ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 [100%] Rewritten

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 57














    บทที่ 5

     

     

                    “อาจัง คูจัง ขอบคุณสำหรับเลกเชอร์นะ” ฉันคืนสมุดเลกเชอร์วิชาให้เพื่อนใหม่และแทบจะโค้งตัวจนหัวจดพื้นเพราะทราบซึ้งในความมีน้ำใจของพวกเธอทั้งสอง “ทั้งๆ ที่วันนี้มีสอบแท้ๆ”

                    เพราะเมื่อวานฉันหลับเป็นตายตลอดคาบบ่าย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนโรงเรียนเลิกแล้ว ไม่เท่านั้น...ความอ่อนเพลียเกินบรรยายยังทำให้ฉันต้องกลับไปนอนต่อที่บ้าน กว่าจะได้อ่านเลกเชอร์ที่สองคนนี้ฝากโคมาให้ก็ปาไปเกือบสามทุ่ม ทำไมถึงได้เพลียขนาดนั้น...จนกระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

                    แต่! ไม่ต้องห่วงไป ฉันพื้นคืนชีพแล้ว

                    “ไม่เป็นไรจ้ะ อีกอย่าง อาจารย์ก็บอกว่าการสอบวันนี้เป็นแค่สอบวัดความรู้พื้นฐาน ไม่เก็บคะแนนจ้า” โอซากะ อายุ หรืออาจังเจ้าของเลกเชอร์วิชาประวัติศาสตร์ตอบด้วยรอยยิ้ม

                    ขอบคุณที่มันไม่ใช่สอบเก็บคะแนน เพราะถ้าเธอได้คะแนนน้อยขึ้นมาฉันคงรู้สึกแย่น่าดู

                    “ว่าแต่เธอเตรียมตัวมาดีหรือยัง เห็นบ่นๆ อยู่เมื่อวานว่าอ่อนวิชานี้ ถึงจะไม่ใช่สอบเก็บคะแนน ระวังจะต้องเรียนเสริมนะ” ซากาตะ คุมิโกะ หรือคูจัง เจ้าของเลกเชอร์วิชาวิทยาศาสตร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่แตกต่างจากอายุแบบสุดขั้ว

                    อายุเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียบร้อย อ่อนหวาน และน่ารักเหมือนลูกกระต่าย ส่วนคูจัง...ถ้าจะให้เปรียบก็คงไม่พ้นราชสีห์ เพราะเธอทั้งห้าว กร้าว และหาญ เป็นสปอร์ตเกิร์ลที่เท่ห์สุดๆ

                    สองคนนี้มาอยู่ด้วยกันได้ไง...ฉันก็นึกสงสัยอยู่

                    “ก็...คิดว่าพอไหวน่ะ” ฉันได้แต่หัวเราะแหะๆ และไว้อาลัยให้กับความโง่ด้านประวัติศาสตร์ของตัวเอง

    ไม่สิ ฉันไม่ได้โง่หรอก แต่เรียกว่าไม่สนใจมากกว่า

    ฉันชอบอะไรใหม่ๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความก้าวหน้าที่จะพามนุษย์ไปสู่ยุคพัฒนา หากให้เลือกเขียนรายงานระหว่างหัวข้อ ไดโนเสาร์ยุคครีเทเชียสกับ จักรภพทางช้างเผือกล่ะก็...

    แน่นอนว่าฉันเลือกหัวข้อหลัง

    ส่วนปีศาจน่ะถ้าไม่ได้เห็นกับตาก็ไม่เชื่อหรอกว่ามีจริง

    “ไม่เป็นไรนะฮารุจัง อาจารย์คนใหม่ที่มาสอนเก่งมากๆ เลยล่ะ แถมยังมีเทคนิคการสอนใหม่ๆ ด้วย” อาจังบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “อย่างเช่นให้สมมติคนในประวัติศาสตร์เป็นหนุ่มหล่อที่ตัวเองชอบน่ะ”

    “ใช่ๆ อย่างเรื่องหน่วยรบชินเซ็นงุมิ*ที่ฉันว่าน่าเบื่อนั่น พอลองจิตนาการว่าผู้เล่นทีมฮันชิน ไทเกอร์ส*เป็นนักรบชินเซ็นงุมิแล้ว จู่ๆ ก็อยากเรียนขึ้นมาเฉยเลย!” คุมิโกะตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงทีมเบสบอลทีมโปรด

    ฉันเองพอจิตนาการว่านักร้องคนโปรดเป็นจักรพรรดิยุคเก่าๆ แล้วก็...โอ๊ย อยากเป็นมเหสี!

