ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไพรบรรพกาล

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 504
      9
      23 ม.ค. 64



    กลุ่มล่าเสือกลับมา พอดีกับสองสาวเล่นน้ำเสร็จ ออกมาสมทบ...

    "เรียบร้อยดีไหม" หัวหน้าคณะถาม ชัชวาลทำนิ้วสัญลักษณ์โอเค ส่วนเผ่าไทยมองสองสาวที่สวมชุดใหม่ ผมเผ้าเปียกน้ำอย่างสนใจ

    "ก่อนออกเดินทาง ผมขอรบกวนสุภาพบุรุษทุกท่านเปลี่ยนจากอาวุธปืนสั้นมาเป็นปืนไรเฟิลทั้งหมดด้วยครับ เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันภัยที่ดีที่สุด ปกติ ผมไม่เคยบอกนายจ้างตรงนี้ แต่เพราะมีเสือหลงเข้ามา เส้นทางหลังจากนี้จึงประมาทไม่ได้อีกต่อไป และคืนนี้ เราต้องค้างแรมในป่าด้วย ค่อนข้างอันตรายที่สุด ปืนสั้นไม่เหมาะกับการยิงสัตว์เลย เป็นทางเลือกสุดท้ายไว้ใช้ยามคับขันดีกว่า" พรานใหญ่กล่าวสุภาพ

    ชาวคณะมองหน้ากัน และโดยไม่มีคำถาม หรือคำพูดจาใดๆ กฤตธา ชัชวาล เทอดศักดิ์ เอื้อมมือจะปลดอาวุธประจำตัวข้างเอวออก 

    "อย่าครับ ติดเอวไว้นั่นถูกแล้ว แค่ถือปืนยาวเพิ่มขึ้นอีกกระบอก ยังไงปืนสั้นก็จำเป็นต้องมีติดตัวไว้ ส่วนใครจะใช้ไรเฟิลแบบไหนนั้น เลือกในหีบสัมภาระได้เลยครับ ผมให้ลูกหาบแบกมาด้วย มีหลายชนิดและกระสุนพร้อม"

    "รอบคอบมาก..." กฤตธาตบแขนจอมพราน "...ขอบคุณที่คิดเผื่อพวกเรา" แล้วพยักพเยิด ชวนพรรคพวกตามลูกหาบไปเปิดหีบ

    "บัวขาว..." หันไปทางพรานเฒ่า "บอกพวกลูกหาบเอาปืนลูกซองออกมาสะพายไหล่ไว้ ส่วนบัวขาวพาพวกสองคนที่ไม่มีหีบแบก นำหน้าเราไปก่อน สร้างห้างเตรียมไว้ที่ "ทุ่งหมาหอน" ถึงแล้วให้ก่อไฟ และหาอาหารได้เลย"

    "ครับ นาย" มือขวารับคำสั่ง แล้วเดินไป พรานใหญ่หันมาทางสองสาวที่ยืนมองเขา หนึ่งในนั้นเท้าสะเอว จ้องเขม็ง เหมือนจะรอฟังอะไรสักอย่างจากเขา พรานไพรยิ้ม ก้มหัวให้นิดนึง แล้วเดินผ่านหน้าไป ร่วมวงกับเหล่าบุรุษที่เลือกปืนอยู่ ทิ้งสองสาวให้มองตามหลังตาปริบๆ

    "ดู๊ ดูสิ มองเราเหมือนอากาศธาตุ" รัญชนาเค้นเสียงลอดไรฟัน ตาขวาง

    "เอาน่า รัน เขาไม่มีอะไรจะสั่ง เพราะเห็นเราเป็นผู้หญิงไง หน้าที่คุ้มกันเป็นของผู้ชายเขา เราแค่เดินให้ไหว ไม่เป็นตัวถ่วงก็พอแล้ว"

    รัญชนาชะเง้อคอ อยากจะเข้าไปมุงดูปืนกับพวกหนุ่มๆ เขาบ้าง แต่ก็เบื่อหน้าพรานขี้เก๊ก กับเพื่อนบางคน เลยหลบมานั่งเซ็งๆ คนเดียว ริมลำห้วย

    บนโขดหิน หญิงสาวในชุดเสื้อกล้ามสีขาว แจ็คเก็ตแขนยาวสีน้ำเงิน และกางเกงยีน นั่งเท้าคางแกว่งกิ่งไม้เล่น ตาหลุบต่ำมองพื้น หวนคิดถึงบ้าน...

