ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไพรบรรพกาล

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 490
      12
      13 เม.ย. 62



    สิบสองนักเดินทางเดินเรียงแถวตามกันมาอย่างสงบ ใต้แสงแดดที่ส่องทะลุผ่านรอยแยกของต้นสนลงมาอย่างเบาบาง น่าแปลกที่แม้จอมพรานไม่ได้ห้าม แต่ทั้งหมดก้าวทับรอยเท้าคนข้างหน้า ตามสัญชาตญาณระวังภัย

    เผ่าไทยสะพายไรเฟิลเดินนำหน้า ตามมาด้วย กฤตธา รัญชนา วิชชุนีย์ ชัชวาล เทอดศักดิ์ พรานเฒ่าบัวขาวถือปืนลูกซองระวังกลาง เหล่าขบวนคานหาบสัมภาระ ประกอบด้วย โต้ง มัด ปาด พืช เป็นลูกหาบวัยคะนอง อายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปี ขันอาสามาคอยรับใช้บริการ เพื่อหาประสบการณ์ครั้งแรก ส่วนบุญหมาย พรานเฒ่าซึ่งแก่กว่าพรานบัวขาวหลายปี แต่งตัวซอมซ่อ ตามสบายที่สุด นุ่งผ้าโสร่ง สะพายถุงย่าม รองเท้าแตะ เดินดุ่มๆ คุมท้ายขบวน

    "ป่าแถบนี้อุดมสมบูรณ์มาก โชคดีที่เรามาหลังหน้าฝน"

    กฤตธาเปรยขึ้น ขณะสายตาสอดส่องไปทั่ว พรานใหญ่หันมายิ้ม

    "ครับ และโชคดีที่หน้าฝนปีนี้ไม่หนักมาก เราจึงไม่ต้องลุยดินโคลน"

    "ทำไม เราถึงเดินฟากโน้นไม่ได้" 

    รัญชนาถามขึ้น หล่อนสนใจไอ้ดินแดงหลังกิ่งไม้ไผ่ที่ถูกแบ่งอาณาเขตไว้ จำกัดให้พวกเขาต้องเดินฝั่งขวาอย่างเดียว

    เผ่าไทยหันมามอง เลิกคิ้ว "คุณเป็นนักโบราณคดี ลองวิเคราะห์ดูสิครับ"

    "ฉันเป็นนักโบราณคดี ไม่ใช่นักธรณีวิทยา จะได้วิเคราะห์ดินทรายป่าของคุณรู้เรื่อง" หล่อนตอบเสียงแหว เพราะตั้งใจถามดีๆ กลับถูกลองภูมิ

    "อ้อ..." เขาครางดัง แล้วกลับเงียบ ก้มหน้าเดินดุ่มต่อ หญิงสาวชักเดือดปุดๆ 

    "ให้ฉันทายนะ ดินทางโน้นต่ำกว่า และมีก้อนหินเล็กๆ มากเกินไป เสี่ยงต่อการเดินพลิก และโดนก้อนหินบาด" วิชชุนีย์ออกความเห็น

    "เก่งมากครับ คุณวิชชุนีย์ การช่างสังเกตเป็นคุณสมบัติของนักเดินป่า" 

    พรานไพรกลับหันมาชื่นชม และยิ้มให้ ข้ามหน้าข้ามตาหญิงสาวที่รอฟังคำตอบอยู่อย่างหน้าบูด รัญชนากัดริมฝีปากเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ นึกอยากหยิบก้อนหินลูกเล็กๆ บนพื้น ปาใส่หลังคนตรงหน้า ข้อหากวนและเมินเฉย

    ...คนบ้า! โยกโย้กวนประสาท นึกว่าแน่นักหรือ ถือว่าตัวเองเป็นพรานใหญ่มีระดับ คิดจะปั่นหัวพวกเราเล่นล่ะซี ลองดูซิ ออกนอกเขตแล้วจะเป็นไร?