    “เจ๋งใช่มั้ยล่ะ” คุมิโกะถาม

    “สุดๆ เลยล่ะ” ในที่สุดหนทางที่จะสลัดเลขตัวแดงในวิชาประวัติศาสตร์ให้หลุดก็ปรากฏตรงหน้าฉันแล้ว ถ้าเป็นอาจารย์คนนี้ล่ะก็...คะแนนวิชาประวัติศาสตร์ของฉันอาจจะงดงามขึ้นมาก็ได้ “ว่าแต่ใครเป็นคนสอนวิชานี้เหรอ”

    “อ๋อ...” 

    ครืด...

    เสียงของอาจังถูกแทรกด้วยเสียงเปิดประตูเลื่อน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของเพื่อนๆ ในห้องที่ต่างก็วิ่งมาประจำที่ พร้อมด้วยบุคคลผู้ไม่พึงประสงค์ของเหล่ามนุษยชาติที่แฉล่มหน้าเข้ามาในห้อง

     “ก็อาจารย์โยชิดะไง”

    ฉันแทบกัดลิ้นตัวเองตายในวินาทีนั้น ครั้นจะว่าตัวเองหูฟาดก็คงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อเห็นอยู่ตำตา อาจารย์ (กำมะลอ) โยชิดะในสูทจัดเติมเดินเข้ามาในห้องพร้อมข้อสอบปึกหนาและรอยยิ้มที่สื่อความหมายว่า พร้อมหรือยัง ฮารุกะของข้า  ...ไม่ใช่แค่วิชาภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น แต่วิชาที่ฉันอ่อนสุดๆ อย่างวิชาประวัติศาสตร์เจ้าจิ้งจอกนั่นก็ยังตามมารังควาน

    ชีวิตสาวม. ปลายของฉันมีอันได้พินาศเป็นแน่แท้!

    “ผมจะแจกข้อสอบแล้วนะ” อาจารย์กำมะลอโบกปึกข้อสอบไปมาอย่างเริงร่า ส่วนฉันน่ะ...แทบสติหลุด!

                    ฉันไม่เคยรู้สึกกังวลกับการสอบมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ยิ่งเป็นวิชาที่ฉันตกซ้ำ ตกซ้อน ตกจนชินอย่างประวัติศาสตร์ ต่อให้ต้องเรียนซ้ำไปตลอดทั้งชาติก็ไม่มีปัญหา

                    แต่...พอคิดได้ว่าต้องเรียนกับเจ้าจิ้งจอกแล้วฉันกลับกลัวการสอบตกจับใจ! ไม่ๆๆ ฉันไม่ยอม ฉันจะต้องไม่ตก!

                    เศษความรู้ที่หลบอยู่ตามซอกหลืบในรอยหยักสมองเอ๋ย...จงสำแดงกายเดี๋ยวนี้!!

     

                    18/100 คือตัวเลขเด่นหราบนกระดาษข้อสอบของฉัน สีแดงเลือดสาดและความใหญ่อลังการของมันเรียกความสนใจจากผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี...

                    “ที่แท้ซากะรุซากะซังก็หัวขี้เลื่อยเหรอเนี่ย”

                    “นั่นสิ อุตส่าห์ย้ายมาจากโตเกียว นึกว่าจะฉลาดกว่านี้ซะอีก”

                    “แบบนี้ห้องเราไม่แย่เอาเหรอ”

                    “รู้ถึงไหน อายถึงนั่นเลยนะเนี่ย”

                    “ซุบซิบๆ”

                    ทุกคนที่ได้เห็นคะแนนแสนอัปรีย์ต่างพากันกระซิบกระซาบกันใหญ่ ส่วนฉันก็ได้แต่ห่อไหล่จนตัวลีบ ไว้อาลัยให้กับวิชาประวัติศาสตร์แบบไม่เคยเสียใจอะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต แถมทุกสายตาที่มองมาก็จ้องฉันราวกับว่าฉันเป็นแกะดำในฝูงหงส์ก็ไม่ปาน ใช่สิ...ห้องหนึ่งเป็นห้องคิงนี่ นักเรียนแต่ละคนก็ฉลาดๆ กันทั้งนั้น (ถึงบางคนจะดูไม่รู้ว่าฉลาดก็เถอะ) วัดได้จากคะแนนเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ 95/100  มันจึงช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะมองว่าฉันเป็นตัวทำลายภาพพจน์ศูนย์รวมเด็กเก่งของโรงเรียน

                    ฉันเองก็ไม่ได้อยากโง่ขนาดนี้หรอก แต่บทจะโง่มันก็โง่เองโดยอัตโนมัตินี่

                    “แค่เสียงนกเสียงกา ไม่ต้องสนใจหรอก” คูจังปลอบใจ แถมยังขยับโต๊ะของเธอมาชิดโต๊ะฉันด้วย