    เสียงย่ำใบไม้ทำให้รู้สึกตัว แต่ขี้เกียจหันมา นั่งทำท่าเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น กระทั่ง ปืนยาวสีน้ำตาล รูปทรงสวย กะทัดรัด ค่อยๆ ลอยมาตรงหน้า มหาบัณฑิตสาวอุทานเบาๆ อย่างทึ่ง ตาสว่าง หันเงยหน้ามองเจ้าของมือ

    "เอฟเอ็น .375 ครับ ไรเฟิลที่เหมาะกับผู้หญิง คุณน่าจะใช้ได้"

    เผ่าไทยบอกเสียงเรียบ แต่ไม่แห้ง กระด้าง เหมือนวันก่อน รัญชนาสบตานิ่ง ก่อนรับมา พลิกสำรวจ พร้อมกับลุกขึ้นยืนช้าๆ ประกายตาบ่งบอกความชอบ

    "ฉันเคยหัดปืนชนิดนี้ แต่เป็นเวเธอร์บี .300 ตอนแรก ฉันว่าจะเอามันมาด้วย แต่พี่กฤตบอกว่า พรานป่าจะเลือกอาวุธที่เหมาะสมให้กับเรา พี่กฤตคาดการณ์แม่นยำราวกับตาเห็น ฉันชอบนะ ขอบคุณมาก"

    เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวพูดดีกับเขา แถมยิ้มสดใสมาให้ แสดงว่าหล่อนพอใจเจ้าปืนกระบอกนี้จริงๆ พรานไพรยกเท้าข้างหนึ่งยันโขดหิน มองหล่อนสำรวจปืนแบบมืออาชีพ 

    "คุณวิชชุนีย์ขอผม อยากร่วมแจมด้วย ผมเลยนึกถึงคุณ คิดว่า ถ้ามีสาวหนึ่งยิงได้ อีกคนก็น่าจะไม่ต่างกัน แม้ว่า... เอ่อ... ลักษณะภายนอกจะดูไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่" ประโยคท้าย พรานหนุ่มพูดเบา แล้วเสมองทางอื่น

    รัญชนาชะงักกึก อ้าปากจะตอบโต้กลับตามนิสัย แต่แล้วฉุกคิด ซ่อนยิ้ม

    "คุณทายถูกเผ็งเลย ฉันเป็นนักยิงปืนที่โลว์คลาสมากๆ ในบรรดาคณะ ฝีมือฉันห่วยที่สุดแล้ว ฉันเคยทดสอบ คะแนนยิงสัตว์ได้อันดับต่ำสุด ในเมื่อ เอาดีด้านยิงสัตว์ไม่ได้ เลยว่าจะเปลี่ยนมาลองยิงคนแทน"

    หญิงสาวพูดพลาง สับลำกล้องเข้าที่ แล้วยกขึ้นประทับบ่า...

    ปัง...!! ไวแบบไม่ทันคิด และโดยที่ไม่ทันตั้งตัว จอมพรานสะดุ้งเฮือก กระสุนพุ่งเฉียดหัวเขาไป ห่างแค่คืบเดียว ชายหนุ่มตะลึง จ้องหล่อนนิ่ง

    "ว๊ากกกก! อย่ายิง อย่ายิง โต้งเอง โต้งเองคร้าบ" เสียงร้องดังออกมาจากพุ่มไม้ เผ่าไทยหันขวับไป เขาไม่รู้เลยว่ามีพวกลูกหาบอยู่แถวนั้นด้วย

    "ออกมา..." รัญชนาตวาดเสียงดุ เจ้าโต้ง ลูกหาบวัยฉกรรจ์ แต่ตัวใหญ่ยังกะช้าง เดินชูสองมือ ยิ้มแห้งๆ ออกมา

    "ไปทำลับๆ ล่อๆ ทำไมแถวนั้น นึกว่าเป็นสัตว์ เลยยิงเข้าให้น่ะซี" หญิงสาวลดปืนลงชี้พื้น บอกมาหน้าตาเฉย 

