ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 [100%] Rewritten

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 57








     

    บทที่ 3

     

     

                “ฮารุกะจังงง~ เช้าแล้วจ้า~”

    อือออ...

                    “ไม่รีบระวังจะสายเอานะ เปิดเรียนวันแรกเสียด้วย”

                     คำว่า เปิดเรียนของคุณพ่อทำให้ฉันลุกจากที่นอน ก่อนที่กลิ่นอาหารหอมๆ จะชวนให้ฉันลุกขึ้นมาเก็บที่นอน เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะลงไปล้างหน้าแปรงฟัน และใช้เวลานานนิดหน่อยในการหมุนตัวหน้ากระจก มองตัวเองในชุดนักเรียนแบบกะลาสีสีกรมท่าสุดน่ารัก

                    ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่ว่าฉันก็น่ารักอยู่

                    ผมทำสี กระโปรงสั้น และถุงเท้าลูซซอคที่โตเกียวนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ฉันดูเรียบร้อยอย่างที่สุดในชุดกะลาสี ส่วนผมทำสีที่เคยมีมาจนกระทั่งเมื่อวานนี้ถูกเปลี่ยนเป็นสีดำหลังจากที่โคบอกว่ามันผิดระเบียบของโรงเรียน ความยาวจรดกลางหลังทำให้ฉันตัดสินใจรวบมันเป็นหางม้า เข้ากับผมหน้าที่เพิ่งจะเล็มไปไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ปากฉันมีอยู่นิด จมูกก็มีอยู่หน่อย (แต่ดั้งจมูกฉันโด่งอยู่นะ) หน้าตาตอนปราศจากเครื่องสำอางของฉันก็แสนจะเรียบร้อย จะห่วงก็แต่...ไอ้นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนในกรอบตาโตๆ กับขนตางอนงามที่เป็นมรดกตกทอดมาจากคุณยาย ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็หาว่าฉันใส่คอนแทกเลนส์แฟชั่นและติดขนตาปลอม

                    ในครัวยังคงมีเสียงกุกกัก กลิ่นอาหารยั่วน้ำลายเร่งให้ฉันผละออกมาจากกระจก ไม่บ่อยนักหรอกที่คุณพ่อจะอยู่บ้านทำกับข้าว และไม่บ่อยนักหรอกที่บ้านซากุระซากะจะคลุ้งไปตัวกลิ่นอาหารที่เพิ่งทำเสร็จ สด และใหม่

                    บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารหลายชนิด ทั้งออมเลต ไข่หวาน แม้แต้อาหารเช้าแบบอเมริกันเบรคฟาสต์ก็เรียงรายเต็มโต๊ะไปหมด

                    “นึกครึ้มอะไรถึงได้ทำออกมาซะเต็มโต๊ะแบบนี้คะคุณพ่อ” ฉันถามพลางทรุดตัวนั่งและเริ่มจัดการออมเลตก่อนเป็นอย่างแรก

                    “ก็ป๊ะป๋าไม่รู้นี่น่าว่าฮารุกะชอบกินอาหารเช้าแบบไหน” คุณพ่อที่หันหน้าเข้าหากระทะตอบ

                    “จะเป็นไปได้ไงคะ แม้แต่คุณแม่ยังรู้เลยว่าหนูชอบออมเลตของคุณพ่อที่สุด”

                    “นั่นหมายความว่าอาหารโปรดของเจ้าคือไข่เจียวตะวันตกใช่หรือไม่...?”

                    กึก...

                    สำนวนผิดหูทำให้ฉันชะงัก ถ้าจำไม่ผิด...เมื่อคืนคุณแม่โทรมาบอกว่าถึงบราซิลแล้ว แน่นอนว่าท่านหอบคุณพ่อไปด้วย ซึ่งนั่นเป็นต้นเหตุให้ฉันต้องย้ายมาอยู่บ้านคุณยายเพียงลำพัง...

                    ...เพียงลำพัง

                 แล้วไอ้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันเป็นใคร!!!

    เปลวไฟสีฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์พวยพุ่งจากเบื้องล่างโอบล้อมร่างสูงในชุดผ้ากันเปื้อนสีชมพูและแผดเผาเรือนผมสีดำของคนที่ฉันเข้าใจว่าเป็นคุณพ่อ แล้วฉันก็แทบหงายหลังเมื่อเรียวหูยาวและพวงหางทั้งเก้าของบุรุษในชุดกิโมโนเนื้อปรากฏแก่สายตา

     จะบ้าตาย! เจ้าจิ้งจอกแปลงกายเป็นพ่อฉัน  ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันที่หลับอุตุโดยไม่รู้ว่าถูกบุกรุกบ้าน!

