเร็วเกินไปแล้ว

    ฉันยกมือขึ้นลูบใบหน้าร้อนๆ ของตัวเอง แล้วจึงหายใจเข้าลึกๆ อย่างหนึ่งที่ฉันลืมไปคือถึงแม้ว่าเขาจะไว้ใจได้ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ไอ้เจ้าจิ้งจอกบ้านั่นมือไวชะมัด แม้ว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา แต่ว่า...ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือไงนะ!?

    ฉันลุกขึ้นยืนเมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างในร่างกายกลับมาทำงานอย่างปกติ ก่อนจะสังเกตเห็นว่ารอยแดงซึ่งเกิดการกระแทกได้หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะว่าไปแล้วมนต์ป้องกันที่เขาประทับให้ฉันก็ใช้ได้ผลชะงัก แม้ว่าเมื่อเย็นวานนี้ฉันจะยังได้กลิ่นเครื่องหอมแห่งโลกภูตสอดแทรกในสายลมอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลใดๆ กับฉัน แล้วทั้งๆ ที่หลังมือของฉันเต็มไปด้วยอักษรตัวอ่อนยุ่งจนแดงเถือก ทว่าก็ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีเลยสักคน...

    พลังของปีศาจช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ

    เมื่อวานนี้ ความสงสัยในตัวตนของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางสั่งให้ฉันแอบย่องออกจากคาราโอเกะไปห้องสมุดประจำเมืองที่อยู่ห่างจากย่านการค้าของเมืองไปสามป้ายรถบัสเพื่อหาหนังสือ คัมภีร์ พงสาวดาร หรืออะไรก็ตามที่สามารถให้ข้อมูลที่ฉันต้องการได้ แล้วฉันก็เจอสารานุกรมเก่าๆ ซึ่งรวบรวมข้อมูลของปีศาจสายพันธุ์ต่างๆ ไว้

                    ว่ากันว่าจิ้งจอกเก้าหางนั้นถือกำเนิดจากปีศาจจิ้งจอกที่บำเพ็ญตบะจนแก่กล้า เมื่ออายุครบหนึ่งร้อยปีจะมีหางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหาง เมื่อมีครบเก้าหางจะมีพลังเวทมหาศาลและชาญฉลาดอย่างยิ่ง และยังสามารถล่วงรู้จิตใจของมนุษย์ที่ได้สัมผัส โดยธรรมชาติของปีศาจจิ้งจอกชอบแปลงกายเป็นมนุษย์ และมักมีความต้องการหรือความรู้สึกต่างๆ คล้ายคลึงกับมนุษย์ ทั้งที่ชอบกินของอร่อย (โดยเฉพาะเต้าหู้ทอด) ชอบการสัมผัสร่างกายรวมไปถึง...เอ่อ...เรื่องใต้สะดือ นอกจากนี้ปีศาจจิ้งจอกยังสามารถสืบพันธุ์ร่วมกับมนุษย์ และมีความเป็นไปได้ว่าทายาทของปีศาจจิ้งจอกอาจได้รับสืบทอดพลังเวทหรือเอกลักษณ์ของปีศาจจิ้งจอกมาด้วย

                    เจ้าอาจารย์กำมะลอนั่นมีตั้งเก้าหาง...ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาผ่านร้อนผ่านหนาวบนโลกใบนี้มากี่ปีแล้ว

                    เมื่อทำใจได้แล้วฉันก็ออกมาจากห้องน้ำ และเตรียมกลับไปเรียนต่อ โถงทางเดินของอาคารในวันอาทิตย์แบบนี้ช่างเงียบสงัด หากเป็นเมื่อก่อน...ตอนที่ยังอยู่โตเกียว คนคงไม่กล้าเดินคนเดียวในโรงเรียน ต่อให้เป็นตอนกลางวันก็ตาม

    อย่างหนึ่งที่ฉันเข้าใจผิดคือไม่ใช่ว่าเมืองนี้ไม่มีปีศาจ ถ้าเทียบจากฝูงภูตผีที่จู่โจมฉันในคืนวันศุกร์นั้น ที่นี่ออกจะปีศาจชุกชุมกว่าโตเกียวเป็นไหนๆ ตามที่สารานุกรมได้บอกไว้ว่าเมืองนี้แบ่งแยกดินแดนออกจากกันเพื่อง่ายต่อการปกครอง มนุษย์ย่อมถูกปกครองโดยมนุษย์ ส่วนปีศาจย่อมถูกปกครองโดยจ้าวอสูร เมื่อทั้งสองดินแดนถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ปัญหาต่างๆ ที่มีแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจึงหมดไป

                    รวมทั้งเรื่องราวของเหล่าปีศาจที่ตอนนี้กลายเป็นแค่เรื่องเล่าขานในวันวานซึ่งน้อยคนนักจะรู้

                    “ฮา~รู๊~กะ!

                    บรรยากาศที่เงียบสงบและปนสยองของโรงเรียนในวันอาทิตย์พลันคึกคักขึ้นมาทันทีเมื่อโรงฝึกซึ่งอยู่ถัดไปจากอาคารเรียนส่งเสียงเชียร์กันดังลั่น แม้จะอยู่นอกอาคาร แต่เมื่อสังเกตเห็นฉัน มาเอดะ โคในชุดยูโดก็ร้องทัก ทั้งยังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง

                    “มาทำอะไรล่ะวันนี้” เขาถามด้วยความสนใจขณะปักหลักเกาะที่ขอบหน้าต่าง

                    “เรียนเสริม”

                    “วันอาทิตย์เนี่ยนะ”

                    “อื้อ ฉันโดดไปสองครั้งน่ะ”

                    “หา?”  กัปตันชมรมยูโดเหวี่ยงเสียงขึ้นสูงอย่างไม่เชื่อหู “เด็กห้องคิงอย่างเธอเนี่ยนะโดดเรียน”

                    “แล้วก็เด็กห้องคิงอย่างฉันเนี่ยล่ะที่สอบวิชาประวัติศาสตร์ได้คะแนนน้อยที่สุดในชั้นปี ฮ่ะๆ” ฉันได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อนความผิด ที่จริงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้จับพลัดจับพลูมาอยู่ห้องหนึ่งได้ ทั้งๆ ที่ตอนอยู่โตเกียวฉันก็อยู่ห้องกลางๆ อย่างห้องสาม-ห้องสี่มาตลอด

                    นี่แหละหนาความเหลื่อมล้ำของระบบการศึกษา

                    “เหลือเชื่อนะเธอเนี่ย” กัปตันชมรมยูโดหัวเราะ

                    ฉันแอบเห็นเม็ดเหงื่อที่ผุดตามร่างกายเขา และเดาว่าเขาเพิ่งไปฟัดกับใครสักคนในชมรมมาแน่ๆ จากเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย สาบเสื้อที่น่าจะถูกคู่ต่อสู้ฉุดดึงเผยให้เห็นกล้ามเนื้ออกล่ำบึกซึ่งทำให้เขาดูเป็น ผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาทันที ฉันรู้ล่ะว่าร่างกายของเด็กผู้ชายมักจะเจริญเติบโตในช่วงอายุ 14-16 ปี แต่อีตาคนนี้ก้าวหน้ากว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันไปสามล้านปีแสงเห็นจะได้

                    ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ฉันแอบจ้องหน้าอกเขา ว่าแล้วก็อายแฮะ ...ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นแผ่นอกผู้ชายหรอกนะ ฉันน่ะแอบอ่านิตยสารแฟชั่นผู้ชายในอินเตอร์เน็ตอยู่บ่อยไป แต่ยังไง ของสดก็เด็ดกว่าอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ

                    “ฮารุกะ” จู่ๆ โคก็เรียกฉันด้วยโทนเสียงที่ต่ำลง เขายกแขนที่เท้ากับขอบหน้าต่างขึ้นแล้วเกาท้ายทอยแกรกๆ “เย็นนี้ว่างไหม”

                    “คงว่างมั้ง” ถ้าฉันไม่สลบซะก่อนน่ะนะ “ทำไมเหรอ”

                    “มาบ้านฉัน...มั้ย”

                    “หา!?” คราวนี้เป็นฉันที่โพล่งขึ้นกลางปล้อง บะ...บ้ารึเปล่านะอีตาคนนี้ อยู่ดีๆ จะชวนฉันไปที่บ้าน เพราะอย่างที่วัยรุ่นทั่วไปรู้กันว่าหากเพศตรงข้ามชวนไปบ้านนั้น...หมายความว่าเขาชวนไปทำเรื่องใต้สะดือน่ะสิ!