    "โธ่ นายหญิง โต้งมาตามพรานใหญ่ ไม่ได้ทำลับล่อไรหรอกจ้า" เด็กบ้านป่ายิ้มฟันขาวตอบ ก่อนหันมาบอก "นาย นายใหญ่กับทุกคนพร้อมแล้วครับ"

    จอมพรานกระเดือกน้ำลายลงคอฝืดๆ กระแอมเรียกสติตัวเองกลับมา แล้วหันหลัง เดินตามเจ้าโต้งไป ขณะเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ อดเหลียวกลับมามองมิได้ หญิงสาวยืนอย่างเท่ กำลังประทับไรเฟิล เล็งศูนย์ ส่องมาทางเขา!


     


    ออกจากห้วยนางพญาก็บ่ายสองแล้ว...

    ทั้งคณะเดินทางต่อ หลังจากบัวขาว ปาด และพืช ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ลำดับการเดินจึงเปลี่ยนไป พรานใหญ่นำหน้า ตามด้วยคณะ ต่อมา คือ ลูกหาบ โต้ง กับ มัด แบกหามสัมภาระอีกหนึ่งหีบ บุญหมายปิดท้าย ชาวกรุงดูคึกคัก ชอบใจกับอาวุธใหม่ที่ได้รับ พูดคุย หยอกเย้า กันไปตลอดทาง

    ตัวเผ่าไทยนั้นใช้ไรเฟิล วินเชสเตอร์ .375 กฤตธาใช้ไรเฟิล เวเธอร์บี .300 มาร์ค ไฟว์ แม็กนั่ม ชัชวาลใช้ไรเฟิล ซาโก้ .375 เทอดศักดิ์ใช้ไรเฟิล วินเชสเตอร์ .458 วิชชุนีย์ใช้ไรเฟิล ซีแซด .375 ส่วนพรานเฒ่า กับ พวกลูกหาบใช้ .30 - 06 อาวุธสำหรับล่าสัตว์เล็กโดยเฉพาะ

    มาถึงจุดนัดพบ "ทุ่งหมาหอน" ก็เกือบเย็นแล้ว บัวขาวเคลียร์พื้นที่เรียบร้อย กองไฟถูกจุดขึ้น ปาด พืช กับ บัวขาว ล่าไก่ป่ากับสัตว์เล็กแถวนั้นเป็นอาหาร นำมาย่างไฟ เทอดศักดิ์ กับ ชัชวาล กำลังจะหนีไปลองปืน แต่เผ่าไทยห้ามไว้ บอกว่า คืนนี้มีการนั่งห้าง สามารถทดสอบกับของจริงได้ เพราะเขาเตรียมเกมไว้เล่นแล้ว ทั้งหมดจึงรับประทานมื้อเย็น และพักผ่อนเก็บแรงไว้ลุยกัน

    ประมาณทุ่มหนึ่งก็เริ่มมืด พรานใหญ่นัดแนะทุกคนมาซ้อมแผน มีห้างทั้งหมดสี่ต้น จึงจะแบ่งคนออกเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มละสามคน ขึ้นไปนั่งห้างเพื่อเล่นเกมล่าสัตว์ โดยจะมีเหยื่อล่อ เป็นซากกระต่ายป่าที่พวกลูกหาบฆ่าไว้ วางไว้ใต้โคนต้นไม้ เพื่อล่อสัตว์ใหญ่มากิน ภายในบริเวณนี้ ที่ชุกชุมที่สุดคือ หมาใน 

    การแบ่งกลุ่มเริ่มขึ้นในทันที เผ่าไทยถอนตัวออกมา ให้นายจ้างปรึกษากันเอง กระทั่ง ถูกเรียก จึงกลับเข้ามาอีกครั้ง กฤตธาเป็นคนสรุป

    "เทอด ฟ้า ลุงขาว กลุ่มหนึ่ง ชัช ปาด และพืช กลุ่มสอง ผม มัด ลุงหมาย กลุ่มสาม คุณ รัน และโต้ง กลุ่มสี่ ตามนี้ โอเคไหม"