                    “ใช่แล้วจ้า โลกนี้ไม่มีใครทำได้ดีไปหมดซะทุกอย่างหรอก เนอะ” อายุก็ช่วยปลอบใจฉันเหมือนกัน แถมยังขยับโต๊ะมาชิดโต๊ะฉัน แม้ว่าตัวของเธอจะสูงแค่ช่วงไหล่ของคุมิโกะก็ตาม “ทานข้าวกันดีกว่า ฉันจะยกไส้กรอกปลาหมึกให้ชิ้นหนึ่งนะ ฮารุจังจะได้ไม่ต้องเศร้าไง”

                    ฉันว่าฉันรักเธอเข้าแล้วล่ะ

                    “ฉันว่าเธอเก็บไส้กรอกกิ๊กก๊อกนั่นไว้กินเองเถอะ” คุมิโกะขัด

                    “ทำไมละ” อายุยู้ปากอย่างน่ารัก

                    “ดูกล่องข้าวยัยนี่ซะก่อนสิ”

                    ไม่รู้ว่าคูจังแอบเปิดกล่องข้าวฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าการที่กล่องสี่เหลี่ยมใหญ่เบ้งซึ่งเจ้าจิ้งจอก (ยัดเยียด) ให้ฉันมา ศิลปหัตถกรรมอัดแน่นอยู่ข้างใน

    ประ...ประณีต วิจิตร บรรจงเยี่ยงอาหารชาววังแบบนี้ ใครที่ไหนจะไปกินลงฟะ!!

                    “เธอทำเองเหรอ” คุมิโกะถาม

                    “แน่นอนว่าไม่” ฉันตอบอย่างไม่อาย ส่วนอายุ...กำลังเคลิบเคลิ้มกับความงามของข้าวกล่องปีศาจ!

                    “คุณแม่ของฮารุจังนี่ละเอียดอ่อนดีเนอะ”

                    เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง...ดังนั้นคงจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมถ้าฉันจะปล่อยให้อายุเข้าใจแบบนั้น

                    “เอาล่ะๆ รีบทานข้าวเถอะ จะได้มีเวลาย่อยก่อนเรียนพละคาบบ่าย” ว่าแล้วคุมิโกะก็เริ่มจัดการข้าวกล่องของเธอเอง

                    อายุเองก็เริ่มจัดการไส้กรอกปลาหมึก แต่ฉันต้องขอทำใจสักครู่ ...จะว่าไงดีล่ะ แค่จับตะเกียบขึ้นมาฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นอาชญากรตัวฉกาจที่กำลังจะทำลายผลงานศิลปะระดับชาติยังไงยังงั้น ยิ่งตอนนี้ที่ฉันคีบไก่ทอดสีเหลืองอร่ามอย่างกับทองคำแท่งขึ้นมาด้วยแล้ว จิตใต้สำนึกก็เริ่มสงครามความหิวกับกระเพาะอาหารทันที  แต่ในตอนที่ความหิวชนะและฉันกำลังจะงับเจ้าไก่ทอดนั่นเอง จู่ๆ เสียงลากเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ ก็ทำให้ฉันเสียวสันหลังวาบ...

                    มะ..มุราคามิ อาคิระที่ขาดเรียนไปในช่วงเช้ากลับมาแล้ว

                    “มีอะไรเหรอฮารุกะ” คุมิโกะที่สังเกตถึงความผิดปกติร้องทัก

                    และฉันก็ต้องรีบกลบเกลื่อน “มะ...ไม่มีอะไรจ้ะ”

                    ก็ไม่รู้นี่น่าว่าจะอธิบายให้สองคนนี้เข้าใจว่าทำไมฉันถึงได้กลัวมุราคามิจนขี้แทบขึ้นสมอง

                    ฉันแอบเหลือบไปมองมุราคามิ จ้าวอสูรในวันนี้ก็ดูเย็นชาเช่นทุกวัน เขาแค่เข้ามาวางกระเป๋าแล้วก็ออกไป นั่นทำให้ฉันหายใจสะดวกขึ้นหน่อย ขืนเขามานั่งกดดันอยู่ข้างๆ นี่ล่ะก็ ...ฉันคงกินข้าวไม่อร่อยพอดี

                    “วันนี้มุราคามิคุงก็ไม่ค่อยพูดเหมือนเดิมเลยเนอะ” จู่ๆ อายุก็ชวนคุยเรื่องคนที่เพิ่งเดินออกไปจากห้องโดยที่ไม่ทักทายเพื่อนร่วมชั้นเลยสักคน

                    “ตอนปีหนึ่งมืดมนยังไง ปีสองก็มืดมนอย่างนั้น” คุมิโกะเสริม “แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ”

