ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ayakashi to issho เสน่ห์ร้ายนายเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 12 [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 57


     


     

    บทที่ 12

     

     

                    “สามสิบแปดองศา น้ำมูกไหล มีไข้ แถมยังเจ็บคอ แบบนี้แถวบ้านลุงเรียกว่าไข้หวัดครับผม~” คุณลุงมาซาฮิโระว่าพลางโบกปรอทวัดไข้ในมือไปมา

                    ไม่ใช่แค่บ้านลุงหรอกค่ะ บ้านหนูก็เรียกว่าไข้หวัดเหมือนกัน

                    ในเช้าวันพุธที่แสนสดใส แทนที่ฉันจะลุกขึ้นแล้วรีบแต่งกายเพื่อไปโรงเรียนกลับต้องมานอนซมไข้ใกล้เดี้ยงเต็มที ฉันตื่นขึ้นอย่างทรมานด้วยอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว ร่างกายอ่อนเพลียเหมือนถูกสูบวิญญาณจนเกลี้ยง ศีรษะมันหนักจนแทบยกไม่ขึ้น ในหัวก็มึนๆ แบบคิดอะไรไม่ค่อยออก ที่แย่ไปกว่านั้นฉันยังเจ็บคอแถมยังคัดจมูก

                    ที่ฉันป่วยเพราะถูกสาดน้ำใส่เมื่อวานแน่ๆ เลย

                    “แบบนี้คงไปโรงเรียนไม่ไหวสินะ ฉันจะบอกอาจารย์กับพวกซากาตะให้แล้วกัน” โคที่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างๆ ฟูกนอนมาสักพักเอ่ยขึ้น

    งานนี้ต้องขอขอบคุณเขาล่ะที่นึกเฉลียวใจว่าฉันอาจนอนตื่นสายจนต้องเข้ามาตามในบ้าน ก่อนจะรีบกลับไปตามลุงมาซาฮิโระทันทีที่พบว่าฉันป่วย

    “ขอบใจนะโค ขอบคุณนะคะลุงมาซาฮิโระ ...แค่ก” ฉันกล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บพูดออกไป แล้วต้องสำลักเพราะลำคอในตอนนี้ทั้งเจ็บและแห้งผาก

    คอก็เจ็บ หัวก็ปวด ตัวก็ร้อน หายใจก็ไม่ค่อยจะออก โอย...ทรมานจริงๆ

    “ไม่เป็นไรๆ คนกันเองทั้งนั้น” ท่านว่าพลางเก็บเครื่องมือแพทย์แบบพกพาใส่กล่อง “ว่าแต่ฮารุกะจังนี่ก็นะ ซุ่มซ่ามราดน้ำใส่ตัวเองซะได้”

    ฉันได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ลุงมาซาฮิโระ ในขณะที่โคมองฉันอย่างไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก เพราะไม่อยากมีปัญหาและไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เมื่อวานฉันจึงดัดบทด้วยการบอกพวกเขาไปว่าเผลอทำน้ำราดใส่ตัวเองจนเปียก

    โอเค ฉันรู้ล่ะว่ามันฟังดูงี่เง่า แต่ในตอนนั้นฉันมีปัญญาคิดได้แค่นั้นจริงๆ นี่นา

    อีกอย่าง ให้เรื่องมันจบแค่ในห้องน้ำนั่นแหละดีแล้ว

    “เดี๋ยวป้าเค้าจะทำข้าวต้มมาให้นะ ฮารุกะจังก็พักผ่อนดีๆ ล่ะ อย่าซนทำน้ำหกใส่ตัวเองอีกไม่งั้นคราวนี้ได้เป็นปอดบวมแน่ๆ”

    “ค่า...” ฉันครางตอบรับ

    “งั้นฉันไปก่อนนะ เลิกเรียนแล้วจะแวะมาใหม่” โคว่างพลางวางผ้าขนหนูบิดหมาดและถุงน้ำแข็งลงบนหน้าผากฉัน ไอเย็นของมันช่วงบรรเทาไข้แต่ไม่รู้ว่าจะซ้ำหวัดให้หนักขึ้นหรือเปล่า นัยน์ตาเขาเว้าวอนว่าอยากอยู่เฝ้าไข้ฉันจะแย่แต่ก็ทำไม่ได้

