คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 10 [100%] Rewritten
บทที่ 10
มื้ออาหารเย็นที่บ้านมาเอดะเป็นไปอย่างเรียบง่ายและสนุกสนาน และเมื่อได้เวลากลับบ้าน โคก็เดินมาส่งฉันเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
“เรียนเสริมเป็นยังไงบ้าง” หนุ่มฮอตปรอทแตกเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาหลังจากที่เราเพิ่งจบประเด็นเรื่องพยากรณ์อากาศในวันพรุ่งนี้ที่ว่าจะมีเมฆมากไปหมาดๆ
“เลวร้ายที่สุด” ฉันตอบตรงๆ อย่างไม่คิดอ้อมค้อม “มีแต่ชื่อที่จำยากๆ กับอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด”
“แต่ถ้าเทียบกับคณิตศาสตร์แล้ว ประวัติศาสตร์น่ะง่ายกว่าเยอะเลยนะ”
“ที่ไหนกันล่ะ คณิตง่ายกว่าเห็นๆ ที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ก็เพราะไม่เข้าใจกระบวนการต่างหาก” ถ้าจำสูตรได้ก็ทำได้หมดทุกข้อแหละน่ะ
“ฮ่ะๆ งั้นหรอกเหรอ” โคหัวเราะร่า
มาเอดะ โคเป็นผู้ชายอารมณ์ดีและยิ้มง่าย ไม่เคยมีครั้งใดที่เราคุยกันโดยปราศจากเสียงหัวเราะ หากจะพูดว่าไม่มีใครได้เห็นหน้าตาบึ้งตึงของเขาเลยสักครั้งก็คงไม่ใช่การกล่าวเกินจริงเท่าไหร่นัก แต่แล้วในตอนที่ฉันกำลังคิดว่าความเครียดไม่สามารถส่งผลใดๆ ต่อผู้ชายคนนี้ เขาก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง...ที่ฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!
“...ไอ้หมอนั่นไม่ได้ทำอะไรเธอ...ใช่ไหม”
“หืม? ใครเหรอ”
“อ๊ะ...” พอฉันหันไปถามเขาก็ดันยิ้มกลบเกลื่อนแถมยังเปลี่ยนเรื่องอีกแน่ะ “ช่างเถอะ ว่าแต่เสาไฟต้นนั้นมันเสียนี่ ถึงว่าล่ะทางเดินมืดสนิท”
“อา...แย่ที่สุดเลยล่ะ” ฉันพยักหน้าเห็นด้วย
เพราะบ้านของฉันอยู่ในเขตรอบนอก ดังนั้น นอกจากแสงสว่างจากเสาไฟตามถนนนี่แล้วเราก็ไม่มีตัวช่วยอื่น ถนนเล็กๆ ที่ทอดยาวไปในความมืดนี่น่ากลัวชะมัด และอาจเพราะเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มาได้ไม่กี่วัน อาการหวาดระแวงจึงกลับมาเล่นงานฉันอีกครั้ง และก็หวังว่าฉันจะเดินผ่านตรงนั้นได้โดยที่ไม่ประสาทไปเสียก่อน
“จริงสิ เอาแบบนี่ดีกว่า” จู่ๆ โคก็หยุดเดินกะทันหัน แล้วมือเล็กๆ ของฉันก็ถูกมือใหญ่ของเขากุมไว้เบาๆ ในตอนที่เขาหันมาบอกด้วยรอยยิ้ม “จับมือฉันไว้แล้วกันนะ จะได้ไม่หกล้มไง”
บางที...ผู้ชายยิ้มเก่งแบบนี้ก็น่ารักดีนะ
โคจูงมือฉันเดินมาจนถึงบ้าน แล้วเราก็ต้องเป็นอย่างมากแปลกใจเมื่อพบว่าภายในบ้านเปิดไฟสว่างโร่ เท่าที่จำได้ ก่อนออกไปฉันเปิดไว้แค่ไฟหน้าบ้าน แต่ช่างเถอะ...ฉันคงเผลอเปิดเองแล้วลืมนั่นแหละ
“เข้ามารอข้างในก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา” ฉันบอกโคอย่างนั้น ก่อนจะวิ่งไปห้องเก็บของเพื่อหยิบไฟฉาย อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเดินกลับบ้านท่ามกลางความมืดคนเดียว