    พรานไพรได้ยินดังนั้น ถึงกับเลิกคิ้วฉงน เหนือความคาดหมาย รัญชนาวางหน้าเฉย แต่แอบซ่อนยิ้ม เดิมที รุ่นพี่ที่เคารพให้หล่อนอยู่กับเพื่อนคนใดคนหนึ่ง แต่หญิงสาวไม่ยินยอม ยืนกรานจะแยกเดี่ยว กฤตธาหนักใจ เป็นห่วงกลัวคนอื่นจะคุ้มครองหล่อนไม่ดี จึงโยนมาให้พรานมือหนึ่ง ซึ่งก็เข้าแผนของหล่อนพอดี

    "เอ่อ... ถ้าคุณรัญชนาอยู่กับผม ควรมีพวกคุณคนใดคนหนึ่งอยู่ด้วยครับ" เขากล่าวอย่างอึดอัด 

    "ไม่จำเป็นหรอก ห้างก็ใกล้กันแค่นี้เอง ตะโกนยังได้ยิน ถ้ามีใครคิดทำมิดีมิร้ายขึ้นมา จะร้องให้ลั่นป่าเลย" หญิงสาวกอดอก พูดหน้าตาเฉย

    เทอดศักดิ์สะกิดยิกๆ แล้วกระซิบ "หนึ่งต่อสองเชียวนะ แม่คุณ แค่เจ้าโต้งคนเดียว ก็ ฮื๋ยย์..." เพื่อนหนุ่มสยิวกายอย่างขนลุก รัญชนาผลักหน้าหงาย 

    "เฮอะ เขาไม่กลัวพรานทำอะไรเธอหรอก เขากลัวเธอทำมิดีมิร้ายพรานมากกว่า" ชัชวาลหรี่ตา ยิ้มหึๆ มีเลศนัย 

    "พี่ชัช ปากเหรอนั่น..." รัญชนาร้องแว้ด ง้างหมัดจะชกคนตัวโต กฤตธาเข้ามาแทรก 

    "เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกเล่นเป็นเด็กน้อยเสียที... ไม่เป็นไรหรอก คุณเผ่าไทย ใครนั่งกับใครก็ได้ทั้งนั้น เดินทางมาด้วยกันก็ต้องไว้ใจกัน ผมขอฝากน้องสาวคนนี้ไว้ด้วยแล้วกัน"

    "ถ้าดื้อหรือซน ไม่เชื่อฟัง อนุญาตให้ถีบตกห้างได้ครับ" เทอดศักดิ์ต่อท้ายเสียงจริงจัง ก่อนกระโดดหลบเท้าสาวจอมป่วน





    สองทุ่มเศษ ป่าดึก เงียบสงัด... 

    มีเพียงเสียงหริ่งเรไร และสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ ออกหากินยามค่ำคืน พระจันทร์ซ่อนเร้นในคืนเดือนดับ บันดาลให้ป่าค่อนข้างมืดกว่าที่เคย สี่ห้างที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ห่างเพียงห้าสิบเมตร บนต้นไม้ใหญ่สูงเหนือพื้นสามสิบฟุต ทุกคนรอคอยอย่างสงบ แม้มีเสียงพูดคุยกัน แต่ก็ไกลเกินกว่าจะได้ยิน 

    บนห้างของเทอดศักดิ์ วิชชุนีย์ และบัวขาว... ค่อนข้างครึกครื้นที่สุด เพราะพรานเฒ่าสรรหาเรื่องสนุกๆ ในป่ามาเล่า สร้างความสนิทสนมคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว สองคนเพลิดเพลินกับเรื่องขำขันของบัวขาว นั่งหัวเราะเฮฮา จนแทบลืมเลือนเกมล่าสัตว์

    บนห้างของชัชวาล ปาด และพืช... เงียบกริบ มีเพียงเสียงกระซิบของสองลูกหาบ ชัชวาลนั่งลับมีด รอคอยอย่างเยือกเย็น

    บนห้างของกฤตธา มัด และบุญหมาย... มีเสียงคุยกันแผ่วเบา หัวหน้าคณะไถ่ถามเรื่องป่าทั่วๆ ไป เพื่อประดับวิชา และเขาเดาไม่ผิด คือ บุญหมาย เป็นพรานที่ทรงความรู้คนหนึ่ง คุยกับแกได้อะไรมากมาย