    “ลุงเองก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน วันนี้มีเด็กๆ ให้ฉีดยาเยอะแยะเลย”

    ความเงียบเข้าสอดแทรกภายในบ้านซากุระซากะอีกครั้งเมื่อโคกับลุงมาซาฮิโระออกไปแล้ว ฉันจึงหลับตาลงเตรียมหลับและพักร่างกาย แต่ไม่ทันไร..เสียงแหบพร่าในความทรงจำก็ฉุดรั้งฉันไว้

     

    ฮารุกะ หลานรู้จักตำนานด้ายแดงหรือเปล่า

     

    รู้...รู้ค่ะ...รู้ว่าเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตา

    แต่ว่ามันไม่มีจริงนี่คะ...คุณยาย

     

    งั้นเหรอ...นั่นสินะ บางทีเจ้าอาจยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ฮารุกะเอ๋ย ยายเห็นด้ายแดงที่นิ้วของเจ้า ปลายอีกด้านของด้ายแดงนั้นเชื่อมต่อกับเขา...สหายขี้เหงาของยายไงล่ะ

     

    ราวกับว่าจิตวิญญาณถูกดึงดูดไปยังมิติอื่นเมื่อสิ้นคำนั้น ฉันสัมผัสได้ว่ามีสายลมอ่อนๆ กับกลีบดอกซากุระพัดมา เสี้ยวกลีบสีหวานพัดวนรอบกายดังหยอกล้อ ดวงดอกสมบูรณ์หนึ่งพลันหลงร่วงลงบนตัก อะไรบางอย่างดลใจให้ฉันใช้มือซ้ายหยิบมันขึ้นมาก่อนจะสังเกตเห็นว่าที่นิ้วนางมีเส้นด้ายสีแดงผูกเป็นปม

    ...นี่ของจริงเหรอเนี่ย?

    ด้ายแดงสีสดผูกติดเรียวนิ้วของฉันไว้ ปลายอีกด้านลากยาวไปยังโคนต้นซากุระในสวนเบื้องหน้า

    ฉันจำสวนนั้นได้ เพราะมันอยู่ภายในรั้วบ้านซากุระซากะ แล้วม่านระบำของกลีบซากุระก็เผยให้เห็นบุรุษร่างสูงกับพวงหางสีเงินสวยทั้งเก้าพลิ้วไหวไปกับสายลม

    ที่ปลายด้ายแดงนั้น...จรดกับนิ้วนางข้างซ้ายของเขา

     

    เฮือกกก!!

    “ข้าทำเจ้าตื่นรึ”

    สิ่งแรกที่เห็นหลังจากสะดุ้งตื่นนอกจากจะมีฝ้าเพดานในห้องนอนแล้ว ยังมีใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ หูจิ้งจอกเรียวยาว กับนัยน์ตาสีอำพันของรินด้วย

    ฉันหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง โชคดีที่ยาที่กินไปเมื่อเช้าออกฤทธิ์แล้ว ไม่งั้นอย่าหวังว่าจะงัดตัวเองขึ้นมาจากที่นอนได้ “นี่กี่โมงแล้ว”  

    “ใกล้เที่ยงแล้ว เจ้าทานอะไรหรือยัง เมื่อราวสี่ชั่วโมงก่อนมาเอดะ มาซากิทำข้าวต้มมาให้ เจ้าจะทานเลยไหม ข้าจะได้ยกมา” จิ้งจอกรัวคำถามเป็นชุด ความห่วงหาแฝงไว้ในน้ำเสียงนุ่ม ฉันพยักหน้าบอกเขาแทนคำตอบ แต่ก่อนหน้านั้น...