                    “นี่เรากำลังพูดถึงมุราคามิคนเดียวกันหรือเปล่า” ฉันถามย้ำ

                    “ใช่จ้ะ นอกจากจะหัวดี กีฬาเด่นแล้วยังมีน้ำใจมากๆ เลยล่ะ” อายุยิ้มร่าตามประสาสาวคิดบวก “ตอนปีหนึ่งเทอมสองมุราคามิคุงเคยช่วยฉันทำการบ้านข้อที่ไม่เข้าใจด้วยนะ”

                    “จะว่าไป... ฉันก็เคยถูกมุราคามิช่วยไว้เหมือนกันนะ รู้สึกว่าตอนนั้นลูกบอลมันขึ้นค้างอยู่บนยอดไม้ แต่สุดท้ายมุราคามิก็เอาลงมาให้ได้ ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหนเหมือนกัน”

                    ฉันฟังที่อายุกับคุมิโกะเล่าแล้วก็ประหลาดใจนิดหน่อย ไม่คิดเลยว่าจ้าวอสูรที่ดูเกลียดมนุษย์อย่างเรามากจะทำอะไรแบบนั้น ฉันยังจำสีหน้าไร้อารมณ์ที่แทบจะฆ่าคนของเขาได้ แถมไออสูรที่เขาปล่อยออกมาก็แทบระเบิดหัวฉันได้เลยด้วยซ้ำ

                    สรุปแล้วมุราคามิเป็นคงยังไงกันแน่นะ

     

                    ชั่วโมงพละศึกษา

                    “ไปเลย! มิสึโนะ!

                    ฟุบ!

                    “ไม่ยอมให้ได้แต้มไปหรอกน่า... จัดการเลยซากาตะ!

                    “ไว้ใจได้เลย! ฮารุกะรับบอลต่อที ฮารุกะ ฮารุกะ! ระวัง!

                    ปัง!

                    ลูกวอลเล่ย์ที่มีความเร็วกว่าหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงกระแทกเข้าหน้าฉันเต็มรัก และนั่นก็ทำให้ฉันรู้ตัวว่าเผลอคิดนอกเรื่องทั้งๆ ที่ควรใส่ใจกับลูกบอล ตาข่าย ทีม และศัตรูที่อยู่ตรงหน้ามากที่สุด เพราะชื่อเสียงของห้องคิงนั้นเดิมพันด้วยแมตช์นี้...

                    ใช่แล้วล่ะ เราอยู่ในชั่วโมงพละ แล้วกีฬากระชับมิตรระหว่างห้องหนึ่งและห้องสองที่เรียนพละร่วมกันคือการแข่งขันวอลเล่ย์ ฉันกับคุมิโกะและเพื่อนผู้หญิงอีกสองสามคนถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของห้องหนึ่ง ในขณะที่ห้องสองเองก็ส่งพวกหน่วยก้านดีมาลงสนามด้วยเหมือนกัน เริ่มแรกทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ กีฬากระชับมิตรพึงจะเป็นดีอยู่ แต่พอห้องสองชนะและขึ้นนำไปหนึ่งเกม พวกบ้าชัยชนะและอีโก้ของนักเรียนห้องคิงก็ทำให้คุมิโกะและเด็กห้องหนึ่งคนอื่นๆ กลายร่างเป็นอสูรกายกันไปหมด

                    “ไหวไหมฮารุกะ โดนบอลอัดหน้าเข้าจังๆ เลยนี่” คุมิโกะที่อยู่แนวหน้าวิ่งมาดูฉันที่อยู่แนวหลัง

                    “ไหวๆ แค่นี่จิ๊บจ๊อย” ฉันบอกพลางพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนแม้จะยังมึนๆ อยู่ก็ตาม ไม่ได้...นี่ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมาโชว์ความอ่อนด๋อยของตัวเอง ฉันมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่นั่นคือการเอาชัยชนะมาให้ได้ ให้สมกับศักดิ์ศรีห้องคิง ทว่า...

                    แหมะ...!

                    เอ๋...

                    แหมะ...!

                    ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามีของเหลวไหลออกมาจากจมูกล่ะ

                    “ฮะ...ฮะ... ฮารุกะ” คุมิโกะเบิกตากว้าง แถมยังถอยกรูดจากฉันอีกต่างหาก “ละ...เลือด! เลือดกำเดาเธอไหล!