    บนห้างของเผ่าไทย รัญชนา และโต้ง... ลูกหาบตัวยักษ์นั่งกอดปืนยาวพิงต้นไม้ หลับไปนานแล้ว แถมกรน คร่อกๆ อีกด้วย ด้านหน้าของมัน หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาว นั่งเคียงข้าง หันหน้าสู่ป่ากว้าง เพราะพื้นที่แคบ แม้ไม่ถึงกับเบียดเสียด แต่ก็นั่งติดกันพอดี ไหล่ชนไหล่ ต่างฝ่ายต่างนิ่ง

    "ไม่เห็นจะมีอะไรเลย..." หญิงสาวเอ่ยเบาๆ เมื่อรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

    "หมาในเป็นสัตว์ที่ออกล่าเป็นฝูง ถ้ามา ทุกคนคงยิงกันไม่ทันแน่ ข้อดี คือ มีเป้ายิงเยอะ ข้อเสีย คือ มีโอกาสแค่ครั้งเดียว" ชายหนุ่มตอบเรียบๆ

    "เด็กของคุณไม่ได้เรื่องเลย ให้มาช่วยดู กลับมาหลับ แถมกรนเสียงดัง"

    รัญชนาไม่เป็นตัวของตัวเอง บ่นไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นเอง เพราะไม่เคยชินกับการนั่งแนบข้างบุรุษนานๆ ในยามวิกาล ต่อให้ใจเด็ดสักแค่ไหน ความเป็นกุลสตรีผู้ถือบริสุทธิ์ ก็ทำให้เกิดความตะขิดตะขวงใจ รู้สึกแปลกๆ

    พรานหนุ่มหันมองเสี้ยวหน้างามในความมืดสลัว กะพริบตาปริบๆ

    "ถ้าคุณอยากใช้มัน ผมจะปลุกมันมานั่งข้าง ส่วนผมไปหลับแทนเอง"

    "อย่า..." รัญชนาเผลอยึดมือเขาโดยไม่ตั้งใจ เมื่อเขาทำท่าจะหันไป ก่อนตกใจแล้วปล่อย แก้มแดงวาบใต้ความมืดโดยที่เขามองไม่เห็น

    "เอ่อ... ปลุกคนกำลังหลับ บาปกรรมเปล่าๆ ฉันไม่มีอะไรจะเรียกใช้หรอก แค่เหงา เห็นเจ้านี่เป็นคนคุยเก่ง น่ารัก คิดว่าจะเล่านิทานสนุกๆ ให้ฟังบ้าง"

    หญิงสาวเฉไฉหน้าตาเฉย พรานไพรไม่โง่ที่จะอ่านไม่ออกว่าหล่อนกระทบ

    "ขอโทษด้วย ที่เมื่อบ่ายนี้ ผมทำให้คุณไม่พอใจ" น้ำเสียงอ่อนลงไม่รู้ตัว

    "ตอนไหน?" รัญชนาเลิกคิ้ว เอียงหน้าถาม

    "ที่ห้วยนางพญา"

    "อ๋อ..." ลากเสียงยาว ก่อนหัวเราะสดใสออกมาคำหนึ่ง 

    "ไม่มีอะไรหรอก คุณคิดว่าฉันโกรธคุณเลยยิงปืนใส่ใช่ไหม เปล่าเลย ตอนนั้น ฉันแค่อยากท้าทาย ก็คุณน่ะไม่รู้เป็นไง ชอบพูดจาดูถูกฉันอยู่เรื่อย แต่ฉันไม่ได้โกรธอะไรนะ ยิงแล้วก็จบไป ไม่ได้เก็บมาจำฝังใจ ถ้าคุณไม่พูดขึ้นมา ฉันก็เกือบลืมไปแล้ว" หล่อนอธิบายเสียงใส ยิ้มแย้มอารมณ์ดี

    "จิตใจผู้หญิง... ยากแท้หยั่งถึง!" 