    “ช่วยเปิดหน้าต่างให้ที” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่หน้าต่างข้างๆ โต๊ะทำงาน ไม่รู้ว่าเพราะความฝันหรืออาการป่วยไข้กันแน่ที่ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

                    ทั้งน้ำเสียง เนื้อประโยค และบรรยากาศ ต่างก็ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับวันนั้น...วันที่คุณยายได้จากพวกเราไป

                    แม้ว่าฉันจะลืมมันไป สุดท้ายความฝันก็พามันกลับมา

                    สายตาฉันจับจ้องมองพวงหางทั้งเก้าที่สะบัดไปมาอย่างเป็นอิสระของรินโดยอัตโนมัติ ตอนนั้นฉันคิดว่าสิ่งที่ได้เห็นใต้ต้นซากุระนั้นเป็นแค่ภาพลวงตาที่ฉันสร้างขึ้นมาจากหัวใจที่แตกสลาย ที่จริงแล้วกลับไม่ใช่...บุรุษร่างสูงกับพวงหางทั้งเก้านั้นมีตัวตนอยู่จริง

                    แล้วด้ายแดงล่ะ...มีอยู่จริงด้วยหรือเปล่า?

                    “เจ้าคงอยากสูดอากาศสินะ ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ดีกว่า” รินไม่ได้เปิดหน้าต่างอย่างที่ฉันร้องขอ แต่กลับเดินไปทางห้องเก็บของ

    มีเสียงกุกกักๆ ตามมาหลังจากนั้น ไม่นานรินก็กลับมา

    “ลุกไหวหรือเปล่า”

    “ขอเดาว่าไม่” นี่ไม่ได้สำออยนะ แต่ฉันไม่มีแรงจะลุกจริงๆ คนเคยป่วยคงเข้าใจความรู้สึกดี

    “ถ้าอย่างนั้นข้าอุ้มนะ” จิ้งจอกก้มตัวลงมาแล้วช้อนร่างกายอันร้อนด้วยพิษไข้ของฉันขึ้นอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าฉันจะบุบสลาย ก่อนจะก้าวเท้ายาวๆ ไปที่ห้องรับแขกซึ่งปูฟูกนอนรออยู่ก่อนแล้ว

    เขาวางฉันลงบนฟูกอย่างช้าๆ แม้ว่าฟูกนั้นจะถูกเก็บในห้องเก็บของมาเป็นเวลานาน แต่ที่ฉันได้กลิ่นกลับไม่ใช่กลิ่นอับชื้นหรือกลิ่นฝุ่น หากแต่เป็นกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ รินผละไปจัดการกับประตูเฉลียงที่ยังปิดอยู่ส่วนฉันก็สอดกายเข้าใต้ผ้านวมอุ่นๆ แล้วเริ่มจัดแจงดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมขา น่าแปลกที่ผ้านวมออกจะหนา ทว่ามันกลับอุ่นสู้อ้อมกอดของรินไม่ได้เลย...

    ...ทำไมกันนะ?

    แสงสว่างจากข้างนอกเล็ดลอดเข้ามาเมื่อประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดออก สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ข้างนอกคือสวนข้างบ้านที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากลุงมาซาฮิโระ คุณหมอผู้ชื่นชอบการทำสวนเป็นงานอดิเรก (ไม่เว้นแม้แต่สวนของเพื่อนบ้าน) ต้นไม้เขียวขจีตัดกับสีแดงสดของดอกสึบากิที่ยังคงชูช่อสวยแม้ว่าใกล้ร่วงโรยเต็มที ที่สำคัญต้นซากุระที่ฉันได้เห็นในความฝัน...ตรงกลางสวนนั่นก็เริ่มผลิดอกแล้ว อีกไม่นานสวนของฉันคงสะพรั่งด้วยสีของซากุระ

    กลิ่นหอมอาหารเรียกให้ฉันละสายตาจากสวนสวย รินวางถาดอาหารที่มีชามเซรามิคส่งกลิ่นไว้ข้างๆ ฟูก ก่อนจะยกโต๊ะน้ำชากลางห้องขึ้นมาคร่อมร่างกายส่วนขาของันไว้ จากนั้นจึงจัดแจงวางชามไว้บนโต๊ะ ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนป่วยใกล้เดี้ยงอย่างฉันนั่นเอง

    ฉันเปิดฝาชามออก กลิ่นห้อมฟุ้งกระจาย

    “ค่อยๆ นะ มันร้อน” จิ้งจอกเตือนด้วยความหวังดี “หรือให้ข้าเป่าให้?”