    "อ้าว นายหญิง อย่าไปทางโน้นครับ มันอันตราย" 

    เสียงของบัวขาว ทำให้พรานใหญ่หันมอง พบว่า มหาบัณฑิตสาวเกียรตินิยมอันดับหนึ่งคณะโบราณคดี ออกนอกรั้วกั้น ไปเดินทอดน่อง ดอมดมดอกไม้ป่าอยู่ทางฝั่งซ้าย ทุกคนพร้อมใจกันหยุด เมื่อเผ่าไทยผู้เดินนำหน้าชะงัก

    "รัน กลับมา ข้ามเขตไปทำไมล่ะนั่น ซนจริง" เทอดศักดิ์เรียกไม่ซีเรียสนัก

    "ดอกไม้แถวนี้งามดี กลิ่นหอมด้วย มาดูสิ ฟ้า" กวักมือเรียกวิชชุนีย์ แต่มองเผ่าไทยอย่างท้าทาย เพื่อนรักขยับตัว แค่อยากไปดูใกล้ๆ ชัชวาลผู้ตามหลังมาดึงแขนไว้ "เดี๋ยว!" ร้องเบาๆ เสียงตระหนก วิชชุนีย์หันมองหน้างงๆ

    จากมุมที่รัญชนายืนอยู่ หล่อนหันข้างพิงโขดหิน พวกที่ยืนถัดจากชัชวาลลงไปจึงอยู่ในมุมอับมองไม่เห็น ความจริง แม้แต่เทอดศักดิ์ หรือ วิชชุนีย์ ก็ไม่ทันเห็น ด้วยสีและลายของมันกลืนไปกับกิ่งไม้สูงที่ทอดลงมา แต่ไม่อาจอำพรางเกล็ดมันวาวสะท้อนต้องแสงแดด ชัชวาลตาไว เช่นเดียวกับกฤตธา

    "ระวัง...!!"

    ฉึก... สิ้นเสียงของหัวหน้าคณะ พระบรรค์นาค มีดสั้นโบราณ อาวุธคู่เอวของจอมพราน ปลิวไปฟันกิ่งไม้ใหญ่ร่วงลงมากระแทกพื้น ห่างจากเท้ารัญชนาแค่สองก้าว หญิงสาวหวีดร้อง ถอยหลังกรูด เจ้าสัตว์เลื้อยคลานทรงกระบอก สีน้ำตาลเข้ม หัวแบนเรียว ตาเล็ก ความยาวขนาดร้อยยี่สิบเซนติเมตร เกล็ดเรียบเป็นเงาวาว คลายลำตัวที่พันรอบกิ่งไม้ ผงกหัวขึ้นขู่เบาๆ ก่อนจะเลื้อยหนีไปอีกทางอย่างไม่เร็วนัก

    เสียงร้องโวยวายของพวกชาวกรุง เรียกพรานพื้นเมืองขยับเข้ามาดู แต่ไม่มีใครตื่นเต้นตกใจ แม้แต่พวกลูกหาบ เพียงซุบซิบบอกความกันธรรมดา

    "อย่าครับ ปล่อยมันไป ไม่อันตราย" 

    พรานใหญ่ก้าวยาวๆ มาเก็บมีด พูดเรียบเป็นปกติ ส่วนรัญชนาเผ่นกลับมาฝั่งผองเพื่อนตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว ยืนกอดอกตัวสั่นเบาๆ ด้วยความตกใจปนขยะแขยง วิชชุนีย์โอบไหล่เพื่อนปลอบโยน เทอดศักดิ์ที่มือไว ควักปืนสั้นออกมา ส่องตามอสรพิษไป ทำหน้าตาตื่น

    "ตัวใหญ่มาก ท่าทางร้ายกาจ ปล่อยไว้จะดีเหรอ" ร้องเสียงสูง 

    ในบรรดาชาวคณะฝ่ายชาย เทอดศักดิ์ดูตื่นเต้น และลุกลนที่สุด ต่างกับเพื่อนอีกสอง กฤตธา และ ชัชวาล มีตกใจบ้าง แต่ก็ยังคุมสติ เยือกเย็น ดูสถานการณ์

