ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 [100%] Rewritten

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ค. 57







    บทที่ 1


     

    กลิ่นยาสูบลอยคลุ้งอยู่ในอณูอากาศ ควันสีขาวลอยขึ้นสูงแข่งกับเมฆาบนฟ้าครามของเดือนเมษายนที่ยังคงหนาวเย็น คล้ายว่าฤดูหนาวยังคงโอบล้อมอยู่รอบกายดังอาลัยแผ่นดินนี้

    ร่างสูงในชุดกิโมโนสีเข้มนั่งชันเข่าอย่างผ่อนคลายบนระเบียงของเรือนญี่ปุ่นโบราณซึ่งตั้งอยู่กลางขุนเขา นัยน์ตาสีอำพันทอดยาวอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้พวงหางสีเงินทั้งเก้าพัดโบกไปมาอย่างอิสระ เรียวหูยาวกระดิกเมื่อสรรพเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลงแล่นกระทบโสตประสาท ริมฝีปากได้รูปพ่นควันสีขาวออกมาอีกระลอก ลมเย็นพัดเสียดผิวกาย แต่ยาสูบก็ช่วยให้ความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี

                    “ไม่ว่าเมื่อไหร่ ป่านาสึนะก็ยังสวยงามเสมอเลยนะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพ” เสียงหนึ่งดังที่ขึ้นข้างกาย พร้อมด้วยร่างเล็กของหญิงชราเรียกให้เขาละสายตาจากผืนป่าที่ยังปกคลุมด้วยหิมะ และหันไปต่อทบสนทนาด้วยน้ำเสียงสรวญ

                    “การที่เจ้าออกมาพบปะผู้คนได้ย่อมหมายความว่าฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้วใช่หรือไม่ แม่เฒ่าจุนโกะ”

                    “ด้วยชาติกำเนิดของข้าซึ่งเป็นอสูรฤดูใบไม้ผลิ ก็ย่อมเป็นเช่นนั้นละเจ้าค่ะ” หญิงชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่างน่าเสียดายที่หิมะในปีนี้ละลายช้าเหลือเกิน”

                    “ทว่าอีกไม่นาน มันก็จะถูกหลอมละลายด้วยความอบอุ่นของฟูใบไม้ผลิ”

                    “ดังเช่นหัวใจของท่านหรือเจ้าคะ”

                    ถ้อยคำของหญิงชราทำให้เขาชะงัก และนิ่งฟังสิ่งที่นางจะพูดออกมาหลังจากระลึกได้ว่าการปรากฏตัวของนางนั้นย่อมไม่มีจุดมุ่งหมายใดนอกเสียจากการทำนายทายทัก ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันนั้นก็ร่วมห้าร้อยปีได้แล้วกระมัง

    และคำทำนายของนางยังแม่นมากเสียด้วย...

    “...การรอคอยของท่านสิ้นสุดลงแล้ว ท่านแม่ทัพ อีกไม่นานดอกไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิจะเบ่งบาน เพราะเด็กน้อยของท่าน...นางกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ”

    เจ้าของเรือนผมสีเงินยกกล้องยาสูบด้ามยาวขึ้นสูบ ก่อนจะพ่นออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบ หากแต่ความรู้สึกที่เก็บงำอยู่ในหัวใจนั้นพุ่งพล่าน...อย่างที่ไม่ได้เป็นมาหลายสิบปี

    เพียงแค่เอ่ยถึง นางเท่านั้นเอง

    “สิ้นคำทำนายแล้ว ข้าคงต้องขอตัว ฤดูใบไม้ผลิในปีนี้มีคำทำนายมากมายเหลือเกินเจ้าค่ะ”

    “ยินดีที่ได้พบกันอีกครา แม่เฒ่าจุนโกะ”

    หญิงชราโค้งรับ ก่อนที่ร่างของนางจะอันตรธารหายไป

    สายลมเย็นเยียบพัดมาวูบหนึ่ง เร่งเร้าให้เขาต้องยกกล้องยาสูบขึ้นสูบ ควันสีขาวถูกพ่นอีกครา คราวนี้ที่ตามมาคือความคิดถึงจากก้นบึ้งของหัวใจ ใบหน้าของเขาระบายยิ้มเมื่อนึกถึงภาพในวันวาน ...ดวงหน้าชวนฝันของใครคนนั้น

    “กลับมาแล้วรึ แม่ดอกไม้ของข้า”

     

    ทิวทัศน์แถวนี้ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก...