    “ไม่ล่ะเกรงใจ” ฉันว่าพลางตักข้าวต้มเข้าปาก

    ข้าวต้มของป้ามาซากินั้นอร่อย เช่นเดียวกับอาหารชนิดอื่นๆ ที่ฉันเคยทานมา แต่ว่า...เหนือฟ้านั้นยังมีฟ้า เหนือป้ามาซากิยังมี...ริน

    โว๊ะ! ทำไมฉันต้องเอาอะไรต่อมิอะไรไปเปรียบเทียบกับเจ้าจิ้งจอกนี่ด้วยนะ!

     ฉันนั่งทานข้าวต้มไปเรื่อยๆ ด้วยความยากลำบาก แม้จะแสบคอมากตอนกลืนอาหารก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน เพราะฉันโตแล้ว อายุสิบเจ็ดแล้ว ต้องรับผิดชอบตัวจะมัวมางอแงไม่ยอมทานข้าวเป็นเด็กๆ ไม่ได้หรอก และเพราะแบบนี้แหละคุณพ่อถึงไว้ใจให้ฉันอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเพียงลำพัง

     ความลำบากในการกลืนอาหารทำให้ฉันต้องหยุดพัก แล้วในตอนนั้นเองรินที่หายเข้าไปในครัวอยู่นานสองนานกลับมาพร้อมกับแก้วมักใบใหญ่ รินวางแก้วลงตรงหน้าฉัน พร้อมกับวางซองยาที่ลุงมาซาฮิโระจัดไว้ให้และน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวดลงข้างๆ อย่างรู้งานว่ายาปฏิชีวนะควรทานคู่กับน้ำธรรมดา

    บางที...การมีคนดูแลแบบนี้ก็สะดวกดีเหมือนกันนะ

    “ข้าผสมน้ำมะนาวกับน้ำผึ้งในแก้วนั่น เพื่อที่เจ้าจะได้ชุ่มคอขึ้นบ้าง” จิ้งจอกที่ทรุดกายนั่งข้างๆ ฉันบอกเสียงเบา

    กลิ่นหอมของมะนาวกับน้ำผึ้งทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย ฉันจิบน้ำในแก้วมัก ก่อนจะสลัดไปจิบน้ำแล้วทานยาลงไป ข้าวน่ะฉันทานไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าได้ของหวานอีกนิดก็คงจะดี

    ถึงฉันจะบอกว่าไม่อยากอาหารก็เถอะ แต่พุดดิ้งน่ะมันคนละเรื่องกัน

    “คิดไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องอยากของหวาน” ราวกับล่วงรู้ความคิดฉัน จิ้งจอกล้วงบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อฮาโอริสีขรึมเข้ม มันคือ ของขอขมา ที่ทำไฟไหม้บ้านฉัน

    พุดดิ้งยี่ห้อโปรดที่ฉันไม่ได้ทานมานานและหาซื้อไม่ได้!

    “บางทีฉันก็คิดว่านายอ่านใจฉันออก” ฉับยอมเค้นเสียงบอกรินซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเปิดฝาพุดดิ้ง

    “นั่นเพราะข้าใส่ใจทุกๆ เรื่องของเจ้าไงเล่า” รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา “และเพราะเป็นเจ้า ข้าถึงได้ใส่ใจ”

                    “...”

                    “เพราะเป็นเจ้า และแค่เจ้าเท่านั้น ฮารุกะของข้า”

                    ตึก...ตึก...ตึก...ตึก...