    “อรุณสวัสดิ์ ฮารุกะของข้า”

    “นะ...นะ...นายมาที่นี่ทำไม แล้วยังจะแปลงกายเป็นคุณพ่อฉันอีก!

                    “เพราะข้ารู้ว่าเสียงของดร. ทาคาโนะเรียกให้เจ้าตื่นได้ ส่วนเหตุใดข้าจึงมาที่นี้นั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันที่แล้ว...”

    สามวันที่แล้ว...? สามวันที่แล้ว...?

    อ้อ...ใช่ สามวันที่แล้ว

     

                    พื้นที่ข้างกายเจ้า...ข้าขอได้หรือไม่?

                    แม้จะถามด้วยใบรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ฉันสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวซึ่งแทรกในน้ำเสียง และเป็นวินาทีเดียวที่นัยน์ตาสีอำพันเผยร่องรอยความรู้สึกบางอย่าง...

                    ความเหงาคือคำที่ฉันใช้เรียกความรู้สึกนั้น และเชื่อมั่นว่าตัวเองรู้จักมันไม่น้อยไปกว่าใคร

                    พ่อแม่ฉันไม่ค่อยอยู่บ้าน แม้ว่าตอนกลางวันฉันจะออกไปเล่นกับเด็กวัยเดียวกันบ้าง แต่เมื่อกลับบ้าน สิ่งเดียวที่อยู่กับฉันคือเสียงโทรทัศน์ ฉันเบื่อที่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียวในขณะที่เด็กคนอื่นๆ มีพ่อแม่มารับกลับ ...เบื่อที่ต้องสั่งอาหารจากข้างนอก ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ มีแม่คอยทำอาหารให้ ที่โรงเรียนก็เช่นกัน ฉันเบื่อที่ต้องกินขนมปังร้านสะดวกซื้อ ในขณะที่เพื่อนๆ ล้อมวงกินข้าวกล่อง

                    เพราะเหงา...ฉันจึงมาหาคุณยาย เพราะไม่อยากเดียวดาย...คุณยายจึงเป็นคนแรกที่ฉันคิดถึง

                    อะไรบางอย่างบอกฉันว่าจิ้งจอกตนนี้ก็กำลังเหงา และหากเห็นแก่พระเจ้า ฉันก็ควรจะ...

                    ไม่!’ ปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคำ!

                    ‘...เพราะเหตุใดจึงไม่ได้

                    ‘มนุษย์กับปีศาจอยู่ร่วมกันได้ที่ไหน แถมปีศาจอย่างนายเอะอะอะไรก็จับกินตลอด!’

                    ‘เจ้าไม่เคยอยู่ร่วมกับปีศาจ แล้วเหตุใดจึงตัดสินว่าเราอยู่ร่วมกันไม่ได้

                    ไม่ได้ก็คือไม่ได้! นายรีบออกไปให้ห่างจากฉันเดียวนี้นะ!’

                    ‘ไม่... จิ้งจอกยังดึงดัน คิ้วเรียวยาวนั้นขมวดเข้าหากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เจ้าจากที่นี่ไปนาน และเมื่อได้พบกัน ข้าย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปไหน เหนือสิ่งอื่นใด ข้าไม่อาจทนดูเจ้าที่ไม่ใส่ใจตนเอง... มีกลิ่นไม่พึงประสงค์แฝงอยู่ในกายเจ้า ฮารุกะ มันเกิดขึ้น...จากพฤติกรรมการกินที่ไม่ปกติ

    ...ลางร้ายย่างกรายมาเมื่อลูกไฟถูกจุดขึ้นในมือของปีศาจ เสี้ยวนาทีหลังจากนั้น...ความวินาศสันตะโรก็บังเกิด!