    นั่นคือความคิดแรกเมื่อฉันหยุดฝีเท้าที่ประตูหน้าบ้านซึ่งทำจากแผ่นไม้ขนาดใหญ่ และก่อนที่ฉันจะทันได้คิดอะไรหรือมองอะไรไปมากกว่านั้น โทรศัพท์ในกระสะพายข้างมันก็ร้องเสียงดังเสียก่อน

                    (ฮารุจัง หนูถึงบ้านคุณยายหรือยังลูก)

                    “ถึงแล้วค่า”

    เสียงหวานที่คุ้นเคยการมาตามสาย และฉันก็กรอกเสียงกลับไป ด้วยหวังให้ความกังวลในน้ำเสียงของคุณแม่ซึ่งอยู่ปลายสายเจือจางลงบ้าง แต่ก็ไม่...

                    (แล้วของฝากที่ฝากให้คุณมาเอดะที่อยู่บ้านข้างๆ ล่ะ เอามาด้วยหรือเปล่า)

                    “เอามาแล้วค่า~”

                    (ดีจ้ะ ตอบแทนที่เขาอุตส่าห์ดูแลบ้านให้ตั้งหลายปี อย่าลืมไปขอบคุณเขาด้วยล่ะ อ้อ! แล้วก็กุญแจบ้าน...)

                    “อยู่ที่บ้านคุณมาเอดะค่า”

                    (ใช่ๆ แล้วก็เรื่องที่ทาง...)

                     มีอะไรก็ให้ถามเอากับคุณมาเอดะสินะคะ รู้แล้วค่า ไม่ลืมด้วยค่า”

                    (ดีจ้ะ ฮารุจังเก่งแบบนี้ แม่ค่อยหายห่วงหน่อย) ปลายสายแอบถอนหายใจ

                    ฉันว่าคุณแม่ควรจะเลิกเป็นห่วงฉัน ตั้งแต่ปล่อยให้ฉันไปตะลุยบ้านผีสิงในดิสนีย์แลนด์ด้วยตัวคนเดียวตอนอายุห้าขวบแล้วล่ะ

                    (อ๊ะ! แย่ล่ะ! เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่องแล้ว แค่นี้ก่อนนะจ๊ะฮารุจัง ไว้ถึงบราซิลแล้วแม่จะติดต่อไปนะ อ้อ แล้วก็เรื่อง...)

                    ติ๊ด---

                    ทุกอย่างพลันเงียบเมื่อเสียง ติ๊ดดังขึ้น

    ใช่...ฉันเพิ่งกดวางสายก่อนที่แม่บังเกิดเกล้าจะเริ่มพล่ามความกังวลอีกบานตะไท แล้วสุดท้าย...ท่านอาจตกเครื่องเพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์

                    แล้วทีนี้ ทริปตะลุยป่าคว้าฝันที่อะเมซอนของคุณแม่คงเป็นได้ล่ม

                    ฉันชื่อซากุระซากะ ฮารุกะ อายุสิบเจ็ด เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของคู่สามีภรรยานักสำรวจที่กำลังจะบินไปพลิกป่าหาสัตว์ซึ่งยังไม่มีการค้นพบที่อะเมซอนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แล้วด้วยความที่ว่าสิงสาราสัตว์ที่พวกท่านกำลังจะไปพลิกแผ่นดินหานั้นไม่อาจทำให้ฉันเรียนจบม. ปลายได้ สาวใสวัยกระเต๊าะอายุสิบหกอย่างฉันจึงต้องแกร่วอยู่ที่ญี่ปุ่นคนเดียว...