                    ได้ยินอะไรไหม? เสียงหัวใจฉันล่ะ

                   

                    เพราะเป็นเจ้า และแค่เจ้าเท่านั้น ฮารุกะของข้า

                    เสียงนุ่มทุ้มก้องอยู่ในโสตประสาท และก้องกังวานไปถึงหัวใจ มือใหญ่ของรินยื่นมาช้าๆ ก่อนจะสัมผัสที่แก้มฉัน  สัมผัสนั้นบอบบางและบางเบา แต่กลับฉุดกระชากให้หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นฉันและแค่ฉันเท่านั้น...งั้นเหรอ?

    ทำไมล่ะ...?

    ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ?

    เป็นคนอื่นไม่ได้หรือไง?

    “นั่นเพราะเราถูกเชื่อมกันไว้ด้วยด้ายแดงยังไงล่ะ” ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ของรินระบายยิ้มหวาน แต่นัยน์ตาสีอำพันกลับเคลือบไว้ด้วยความต้องการและเสน่หาอย่างแรงกล้า...

                 “อย่าเข้าใจผิด ข้ามิได้มีรสนิยมชอบขืนใจใครหรอกนะ” จิ้งจอกยิ้มเจ้าเล่ห์

                 บ้าเอ้ย! ฉันลืมไปว่าเลยว่าเขาสามารถล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของคนๆ นั้นผ่านการสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย

                   “เจ้านี่ก็แปลก ทั้งๆ ที่เรามาถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ” เจ้าของพวงหางทั้งเก้ากลั้วหัวเราะ “ยังจะก่อกำแพงกั้นระหว่างเราอยู่ได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้กำแพงหนาเพียงใดข้าก็จะทลายมันลง”

                    “...”

                    “ยังจำได้ไหมว่าเมื่อคราแรกพบนั้นเจ้าหวาดกลัวและผลักไสข้าอย่างไร กับปัจจุบันที่เจ้าไว้ใจและระยะห่างของเราเหลือเพียงเอื้อมมือ”

                    “...”

                    “อย่างที่ข้าทำอยู่นี้”

                    ฉันหลบสายตาของรินแล้วมองลงต่ำ เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างขบคิด ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ฉันเริ่ม เคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ที่มีรินอยู่ข้างๆ คอยทำอาหาร สอนการบ้าน และปฏิบัติอย่างเอาใจ ถึงแม้ว่าฉันจะยอมรับและเริ่มเปิดใจ แต่แบบนี้มันก็...

                    เรียวนิ้วอบอุ่นของจิ้งจอกเก้าหางลูบไล้พวงแก้มฉันอย่างทะนุถนอมอีกครั้งก่อนจะผละออกไป หากเป็นเมื่อก่อน ในระยะไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดแบบนี้ ฉันคงไล่ตะเพิดเขาให้ออกไปห่างๆ และแน่นอนว่าต้องผลักใสใบหน้าที่บังอาจยื่นเข้ามาใกล้ออกไปด้วย แล้วในตอนนี้ล่ะ...ฉันเป็นอะไรไป ทำไมถึงยอมให้จิ้งจอกเข้าใกล้และทำไมถึงได้รู้สึกชอบสัมผัสอบอุ่นเหล่านั้นของรินไปซะได้

                    “หากไม่คิดจะผูกสัมพันธ์กับปีศาจ เจ้าก็ไม่ควรเปิดใจ เพราะเมื่อเจ้าเปิดใจ ข้าไม่มีทางปล่อยโอกาสนั้นไปอย่างแน่นอน”

    ความถือสิทธิ์แฝงกายอยู่ในน้ำเสียงนุ่ม เนื้อความนั้นประโยคนั่นก็แฝงด้วยความเอาแต่ใจ ดูเขาพูดเข้าสิ...ราวกับว่าเป็นความผิดของฉันเองที่ยอมเปิดใจ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วคนเปิดมันคือเขาแท้ๆ

    ขี้โกง...ขี้โกงจริงๆ
     

    เย็นวันนั้น...