    จู่ๆ ถ้อยคำเหมือนตัดพ้อ ก็ลอยเบามาตามสายลม รัญชนาชะงักกึก หันขวับมองเสี้ยวหน้าของคนพูด ตาลุกวาว เช่นเดียวกับหัวใจที่กระตุกแปลกๆ

    "มาแล้ว...!" หญิงสาวอ้าปาก จังหวะเดียวกับที่พรานหนุ่มกระซิบ แล้วสะกิดหล่อนให้หยิบปืน รัญชนาเปลี่ยนมานั่งท่าคุกเข่า ประทับไรเฟิลพร้อม เสียงเห่าหอนเกรียวกราวน่าขนลุก กลิ่นสาบ และเสียงย่ำใบไม้ ลอยมาตามลม

    "ผมจะฉายไฟให้เมื่อมันมาถึง เห็นตัวแล้วยิงได้เลย..." พรานใหญ่บอก

    รัญชนาเม้มปาก ใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น จะได้ลิ้มลองประสบการณ์จริงเป็นครั้งแรก สายตาจ้องนิ่งใต้โคนต้นไม้ รอเหยื่อมาติดเบ็ด...

    จู่ๆ มีแสงสว่างสีขาวส่องจ้ากระทบตา รัญชนาหลับตาหยี สะบัดหน้าสองที ก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่ ทัศนียภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไป...

    เป็นยามเย็นที่ไม่รู้วันเวลา ท้องฟ้าขมุกขมัวเหมือนฝนกำลังจะตก รัญชนาถือไรเฟิล ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางพงหญ้า กว้างสุดลูกหูลูกตา มองไม่เห็นขอบฝั่ง รอบด้านมีแต่ปลายขอบฟ้า ไม่มีต้นไม้ ไม่มีสัตว์ป่า ลมพัดแรงจนชายผมโบกสะบัด หล่อนหมุนตัวช้าๆ หันมองไปทั่วทุกทิศทาง

    "คุณรัน ยิงสิ!..." หล่อนแว่วเสียงคนเรียก เหมือนอยู่ไกลแสนไกลเหลือเกิน ล่องลอยมาตามลม เมื่อหันมอง กลับพบชายคนหนี่งในชุดชาวเผ่าวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา

    "รายา... วิ่งงงงงงง!!" คนๆ นั้นร้องสุดเสียง ท่าทางแตกตื่นตกใจยิ่งนัก วิ่งสวนตัวหล่อนไปโดยไม่หยุด หญิงสาวรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้น ราวกับเกิดแผ่นดินไหว และสิ่งที่หล่อนเห็น วิ่งตามหลังชายผู้นั้นมา คือ สัตว์โลกยุคดึกดำบรรพ์ ช้างแมมมอธ เซเบอร์ทูธ ไทเกอร์ หมีหน้าสั้นที่ตัวใหญ่เท่าคน แรดขน และอีกสารพัด มาเป็นกองทัพประจัญบาน เสียงคำรามราวอสนีบาต ไม่ต้องคิดสิ่งใดให้มากความ หญิงสาวทิ้งอาวุธ แล้ววิ่งสุดฝีเท้า ไปตามทางเดียวกับชายคนแรก

    "รัญชนา...!" เสียงร้องปริศนาดังขึ้นอีกแล้ว หล่อนไม่มีเวลาสนใจ จู่ๆ เบื้องหน้ากลับมีต้นไม้ใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ต้นไม้ประหลาดที่แผ่กิ่งก้านสาขาอลังการราวกับอายุสักหมื่นปี ชายผู้นั้นกำลังปีนขึ้นไป และหล่อนก็ปีนตามโดยไม่คิด ปีนขึ้นไป... ปีนขึ้นไปเรื่อยๆ... ทว่า ด้วยความรีบร้อน หล่อนพลาด หงายหลังตกลงมาจากที่สูง ก่อนลงกระแทกพื้นอย่างแรง!!

    ปัง...ปัง...ปัง...ปัง...ปัง... เสียงปืนดังกระหน่ำรัวเป็นชุด ฉุดรัญชนากลับสู่โลกแห่งความจริง หญิงสาวสะดุ้งพรวดขึ้นนั่ง พร้อมกับรับรู้ว่าหล่อนไม่ได้อยู่บนห้างอีกต่อไปแล้ว ก็เมื่อ... ฝูงหมาในที่ถูกล่าโดยพวกพ้อง กำลังวิ่งหนีห่ากระสุน วิ่งมาเป็นกองทัพ มาทางหล่อน!!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×