“ขอบคุณสำหรับไฟฉายนะ” โคบอกพร้อมยิ้มละมุน เห็นแบบนี้แล้วมันเขินๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ นายอุตส่าห์เดินมาส่ง”
“ไม่หรอก นั่นเป็นเรื่องที่ลูกผู้ชายควรทำต่างหาก” เขาแก้ ก่อนจะพูดต่อด้วยอาการเก้อเขิน “อีกอย่าง ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีถ้าจะให้เธอกลับคนเดียว ...มันเป็นห่วงน่ะ”
อีตาบ้าเอ้ย ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายเขินน่ะ
เราสองคนต่างหัวเราะกับท่าทางของอีกฝ่าย ฉันต้องบ้าแน่ๆ ถ้าปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา คุณเองก็เหมือนกัน ลองได้อยู่ใกล้ๆ หนุ่มหล่อ ยิ้มง่าย แถมยังเอาใจเก่งราวกับหนุ่มโฮสต์ในบาร์ จะไม่หวั่นไหวก็ให้มันรู้ไปสิ
แล้วในตอนที่เราต่างก็กลบเกลื่อนความเขินอายนั่นเอง...
“กลับมาแล้วรึ ฮารุกะ...” เสียงนุ่มทุ้มที่ฉันเริ่มคุ้นชินขึ้นมาแล้วดังขึ้น ก่อนจะขาดห้วงไปเมื่อเห็นว่าฉันยืนคุยอยู่กับใคร รินในชุดกิโมโนอย่างดีเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับหูและ...หางทั้งเก้า “...ของข้า”
ตอบทีสิว่าฉันไม่ได้ตาฝาดที่เห็นหมอนั่น ‘แสยะ’ ยิ้ม และไม่ได้หูหนวกที่ได้ยินเขา ‘เน้นเสียง’ ที่ประโยคหลัง
แล้วร่างปีศาจนั่นมันอะไร!!!
ฉันหันไปมองโคด้วยความตื่นตระหนก แล้วก็พบว่าเขา ‘นิ่ง’ ไปแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเขาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ฉิบหายแล้ว... ฉิบหายแล้วไง!!
“ริน! เก็บหูเก็บหางของนายดะ...”
ฟิ้ว~ ตุบ!
สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวฉันคือการให้รินแปลงกายเป็นมนุษย์ให้เร็วที่สุด แต่ก่อนที่จะได้พูดจนจบประโยค โคก็เขวี้ยงไฟฉายใส่รินอย่างแรงโดยไม่ลังเล รินเอนศีรษะหลบเพียงเล็กน้อย ไฟฉายจึงพลาดเป้าและลอยไปกระแทกกับผนัง ก่อนจะร่วงลงมากองกับพื้นเป็นชิ้นๆ ไม่มีใครพูดอะไรในวินาทีนั้น ...พลันสงครามก็ปะทุขึ้น!
“นายมาทำบ้าอะไรนี่ที่!” กัปตันชมรมยูโดเปิดฉากอย่างเกรี้ยวกราด แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นใบหน้าซึ่งเคลือบไว้ด้วยความรู้สึกด้านลบของเขา ...สายตาที่เขามองรินนั้น ต่างกับสายตาที่มองฉันลิบลับ
แต่...เดี๋ยวก่อนนะ
ตกใจ เป็นลม ฉี่ราด หรือวิ่งหนีไปคือกลุ่มอาการที่มักเห็นได้บ่อยในคนที่เพิ่งเคยเห็นปีศาจเป็นครั้งแรก แต่โคกลับไม่ปรากฏอาการเหล่านั้นให้เห็น เขาจ้องรินด้วยสายตาแห่งความเกลียดชัง จิ้งจอกเองก็เหมือนกัน แทนที่จะรีบเก็บหูเก็บหาง หรือไม่ก็ ‘วาร์ป’ หนีอย่างที่ปีศาจทั่วไปเขาทำกัน กลับเอาแต่ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม แล้วก็ยิ้มอย่างยั่วยวนกวนประสาท
อีกอย่าง....นี่มันใช่ปฏิกิริยาของคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเรอะ?