                    “มะ...ไม่ใช่! ไม่ใช่แบบนั้น” หนุ่มฮอตปฏิเสธเป็นพัลวัน “แม่บอกให้ชวนเธอไปกินข้าวเย็นที่บ้านน่ะ”

                    ฮู้ววว...ค่อยยังชั่ว

                    “ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ ฉันจะบอกแม่ให้”

                    “ไม่หรอก ว่างสิ กี่โมงล่ะ”

                    ถ้อยคำของฉันสร้างร้อยยิ้มบนใบหน้าของเขา “ประมาณห้าโมงเย็นดีไหม เดี๋ยวฉันไปรับ”

                    “ไม่ต้องก็...”

                    “แค่ก แค่ก”

                    ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจนจบประโยค เสียงไอค่อกแค่กก็ดังขึ้นขัด และเมื่อหันไปมองหาที่มาก็พบว่าเงาของอาจารย์กำมะลอหลบอยู่ตรงมุมตึก

                    นี่ฉันออกมานานถึงขนาดต้องตามเลยเหรอ?

                    “ฉันต้องกลับไปเรียนแล้วล่ะ”

                    “อื้อ...แล้วฉันจะไปรับนะ”

                ฉันโบกมือให้โคก่อนจะผละออกจากตรงนั้น โดยไม่ทันได้รู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าต่างขั้วที่แล่นเข้าปะทะกันและเค้าลางของความวุ่นวายที่กำลังย่างกร่ายเข้ามา

                   

                    อากาศในห้องสมุดดิ่งสู่จุดเยือกแข็งเมื่อกระดาษปึกหนึ่งยื่นมาตรงหน้าฉัน...

                    “นี่อะไร” ฉันถาม

                    “บฝห.” จิ้งจอกด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “คำถามทั้งหมดนั่นข้าหยิบมาจากเนื้อหาที่เจ้าได้เรียนไปแล้ว หากทำได้ก็ไม่จำเป็นต้องเรียนเสริมอีกต่อไป”

                    ฉันลากสายตาไปตามกระดาษแบบฝึกหัด ยี่สิบคำถามกับการตอบแบบอัตนัย (เขียนตอบ) ไม่มีตัวเลือกใดๆ ทั้งสิ้น “แต่ดูจากคำถามแล้วนายอยากให้ฉันเรียนเสริมตลอดไปมากกว่านะ”

                    “หากได้อยู่กับเจ้าแบบนี้ตลอดไปก็ถือว่าน่ายินดี...”

                    มีใครคิดเหมือนกันบ้างว่าฉันกำลังถูกกลั่นแกล้ง

                    รินไม่ฟังคำทักท้วงของฉัน เขาหยิบกระดาษที่น่าจะเป็นแบบฝึกหัดวิชาภาษาญี่ปุ่นขึ้นมาตรวจ จริงสิ เขาสอนวิชาภาษาญี่ปุ่นด้วยนี่นา ฉันลืมไปเลยนะเนี่ย

                    “ไม่เหนื่อยเหรอ สอนควบตั้งสองวิชา”

                    “ถึงจะชวนคุยแต่ผมก็ไม่หยวนให้หรอกนะครับ ซากุระซากะซัง” จิ้งจอกตัดบทอย่างรู้ทัน

                    ชิ!

                    แผนเจรจาต่อรองล่มไม่เป็นท่า ฉันจึงได้แต่ก้มหน้าซุกน้ำตากับแบบฝึกหัด คำถามอะไรเนี่ยยากชะมัด วัฒนธรรมเก็นโรคุอยู่ในสมัยไหน? ยุคโชวะสิ้นสุดเมื่อไหร่? แล้วใครคือผู้ค้นพบเชื้อซิฟิลิส?  ซึ่งข้อหลังนี้ฉันรู้...รู้ว่าซิฟิลิสคืออะไร มีลักษณะอาการแบบไหน ติดต่อได้อย่างไร รู้ด้วยว่าว่าผู้ค้นพบนั้นอยู่ด้านหลังของธนบัตรใบละหนึ่งพันเยน แต่...ฉันไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร!!

