ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 [100%] Rewritten

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 57
















    บทที่ 7

     

     

     

                    กลิ่นหอมอวบอวลแทรกกายอยู่ทุกอณูอากาศ ร่างกายเบาหวิวราวกับถูกตัดขาดจากสิ่งอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงอยู่ในมิติอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูด ทุกประสาทสัมผัสด้านชา และมีแค่ต่อมรับกลิ่นเท่านั้นที่ยังทำงานอยู่ สมองฉันยังใช้การได้ แต่แค่ไม่อยากคิดอะไร ...ทุกอย่างขาวโพลน

                    หอมจัง...หอมกลิ่นดอกไม้ กลิ่นดอกอะไร ลอยมาจากที่ไหน ทำไมถึงได้หอมแบบนี้นะ

                    “นั่นมนุษย์ ...ลูกมนุษย์!

                    “ลูกมนุษย์! มีลูกมนุษย์ผู้หญิงหลงเข้ามาในป่าของเรา!

                    เสียงแซงแซ่แทรกเข้ามาในโสตประสาท แต่ฉันไม่สนใจ ไม่ใคร่รู้ด้วยว่าเป็นเสียงเหล่านั้นเป็นของใคร มาจากไหน และปลดปล่อยให้ทั้งกายและใจล่องลอยไปกับห้วงความหอมไม่มีที่สิ้นสุด...

                    ...มันผ่อนคลายเสียจนฉันอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป

                    แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตร เมื่อจู่ๆ สัมผัสเยียบเย็นได้กระชากฉันออกมาจากห้วงแห่งความหอม กลับสู่โลกแห่งความจริง ...ความจริงที่เท้าฉันยืนอยู่บนพื้นหญ้า ผิวกายฉัน...สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบราวกับจะเสียดแทงถึงกระดูก หูฉัน...ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของคนนับสิบหรือไม่ก็นับร้อยอยู่รอบกาย ตาฉัน...มองเห็นความมืดมิดของผืนป่าใหญ่ และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันเห็น...ปีศาจฝูงใหญ่ที่เร้นกายอยู่ในเงามืด!

                    นี่มันเรื่องบ้าอะไร ทำไมฉันถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้!?!

                    “นั่นนางมองเห็นพวกเราหรือเปล่า?”

                    “นางมองเห็นพวกเราจริงๆ ใช่ไหม?”

                    “ฮิฮิ...ดูไหล่นางสิ สั่นไหวใหญ่เชียว กำลังกลัวอยู่หรือเปล่านะ?”

                    เสียงกระซิบเมื่อครู่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จิตมุ่งร้ายที่ค่อยๆ แผ่ขยายจนทั่วอาณาบริเวณกระตุกความกลัวจากก้นบึ้งในหัวใจให้ครอบงำฉัน แล้วเมื่อเมฆบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเคลื่อนผ่านเงาจันทร์ เข่าฉันก็อ่อนยวบลงกับพื้นอย่างไร้เรียวแรงยืน เมื่อมองเห็นเหล่าปีศาจร้ายทั้งน้อยและใหญ่แสยะยิ้ม... สายตาน่ารังเกียจพวกนั้นมองฉันราวกับมองอาหารอันโอชะ

                    “นางช่างน่ารัก กลิ่นกายก็หอม...น่ากินยิ่งนัก”

                    “ดีจริง! ข้าอยากลองชิมเนื้อมนุษย์มาตั้งนานแล้ว!

                    “งั้นจะรอช้าอยู่ใยเล่า! จับนางฉีกเป็นชิ้นๆ ซะเลยสิ!

                    “เฮ้!!

                    เสียงโห่ร้อง\ดังลั่นป่า ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าดังตึงตังของปีศาจนับร้อย สมองที่แทบประคองสติไม่อยู่สั่งให้ฉันลุกขึ้นวิ่งหนี แต่ในวินาทีนี้ร่างกายไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ฉันจึงตกเป็นเป้านิ่งให้ปีศาจจู่โจม

                    “กรี้ดดดดดดดดดดด!!

    ปีศาจตนหนึ่งจับขาฉันไว้ ก่อนที่ฉันจะถูกลากไปกลางวงล้อมที่เต็มไปด้วยจิตมุ่งร้าย ความหิวกระหายและไร้เมตตาปราณี

    “ข้าอยากกินหัวใจของนาง!