                    ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงถูกไล่ไปห้องพยาบาลและต้องออกจากเกมแห่งศักดิ์ศรี (?) ไปโดยปริยาย

     

                    ฉันไปที่ห้องพยาบาลแล้วก็ความว่างเปล่า ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ฉันจึงถือวิสาสะพยาบาลตัวเองด้วยการเปิดตู้เย็นแล้วหยิบคูลแพ็คออกมา ก่อนจะคลานขึ้นไปบนเตียงพยาบาล หมายจะเงยหน้าขึ้นสูงแล้วเอนตัวพิงพนักเตียงโดยประคบเย็นไปด้วยซึ่งเป็นการปฏิบัติตามหลักการห้ามเลือดกำเดาที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงหนึ่งดังขึ้น

                    “เลอะ...”

                    “ฮะ?”

                    “เลือดเธอเลอะพื้นหมดแล้ว” คราวนี้ไม่ได้มาแต่เสียง ผ้าม่านที่ฉันเพิ่งสังเกตว่ามันถูกกางให้คั่นไว้ระหว่างเตียงถูกแหวกด้วยมือหนา พร้อมใบหน้าไร้อารมณ์ของใครบางคนโผล่มา และรู้สึกด้วยว่าเลือดกำเดาไหลออกมามากขึ้นเมื่อถูกนัยน์ตาสีดำที่คล้ายกับว่าจะดูดกลืนทุกอย่างลงไปจ้องมอง

                    “มะ...มุราคามิ!

                    “เสียงดัง” เขาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางหยิบแว่นตาที่วางข้างหมอนมาสวม จากนั้นก็ก้าวขาลงจากเตียง

                    “ขะ...ขอโทษที่รบกวนนะ”

                    “เปล่า แต่ฉันเหม็น...” ว่าแล้วเขาก็ยกมือขึ้นปิดจมูก “กลิ่นคาวเลือดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแสนอ่อนแอและไร้พลัง” 

    ได้ยินประโยคนี้แล้วฉันชักรู้สึกเสียดายคำขอโทษที่เอ่ยให้เขาไปชะมัด...

                    “ฉันจะรีบทำความสะอาดให้เดี๋ยวนี้แหละ”

                    “ไม่ต้อง” จ้าวอสูรขัดเมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะลุกจากเตียง “เลือดยังไหลอยู่ไม่ใช่หรือไง นอนลงไปแล้วรีบๆ ทำให้มันหยุดไหลซะที”

                    แน่นอนว่าด้วยอำนาจและตำแหน่งที่พ่วงท้ายชื่อเขานั้นทำให้ฉันไม่กล้าขัดขืน “กะ...ก็ได้”

    ฉันวางคูลแพ็คลงบนดั้งจมูกแล้วเอนหลังพิงพนักเตียงอย่างว่าง่าย แม้ว่าจะเงยหน้าขึ้นเพดาน แต่ดวงตาก็เหลือบมองปีศาจตัวพ่อของตัวพ่อ จ้าวอสูรมุราคามิกำลังทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ นั่นคือการทำความสะอาดเลือดกำเดาฉันที่หยดเปื้อนพื้นด้วยกระดาษทิชชู น้ำยาฆ่าเชื้อโรค 99% และมือที่สวมถุงมือซึ่งบ่งบอกได้ดีว่าเขารังเกียจเพียงใด

                    มนุษย์ตัวเหม็นอย่างฉันคงเป็นตัวแพร่เชื้อโรคสำหรับจ้าวอสูรอย่างเขา

                    “ได้ยินสินะ...” มุราคามิที่ง่วนกับการเก็บทิชชูเปื้อนเลือดลงถุงขยะติดเชื้อเปรยขึ้น “เรื่องเมื่อวานน่ะ”

                    “...อื้ม” ฉันต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ “แต่ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังหรอกนะ”

                    หากย้อนเวลากลับไปได้ล่ะก็ ฉันสาบานว่าจะอยู่ทานข้าวเที่ยงกับโคก่อน จากนั้นจะค่อยๆ เดินไปห้องพักครูช้าๆ ไม่รีบร้อน และรอจนกว่าเจ้าจิ้งจอกจะกลับมา แล้วฉันก็จะได้ไม่ต้องรับรู้ว่าแท้จริงแล้วคนที่นั่งโต๊ะข้างๆ คือปีศาจตัวเอ้ยิ่งกว่าเจ้าจิ้งจอกนั่นซะอีก!