    เจ้าลูกไฟพุ่งเข้าใส่ข้ากับบรรดาบะหมี่ถ้วยของฉัน เปลวไฟสีน้ำเงินนั่น...ลุกท้วมแผดเผา และแค่ชั่วพริบตา...บรรดาบะหมี่ก็เหลือเพียงเศษเถ้าธุลี

                    นับจากนี้ไป ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ข้าจะหุงหาอาหารให้เจ้าเอง

                   

                    ...ฉันจำได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

    เพราะธุรกิจร้านอาหารไม่ได้เฟื่องฟูในหมู่บ้านนี้สักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และทุกคนที่นี่นิยมการประกอบอาหารทานกันเองในครัวเรือน ดังนั้นจึงมีแค่ร้านขายของชำเล็กๆ ซึ่งเปิด-ปิดตามใจฉันเท่านั้น ที่ฉันพอจะหาอะไรยาไส้ ทว่า...ขนมคบเคี้ยวฆ่าเวลาไม่อาจแทนที่ข้าวร้อนๆ กับมิโซะหอมๆ ได้ แล้วตอนที่ดีกรีความหิวพุ่งถึงขีดที่กินหมีควายได้สบายๆ เจ้าจิ้งจอกก็ได้ถือวิสาสะบุกเข้ายึดห้องครัวอย่างอุกอาจพร้อมด้วยกลิ่นอาหารหอมเย้ายวนใจ

    ...เมื่อความหิวโหยเข้าครอบงำจิตใจ ฉันก็ติดกับความอร่อยของจิ้งจอกเข้าเต็มเปา

    เกิดมามีกรรม ทำอาหารไม่เป็น เฮ้อ!

    กลิ่นหอมยวนใจแทรกกายในอากาศ เสียงน้ำมันเดือดปุดๆ เป็นดนตรีประกอบ จิ้งจอกวางจานเท็มปุระร้อนๆ บนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปวุ่นวายกับเตาร้อนๆ สลับกับเสิร์ฟอาหารจานต่อๆ ไป โดยที่ฉันเกิดนึกสงสัยว่าอีตานี่เห็นฉันเป็นอะไร? ควายป่าหิวโซหรือไงถึงได้ทำออกมาซะเต็มโต๊ะแบบนี้

                    “อิ่มแล้วรึ” จิ้งจอกและตะหลิวในมือถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงวางตะเกียบ

                    “ถึงเวลานัดแล้ว ฉันไม่อยากไปสาย”

    นัยน์ตาสีอำพันมองตาฉันที่หยิบกระเป๋านักเรียนแล้วผุดลุกจากโต๊ะอาหาร นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาเจ็ดโมงสิบห้า ซึ่งเป็นเวลาที่เรานัดกันไว้พอดี

                    มาเอดะ โคยืนรออยู่หน้าบ้าน และทักทายอย่างเป็นกันเองเช่นทุกครั้ง “อรุณสวัสดิ์”

    “อรุณสวัสดิ์” ฉันทักทายกลับไป แล้วก็ต้องยอมรับว่าเขาดูดีราวกับนายแบบทั้งที่อยู่ในชุดนักเรียนแบบกักคุรัน สะพายเป้สีเจ็บ แถมยังพ่วงด้วยกระเป๋าสะพายข้างแบบนักกีฬาอีกหนึ่งใบ ได้อารมณ์หนุ่มนักกีฬาสุดฮอต

    “พร้อมสำหรับโรงเรียนใหม่หรือยัง”

                    พอคิดว่าจะได้เจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ แล้วมันก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ในโรงเรียนที่ปราศจากปีศาจร้าย ฉันรู้สึกราวกับได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ไม่ปาน “ที่สุดเลยล่ะ”

     

                    โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเคย์เซย์

                    “นี่ๆ จริงหรือเปล่าที่เขาว่าต้องดื่มกาแฟสตาร์บัคถึงจะเจ๋ง”

                    “แล้วจริงหรือเปล่าที่ว่าหนุ่มๆ ที่ชิบุยะหล่อกวาที่ชินจุกุ”

                    “โรงเรียนกวดวิชาเนี่ย ที่ไหนดีกว่ากัน”

                    “เคยเจอยามะพีมั้ย?”

                    “วิศวะโทไดเข้ายากรึเปล่า”

                    เพื่อนใหม่ในชั้นเรียนพากันรัวคำถามใส่ฉัน พวกเขาดูตื่นเต้นกับคำว่าโตเกียวมากถึงได้แห่มารุมล้อมฉันและถามคำถามมากมาย ซึ่งฉันก็พยายามตอบให้ได้มากที่สุด ในเวลาแบบนี้ฉันควรผูกมิตรไมตรีไว้ และอดไม่ได้ที่จะดีใจ เพราะครั้งสุดท้ายที่ฉันได้รับความสนใจจากคนรอบข้างก็นานมาแล้ว