    “ข้าจะกินสมองของนาง!

    “ถ้าอย่างนั้นข้าจะจองส่วนขา!

    “ข้าก็จะเอาส่วนแขนเล็กๆ นั่นเอง!

    “ชำแหละนางเถอะ! ชำแหละนางเลย! ข้ารอที่จะกินเครื่องในหวานๆ นั่นไม่ไหวแล้ว!

    มือหนาน่ารังเกียจของปีศาจหลายตนจับแขนจับขาฉันไว้หลังจากที่แบ่งสรรปันส่วนกันเรียบร้อยแล้ว พวกมันส่วนหนึ่งหลีกทางให้ปีศาจตัวใหญ่ที่ถือบางอย่างอยู่ในมือ ...บางอย่างที่ทำให้ฉันต้องกรีดร้องและดิ้นพล่านด้วยความหวาดกลัว

    แสงจันทร์ส่องสว่างตกกระทบให้เห็นคมมีด ด้ามขวานอันใหญ่ถูกง้างขึ้นกลางอากาศ ฉันกรีดร้องสุดเสียง น้ำตามากมายพรั่งพรูออกมาในตอนที่ปีศาจแสยะยิ้มและแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างน่าขยะแขยง

    นี่ฉันจะถูกปีศาจกินจริงๆ เหรอ?

    นี่ฉัน...ต้องตายแล้วงั้นเหรอ?

    ไม่นะ...ไม่ ฉันยังไม่อยากตาย หรือถ้าจะตาย...ฉันก็ไม่อยากจบชีวิตด้วยการเป็นอาหารของปีศาจ ฉันมีเรื่องมากมายที่ยังต้องเรียนรู้ และยังมีเรื่องที่อยากทำเต็มไปหมด ใช่แล้ว...ฉันยังต้องเรียนหนังสือ พรุ่งนี้ฉันยังมีนัดกับพวกอายุ ไม่สิ...ไม่มีแล้ว เพราะฉันโดดเรียนเสริมจึงถูกลงโทษให้อยู่เรียนซ่อมในวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ฉันต้องฉันต้องไปโรงเรียน...ไปเรียนชดเชยที่โดดไปกับเจ้าจิ้งจอกที่ฉันไม่ชอบขี้หน้า

    ทว่า...ถ้าต้องตายล่ะก็ ขอไปเรียนเสริมกับเจ้าจิ้งจอกดีกว่า!

    “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ ฉันยังไม่อยากตาย! ไม่อยากตาย! ริน! ริน! ช่วยฉันที!

    ฟึบ!

    “โอ้ย!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น เช่นเดียวกับคมขวานซึ่งหมายมาดฟาดลงบนร่างกายฉันหยุดต้องหยุดชะงักกลางอากาศ

    ใครคนหนึ่งกำข้อมือของปีศาจตัวใหญ่ ลูกไฟสีฟ้าคุ้นตาถูกจุดขึ้นและซัดเข้าใส่เจ้าพวกที่จับแขนขาฉันไว้จนกระเจิงไปคนละทิศละทาง แสงจันทร์ที่ยังคงส่องสว่างและเผยให้เห็นใบหน้าของคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ ...พวกหางทั้งเก้าพลิ้วสะบัด เรียวหูยาวกระตุกเล็กน้อย ใบหน้าซึ่งล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีเงินกำลังฉายโทสะ นัยน์ตาสีอำพันจ้องมองเจ้าของมือที่ถือขวานนั่นราวกับจะขย้ำให้ตาย

    ฉันไม่เคยรู้สึกดีใจที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างที่เป็นอยู่มาก่อนเลย

     “ท่านริน! ท่านรินมา!” ปีศาจสักตนโพล่งขึ้นกลางปล้อง แล้วความโกลาหลก็ลุกลามราวกับไฟลามทุ่ง ปีศาจตนอื่นพากันหลบเข้ามุมมืดอย่างตื่นกลัว ในตอนนี้ ที่นี่เหลือแค่ฉัน ริน แล้วก็เจ้าตัวโตถือขวานอยู่เท่านั้น

    “เจ้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นรึ อิคุนะ” จิ้งจอกถามเสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยโทสะ

    “พะ...พวกข้าแค่พบเด็กหลง” เจ้าตัวโตตอบกลับด้วยความกลัว

    “เช่นนั้นและ...ขวานนี่เล่า”

    “อะ...เอ่อ”

    “คงไม่ได้จะฟาดคมลงบนร่างนางแล้วแยกเป็นชิ้นๆ ...ใช่หรือไม่”

    “ปะ...เปล่าเลย ข้ามิได้”

    กร๊อบ!