“ข้าน่ะรึ...” รินเลิกคิ้วอย่างกวนบาทา แล้วก็ตามมาด้วยประโยคที่ฉันแทบกรี้ด “ก็มาทำหน้าที่ที่ว่าที่เจ้าบ่าวของฮารุกะพึงกระทำน่ะสิ”
ถึงจะฟังดูงงๆ แต่เมื่อกี้เจ้าจิ้งจอกขี้โม้นี่พูดว่า ‘ว่าที่เจ้าบ่าว’ ใช่มั้ย!?
“ใครจะไปเป็นเจ้าสาวของนายกัน”
“ฮารุกะต้องเป็นเจ้าสาวของฉันต่างหาก!”
นายก็อย่าบ้าไปกับเขาสิโค!
“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นนมผงอย่างเจ้าดูแลฮารุกะไม่ได้หรอก มาเอดะ โค”
“ฉันเลิกดื่มนมผงไปตั้งแต่ขึ้นประถมแล้วเฟ้ย!”
นั่นมันใช่ปัญหาเรอะ!?
“ฟังจะเจ้าจิ้งจอก ฉันน่ะเปลี่ยนไปแล้ว! และถ้าเป็นฉันในตอนนี้ล่ะก็...ผนึกนายได้ง่ายๆ แน่!” ไม่ว่าเปล่า โคยังล้วงแผ่นยันต์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกด้วย
เดี๋ยวนะ! นั่นมันใช่ของที่หนุ่มฮอตปรอทแตกควรพกติดตัวงั้นเรอะ!
“น่าสนใจนี่...ถ้าอย่างนั้นข้าจะอยู่นิ่งๆ ให้เจ้าผนึกก็แล้วกัน” รินเองก็ไม่น้อยหน้า จุดลูกไฟจิ้งจอกขึ้นมาเหมือนกัน
ความวินาศสันตะโรเริ่มขึ้นเมื่อโคถูกลูกไฟนับสิบพุ่งเข้าใส่ แต่โคก็ก้มหลบได้อย่างสวยงาม และตามด้วยเสียงแหวกอากาศเฟี้ยวฟ้าว แผ่นยันต์ของโคลอยกันให้เวิ่นในตอนที่ฉันวิ่งวุ่นหาที่หลบ
“พวกนาย! หยุดเดียวนี้นะ!” ฉันปรามศึกเสียงดัง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ตัวเองโดนลูกหลงไปด้วย “ฉันบอกให้หยุดไม่ได้ยินกันหรือไง”
“ถอยไปฮารุกะ เดี๋ยวเจ้าจะถูกลูกหลงไปด้วย”
“โทษทีนะ แต่เพื่อความปลอดภัยของเธอ วันนี้ฉันจะต้องผนึกปีศาจตัณหากลับตัวนี้ให้ได้!”
เจ้าพวกนี้ไม่คิดจะฟังกันสักนิด!
โคใช้ช่องว่างที่มีเพียงน้อยนิดของรินฉวยเข้าคลุกวงในอุดตะหลุด รินเองก็สร้างลูกไฟไม่หยุดขณะที่แผ่นยันต์ของโคก็ลอยอยู่เต็มไปหมด ฉันยืนมองด้วยความหวั่นใจ แต่ในขณะที่กำลังจะเข้าไปห้ามทัพ...สิ่งที่รายการโทรทัศน์มักจะขึ้นคำเตือนอยู่เสมอเมื่อต้องใช้ไฟในการทำกิจกรรมของรายการก็เกิดขึ้น...
...แผ่นยันต์เหล่านั้นติดไฟ เริ่มลุกไหม้ แล้วก็ร่วงสู่พื้นไม้ของบ้านโบราณที่มีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบปี
นรกเถอะ! ไอ้บ้าพวกนี้คิดจะเผาบ้านฉันกันหรือไง!!