    ที่จริงฉันก็เคยเป็นเด็กนักเรียนปกติ มีเพื่อน มีชมรม มีสังคมและมีความสุขดี กระทั่งเมื่อเริ่มมองเห็นปีศาจ ทุกอย่างก็พลันเปลี่ยน ความหวาดกลัวขังฉันให้อยู่แต่ในบ้าน ความหวาดระแวงทำให้ฉันไม่กล้าออกไปไหน เพื่อนฝูงที่เคยมีก็เริ่มหายไป  จนสุดท้าย...ฉันก็พบว่าตัวเองอยูเพียงลำพัง

    ทว่า...นับจากวันนี้เป็นต้นไป ชีวิตในโรงเรียนคงจะกลับมาสนุกสนานเหมือนเดิม

                    กระสุนคำถามจากเพื่อนชั้นพุ่งใส่ฉันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละคนก็มีสิ่งที่อยากรู้ต่างกันออกไป เด็กเรียนถามเรื่องการเรียน เด็กเฟี้ยวถามเรื่องแฟชั่นการแต่งกาย แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือหนุ่มๆ หลังห้องรุมขอถ่ายรูปฉัน...

                    เป็นห้องคิงที่แปลกประหลาดแต่ก็มีสีสันมากเลยเชียว

                    ความสงสัยที่รุนแรงเทียบเท่าพายุทอร์นาโดสงบลงเมื่อเพื่อนคนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ดูต้นท่าวิ่งกระหืดกระหอบมาและตะโกนบอกว่าอาจารย์มาแล้ว เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่ทุกคนจะผละจากฉันแล้วกลับไปนั่งที่ของตัวเอง มีเสียงเลื่อนเปิดประตุห้อง พร้อมด้วยร่างอวบอั๋นของอาจารย์ในชุดพละ บรรยากาศในห้องจากที่เคยโหวกเหลกพลันเงียบสงบพร้อมสำหรับการเรียน

    “พวกเธอคงรู้แล้วว่าอาจารย์คิคุจิที่สอนวิชาประวัติศาสตร์ลาคลอด”

    “เย้!” พวกเด็กหลังห้องส่งเสียงโห่ร้องชอบใจ ช่างเป็นเด็กห้องคิงที่ไม่ห่วงการเรียนเอาซะเลย

    “แต่อย่าเพิ่งดีใจไป วันนี้ครูจะพาอาจารย์สอนประวัติศาสตร์คนใหม่มาแนะนำ เชิญครับ”

    ครืด...

    มีเสียงเลื่อนประตูขึ้นแทรกเสียงซุบซิบของทุกคนในห้อง แล้วทุกสรรพเสียงก็พลันเงียบลงเมื่อเสียงฝีเท้าดังขึ้น ราวกับทุกคนในห้องลืมหายใจ และฉันก็ต้องลืมหายใจไปจริงๆ เมื่อร่างสูงโปร่งของหนุ่มหล่อในชุดสูทสากลปรากฏแก่สายตา...

    นัยน์ตาสีอำพันมองมาที่ฉัน ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์กับเรือนผมซอยสั้นเซตทรงเนี้ยบนั้นเรียกเสียงกรี้ดจากสาวๆ ขรม สูทสีครีมดูอ่อนโยนส่งให้ร่างสูงดูดีราวกับเจ้าชายในนิทาน ฉันจำรายละเอียดบนใบหน้านั้นได้ และไม่มีวันลืมด้วยว่ารอยยิ้มน้อยๆ นั้นชวนฝันเพียงใด กับสายตาที่สื่อความหมายชัดเจนว่าพบกันอีกแล้วนะฮารุกะ

    แบบนี้สินะที่เขาเรียกกันว่า...นรกมาเยือน!

     

     

    -------------------------------------------------------
    หลังจากที่หายหัวไปสองวัน ตอนนี้บาฮันนี่กลับมาแล้นนนนน
    ที่หายไปไม่ใช่อะไรเลยค่ะ เขียนจดหมายสมัครงานกับเลี้ยงแมว
    เขียนจดหมายสมัครงาน...มันยากตรงที่เราจะเอาอะไรไปพรีเซนต์เค้านี่แหละค่ะ
    ส่วนเลี้ยงแมวนั้น ถูกลูกแมวตดใส่ด้วยอ่ะ
    มันถือเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่งหรือเปล่านะ??            

     
    เพิ่งเห็นแฟนคลับมีสิบคนแล้ว โอ้วววววววววววววววววววววววววว
    แทบกรี้ดแน่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×