    “โอ๊ย!” เจ้าตัวโตร้องโอดครวญ เสียง กร๊อบเมื่อกี้นั้นคล้ายกับเสียงไม่แข็งๆ ถูกหักก็ไม่ปาน “ข้าเจ็บ...ท่านแม่ทัพ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ”

    “โอ้...เจ้ายังมีความรู้สึกอยู่รึ ถ้าเช่นนั้นตอบข้าสิว่าเจ้ารู้สึกเช่นไรในตอนที่จะฟาดคมขวานลงบนร่างเล็กๆ และใบหน้าเปื้อนน้ำตาของนาง”

    กร๊อบ!

    “อ้ากกก!

    เสียง กร๊อบดังขึ้นอีกหน คราวนี้เจ้าตัวโตถึงกับล้มลงพื้นไปเลย แม้จะค่อนข้างมืด แต่แสงจันทร์ก็สว่างพอให้ฉันมองเห็นว่าแขนข้างที่ถือขวานของเจ้าตัวโตนั่นห้อยต่องแต่งราวกับถูกหักกระดูก และเหนือสิ่งอื่นใดคือใบหน้าของเจ้าจิ้งจอกในยามนี้นั้นดูเกรี้ยวกราด ดุร้าย และอันตราย

    ...ราวกับว่าที่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่คนที่ฉันรู้จัก

                    “ฟัง แล้วจดจำใส่สมองเสียเถอะเจ้าพวกกะโหลกหนา ข้าไม่สนว่าเจ้าจะยุ่งกับมนุษย์หน้าไหน แต่ต้องไม่ใช่นาง” เจ้าของพวงหางทั้งเก้าประกาศกร้าว แล้วร่างกายไร้เรี่ยวแรงนี้ก็ถูกช้อนขึ้นด้วยแขนแกร่ง จิ้งจอกพาฉันลอยขึ้นสูง ข้างบนนั้นมีรถเกี้ยวโบราณรอเราอยู่

    น่าแปลก...น่าแปลกมากๆ

    เขาเองก็เป็นปีศาจ แต่ฉันกลับไม่รังเกียจสัมผัสของเขาแต่อย่างใด ใบหน้าของเขาในยามนี้แม้จะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่นัยน์ตาสีอำพันนั้นเต็มไปด้วยความห่วงหา อะไรบางอย่างบอกว่าฉันที่ตรงนี้ปลอดภัย

    กลิ่นหอมรวยรินอยู่รอบกายเรียกให้ซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง อุณหภูมิจากร่างของเขานั้นทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าพิศวง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทั้งสองมือของฉันกำสาบเสื้อของเขาแน่น และแน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดอะไรในตอนที่หัวไหล่ฉันเริ่มสั่นไหวและร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กเล็กๆ ความกลัวที่เคยถาโถมหมดสิ้นไปเพียงแค่เขากอดฉันไว้เบาๆ

    ทั้งๆ ที่เป็นเขาเป็นปีศาจ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกดีแบบนี้นะ

     

    ไอน้ำลอยขึ้นจากอ่างอาบน้ำขนาดย่อมของบ้านซากุระซากะ อุณหภูมิราวสี่สิบองศาช่วยคล้ายกล้ามเนื้อที่หดเกร็งและอ่อนแรงให้ผ่อนคลาย ฉันกวักน้ำในอ่างขึ้นมาลูบใบหน้า ก่อนจะเอนหลังพิงขอบอ่างแล้วสูดหายใจเข้าลึก และพร่ำย้ำกับตัวเองว่าฉันยังมีชีวิตอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ แม้ว่าช่วงเวลาที่เกือบถูกปีศาจจับฉีกเป็นชิ้นๆ ผ่านไปได้ราวหนึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ในความรู้สึกฉันเหมือนว่ามันเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงชั่วพริบตาที่พ่นลมหายใจออก