                    ...ย้ำว่าคนเดียว

                    ตระกูลซากุระซากะของเราเคยเป็นตระกูลใหญ่ มีญาติพี่น้องมากมายเมื่อครั้งอดีต แต่เมื่อการเวลาผ่านไป ตระกูลใหญ่ก็ได้หดเล็กลง ยิ่งหนึ่งในสมาชิกที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดอย่างคุณยายยาจิโยะสิ้นบุญไปเมื่อสามปีก่อนหน้านี้แล้ว ตระกูลซากุระซากะเรายิ่งเล็กเข้าไปใหญ่ ปัจจุบันจึงเหลือแค่คุณแม่ คุณพ่อ (เขยแต่งเข้า) และฉัน สามเท่านั้น

                    ยิ่งพวกท่านออกไปโบยบินแล้ว...ฉันจึงเป็นซากุระซากะคนเดียวในแผ่นดินญี่ปุ่น

                    คุณแม่กังวลมากหากฉันต้องใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวที่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายสารพัด และก่อนที่ท่านจะเส้นเลือดในสมองแตก ฉันก็ได้เสนอความคิดซึ่งเป็นความต้องการอย่างที่สุดของฉันเอง ฉันขอย้ายมาอยู่บ้านคุณยายที่ต่างจังหวัด ในชนบทอันห่างไกล ...อันที่จริงจะเรียกว่าบ้านนอกก็ได้ และแม้ว่าคุณแม่จะคัดค้านแทบตาย แต่ตอนนี้ฉันก็มายืนอยู่หน้าบ้านของคุณยายแล้ว

                    ฉันสูดหายใจเอากลิ่นอายธรรมชาติเข้าเต็มปอด นี่ก็เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศที่ยังคงหนาวเย็นไม่ต่างจากฤดูหนาวทำให้ฉันต้องกอดกระชับเสื้อโค้ตของตัวเอง ก่อนจะแบกกระเป๋าเดินทางใบไปไว้หน้าประตูรั้วของบ้านซากุระซากะ เปิดเอาของฝากที่คุณแม่พูดถึงออกมา ด้วยความเคยชิน...ฉันกุมเครื่องรางที่ห้อยคอไว้แน่น จากนั้นจึงหันซ้ายหันขวา และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติ...ฉันจึงเริ่มเดินทางไปบ้านข้างๆ ที่อยู่ห่างออกไปเกือบสามร้อยเมตร

                   

                    “โอ้ มาแล้วๆ ว่าไงล่ะฮารุจัง ไม่เจอตั้งนาน โตเป็นสาวสวยขนาดนี้เชียว!” พอเห็นหน้าฉันปุ๊บ ลุงมาเอดะ มาซาฮิโระก็โพล่งเสียงดังตามสไตล์ปั๊บ ต่อให้เวลาผ่านไปกี่ปี ลุงมาซาฮิโระก็ยังโผงผางและเป็นกันเองเสมอ

                    “สวัสดีค่ะคุณลุง ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีกันหรือเปล่าคะ” 

                    “ถ้าไม่นับเรื่องยัยแก่ฮาคุโตะที่เสียไปเมื่อหลายเดือนก่อนล่ะก็ ทุกคนสบายดีกันทั้งนั้นล่ะ ดูลุงสิฟิตปั๋งเลย” ไม่ว่าเปล่า ลุงมาซาฮิโระยังเบ่งกล้ามโชว์ฉันอีกด้วย ส่วน ยัยแก่ฮาคุโตะที่คุณลุงแกพูดถึงน่ะ...แม่ยายเขาล่ะ “เดินทางมาเหนื่อยสินะ แวะดื่มชาด้วยกันก่อนสิ แล้วค่อยเข้าบ้าน”

                    คุณยายบอกฉันเสมอว่าหากบ้านมาเอดะหยิบยื่นน้ำใจให้ ก็ไม่ควรปฏิเสธ ดังนั้นฉันจึงก้าวเท้าตามหลังลุงมาซาฮิโระเข้าบ้านอย่างว่าง่าย  ท่านพาฉันมานั่งที่ห้องรับแขก ก่อนจะหายเข้าไปในครัว และกลับออกมาพร้อมกับป้ามาซากิที่ยังดูใจดีเหมือนเคย

                    “ตายแล้ว นี่หนูฮารุกะโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย” ป้ามาซากิ ภรรยาของลุงมาซาฮิโระเอ่ยอย่างตกใจขณะเอาชามาเสิร์ฟ “แถมยังเป็นสาวสวยซะด้วย แบบนี้ ถ้าโคคุงของป้าเห็นเข้า ไม่ต้องตกหลุมรักกันพอดีเหรอเนี่ย”