    พรานใหญ่สอดมีดเหน็บเอว เดินกลับมา กฤตธากดข้อมือเพื่อนลง พูดเสียงต่ำ

    "ถ้ามัวแต่จ้องฆ่างูทุกตัวที่เดินผ่าน คงไม่ต้องทำมาหากินแล้ว เมื่อมันไปแล้วก็จบกัน ต่างคนต่างเดิน ไม่มีประโยชน์ต้องล้างผลาญ"

    เผ่าไทยผงกศีรษะให้กฤตธา แทนคำขอบคุณ และชื่นชมในความคิด

    "งูแสงอาทิตย์ ครับ มันชอบอยู่ใต้ขอนไม้ หรือ ก้อนหินที่เป็นดินร่วน คนมักเข้าใจผิดว่ามีพิษ และดุร้าย ที่จริง มันเป็นสัตว์เชื่องช้า ไม่มีพิษ และหนีคนมากกว่าจะเข้าโจมตี อาจมีขู่บ้าง คล้ายงูเห่าแต่ไม่กัด ผมเห็นมันนอนอยู่ตรงนั้นแต่แรกแล้ว ก็ไม่คิดจะยุ่งกับมัน พอดี คุณรัญชนาเฉียดเข้าไปใกล้ ทำให้มันรู้สึกตัว และเคลื่อนไหวเพื่อจะหนี ผมกลัวมันจะตกใจคุณรัน และกลัวพวกคุณมือไวไปยิงเข้า เลยขว้างมีดดักไว้ก่อน ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้จบเรื่อง ปลอดภัยแล้ว"

    จอมพรานโบกมือ ส่งสัญญาณให้เดินต่อ มองรัญชนาแวบหนึ่งก่อนหันหลังกลับ จึงทันเห็นแววตาค้อน เขารู้ดีว่าหล่อนเคืองเรื่องใด แต่ไม่มีเวลาอธิบาย

    ขบวนท่องป่าพรากเคลื่อนต่อไป กฤตธากำชับเพื่อนฝูงไม่ให้แตกแถว การเจองูน้อยชื่อไพเราะ สวยแต่สยอง ตั้งแต่หัววัน ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักว่า อาณาจักรป่า...แม้จะตื้น ลึก ทึบ หนา ดิบ โปร่ง โล่ง แคบ ขนาดไหน ขึ้นชื่อว่าป่าแล้ว ย่อมแฝงอันตรายอยู่ทุกที่ ทุกตารางนิ้วไป เพราะเจ้าถิ่นผู้ครอบครองอาศัยโดยชอบธรรม ตามกฎธรรมชาติ ไม่ปรารถนาถูกรุกล้ำ ทำร้าย ดังนั้น บนเส้นทางของสัตว์ป่า ไม่อนุญาตให้ประมาทได้แม้สักก้าวเดียว

    ขบวนมุ่งหน้าต่อ เทอดศักดิ์เสียบปืนข้างเอว เหนี่ยวแขนชัชวาลไว้นิดหนึ่ง กระซิบ ไม่ให้คนอื่นได้ยิน

    "หมอนี่ ใจคอโหดสลัด ช่วยคนแต่ไม่ยอมฆ่างู ถ้าพลาด งูฉกรันเข้าจะว่าไง"

    "นั่นสิ นิสัยเหี้ยมเกรียมจริงๆ ถ้าเป็นฉันนะ ซัดคนแทนกิ่งไม้ไปแล้ว งูก็อยู่ส่วนงู คนเสือกยุ่งไม่เข้าเรื่อง!" 

    ชัชวาลตอบเสียงรำคาญ แล้วเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ทิ้งให้เพื่อนยืนอ้าปากค้าง...