    ...สงบใจไม่ได้เลยฉัน

    จริงอยู่ที่ฉันเคยมีประสบการณ์ถูกปีศาจป้องร้ายหมายมาดมาบ้าง แต่นั่นก็เป็นแค่การจู่โจมของปีศาจแค่หนึ่งหรือสองตัวเท่านั้น ไม่ใช่ฝูงปีศาจนับร้อยอย่างเหตุการณ์เมื่อครู่

    หลังจากที่นั่งแช่น้ำพลางกรุ่นคิดกว่ายี่สิบนาที ฉันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เท่าที่จำได้คือฉันหนีกลับบ้านโดยอาศัยประตูหลังโรงยิมแทนประตูหน้าซึ่งปิดก่อนเวลาปกติ ฉันเดินไปเรื่อยๆ พลางคิดถึงเรื่องนู้น นี่ นั่น แล้วทันใดนั้น...ฉันก็ได้กลิ่นหอมลอยตามลม... ฉันสูดดมกลิ่นนั้นเข้าเต็มปอด หลังจากนั้นบางอย่างก็ขาดห้วงไป และเมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางป่าและฝูงปีศาจซะแล้ว

    แต่ช่างเถอะ ในเมื่อคิดอะไรไม่ออก ฉันก็ไม่ควรฝืนให้ตัวเองปวดหัวเปล่าๆ  ที่สำคัญเรื่องร้ายๆ พวกนั้นก็ผ่านไปแล้ว ตัวฉันยังคงมีชีวิตอยู่ดี ทางดีฉันควรจะปล่อยๆ มันไปซะ ดังคำพูดที่ว่า บางอย่างไม่รู้จะดีเสียกว่า

    ฉันลุกขึ้นจากอ่าง เอื้อมมือไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาคลุมร่าง แล้วออกไปหยิบชุดชั้นในที่วางอยู่ในตระกล้าบนชั้นวางข้างเครื่องซักผ้าซึ่งตั้งอยู่หน้าห้องอาบน้ำมาสวมใส่ แม้กระทั่งตอนนี้มือฉันก็ยังสั่นไม่หยุด ภาพยิ้มแสยะของปีศาจพวกนั้นยังคงติดตา สัมผัสจากที่มือน่ารังเกียจของเหล่าภูตผียังคงติดตรึงอยู่ตามร่างกาย ทั้งๆ ที่ฉันทั้งถูทั้งขัดจนแสบผิวไปหมด

    นาฬิกาบนฝาผนังในห้องนั่งเล่นที่ฉันเดินผ่านบอกเวลาสามทุ่มแล้ว จิ้งจอกนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมด้วยบริวารอีกสี่ที่สวมหน้ากากและดูไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วไป

    “แยกย้ายกันได้” จิ้งจอกสั่งสั้นๆ เหล่าบริวารรับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง ทั้งยังหันมาทักทายฉันอย่างมีมรรยาทด้วย

    “ขอรับท่านริน ยินดีที่ได้พบขอรับ ท่านฮารุกะ”

    “คะ...ค่ะ”

    ฉันพยักหน้าตอบอย่างประหม่า ก่อนจะเดินเข้าไปร่วมโต๊ะเมื่อบริวารของเขากลับไปแล้ว เจ้าจิ้งจอกปั้นหน้านิ่งจนฉันเดาอารมณ์ไม่ออก เขากำลังนึกโมโหฉันอยู่ใช่ไหม?

    “เป็นอย่างไรบ้าง” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง”

    “...อื้ม”

    “วิงเวียนไหม”

    “...ไม่”

    “แล้วคลื่นไส้ไหม”

    “ก็นิดหน่อย” ฉันตอบไปตามจริง ตอนนี้ฉันเริ่มพะอืดพะอมขึ้นมาแล้วล่ะ

    “มานี่” เขาสั่งเสียงเรียบ “มาให้ข้าดูใกล้ๆ”

    ฉันกระเถิบเก้าอี้ที่นั่งไปใกล้ๆ ตามที่เขาสั่งอย่างว่าง่ายและไม่คิดขัดขืน จิ้งจอกจับข้อมือฉันแล้วตรวจวัดชีพจรเป็นอย่างแรก จากนั้นก็เลื่อนมือขึ้นมาแตะที่หน้าผากและเมื่อพบว่ามันปกติ