                    คุณป้าหัวเราะคิกคักขณะเปิดประเด็นด้วยการเม้าท์ลูกชายคนรองซึ่งอายุเท่าฉันพอดี อันที่จริง...ฉันไม่ได้รู้จักมักจีหรือสนิทกับมาเอดะ โคหรอก แค่เจอกันบ้าง เห็นหน้าบ้าง อย่างครั้งล่าสุดที่เจอกันก็ตอนม. ต้น ในงานศพของคุณยาย ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กชายตัวดำขี้มูกเขรอะ

                    เอาเถอะ...นั่นมันก็ผ่านมาสามปีแล้ว

                    “กลับมาแล้วคร้าบบบ~” เสียงแตกหนุ่มครางยานดังขึ้นท่ามกลางการสนทนาสัพเพเหระ

    “กลับมาแล้วเหรอโคคุง มานี่สิๆ ดูสิว่าใครมา” ไม่ว่าเปล่า ป้ามาซากิยังลุกไปลากลูกชายของตนมาที่ห้องรับแขก แล้วหนุ่มม.ปลายร่างกายสูงใหญ่ กับเครื่องหน้าที่ดูแปลกตาไปเพราะการเจริญเติบโตก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า

    มาเอดะ โค...หล่อขึ้นจมเลยนะเนี่ย

     “หนูฮารุกะจะย้ายมาเรียนม. ปลายปีสองโรงเรียนเดียวกับโคคุงล่ะ”

    “หวัดดี” ฉันหันไปทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม

     “อะ...เอ่อ...โอ๊ส!” โคโพล่งเสียงดัง นี่คือการทักทายแบบนักกีฬาสินะ

    ฉันอยู่คุยกับคุณลุงคุณป้าสักพัก ตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน ครอบครัวมาเอดะกับบ้านซากุระซากะมีความสัมผัสอันดีต่อกันมานานแล้ว พวกท่านให้ความช่วยเหลือบ้านซากุระซากะในหลายๆ ด้าน เช่นตอนงานศพคุณยายพวกท่านทั้งสองก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานให้ แถมตอนนี้ยังอาสาดูแลบ้านที่ไม่มีคนอยู่ให้อีก บ้านซากุระซากะต้องขอขอบคุณพวกท่านจริงๆ

    จากตอนแรกที่กะว่าจะมอบของฝาก เอากุญแจ แล้วกลับบ้านก็กลายเป็นว่าฉันถูกป้ามาซากิรั้งตัวด้วยอาหารเย็นซะอย่างนั้น ฉันเคยทานอาหารฝีมือป้ามาซากิอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่นั่นก็พอเพียงพอที่จะทำให้ฉันจำรสชาติอาหารที่ท่านทำไปจนวันตาย ป้ามาซากิทำกับข้าวเก่งสุดๆ

                    แน่นอนว่าฉันไม่ปฏิเสธ

     

    กว่าป้ามาซากิจะยอมให้กุญแจบ้านกับฉันก็เล่นเอาตะวันเกือบตกดิน ยังไม่พอ ท่านยังอุตส่าห์ให้โคมาช่วยดูฟืนไฟให้ด้วย เพราะงั้นฉันเลยต้องเดินกลับมาที่บ้านพร้อมกับเขา และเพิ่งรู้ว่าเขาคุยสนุกกว่าที่คิด อาจเป็นเพราะอายที่ไล่เลี่ยกัน กำลังจะไปเรียนที่เดียวกัน หรืออะไรสักอย่าง ใช้เวลาไม่นานเราก็สนิทกันในระดับหนึ่ง

    ถึงแม้ว่าจะมีคนเดินมาส่งที่บ้าน แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองรอบกาย และเมื่อเห็นแล้วว่าไม่มี 'อะไร ' ฉันจึงคุยเล่นกับโคต่ออย่างโล่งใจ

    ...ก็นะ มันเป็นนิสัยน่ะ

     “สัมภาระเธอมีแค่นี้เองเหรอ” โคถามขึ้นในตอนที่เรามาถึงบ้านซากุระซากะ เขาดูแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นแค่กระเป๋าเดินทางใบเดียว