                    “ฮา~รุ~จางงงงง”

                    ร่างเล็กๆ ของโอซากะ อายุที่ถลาเข้ามากอดทำเอาฉันเซไปสองสามก้าวทันที่ฉันเปิดประตูบ้านหลังจากเสียงกริ่งดังขึ้น

                    “เบาๆ หน่อยสิอายุ ฮารุกะป่วยอยู่นะ” ไม่ว่าเปล่า ซากาตะ คุมิโกะยังออกแรงฉุดกระชากร่างเล็กออกไป แต่มือของเธอก็ยังกอดร่างกายร้อนด้วยไข้ของฉันไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

                    “นั่นสิ เดี๋ยวจะติดหวัดเอาได้นะ” ฉันว่าพลางพยายาม แงะมือเล็กๆ แต่เหนียวเยี่ยงหนวดปลาหมึกออกด้วยแต่ก็ไร้ผล อายุกอดฉันแน่นยิ่งขึ้น ราวกับว่าจะให้ฉันจมหายไปในอ้อมแขนเล็กๆ ของตัวเอง

                    “อายุไม่สนหรอก ขอแค่ได้กอดฮารุจังแน่นๆ ก็พอ ฮารุจังน่ะเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มาใช่ไหมล่ะ”

                    “เดี๋ยวเถอะยัยเอ๋อ...” คุมิโกะปรามเพื่อนตัวเล็ก และทั้งๆ ที่ฉันเองก็ไม่อยากนึกถึงมัน แต่ไม่รู้ทำไมพอมีสิ่งที่เรียกว่า เพื่อนอยู่ตรงหน้าแล้วมันเกิดคันปากอยากระบายยังไงชอบกล

                    ...ถ้าเป็นสองคนนี้ล่ะก็นะ

                    “ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้นี่เอง” คุมิโกะพยักหน้าหงึกหงักหลังจากที่ฉันเล่าให้ฟังตามจริงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในห้องน้ำ ก่อนจะยกน้ำชาที่อายุรินไว้รอขึ้นดื่ม

                    วันนี้ฉันเป็นเจ้าบ้านที่แย่มากเพราะต้องให้แขกหาเครื่องดื่มเอง

                    “ขอโทษนะอาจัง ทั้งๆ ที่เธอเป็นแขกแท้ๆ”

                    “ไม่เป็นไรๆ คนป่วยต้องอยู่นิ่งๆ นั่นแหละถูกแล้ว” อายุโบกไม่โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ “แล้วก็ไม่ต้องคิดมากไปหรอก พวกมายะซังน่ะนิสัยไม่ดีกันอยู่แล้ว เค้ารู้กันทั้งโรงเรียนนั่นแหละ”

                นิสัยไม่ดี

                    ไม่คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าคนนุ่มนิ่มจนออกแนวน่อมแน้มอย่างอายุจะพูดคำนี้ออกมาได้หน้าซื่อตาใส

                    ตอนนี้เราสามคนนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น โดยที่มีขนมนมเนยสารพัดที่อายุนำมาด้วยวางกองอยู่บนโต๊ะ เลคเชอร์โน้ตกับเอกสารประกอบการเรียนของวันนี้ก็เช่นกัน  ส่วนรินนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ พอฉันตื่นจากการนอนกลางวันก็ไม่เห็นเขาแล้ว 

                    “แต่ว่านะ ที่โดนน้ำสาดก็เพิ่งมีฮารุจังคนแรกนี่ล่ะ เพราะงั้นละมั้งมาเอดะคุงถึงได้...อุ๊บ!” ไม่ทันที่อายุจะได้จบประโยค คุมิโกะก็ใช้มือตะบบปิดปากเธอไว้ก่อนจะชวนเปลี่ยนเรื่อง

                    “วะ...ว่าแต่บ้านเธอนี่สุดยอดไปเลยนะ มีต้นซากุระอยู่กลางสวนด้วย”

                    “ที่สุดยอดน่ะเธอสองคนมากกว่า บ้านฉันอยู่ไกลขนาดนี้ก็ยังมาถูก”