    “คืนนี้เจ้าอาจมีอาการวิงเวียน คลื่นเหียน มีไข้ และอาจฝันร้าย สาเหตุเพราะเจ้าสูดกลิ่นเครื่องหอมแห่งโลกภูตมากเกินไป แต่ไม่ต้องห่วง เจ้าจะหายดีเมื่อฟ้าสาง”

    “ทำไมต้องรอให้ฟ้าสาง”

    “นั่นเพราะแสงตะวันจะชำระความมืดและสิ่งที่อาศัยพลังแห่งความมืดออกไป” เจ้าของใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ผละจากฉันไปสนใจกาต้มน้ำในตู้เก็บของ เขาหยิบมันออกมาใส่น้ำ แล้วตั้งไฟ เขากลับมานั่งที่เดิมระหว่างรอให้น้ำเดือดและเดิมเริ่มบทสนทนาใหม่ “ฮารุกะ เจ้ารู้จักช่วงเวลาที่เรียกว่า พลบอสูรหรือไม่”

    ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ พลบอสูร..คืออะไร? เกิดมาไม่เคยได้ยิน

    “ยาจิโยะจังคงไม่ทันได้สอนเจ้าในเรื่องพวกนี้” เจ้าจิ้งจอกส่ายหน้าแล้วจึงเริ่มอธิบาย “พลบอสูรคือช่วงเวลาที่อาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ถือเป็นช่วงเวลาที่ภูตผีปีศาจสามารถสำแดงอำนาจได้อย่างแรงกล้า และเชื่อกันว่าเป็นเวลาที่มิติของปีศาจและมนุษย์จะเชื่อมต่อเข้าหากัน เครื่องหอมแห่งโลกภูตเองก็มักถูกจุดในเวลานั้น เพื่อเรียกภูตผีที่กระจายตัวตามหุบเขาต่างๆ ให้มารวมกันในฤดูใบไม้ผลิและรอเวลาให้ซากุระบาน จากนั้นจึงเริ่มงานฉลอง”

    “...”

    “แน่นอนว่ากลิ่นเครื่องหอมที่ถูกจุดในยามพลบอสูรสามารถส่งผ่านมาถึงดินแดนของมนุษย์ มนุษย์หลายคนรับรู้ถึงกลิ่นนั้น และบางคนอาจถูกกลิ่นหอมล่อลวง แต่น้อยครั้งนักที่มนุษย์จะหลงเข้ามาในดินแดนแห่งภูตผี ซึ่งก็คือป่านาสึนะที่มีอาณาเขตติดกับด้านหลังของโรงเรียนเคเซย์ ฮารุกะ...หากเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หาได้มีสัมผัสพิเศษอย่างการมองเห็นปีศาจแล้วล่ะก็ ข้าคงไม่รั้งให้เจ้าอยู่ต่อเมื่อเย็นนี้...เพื่อเตือนเรื่องนี้กับเจ้า”

    เอ๊ะ...

    “ทว่า...เด็กดื้อฮารุกะก็หนีข้าไปเสียก่อน” น้ำเสียงตำหนิของเขาทำให้ฉันรู้สึกผิด และเริ่มรู้ตัวแล้วว่าดื้ออย่างที่เขาว่าจริงๆ

    ถ้าฉันฟังเขาสักนิด เรื่องเลวร้ายในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น

    “ขอโทษนะที่หนีกลับก่อน” ฉันบอกอย่างรู้สึกผิด

    “แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียทีเดียว กลิ่นเครื่องหอมจะไม่มีผลใดๆ กับเจ้าหากเครื่องรางนั่นยังอยู่ ...ข้าผิดที่ทำลายมัน ความผิดนั้นข้าขอชดใช้... ส่งมือมาสิฮารุกะ ข้าจะประทับมนต์ป้องกันให้”

    จิ้งจอกรวบมือฉันไว้ด้วยมือซ้าย ก่อนจะกัดหัวแม่มือข้างขวาของตัวเองจนได้เลือด และใช้มันวาดอะไรสักอย่างลงบนหลังมือฉัน มันดูยุ่งเหยิง ยึกยือ ราวกับตัวอ่อนของยุงก็ไม่ปาน