                    “งั้นเธอก็รู้แล้วสิว่าตัวตนที่แท้จริงฉันคืออะไร”

                    “กะ...ก็นะ”

                    “หึ..” มุราคามิสบถ ก่อนจะหันมามองฉันด้วยสายตาเย็นชาแต่ว่าฆ่าคนได้ “ถ้ารู้แล้วก็จำไว้ให้ดี และทางที่ดีเธอควรเลิกยุ่งกับแม่ทัพของฉันซะ”

                    “แม่ทัพ?” เขาพูดถึงใครน่ะ

                    “โยชิดะ ริน หรือที่รู้จักในนามอสูรว่า อาคาสึกินั่นผู้นำทัพคนสำคัญของฉัน และฉันต้องการให้เขากลับไปทำหน้าที่ตามเดิม”

                    “เรื่องนั้น...ทำไมนายไม่ไปบอกเจ้าจิ้งจอกนั่นเองล่ะ”

                    “ฉันเชื่อว่าการแก้ปัญหาที่ดีคือการแก้ที่ต้นเหตุ” จ้าวอสูรย่างสามขุมเข้ามาช้าๆ ในขณะที่ฉันเริ่มสัมผัสได้ถึงไออสูรจากตัวเขาและเริ่มอึดอัด “แล้วต้นเหตุที่ว่านั่นก็คือเธอ ซากุระซากะ ฮารุกะ”

                    หา?

                    “สายลมเปลี่ยนทิศเมื่อเธอกลับมาที่นี่ อาคาสึกิที่ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมมาตลอดหลายร้อยปีกลับละเลยสิ่งที่ต้องทำ นั่นทำให้ฉันสงสัยว่าเธอกำลังล่อลวงทหารเอกของฉันอยู่” นัยน์ตาสีดำฉายแววดูถูก น้ำเสียงราบเรียบนั่นระคนด้วยความดูแคลน ส่วนฉันรู้สึกได้ถึงความโกรธที่ปะทุอยู่ในอกตัวเอง และมันก็แผดเผาความกลัวไปจนหมด

                    กำลังจะบอกว่าฉันยั่วยวนเจ้าจิ้งจอกนั่นจนเสียการเสียงานงั้นสิ มันจะมากไปหน่อยมั้ง...!!

                    “โทษนะ แต่ว่านายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”

                    “คนฉลาดที่ไม่เคยตกวิชาประวัติศาสตร์อย่างฉันน่ะเหรอเข้าใจผิด?”

                    หน็อยยยยยย เอาปมด้อยคนอื่นมาเล่นแบบนี้ไม่สนุกนะยะ!

                    “เออ! ฉันรู้ว่าตัวเองโง่ แต่นั่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เจ้าจิ้งจอกทิ้งหน้าที่ แล้วฉันก็ไม่ได้ล่อลวงเจ้านั่นด้วย!” ฉันตวาดใส่เขา ในใจอยากลองข่วนหน้าปีศาจดูบ้าง แม้ว่าปีศาจที่ว่านั่นจะเป็นถึงจ้าวอสูรก็เถอะ “คนของนายต่างหากที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับฉันจนชีวิตฉันปั่นป่วน!

                    “...”

                    “บอกไว้ก่อนนะว่าฉันเกลียดปีศาจอย่างพวกนายเข้าไส้ เอะอะอะไรก็จับกินๆ เหอะ! คิดว่าตัวเองวิเศษมากรึน่าเข้าใกล้มากหรือไง”

                    “...”

                    “โดยเฉพาะเจ้าจิ้งจอกนั่น! หมอทำลายของสำคัญของฉันทิ้ง แถมยังบุกรุกบ้านคนอื่นยามวิกาล ถ้านายฉลาดสมกับที่เป็นจ้าวเหนือเหล่าปีศาจก็คงพอเข้าใจสินะว่าฉันต่างหากที่กำลังถูกทหารเอกของนายคุกคาม!” แม้ว่าเจ้าจิ้งจอกจะทำอาหารอร่อยก็เถอะ แต่...เรื่องบุกรุกบ้านกับเผาเครื่องราง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องอาหารซะหน่อย (เหรอ?)

                    “...”

                    อาการนิ่ง เงียบ และเงิบของจ้าวอสูรนั่นสะใจฉันชะมัด แต่แค่หนึ่งวินาทีหลังจากนั้นฉันกลับรู้สึกเย็นยะเยือก คิ้วที่ขมวดผูกกันเป็นปมของมุราคามิทำให้ฉันกลืนน้ำลายฝืดคอ และสำนึกได้ว่าไอ้บ้าที่ถูกฉันตวาดใส่หน้าไปเมื่อกี้คือจ้าวอสูร...ผู้ยิ่งใหญ่กว่าภูตผีปีศาจทั้งมวล

                    ฉะ...ฉิบหายแล้วฉัน จะถูกกินมั้ยเนี่ย!?

                    “อะ...เอ่อ คือเมื่อกี้ฉัน...”