ฉันวิ่งเข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรสักอย่าง แล้วก็พบว่ามีกระทะใบหนึ่งแขวนอยู่บนอ่างล้างจาน ซึ่งฉันก็ไม่ลังเลที่จะใช้มันรองน้ำและนำมาดับไฟ ทว่าเพลิงนั้นก็ยังโหมหนักอย่างไม่มีทีท่าว่าจะดับ แผ่นยันต์กับลูกไฟคือเชื้อไฟชั้นดีที่ทำให้เพลิงลุกโหม ทั้งยังเริ่มลุกลามไปตามส่วนต่างๆ ของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพื้น ผนัง และโดยเฉพาะส่วนประตูที่ทำจากไม้เนื้ออ่อนกับกระดาษ
ความอดทนที่หดเหลือแค่เส้นด้ายบางๆ ของฉันขาดผึ่งในวินาทีนั้น! แล้วเครื่องครัวในมือฉันก็พลันกลายเป็นอาวุธ!
ห้านาทีต่อมา...
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็มือหนักนะ ฮารุกะของข้า” รินที่นั่งอยู่มุมขวานิ่วหน้าพร้อมกับลูบท้ายทอยอย่างหมดรูป
ฉันยืนกอดอกนิ่งอยู่กลางห้องนั่งเล่น พยายามอย่างยิ่งที่จะระงับความโมโหและพ่นมันออกมาพร้อมลมหายใจ ในมือฉันกำกระทะ สายตาก็จ้องมองสองคู่กรณีที่เกือบก่ออัคคีภัยในบ้านซากุระซากะ
อยากรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?
ใช่... ด้วยความโมโห ฉันใช้กระทะฟาดพวกเขาคนละที และมันก็ได้ผลดีซะด้วย
“เลิกเรียกฮารุกะแบบนั้นซะที” แม้จะถูกจับแยกกันคนละมุมห้อง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ศึกนี้สงบลงแต่อย่างใด โคยังคงมองรินด้วยความเกรี้ยวกราด ถึงจะถูกฉันเพ่นกบาลด้วยกระทะเหมือนกันก็ตาม “เธอไม่ใช่ของนาย!”
“หากไม่ใช่ของข้า แล้วจะเป็นของใคร” รินแค่นหัวเราะ “ของเจ้างั้นรึ? ได้เวลาตื่นจากฝันแล้วไอ้หนู”
“อย่ามาเรียกฉันว่าไอ้หนูนะ!”
“หยุดได้แล้ว!” ฉันลั่นเสียงกร้าว “ฉันไม่ใช่ของใครทั้งนั้น เลิกเถียงกันซะที!”
บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันเหนื่อยสุดๆ เรื่องที่เจอมาทั้งอาทิตย์ว่าเหนื่อยแล้ว ยิ่งต้องมาห้ามศึกระหว่างมนุษย์กับปีศาจยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่
ดูเหมือนว่าทั้งรินและโคต่างก็รู้จักกันมาก่อน และแน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยดีเพราะงั้นถึงได้ขู่และแยกเขี้ยวใส่กันตลอด โคในตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนละคนกับโคที่ฉันรู้จัก เขาดูเกรี้ยวกราด โมโหร้าย ไม่เหลือเค้าของมาเอดะ โคผู้อ่อนโยนและยิ้มง่าย
รินเองก็ใช่ย่อยซะที่ไหน เดิมทีฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจลักษณะนิสัยหรือตัวตนของเขาสักเท่าไหร่ ท่าทางของเขาดูขัดแย้งกันจะตาย แม้ในยามปกตินั้นเขาออกจะเรื่อยๆ เอื่อยๆ สบายๆ ทว่านัยน์ตาสีอำพันนั้นมักแฝงได้ด้วยความเจ้าเล่ห์แต่ก็อ่อนโยน
ยิ่งในตอนนี้ที่ฉันเห็นร่องรอยของความไม่ชอบใจฉายระคนกับความหรรษาในนัยน์ตาสีอำพันนั่นแล้วก็ยิ่งปวดหัว
แต่ยังไงก็ช่างเถอะ พวกเขาก็แค่ไอ้บ้าสองตัวที่ซัดกันจนไฟไหม้บ้านฉันนั่นแหละ!