    “อื้ม พวกของชิ้นใหญ่ๆ อย่างคอมพิวเตอร์หรือไมโครเวฟจะมาส่งถึงพรุ่งนี้น่ะ”

    “อ้อ...” เขาพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะแบกกระเป๋าเดินทางใบเดียวของฉันขึ้นบ่า “มา ฉันยกให้”

    “อย่าเลย คือ มันหนักน่ะ วางลงเถอะ”

    “เอาน่า...แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก” แล้วคนตัวสูงก็เดินลิ่วเข้าไปในเขตบ้าน

    ฉันเดินตามโคไปติดๆ แล้วบรรยากาศเก่าๆ ก็พัดหวนคืน แม้จะร้างมาสามปี แต่ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม บ้านของคุณยายเป็นเรือนชั้นเดียวแบบญี่ปุ่น แม้จะเก่า แต่ก็กว้างขวาง มีสวนกว้าง บ่อน้ำ กับต้นซากุระ สมกับเป็นบ้านซากุระซากะ ลุงมาซาฮิโระดูแลบ้านหลังนี้ได้ดีมาก...มากจนฉันประทับใจ น้ำตาแทบไหล คล้ายคืนวันที่คุณยายยังอยู่กับฉัน

    อ้อ...ฉันไม่ได้เศร้าโศกกับการจากไปของคุณยายหรอกนะ ฉันแค่มีความสุขกับบรรยากาศที่ชวนให้คิดถึงเท่านั้นเอง

    ฉันไขกุญแจเข้าไปในตัวบ้าน แล้วก็พบว่าทุกซอกทุกมุมนั้นสะอาดหมดจด โควางกระเป๋าฉันลงแล้วไล่เช็คทั้งระบบไฟฟ้าและระบบแก๊สทำน้ำอุ่น ผลออกมาว่ามันสามารถใช้งานได้เป็นปกติ และโชคดีที่โทรทัศน์เครื่องเก่ายังพอใช้ได้ คืนนี้ฉันจึงไม่ต้องนอนฟังเสียงจิ้งหรีดหวีดร้องให้หลอนประสาท...

     “เธอคิดยังถึงได้ย้ายมาที่นี่น่ะ” โคสนทนาด้วยประโยคคำถามที่ฉันคิดไว้แล้วว่าต้องมีคนอยากรู้ “เป็นฉันคงอยู่โตเกียวต่อ หรือไม่ก็คงตามพ่อแม่ไปเมืองนอกแล้วล่ะ”

    “ที่ๆ พ่อแม่ฉันไปมีแต่ป่ากับสิงสาราสัตว์ และฉันยังต้องเรียนหนังสือ แล้วโตเกียวไม่ได้น่าอยู่อย่างที่นายคิดหรอกนะ”

    “เหรอ แต่ฉันอยากออกไปอยู่โตเกียวนะ อย่างน้อยก็มีอะไรมากกว่าบ้านนอกแบบนี้เยอะ”

    ฉันไม่รู้หรอกนะว่า อะไรที่เขาพูดถึงมันคืออะไร แต่ถ้าเป็น อะไร ในความหมายของฉันแล้วล่ะก็ ...ใช่ ที่โตเกียวมี อะไรมากกว่าบ้านนอกแบบนี้เยอะ!

    “แล้วเธอแน่ใจจริงๆ เหรอว่าจะอยู่คนเดียวน่ะ ลำบากแย่เลย”

    “มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ปกติพ่อแม่ฉันก็เดินทางบ่อยอยู่แล้ว ฉันชินแล้วล่ะ” ฉันตอบไปตามจริง

    อาชีพนักสำรวจให้พ่อแม่ฉันไม่ค่อยได้หยุดนิ่ง ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความสงสัย คุณพ่อกับคุณแม่ก็ต้องออกไปค้นคว้าหาคำตอบมาให้พวกเขา แม้ว่านั่นจะหมายถึงการทิ้งลูกสาวให้อยู่บ้านคนเดียวเป็นเดือนๆ

    เพราะงั้น ตอนเด็กๆ ฉันถึงชอบมาอยู่กับคุณยาย บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นที่เก็บความทรงจำดีๆ ไปโดยปริยาย

    “โอเคๆ ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ตลอดเลยนะ บ้านฉันนอนดึกกันอยู่แล้ว”