    “ตัวอ่อนของยุงงั้นรึ ช่างคิดนะฮารุกะ” คนที่เอาแต่ปั้นหน้านิ่งกับทำเสียงเรียบมาจนถึงเมื่อครู่หัวเราะคิก นี่เขารู้ความคิดฉันได้ยังไง! “เผื่อเจ้ายังไม่รู้ ข้าหยั่งรู้ความในใจของคนที่กำลังสัมผัสได้ แล้วข้าก็รู้ด้วยว่านับจากนี้เจ้าคงไม่ยอมให้ข้าแตะตัวได้โดยง่าย”

    ถูก!

    ใครจะไปอยากให้คนอื่นแหวกดูสิ่งที่คิดอยู่ในหัวโดยไม่จำเป็นกันล่ะ แล้วแบบนี้ก็เท่ากับว่า...ตอนนี้ฉันแอบด่าเจ้าจิ้งจอกในใจไม่ได้น่ะสิ

    “นี่เจ้า...เรียกข้าอย่างหยาบคายแบบนั้นมาตลอดเลยรึ” คนที่มีปัญหากับสรรพนามที่ฉันใช้เรียกละสายตาจากหลังมือขึ้นมาจ้องฉันเขม็ง

    ยะ...แย่แล้วฉัน ลืมไปเลยว่าเขาจับมือฉันอยู่!

    “เอ่อ...ก็ คือว่า...มัน...” ดูเหมือนว่าสมองส่วนประมวลผลจะหยุดทำงานกะทันหัน เพราะงั้นฉันจึงไม่อาจหาคำใดมาอธิบาย

    โอเค อาจเป็นเพราะทิฐิที่ทำให้ฉันเรียกเขาแบบนั้น แล้วตอนนั้นฉันก็ไม่อยากผูกมิตรกับปีศาจสักเท่าไหร่ จะให้เรียกอย่างสนิมสนมอย่างที่เรียกพวกอายุน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก

    “แต่ข้าชอบ... น้ำเสียงของเจ้าที่เรียกชื่อข้า” เขาคงพูดถึงตอนที่ฉันกำลังถูกปีศาจรุมและร้องขอให้เขาช่วยสินะ “แม้ว่านั่นจะเกิดขึ้นในตอนที่เจ้าหวีดร้องด้วยความกลัวก็ตาม”

    อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นในชีวิตคือการได้รับความช่วยเหลือจากปีศาจ จะว่าไปฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงตะโกนเรียกชื่อเขา อาจเป็นเพราะลึกๆ แล้วฉันรู้และเข้าใจดีว่าเขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยฉันได้

    ก็มีตั้งเก้าหางแถมยังเป็นแม่ทัพอสูรด้วยนี่นะ

    “เสร็จแล้ว”

    ฉันมองหลังมือตัวเองที่ตอนนี้มีตัวอักษรยึกยือเขียนอยู่เต็มพื้นที่ตั้งแต่ข้อมือจรดปลายนิ้ว นี่น่ะเหรอมนต์จิ้งจอก...ดูแล้วเหมือนรอยสักสีแดงของชนเผ่าอะไรสักอย่าง และแม้ว่าการประทับมนต์จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่เจ้าจิ้งจอก...เอ้ย! รินก็ยังไม่ยอมปล่อยมือฉัน เขากุมมันไว้อย่างนั้น แล้วจึงโน้มใบหน้าลงมาพร้อมกระซิบถ้อยคำแผ่วเบา...

    ..ก่อนที่ริมฝีปากและสัมผัสร้อนๆ ของเขาจะจรดลงบนหลังมือนี้

    “เป็นเด็กดีนะ ฮารุกะของข้า”

     ...กาต้มน้ำบนเตาหวีดเสียงร้อง เช่นเดียวกับที่หัวใจฉันกระตุกเต้นด้วยความถี่ที่น่าจะทำให้หัวใจวาย ใบหน้าฉันเริ่มเห่อร้อนเมื่อนัยน์ตาสีอำพันช้อนขึ้นมองตรงมา...ราวกับว่าที่ทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจ ความคิดความอ่านหรืออะไรต่อมิอะไรที่เป็นปัจจัยให้ฉันมีสติอยู่ได้ถูกแรงดันปริศนาที่พุ่งจากช่องท้องเป่ากระจุยกระจาย กระเจิดกระเจิง และปรี้ดออกมาราวกับไอน้ำที่พวยพุ่งจากกา

    บ้าเอ้ย! หัวใจจะวาย!