                    “อ้อ...พวกเราถามทางเอาจากมาเอดะคุงน่ะ” อายุว่าพลางแกะถุงคุกกี้รูปกระต่าย “เพราะเขาถูกคุมตัวเข้าห้องปกครอง  เราสองคนก็เลยล่วงหน้ามาก่อนนี่ไง”

                    อายุบอกเสียงเรียบในขณะที่กัดคุกกี้กรุบกรับ แม้จะฟังดูอู้อี้ๆ อยู่บ้าง แต่ฉันก็ได้ยินบางอย่างชัดแจ๋ว

    “โคถูกเรียกเข้าห้องปกครอง...?”

    “อื้อ” อายุพยักหน้า ก่อนจะกลืนคุกกี้ลงคอแล้วเริ่มเปิดเผยความจริงโดนไม่สนคุมิโกะที่พยายามส่งสัญญาณอะไรบางอย่างเลยแม้แต่น้อย “พอรู้ว่าเป็นฝีมือพวกมายะซัง มาเอดะคุงก็ยั๊วะจัด แล้วก็อาละวาดพวกนั้นซะกระเจิง”

    “...”

    “...”

    “แล้วเรื่องก็จบตรงที่มาเอดะคุงถูกลากเข้าห้องปกครองนั่นแหละ” น้ำเสียงราบเรียบของอายุนั่นราวกับจะสื่อความหมายว่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ในขณะที่คุมิโกะนั้นเหงื่อไหลพรากๆ “โอ๊ะ คุกกี้นี่อร่อยจัง”

    “ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนั้นอีกเรอะ!” ประธานชมรมกีฬาแผดเสียงใส่ ทั้งยังประทุษร้ายเพื่อนสนิทด้วยการดึงแก้มป่องๆ ของอายุให้ยืดออก “รู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา! ปากเธอน่ะไม่มีหูหรือไง!

    “อายุเจ็บนะคูจัง ปากไม่ใช่ตูดจะมีหูรูดได้ไงล่ะ แง้!

    “หน็อยยยยย...ยัยเอ๋ออายุ! ทั้งๆ ที่มาเอดะย้ำหนักหนาว่าให้เก็บเป็นความลับ!

                 “อะไรเป็นความลับ...?” เสียงทุ่มดังขึ้นแทรกท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวาย มาเอดะ โคที่คงเพิ่งจะรอดพ้นจากห้องปกครองปรากฏกายที่หน้าห้องนั่งเล่นนั่นเอง

                    “...!” ฉัน

                    “...” อายุ ส่วนคุมิโกะนั้น...

                    “!!!

                    



    ------------------------------------------------------


    28.05.14
    อัพดึกอีกแล้ววววว
    สาบานว่าเริ่มเขียนตั้งแต่สี่โมง
    ไม่ว่าจะอ่านทวน อ่านซ้ำอีกกี่รอบ คนเขียนก็รู้สึกว่าตัวตนของรินเป็นที่น่าสบสนอยู่ดี
    มีใครคิดเหมือนกันบ้างไหม?


    28.05.14
    อูยยยยยย แสบสีข้างงง
    ไม่ใช่อะไรค่ะ คือ 'แถ' นิยายจนดริฟต์เลย (ฮา)
    ในที่สุดก็เข็นจนจบตอนจนได้
    สำหรับคนที่ยังติดตามมาจนถึงตอนนี้ ต้องขอบคุณมากๆ นะคะ
    ทุกคอมเม้นต์เป็นยาสลายความขี้เกียจที่ได้ผลจั๋งหนับเลยค่ะ

    อีกอย่าง นิยายเรื่องนี้ก็ดำเนินมาได้ 60% แล้ว
    อีก 40% บาฮันนี่ก็จะกดปิดเรื่องแล้ว ใจนึงก็อยากให้จบ แต่อีกใจก็ไม่อยาก
    แต่ว่านะคะ เรามีนัดกับปีศาจตัวต่อไปล่ะ ขอบอกว่า 'แซ่บมากกก' ละกันนน


     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×