    “ขอบใจนะมาเอดะ”

    “เรียกโคเฉยๆ ก็ได้”

    “โอเค โค”

    “อื้ม แบบนั้นแหละ ฉันกลับก่อนแล้วกัน บาย”

    “กลับดีๆ ล่ะ”

    ฉันโบกมือไล่หลังโคที่วิ่งหน้าตั้งกลับบ้าน จนกระทั่งแผ่นหลังเขาหายไปจากสายตา

     

    ฉันความเหนื่อยล้าผลักฉันล้มลงบนฟูกนอนที่ลากมาปูในห้องนั่งเล่น ความเงียบเหงาสั่งให้ฉันคลำหารีโมตมาเปิดรื้อกระเป๋า เก็บข้าวของเข้าที่ แล้วก็จัดการตัวเองด้วยการอาบน้ำสระผมเรียบร้อยแล้ว การเดินทางวันนี้ทำให้ฉันเพลียไม่น้อย และเมื่อได้ทานอาหารเย็นอร่อยๆ แช่น้ำผ่อนคลาย แล้วซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมท่ามกลางอากาศเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิในห้องขนาดแปดเสื่อทาทามิ ร่างกายฉันก็เริ่มเรียกร้องหาการพักผ่อน หนังตาฉันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เสียงพิธีกรรายการโกโกริโกะ* เริ่มไกลออกไปทุกที

    ใช่...แล้ว ฉันกำลังเข้าสู่ภวังค์

    ภวังค์ที่มีหอมกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิ สัมผัสอุบอุ่น กับอะไรสักอย่างที่นุ่มลื่นราวกับขนเฟอร์...

    “กลับมาแล้วรึ ฮารุกะของข้า”

    แล้วยังมีเสียงนุ่มทุ้มชวนฝัน หากแต่เนื้อความนั้นชวนให้กระชากตัวออกมาเป็นอย่างยิ่ง!

    ทันทีที่ฉันเปิดเปลือกตา ความง่วงที่เกาะกุมก็ถูกความตกใจ ตื่นกลัว และตื่นตระหนกกำจัดซะสิ้นซากเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า!

    “ข้าทำให้เจ้ากลัวรึ” ริมฝีปากสีระเรื่อสุขภาพดีนั้นเอ่ยอย่างหยอกล้อ แต่กระนั้นก็เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมน่ากลัว ด้วยความตกใจ ฉันผลักใบหน้าที่แทบจะแนบชิดกับใบหน้าของฉันออกไป ก่อนจะพลิกตัวหนี!

    “เจ้าช่างมือหนัก แต่ข้าก็ไม่ได้เกลียดสตรีมือหนักหรอกนะ”

    ฉันถอยกรูจนชิดข้างฝา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้คือ อะไรที่ฉันเจอมาตลอดตอนที่ยังอาศัยอยู่ในโตเกียว ทั้งๆ ที่ฉ้นศึกษามาอย่างดีว่าที่หมู่บ้านนี้ไม่มี อะไรแต่ที่ไหนได้ ฉันกำลังเผชิญหน้ากับ อะไรตัวใหญ่บิ๊กบึ้ม!

    อะไรที่ว่านั่นก็คือปีศาจ ...ปีศาจยังไงล่ะ!

    บรรยากาศรอบกายเย็นวาบ เมื่อปีศาจที่กำลังคุกเข่าอยู่บนฟูกนอนเหยียดตัวขึ้นเต็มความสูง ท่ามกลางแสงนีออนสว่าง ฉันเห็นร่างกายสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง เขาใส่ชุดยูคาตะ ไม่สิ...กิโมโนสีขรึม สวมทับด้วยเสื้อฮาโอริ* สีดำลายดอกซากุระ เครื่องหน้าของเขานั้นได้รูป นัยน์ตาสีเหลืองอำพัน กรอบตาเรียวยาวดูเจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอก ไม่สิ...ใบหูเรียวยาวตั้งตรงกับพวงหางทั้งเก้าทอประกายสีเงินเฉกเช่นสีผมนั่น เป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าฉันกำลังเผชิญกับปีศาจจิ้งจอกตัวจริงเสียงจริง

    แถมยังเป็นจิ้งจอกเก้าหางอีกต่างหาก!