                    “งั้นหรอกเหรอ” มุราคามิพ่นลมหายใจ ทั้งยังเลิกปล่อยไออสูรที่ทำให้ฉันอึดอัดแล้วด้วย “ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจเธอผิดไป ขอโทษด้วย”

                    นอกจากจะถอนหายใจแล้ว ยังมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างอื่นที่ฉันคาดไม่ถึง มุราคามิขอโทษฉัน... จ้าวอสูรขอโทษฉัน ปีศาจตัวพ่อขอตัวพ่อขอโทษฉัน!! (ถึงจะด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไร้อารมณ์ก็เถอะ)

                    พระเจ้า! นึกว่าจะถูกกินซะอีก!

                    “แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็อยากให้อาคาสึกิเลิกยุ่งกับเธอแล้วกลับมาทำหน้าที่ตามเดิม ส่วนเธอ...ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่มนุษย์กับปีศาจไม่มีทางจะอยู่ร่วมกันได้”

                    มุราคามิพูดทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนจะออกไปพร้อมถุงขยะติดเชื้อ เลือดกำเดาฉันหยุดไหลแล้ว ทว่า...คำพูดของเขายังคงดังก้องอยู่ในหู ที่บอกว่ามนุษย์กับปีศาจอยู่ร่วมกันไม่ได้นั่น...ฉันรู้อยู่แล้วล่ะน่ะ

     

                    ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนคืออะไร?

                    ช่วงเวลาแห่งความสุข? ช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน? ช่วงเวลาเข้าชมรมหรือบจับกลุ่มทำการบ้าน? หรือช่วงเวลาชวนกันเที่ยวตามประสาสาวๆ แล้วจับกลุ่มเม้าธ์เรื่องความรัก ไม่ก็คนที่แอบชอบ

    ทว่า...ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานั่นไม่ใช่สำหรับฉัน...ผู้ซึ่งต้องอยู่เรียนเสริมวิชาประวัติศาสตร์ตลอดทั้งปีทั้งชาติ

    “เรียนเสริม?” โคที่มารอกลับบ้านเหมือนเมื่อวานทำหน้าประหลาดใจ “ฉลาดอย่างเธอยังต้องเรียนเสริมอีกเหรอ”

    “โทษทีนะ” ฉันว่าพลางเก็บกระเป๋า ในขณะเดียวกันก็สังเกตได้ว่าสาวๆ ในห้องมองเราเป็นตาเดียว

    อ้อใช่... มาเอดะ โคคือหนุ่มฮอตที่ครองใจสาวๆ กว่าค่อนโรงเรียน แม้จะเป็นรองเรื่องการศึกษา แต่การกีฬาเขาเป็นเลิศ เอาหน้าตาหล่อๆ ท่าทางอบอุ่นแบบพี่ชายที่แสนดีและตำแหน่งกัปตันชมรมยูโดเป็นประกัน (ได้เป็นกัปตันตั้งแต่อยู่ปีสอง หมอนี่ร้ายไม่เบา)

    “แล้วเลิกกี่โมง ให้ฉันมารับมั้ย?”

    “ก็น่าจะเย็นๆ น่ะ แล้วก็ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับเองได้”

    “แน่ใจเหรอว่าจะไม่หลงทางน่ะ”

    “นี่นาย ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบนะยะ” ฉันค้อนใส่ อีกอย่าง เรื่องง่ายๆ อย่างการกลับบ้านเองแค่นี้ แม้ว่าฉันจะยังจำทางไม่ค่อยได้ แต่จะให้เพิ่งเขาตลอดไปมันก็เป็นไปไม่ได้หรอกนะ

    “ฮ่าๆ” หนุ่มฮอตหัวเราะร่า “ช่วยไม่ได้สินะ ยังไงถ้าจำทางไม่ได้ก็โทรเรียกฉันแล้วกัน”

    “ขอบใจนะ ฉันต้องไปแล้วล่ะ บาย” ฉันโบกมือให้ ก่อนที่เขาจะถูกสาวๆ ในห้องพุ่งเข้าใส่ทันทีเมื่อเราแยกกัน

    ห้องสมุด หมวดประวัติศาสตร์ โต๊ะทางซ้าย มุมในสุด คือสถานที่ที่เจ้าอาจารย์จอมปลอมนัดฉันไว้ เพียงแค่สิบห้านาทีหลังเลิกเรียน ความเงียบก็เข้าปกคลุมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องสมุด ฉันเดินเลาะชั้นหนังสือที่เรียงเป็นตับไปที่หมวดประวัติศาสตร์ และที่โต๊ะทางซ้าย มุมในสุดนั้นเจ้าอาจารย์กำลังกับหนังสือเล่มหนาเท่าตำราแพทย์กำลังรอฉันอยู่