    รินลุกไปจัดการกับกาต้มน้ำ ส่วนฉัน หลังจากที่ชักมือกลับมาก็แทบจะหงายหลังล้มตึง ความร้อนไม่ทราบที่มาแผ่ไปทั่วร่างกายฉันซึ่งร้อนรุ่มราวกับมีไข้ อาการวิงเวียนและคลื่นเหียนเข้าแทรกในทันใด ถึงขั้นเห็นบ้านตัวเองหมุนเป็นวงกลม

    และไม่รู้ด้วยว่าอาการทั้งหมดนั้นเป็นผลข้างเคียงของการสูดดมกลิ่นเครื่องหอมแห่งโลกภูต หรือเพราะจุมพิตร้อนรุ่มของรินกันแน่

                   

                    ผลข้างเคียงของเครื่องหอมเล่นงานฉันซะอยู่หมัด อาการคลื่นเหียน วิงเวียน และมีไข้ทำให้ฉันต้องระเห็จไปปูฟูกนอนในตอนสามทุ่มเศษ แม้ว่าในอีกสิบห้านาที ช่องฟูจิทีวีจะถ่ายทอดสดมิวสิคไลฟ์ของนักร้องคนโปรด แต่ในยามที่ร่างกายหนักอึ้งและร้องเรียกการพักผ่อนแบบนี้ ฉันก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะถ่างตาดูจริงๆ

                    ครืด...

                    ประตูห้องนอนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมถูกเลื่อนเปิดเล็กน้อย รินวางถาดใส่ถ้วยชาซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นฉุนคล้ายสมุนไพรลงบนพื้นหน้าห้อง ก่อนจะดันแต่ถาดเข้ามาข้างใน ส่วนตัวเขาก็นั่งอยู่ด้านนอกอย่างมีมรรยาท

                    “นั่นอะไร” ฉันถาม

                    “ยาต้มสมุนไพร มันจะช่วยให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น”

                    ฉันคลานไปหา แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นก่อนจะค่อยๆ จิบอย่างระมัดระวัง  แม้จะมีรสขม แต่พอจิบแล้วก็โล่งดี

                    “พรุ่งนี้...คงจะดีกว่าหากข้าให้เจ้าไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ” รินบอกเสียงเบา เงาที่สะท้อนบนบานประตูบอกให้ฉันรู้ว่าเขานั่งหันหลังพิง “เรื่องเรียนค่อยเลื่อนไปวันอาทิตย์ คืนนี้เจ้าพบเจอเรื่องร้ายมามาก ควรพักผ่อนในวันถัดไป”

                    ฉันประหลาดใจนิดหน่อยที่ได้ยินอย่างนั้น แต่นั่นก็นับว่าเป็นคำพูดที่ฟังเข้าหูที่สุดเท่าที่รู้จักกันมา จะว่าไป...ก็เป็นฉันเองไม่ใช่เหรอที่ตั้งแง่ใส่เขาก่อน ฉันเองไม่ใช่เหรอ...ที่ไม่ยอมฟัง ทั้งยังเอาแต่ปฏิเสธ

                    ฉันเองที่สร้างกำแพงกั้นแค่เพียงเพราะชาติพันธุ์เราต่างกัน

                    โอเค ขอสารภาพว่ามีความจริงข้อหนึ่งที่ฉันหนีมาตลอด ...มันคือสิ่งที่ฉันทำเป็นมองไม่เห็นและเหมารวมปีศาจว่าร้ายกาจเหมือนกันไปซะหมด ปีศาจนั้นเหมือนกับมนุษย์ตรงที่มีความหลากหลายทางกายภาพ มนุษย์มีรูปร่าง หน้าตา และลักษณะนิสัยต่างกันฉันท์ใด ปีศาจต่างกันก็ฉันท์นั้น

    เพราะงั้น...ถึงแม้ว่าปีศาจที่ฉันเคยพบเจอจะชั่วร้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปีศาจดีๆ จะไม่มีอยู่บนโลกใบนี้