“ไหน ใครพอจะอธิบายให้ฉันเข้าใจว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรได้บ้าง”
“ก็...” โคก็อ้ำอึ้ง
“ก็อะไร”
“ก็อย่างที่เจ้าพอจะเดาออกนั่นล่ะฮารุกะ ข้ากับเจ้าเด็กนมผงนั่นรู้จักกันมาก่อน” รินล้วงกล้องยาสูบด้ามยาวออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะจุดไฟแล้วยกขึ้นสูบ “และไม่เคยญาติดีกันเลยสักครั้ง”
“ก็แน่ล่ะ หน้าที่ของฉันคือต้องผนึกปีศาจที่คอยรังควานมนุษย์อย่างนายนี่” โคเสริม
“หน้าที่? หน้าที่อะไรเหรอโค”
“เอ่อ...”
“ก็บอกไปสิว่าเจ้าคือผู้สืบสายเลือดขององเมียวจิซึ่งมีหน้าที่กำราบปีศาจ” รินโพล่งขึ้นในตอนที่โคเอาแต่อ้ำอึ้ง ก่อนจะผูกขาดการสนทนาไปโดยปริยาย “ตระกูลมาเอดะของเจ้าเด็กนั่นเป็นสาขาย่อยของตระกูลองเมียวจิเมื่อนานมาแล้ว และแม้ว่าตระกูลใหญ่จะล่มสลายไปแล้ว แต่ความสามารถในการใช้พลังเวทย์ก็ยังคงมีอยู่และสืบทอดกันทางสายเลือด เจ้าเด็กนมผงนั่นสามารถใช้อาคมกับปีศาจได้ไม่ต่างจากหมอผี ด้วยเหตุนี้ เจ้านี่จึงเอาแต่หาเรื่องข้าอย่างไรเล่า”
“นั่นเพราะนายเอาแต่รังควาญมนุษย์ต่างหาก! โดยเฉพาะตระกูลซากุระซากะ”
“คนบ้านฉัน?”
“ใช่ ตั้งแต่เด็กมาแล้วที่ฉันเห็นเจ้าปีศาจนี่เข้าออกบ้านซากุระซากะจนชินตา แถมบางครั้งเจ้าหมอนี่ก็ยังชอบปรากฏกายข้างๆ คุณยายยาจิโยะด้วย นายคิดจะจับท่านกินล่ะสิ!”
“ข้ามิได้มีรสนิยมชมชอบหนังแก่ๆ เนื้อเหนียวๆ หรอกนะเจ้าหนู” รินว่าพลางพ่นควันสีขาวออกจากปาก ทั้งห้องอบอวลด้วยกลิ่นยาสูบ ฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่หรือยาสูบยาเส้นนัก แต่ว่ากลิ่นยาสูบของรินนั้นหอมเกินกว่าจะปฏิเสธ “อีกอย่าง ปีศาจเองก็เลิกกินมนุษย์มานานแล้ว”
“แล้วทำไมต้องเข้ามายุ่งวุ่นวายกับคุณยายยาจิโยะด้วย”
“...นั่น” รินนิ่งไปคล้ายกับว่ากำลังชั่งคิด และสุดท้ายเขาก็ไม่ยอมบอก “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้”
ความเงียบปกคลุมเราทั้งสามเมื่อสิ้นคำนั้น ถึงแม้ว่ารินจะไม่ยอมพูดอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่แวบเข้ามาในใจฉันคือคำพูดของคุณยายเมื่อนานมาแล้ว...
‘ยายมีสหายเป็นปีศาจ...
แต่ถึงจะเป็นปีศาจ เขาคนนั้นก็งดงามราวกับเทพเทวาบนสวรรค์ ทั้งยังใจดี ชอบมาคุยเล่นกับยายแก่ขี้เหงาอย่างยายบ่อยๆ นั่นคงเพราะเขาก็เหงาเหมือนกัน’
อย่างนี้นี่เอง...