    ฉันเลื่อนเก้าอี้เพื่อวางกระเป๋า ส่วนเจ้าจิ้งจอกก็กำลังงีบหลับ ภาพที่เห็นดึงดูดให้ฉันนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามแล้วเท้าคางมองเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พิจารณาใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์นั้นในระยะใกล้ อาจเพราะแสงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า อากาศที่กำลังอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ความสงบในช่วงเวลาหลังเลิกเรียน หรือไม่ก็ซากุระที่กำลังจะผลิบานที่ทำให้ฉันต้องโน้มใบหน้าเข้าใกล้เพื่อยลความงามอย่างที่หาได้ยากยิ่งในบุรุษเพศ

     “จะลักหลับอาจารย์รึ เป็นเด็กไม่ดีเลยนะฮารุกะ” จู่ๆ เจ้าจิ้งจอกก็ลืมตาโพล่ง ส่วนฉันก็ต้องผงะด้วยความตกใจ แล้วก็ต้องรีบหาข้อแก้ตัวเพื่อให้หมอนี่เลิกมองฉันด้วยสายตาหยอกเย้าแบบนั้นซะที

    “คะ...ใครเขาจะทำแบบนั้นกัน!

    “ช่างเป็นผู้หญิงที่ปากแข็งเสียจริง”

    “พูด...พูดมาก! รีบๆ สอนซะ ฉันอยากกลับบ้าน”

    ชั่วโมงเรียนเสริมเริ่มขึ้นหลังจากที่เจ้าอาจารย์กำมะลอหัวเราะหึๆ อยู่คนเดียวจนพอใจ จากนั้นจึงหันไปเปิดตำราและอธิบายเรื่องราวต่างๆ บนหน้าประวัติศาสตร์ซึ่งฉันก็ฟังอย่างตั้งใจ ทว่า...แค่ห้านาทีหลังจากนั้นฉันก็เรียนไม่รู้เรื่อง

    แสงสุดท้ายของวันตกกระทบบนเรือนผมสีเงินให้ส่องประกายระยิบระยับ และพร้างพราวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์นั้นยิ่งดูน่าหลงใหล เรียวปากได้รูปที่ขยับขึ้นลงนั้น...ยิ่งมองก็ยิ่งชวนให้เผลอใจ และน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ก้องกังวานนั้นก็ช่างน่าฟัง...

    ทั้งๆ ที่เป็นปีศาจ แต่กลับงดงามราวกับเทพเทวาบนสรวงสวรรค์

    และทั้งๆ ที่เราต่างกัน แต่ทำไมเขากลับยึดติดกับฉันนักนะ...

    “นี่...”

    เสียงของฉันเรียกให้จิ้งจอกเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ “หืม?”

    “ทำไมถึงอยากได้ไอ้สิ่งที่เรียกว่า พื้นที่ข้างกายอะไรนั่นนักหนา” ถึงขนาดว่าต้องแปลงกายมาเป็นอาจารย์ แถมยังลำบากทำอาหารให้ฉันทุกวันอีกต่างหาก

    จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่ยอมลำบากเพื่อคนอื่น และหากเป็นอย่างที่มุราคามิบอกก่อนหน้านี้ก็เท่ากับว่าเจ้าจิ้งจอกบ้านี่โดดงานมาวุ่นวายกับฉันเชียวนะ

    เขาไม่ตอบ หากแต่ปิดหนังสือและลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ฉันได้แต่มองการกระทำของเขาด้วยความสงสัย แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามอะไร ร่างสูงตรงหน้านี้ก็...โน้มใบหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู “นั่นเพราะเราทั้งคู่ต่างผูกพันด้วยด้ายแดงอย่างไรล่ะ”

     

    ----------------------------------------------------------------

    05.05.14
    หลังจากหายหัวไปหลายวัน ในที่สุดก็กลับมาอัพนิยายแล้วค่ะ
    สารภาพว่าแอบอู้ไปสองสามวัน (กราบขออภัย) เพราะเอาแต่หางานทำอย่างบ้าคลั่ง
    ตามประสาเด็กจบใหม่และยังไม่ได้งานทำอ่ะนะ ฮ่าาาา


    ถึงจะดูไม่เกี่ยวกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้นิยายคืบช้านั้นคือ..แมว
    ทั้งกระโดด กระโจน นอนทับคอมพ์
    ตอนนี้ขาบาฮันนี่ลายไปหมดแล้ววว //แสบจนน้ำตาไหลเลยค่ะ

    08.05.14
    บาฮันนี่ยังไม่ตายนะคะ!!
    ที่หายไปเพราะไปสัมภาษณ์งานมา
    กลับมาเมื่อวานเย็นก็ได้แต่อ่านนิยาย เจอพิษแมวเด็กเข้าไปแล้วหลับเป็นตาย (ฮา)
    เดี๋ยวคืนนี้สัญญาจะลงบทที่ 6 นะก๊ะ//ไฟลนก้น

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×