                    “เอาล่ะ ได้เวลายัยหัวรั้นเข้านอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์”

                    มีเสียงพื้นไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดในตอนที่เขาลุกขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าซึ่งบอกฉันว่ารินกำลังจะกลับ ดังเช่นทุกวันที่เขามักกลับเวลานี้ แล้วก็อย่างที่ฉันเคยบอก วันนี้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือการที่ฉันลุกขึ้นแล้ววิ่งตามเขาไปแม้ร่างกายจะหนักเหมือนหินก็ตาม

    ฉันคว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อของเขา รินทำหน้าประหลาดใจเมื่อได้เห็นอย่างนั้น ขณะเดียวกันนัยน์ตาสีอำพันก็สะท้อนร่องรอยของความสงสัย ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้รั้งเขาไว้ ท่ามกลางความคิดที่ตีกันวุ่นวาย ฉันรู้แค่ว่าตัวเองไม่ได้เข้มแข็งพอจะอยู่คนเดียวในค่ำคืนนี้...ที่เพิ่งพบพานเรื่องร้ายๆ มา

                    แล้วต่อให้ฉันไม่พูด รินก็เข้าใจ เพราะงั้นเขาถึงได้กลับไปนั่งที่หน้าห้องตามเดิม

                    “ข้าจะอยู่ตรงนี้ หลับอย่างสบายใจเถอะนะฮารุกะ”

                    ได้ยินอย่างนั้น ฉันจึงกล้าหลับตาลง

     

                    แล้วคืนนั้นฉันก็ฝัน...มันเป็นฝันร้ายอย่างที่รินบอกไว้ก่อนหน้านี้ เหล่าปีศาจน่าสยดสยอง รอยยิ้มน่าสะอิดสะเอียน สัมผัสอันน่ารังเกียจและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ยังคงตามมาหลอกหลอนไม่เลิกรา แม้แต่ในความฝันรินก็ได้ช่วยฉันเอาไว้ด้วยเสียงกระซิบอันแผ่วเบา...ทว่าแข็งแกร่ง

                    ข้าจะปกป้องเจ้าเอง

                  

     -------------------------------------------------------------------------------------- 

    11.0.5.14
    นิยายเสิร์ฟร้อนๆ จากเตาค่ะ
    รู้สึกไหมคะว่าช่วงนี้อัพถี่
    คือไม่ใช่อะไร คือหายไปหลายวันแล้วกลัวรีดเดอร์ไม่รัก
    ยิ่งตอนที่เห็นยอดวิวไม่ขึ้นนี่รู้สึกเหมือนถูกแฟนทิ้ง แฟนเมิน แฟนไม่สนใจเลย
    แต่ยังไงก็ดี ขอบคุณทุกคนที่แวะมาบ้านรูหนูแห่งนี้นะคะ ทั้งที่ล็อคอินมา และนักอ่านเงา
    ความรักของเรามีไว้เพื่อทุกคนอยู่แล้ว รักอ้ะ จุ้บจุ้บ          

                      
    14.05.14 
    เง้ออออ
    นั่งปั่นตั้งแต่บ่ายโมง แต่อัพซะเช้าเลย
    ช่วงนี้เปิดเรียนแล้ว ขอให้รีดเดอร์สนุกกับชีวิตในวัยเรียนนะคะ
    บาฮันนี่เองก็พ้นช่วงเวลานั้นมาแล้ว แบบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
    ถ้าเป็นไปได้ อยากย้อนเวลากลับไป แล้วลองใช้ชีวิตนักเรียนแบบสุดเหวี่ยงเสี่ยงตาย (?) ดูบ้าง
    อ้อ แล้วก็อย่าลืมถามตัวสเองบ่อยๆ ว่าแท้จริงแล้วเราอยากทำอะไรเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองนะ
    ไม่งั้นเดี๋ยวเรียนผิดสายอย่างบาฮันนี่ไม่รุ้ด้วยเด้ออออ (กระซิก)
    ปล. แฟนเพิ่มเป็น 18 คนแล้ว กรี้ดดดอ้ะ ขอบคุณนะก๊ะ 
    ปล. 2 คอมเม้นท์เนี่ย เป็นยาสลายความเกียจคร้านได้อย่างดีเลยค่า
    //เม้าท์ยาวอีกแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×