                    โอ๊ยยย...นี่กะฆ่าฉันด้วยประวัติศาสตร์หรือไงเนี่ย!

                    ฉันทึ้งหัวอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่คนซึ่งกำลังอินกับบทอาจารย์ไม่ได้สนใจกับความเดือดร้อนของนักเรียนคนนี้สักนิด รินกำลังคร่ำเคร่งกับการตรวจแบบฝึกหัดภาษาญี่ปุ่น เขาขมวดคิ้ว แล้วก็นิ่วหน้าอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในความคิดฉันมันน่าดูไม่น้อยเลยทีเดียว

                    เออ...แล้วนี่ฉันจะเอาแต่จ้องหน้าเขาทำไม งานการน่ะทำเข้าไปสิ ทำเข้าไป!

                    ฉันบังคับตัวเองให้ก้มหน้าก้มตาทำแบบฝึกหัดอีกครั้ง แต่ไม่ว่ายังไงก็เขียนคำตอบไม่ออก เพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความจำ ไม่เหมือนคณิตศาสตร์ที่มีคำตอบซ่อนอยู่ในสูตร และเมื่อจำไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเค้นคำตอบ ความจนปัญญาสั่งให้ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง จากตรงนี้ฉันเห็นภูเขาหลังโรงเรียนทั้งลูกกับผืนป่าซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใบโกร๋น

    นั่นน่ะเหรอป่านาสึนะที่ฉันหลงเข้าไป...ช่างกว้างใหญ่และน่ากลัวสมกับเป็นดินแดนของปีศาจจริงๆ

                    ฉันเหม่อมองออกไปข้างนอกอยู่นาน แล้วเมื่อสอดส่องสายตาจนไม่มีอะไรให้มองก็ต้องกลับมาจ้องหน้ารินอีกครั้ง แล้วฉันก็ต้องสับสน ที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันน่ะ...ใช่ปีศาจจริงๆ น่ะเหรอ ใช่คนที่ดำรงอยู่ข้ามยุคสมัยมาเป็นพันๆ ปีจริงรึเปล่า แล้วถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นปีศาจ ...ฉันจะกรี้ดเขาอย่างที่สาวๆ กรี้ดกันไหมนะ

                    “นี่...” ฉันเอ่ยเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษพวกนั้น “นายอายุเท่าไหร่น่ะ”

                    “ทำไมจู่ๆ ถึงถามล่ะ” ความสงสัยฉายชัดในนัยน์ตาสีอำพันคู่นั้น “มีอะไรรึ”

                    “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากรู้”

                    นอกเหนือจากข้อมูลที่ว่าเขาคือปีศาจที่บุกรุกบ้านคนในยามวิกาล มีพลังอำนาจร้ายกาจ และพาลทำชีวิตฉันปั่นป่วนด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นอย่าง ด้ายแดงหรือ โชคชะตาอะไรเทือกนั้นแล้ว ฉันไม่รู้รายละเอียดอื่นๆ ของเขาเลยสักนิด

                    อ้อ! ไม่ใช่ว่าฉันเกิดสนใจเขาขึ้นมาหรอกนะ ก็แค่อยากรู้ไว้ประดับสมองน่ะ ไหนๆ ก็เป็นปีศาจตนแรกที่ฉันเปิดใจยอมรับแล้วนี่

                    “กระแสชีวิตของปีศาจนั้นเนิ่นนานกว่าของมนุษย์นัก” เขาบอกพลางกลับไปวุ่นวายกับกระดาษปึกหนานั่นอีกครั้ง “นานเสียจนข้าเลิกคำนึงถึงเรื่องนั้นไปนานแล้วล่ะ”

                    “แต่ฉันได้ยินนะ ตอนที่คุยกับมุราคามิ นายบอกว่าตัวเองแก่แล้ว”

    “อา...ข้ามีตั้งเก้าหางแล้วนี่นะ”

    “แล้วที่ว่าใกล้จะตายน่ะจริงเหรอ?”

    จิ้งจอกเงียบไปสักพักก่อนจะตอบกลับ “ไม่มีใครในโลกนี้รู้วันตาย”

    “...”