    “อย่าได้กลัวข้า ข้าไม่เหมือนพวกปีศาจกักขฬะ หรือสวะชั้นต่ำอย่างที่เจ้าเคยเจอที่โตเกียว แต่เป็นอสูรชั้นสูงที่มีนามว่า ริน

    มีเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่ได้บอก...เพราะมันเป็นความสามารถที่ไม่ค่อยน่าภูมิใจสักเท่าไหร่

    ...ฉันมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น

    ความจริงคือฉันไม่ได้มองเห็นพวกมันมาโดยกำเนิด หากแต่ความสามารถอันน่าสะพรึงนี้เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่คุณยายเสียไป เริ่มแรกฉันก็เห็นเงาร่างๆ แต่พอยิ่งนานวัน...ความสามารถนี้ก็แกร่งกล้าขึ้น การเห็นแค่เงารางๆ ก็กลายเป็นว่าเห็นเป็นตัวเป็นตน และจับต้องได้ในที่สุด

    โตเกียวในทุกวันนี้ไม่ได้มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ แต่พวกปีศาจก็เช่นกัน ปีศาจที่โตเกียวนั้น แม้ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก รูปร่างแคระแกร็นไม่สมประสม แต่ก็ร้ายกาจ พวกมันหน้าตาน่าเกลียด ท่าทางน่ากลัว ต่างกับปีศาจตนนี้ ที่ทั้งสง่างามและดูทรงอธิฤทธิ์

    แต่...ต่อให้สวยแค่ไหน หรือหล่อยังไง ปีศาจก็คือปีศาจอยู่วันยันค่ำนั่นแหละ!

    “มานี่สิ มาให้ข้าชื่นชมความงามของเจ้าใกล้ๆ เถอะ”  ปีศาจยื่นมือมาตรงหน้า แต่มีหรือที่ฉันจะไป

    ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนฉันว่าพวกปีศาจน่ะไว้ใจไม่ได้ ต่อให้เป็นมิตรขนาดไหน สิ่งที่สุดท้ายที่จะได้รับคือการถูกจับกิน!

    “ไยยังนิ่งอยู่เล่า หรือเจ้าอยากให้ข้าเข้าไปหา ...ได้สิ”

    กรี้ดดดดด ไม่นะ อย่าเข้ามา!

                    เจ้าปีศาจพุ่งตัวเข้ามาหา โชคดีที่ว่าฉันเบี่ยงตัวหลบได้ทัน เจ้านั่นจึงคว้าได้แค่อากาศ ฉันฉวยโอกาสที่มีเพียงน้อยนิดลุกขึ้นวิ่งหนี ทว่าว่า...โชคของฉันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เจ้าปีศาจร้ายถึงได้คว้าข้อเท้าฉันไว้ได้

    ฉันล้มหน้าทิ่มเสื่อ ก่อนจะถูกลากเข้าไปถูกใต้ร่างกายสูงใหญ่ของปีศาจอีกครั้ง

                    “ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ เนื้อฉันไม่อร่อยหรอกนะ”

                    “ใครว่าล่ะ เจ้าออกจะหอมหวานนะฮารุกะ” ปีศาจกระซิบเสียงแหบพร่า “หอมเสียจนข้าอยากลองชิมดูสักคำ”

    คำพูดของปีศาจช่างน่าพรั่นพรึง ความกลัวเข้าแทรกอยู่ทุกพื้นที่ในจิตใจและมันกำลังจะทำให้ฉันหลอน

    ไม่เห็นรู้เลยว่าจะมีปีศาจตัวเอ้อยู่แถวนี้ด้วย!

    “อย่าร้องไห้ไปเลยสาวน้อยของข้า ข้าไม่ได้จะจับเจ้ากินจริงๆ” ปีศาจหัวเราะขบขัน ไม่เท่านั้น เขายังใช้นิ้วสากๆ ลูบไล้อย่างทะนุถนอมและเบามือ ราวกับกลัวว่าเล็บแหลมคมนั่นจะข่วนหน้าฉันเข้าให้ “หากแต่เพียงปรารถนาที่จะได้มองเจ้าชัดๆ”

    “...”