สหายขี้เหงาของคุณยายก็คือรินสินะ
“สมควรแก่เวลาพักผ่อนของฮารุกะแล้ว ข้าขอตัว” จิ้งจอกผุดลุกขึ้นเมื่อนาฬิกาบอกเวลาย่างสี่ทุ่ม เขาเดินดุ่มๆ ออกจากห้องไปทั้งๆ ที่ฉันยังไม่คลายความสงสัยเลยด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวก่อนสิ ฉันยังไม่เคลียร์...!”
ฉันรีบตามหลังรินไป ทว่าจู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าและหันมาด้วยความเร็วจนฉันสะดุ้ง
“ความเสียหายที่เกิดจากลูกไฟของข้าจะหายไปเมื่ออาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า และ...” ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์โน้มลงมา แล้วจึงกระซิบถ้อยคำราวกับอยากให้รู้แค่เราสองคน “คำขอขมาของข้า...อยู่ในสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าตู้เย็น”
“ระ...เรื่องแค่นี้ไม่ต้องกระซิบก็ได้!”
“เจ้าไม่ชอบรึ?”
“ไม่!”
เพราะลมหายใจที่เป่ารดข้างหูทำฉันประหม่าและขนลุกน่ะสิ!
“แต่ข้าชอบ...มากเสียด้วย” จิ้งจอกยิ้มร่าน่าหมั่นไส้ นัยน์ตาพราวระยับจนฉันนึกอยากควักมันออกมา “ก่อนที่เจ้าเด็กนมผงน่ารำคานนั่นจะตามมา ราตรีสวัสดิ์ ฮารุกะของข้า”
แล้วเมื่อสิ้นคำพูดนั้น...ร่างของรินก็อันตรธานหายไป
ฉันเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น โคยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย คล้ายกับว่ากำลังสำนึกผิดกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ฉันนั่งลงข้างๆ เขา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้สึกผิดที่รุมเร้าเขาอยู่จะช่วยให้ฉันได้คำตอบที่ต้องการ
“ขอโทษนะฮารุกะ เพราะฉันวู่วามถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้าฉันรอบคอบกว่านี้ล่ะก็ ต้องผนึกเจ้าจิ้งจอกนั่นได้แน่ๆ”
“...เรื่องนั้นน่ะช่างก่อน ฉันมีเรื่องอยากถามนายน่ะ”
“ว่า?”
“นอกจากรินแล้ว นายมองเห็นปีศาจตนอื่นหรือเปล่า”
โคไม่ตอบในทันที เขามือหนาถูกยกขึ้นกุมขมับ คิ้วเรียวยาวมุ่นเข้าหากัน ใบหน้าหล่อเหลาของเขานั้นถอดสีซีด “เห็น”
ได้ยินอย่างนั้นฉันก็ต้องยิ้มกว้างด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็ไม่ใช่แค่ฉันเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่มองเห็นปีศาจ
ยังมีอีกคนที่มองเห็นสิ่งเดียวกับที่ฉันเห็น และสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับเช่นเดียวกัน “แล้วรู้หรือเปล่าว่าอีตามุราคามิที่อยู่เดียวกับฉันน่ะ...”