    “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะดับสูญลงเมื่อไหร่ จะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ ไม่อาจรู้ได้”

    “...”

    “หากแต่นั่นไม่สำคัญเท่าการได้อยู่ข้างๆ เจ้าทุกวัน ...ฮารุกะของข้า”

    นัยน์ตารินสะท้อนเงาของฉัน และเมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจในน้ำเสียง หัวใจก็พลันเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เอาอีกแล้ว...เป็นแบบนี้อีกแล้ว...

                    ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการข่มใจให้กลับมาเต้นตามปกติ เจ้าจิ้งจอกนี่เสกมนต์ใส่ฉันหรือยังไง ทำไมฉันถึงได้หวั่นไหวหัวใจสั่น แล้วดูสถานการณ์ตอนนี้สิ...ไร้ความเหมาะสมสิ้นดี อีตานี่ลืมหรือเปล่านะว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในฐานะอาจารย์

                    “เหตุเพราะเจ้าน่ารักเกินไป จึงไม่แปลกอะไรหากข้าจะเผลอใจบ่อยๆ” ราวกับล่วงรู้ความคิดฉัน รินตอบด้วยรอยยิ้มสดใสไร้ยางอาย

                    แต่กลับเป็นฉันที่ต้องอายแทน

                    ความเขินอายสั่งให้ฉันเบือนหน้าหนี แบบฝึกหัดที่เต็มไปด้วยคำถามยากๆ ในตอนนี้ช่วยให้ฉันสงบลงได้เป็นอย่างดี รู้สึกชอบประวัติศาสตร์ขึ้นมาทันทีเลยล่ะ

                    “นี่ ฮารุกะ”

                    ในตอนที่ฉันกำลังหายใจสะดวก จิ้งจอกก็เรียกให้หายใจสะดุด

                    “อื้ม...” ฉันมีปัญญาตอบได้แค่นี้จริงๆ

    “เจ้าว่าอากาศเย็นเยียบเช่นวันนี้กับหม้อไฟปูจะเข้ากันดีหรือไม่”

    ดูเหมือนว่าคำถามแนวๆ เย็นนี้อยากกินอะไรหรือนั่นดีมั้ย และ นี่ดีไหมไม่ก็มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษหรือเปล่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉันไปแล้วล่ะ

    “ก็ดีนะ แต่ว่า...” ประโยคของฉันขาดห่วงไปเมื่อความลังเลเข้าแทรก ทั้งๆ ที่การพูดนั้นง่ายแสนง่าย แต่ทำไมตอนนี้มันกลับยากเย็นนัก ...แค่จะบอกว่าวันนี้จะไม่ทานกับข้าวฝีมือเขา ฉันต้องรวบรวมความกล้าอยู่นานทีเดียว “เย็นนี้ฉันมีนัดแล้วล่ะ”

    “...”

    “กับบ้านมาเอดะน่ะ คุณป้ามาซากิชวนไปทานข้าวเย็น”

    “อย่างนั้นรึ” รินตอบมาสั้นๆ “ขอให้สนุกนะ ฮารุกะ”
                    ณ ตอนนั้นฉันไม่รู้หรอกว่าความวินาศสันตะโรได้เริ่มขึ้นแล้ว


    ------------------------------------------------------------
    18.05.14
    เสิร์ฟนิยายเผาเสร็จใหม่อีกแล้วววว
    เฟบก็เพิ่มอีกแล้วววว ดีใจๆๆๆ //กราบงามๆ 3 ทีเลยค่ะ
    ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอขอบคุณทุกคนที่ยังตามอ่านกันนะคะ
    คืนนี้ก็ไม่มีรักมาก แค่อยากบอกว่ารักจริงๆ รีดเดอร์เนี่ย จุ้บ

    19.05.14 
    โอยยยย เข็นจนจบบทจนได้
    ช่วงนี้ถ้าบาฮันนี่หายไปไม่ต้องตกใจนะคะ คือนางติสต์แตกค่ะ
    อยู่ๆ อารมณ์เขียนนิยายก็หายไปไรงี้ เคยเป็นกันมั้ย?
    ส่วนตอนต่อไป สปอยล์ได้แค่รถไฟชนกันค่ะ!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×