    “เจ้าช่างงดงามนัก ฮารุกะ กลิ่นกายของเจ้านั้นแสนหอมหวาน จมูกของเจ้า ริมฝีปากของเจ้า ทั้งหมดนั้น...คล้ายกับยาจิโยะจังสมัยสาวๆ ไม่มีผิด”

    ยาจิโยะ? ซากุระซากะ ยาจิโยะ?

    นั่นมันชื่อคุณยายฉันนี่

    “เพียงแต่...นัยน์ตาของเจ้าน่าดึงดูดใจกว่ายาจิโยะจังตั้งเยอะ”

    “นายรู้จักคุณยายได้ยังไง”

    “หืม...? ยาจิโยะจังไม่ได้เล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟังรึ? เอาเถอะ ข้ามีเวลามากมายในการเล่าเรื่องเหล่านั้นให้เจ้าฟัง”

    “...”

    “สำหรับคืนนี้ พักผ่อนเสียเถอะฮารุกะของข้า”

    ปีศาจคลี่ยิ้มอ่อนโยนเสียจนฉันหายใจสะดุด และในตอนนั้นเองที่เขาก้มลงมาพรมจุมพิตที่หน้าผากฉัน ความรู้สึกแปลกประหลาดแล่นปลาบไปทั่งทั้งร่าง มันเป็นความอบอุ่นและอ่อนโยนอย่างฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน ฉันไม่รู้ว่าทำไม...และเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น ฉันก็ถูกดึงดูดให้เข้าสู่ห่วงภวังค์

    ที่สำคัญ...ฉันฝันถึงคุณยายกับเรื่องเล่าในอดีตที่ฉันหลงลืมไป

    ในฝันนั้น...คุณยายพูดกับฉันด้วยรอยยิ้ม

     

    ยายมีสหายเป็นปีศาจ...

    แต่ถึงจะเป็นปีศาจ เขาคนนั้นก็งดงามราวกับเทพเทวาบนสวรรค์ ทั้งยังใจดี ชอบมาคุยเล่นกับยายแก่ขี้เหงาอย่างยายบ่อยๆ นั่นคงเพราะเขาก็เหงาเหมือนกัน

    ทว่า...ช่วงเวลาของมนุษย์นั้นแสนสั้น หากยายตายไปแล้ว เขาคนนั้นคงจะเหงามากแน่ๆ

    นี่ ฮารุกะจัง หากเวลานั้นมาถึง เจ้าช่วย...เขาด้วยได้ไหม?’

     





    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    Talk สักนิด 01
    รารู้ว่าใครหลายๆ คนหลงใหลในตำนานของจิ้งจอกเก้าหาง
    แต่ว่า จิ้งจอกในจินตการของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ
    ของบาฮันนี่เองก็เหมือนกันค่ะ พยายามอย่างมากเลยที่จะสร้างคาแร็คเตอร์เก้าหางที่แตกต่างจากเจ้าหางที่เคยเห็นๆมา
    สำหรับรินนั้น บาฮันนี่ปั้นให้เป็นจิ้งจอกผู้อ่อนโยน และออกจะ 'มุ้งมิ้ง' เพราะถึงจะเป็นจิ้งจอก แต่ก็อยู่ในวงวานเดียวกับสุนัข เพราะงั้นจึงอยากให้มีโมเม้นต์อ้อนๆ น่ารักๆ บ้าง 
    ก็นะ...เวลาบาฮันนี่เจอน้องหมาออดอ้อนทีไร ก็เผลอนอกใจเหล่าแมวเหมียวไปซะทุกครั้งเลยล่ะค่ะ

    สำหรับซากุระซากะ ฮารุกะจังนั้น ...ก็เหตุผลเยอะสมฉายาคุณนายตรรกะนั่นแหละค่ะ ฮาาาา


    Talk 2
    ลงครบ 100% แล้วนะคะสำหรับตอนที่ 1 
    จากนี้ไปก็จะขยันเขียนขยันอัพ อย่างน้อยวันละ 1 ตอนก็ยังดี
    เพิ่งสังเกตเห็นตะกี้ว่ามีแฟนคลับแล้ว 2 คน
    ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่รับจิ้งจอกรินไปอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจ ฮื่อ ดีใจ น้ำตาจิไหลเลยยยย
    รักคนอ่าที่สู้ดดดดดดดดดดด > 3<

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×