“ไอ้หมอนั่นเท่านั้นที่ฉันจะไม่ขอยุ่งด้วย”
“ฮ่ะๆ” สีหน้าและน้ำเสียงที่ขยาดของเขาทำให้ฉันถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
ฉันเอนหลังพิงฝาผนังอย่างโล่งอก และพ่นลมหายใจออกอย่างโล่ใจ ซึ่งมันคงจะขัดกับสถานการณ์ในตอนนี้โคถึงได้นิ่วหน้าถาม
“เธอนี่นะ เวลาแบบนี้ยังหัวเราะอยู่ได้ ไม่กลัวบ้างหรือไง นั่นจิ้งจอกเก้าหางเชียวนะ”
“รินน่ะเหรอ? แรกๆ ก็กลัวนะ แต่พอเข้าใจว่าหมอนั่นไม่ได้มาร้ายก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องกลัวแล้ว นายเห็นนี่มั้ยล่ะ” ฉันชูมือข้างที่รินเสกมนต์จนแดงเถือกขึ้น “เจ้าจิ้งจอกทำให้ฉันล่ะ”
กัปตันชมรมยูโดมองฉันอย่างไม่เข้าใจ ฉันจึงเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันให้เขาฟังรวม ทั้งที่มาของอักษรตัวอ่อนยุงบนหลังมือด้วย ฉันไม่ปฏิเสธหรอกว่ารินช่วยฉันไว้มาก แล้วไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นว่าฉันแก้ตัวแทนเจ้าจิ้งจอกนั่นเสียอย่างนั้น ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม
...ท่ามกลางความสับสนในใจ ฉันรู้แค่ว่าไม่อยากให้สหายของคุณยายถูกมองว่าเป็นปีศาจชั่วร้าย และถึงแม้เจ้าจิ้งจอกนั่นจะชอบยั่วโมโห กวนประสาท และเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดต้องผนึกไว้หรอกนะ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่...” โคเอ่ยถามเสียงเบา “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอยอมให้ปีศาจเข้าใกล้ขนาดนี้”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่ตอนนี้ฉันสัมผัสได้ถึงความน้อยใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา โคนิ่งเงียบไปหลังจากนั้น ไม่นานเขาก็ผุดลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วหันมาบอกฉันด้วยรอยยิ้ม...ฝืนๆ
“ไม่ว่ายังไงฉันก็อยากผนึกเจ้าจิ้งจอกนั่นซะให้สิ้นเรื่อง แต่คงจะไม่ได้แล้วล่ะ...”
“...”
“ฮารุกะ เธอน่ะเข้าข้างหมอนั่นพอดูเลย”
“...”
“อะไรที่เธอไม่ชอบฉันก็จะไม่ทำหรอกนะ แต่อย่าลืมล่ะว่ามนุษย์กับปีศาจน่ะอยู่ร่วมกันไม่ได้ และจนกว่าจะถึงวันที่เธอเข้าใจ ฉันจะปกป้อง... เพราะฉันชอบเธอนี่นา ไม่ยอมแพ้ง่ายหรอกนะจะบอกให้!”
แล้ว...โคก็หันมายิ้มให้ฉัน มันเป็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยนอย่างทุกๆ ครั้ง และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ฉันว่าฉันรู้สึกดีๆ กับเขาล่ะ
---------------------------------------
23.05.14
เค้ากลับมาแล้นนนนนนนน
หลังจากหายหัวไปสองวัน Ayakashi to Issho ก็ได้ฤกษ์อัพแล้วนะ
ตอนนี้บาฮันนี่กำลังจูนมู้ดเขียนนิยายอยู่ค่ะ
ก็แวบไปทำอย่างอื่นมาตั้งสองวันนี่เนอะ 555
24.05.14
ยัตต้าาาาาา ในที่สุดก็ครบ 100%
(เชื่อว่ามีคนบ่นที่อัพทีละกระติ๊ด)ตอนที่ 10 นี่เป็นอะไรที่ทำเอาบวดขมับมากเลยค่ะ
ไม่ใช่ว่าคิดไรไม่ออกนะ แต่มันไม่มีอารมณ์จะเขียนอ่ะ เลยอาจดูเมาๆ งงๆ อยู่บ้าง
ต้องบอกก่อนว่าทั้งหมดที่อัพไปนั้นเป็นสิ่งที่เขียนจาก 'ความคิดแรก' นะคะ
ดังนั้น...เมื่อเขียนจบเมื่อไหร่ ปฏิบัติการณ์รีไรท์เพื่อให้เรื่องโฟลว์ขึ้น เรียบขึ้น ลื่นขึ้นก็จะบังเกิดดด
แน่นอนว่าจะอัพลงในนี้ด้วยนะ ใครจะตามอ่านก็ได้ ไม่อ่านก็ได้
ขอบคุณที่ยังติดตามกันมากๆ นะคะ เห็นเฟบขึ้น เม้นต์ขึ้นละมันชื่นจ๊ายยยย ชื่นใจ
มีแรงจิ้นวาย รินXโค ไปอีกหลายวัน แอร๊ยยยยยย// ไม่ใช่ละ!!
ความคิดเห็น