    ระยะทางเกือบห้าร้อยเมตร จากที่เดินตามกันมาในหุบ แทบไม่มีคนพูดอะไรขึ้นอีก เพราะสายตามัวแต่ระแวงมองพื้น มองต้นไม้ใบหญ้า อากาศเริ่มร้อนอบอ้าว เถาวัลย์พันเลื้อยมาจากทุกทิศทางจนใครหลายคนเดินสะดุด ทางที่เปิดเป็นช่อง และเดินมาเป็นเส้นตรง เริ่มคดเคี้ยว เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เพื่อหลีกเลี่ยงเนินดินแฉะ หลุมเล็กๆ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ ก้อนหิน และกองใบไม้ที่ทับถมหนาเกินไป มีได้ออกแรงปีนเนินเล็กๆ กันบ้าง ชาวกรุงได้เรียนรู้ความยากลำบากในการเดินป่า ซึ่งมาพร้อมกับบททดสอบครั้งใหญ่

    ฝ่ายชายสะพายกระเป๋าเป้คนละใบ และพกปืนสั้นติดตัวกันทุกคน ฝ่ายหญิงไม่หอบหิ้วสิ่งใดเป็นภาระ เพื่อให้คล่องตัวมากที่สุด แต่ก็มีปืนสั้นแบบสตรีติดเอวไว้เช่นกัน เหงื่อออกเมื่อเคลื่อนไหวมากขึ้น อย่างที่จอมพรานบอก เมื่อเข้าสู่ป่าผาทรายดำอย่างเต็มตัวแล้ว สติ สมาธิ และความอดทน เป็นสิ่งจำเป็นต้องงัดออกมาใช้ เครื่องมือไอทีสนองความสุขแทบหมดความสำคัญไปเลย

    "อีกสองร้อยเมตร เราจะออกจากหุบ เข้าห้วยนางพญากันครับ ที่นั่นเป็นป่าโปร่ง มีหนองน้ำสะอาด พื้นหญ้าเขียวชอุ่ม เหมาะแก่การพักผ่อน วิวสวยทีเดียว เราจะพักทานข้าว และใครอยากถ่ายรูป หรือ โทรศัพท์ ก็ตามสบาย"

    จอมพรานทำหน้าที่ไกด์โฆษณามา ชาวกรุงด้านหลังฟังแล้วหัวใจแช่มชื่นขึ้นมาหน่อย การเดินทางครั้งแรกหากลุยหนักต่อเนื่องยาวนานนักก็คงห่อเหี่ยว

    พอถึงห้วยนางพญา เป็นสวรรค์กลางดงอย่างที่จอมพรานกล่าวไว้จริงๆ ด้วย ที่นี่เป็นพื้นราบ หญ้าเขียวชอุ่มปูพาดบนเนื้อที่สี่เหลี่ยม เนียนนุ่มราวกับสวนหลังบ้าน รอบทิศทางโอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่สูงชะลูด มีก้อนหินเป็นเก้าอี้นั่ง มีดอกไม้สีสันสวยงาม มีหนองน้ำไหลเอื่อยจากผาหิน และมีเนินสูงแคบอยู่ริมผา ขึ้นไปยืนจะมองเห็นทิวทัศน์ของป่าผาทรายดำอย่างทั่วถึง

    บัวขาว กับ บุญหมาย แยกกันเดินสำรวจรอบบริเวณตามวิสัยพราน ลูกหาบทั้งสี่วางกองสัมภาระ แล้วควักห่อข้าวออกมานั่งจับกลุ่มกินกันบนพื้นอย่างเรียบง่าย พวกชาวกรุงพอได้พักเหนื่อย สูดอากาศบริสุทธิ์จนชุ่มปอด ก็หาโขดหินเหมาะๆ นั่งรับประทานอาหารสำเร็จรูปกัน ด้วยความหิวมาเยือนไวกว่าปกติ จากการสูญเสียพลังงาน

    "คุณเผ่า มาทานข้าวก่อน" หัวหน้าคณะชวน เมื่อเห็นเขาง่วนอยู่กับการเช็คปืน

    "เชิญตามสบายเถอะครับ ผมขอตัวสักครู่" พรานไพรกล่าว กระแทกลำกล้องเข้าที่ แล้วหอบอาวุธเดินลับไปทางเหลี่ยมเขา

    "ไร้มารยาท ไม่รู้จักรวมกลุ่มสังสรรค์" รัญชนาเอ่ยลอยๆ ใบหน้างอนตึง

    "ไม่ใช่ในเมือง อย่าจุกจิกนักเลย..." กฤตธาปรามเบาๆ "...คนพื้นเมืองเขาดำเนินชีวิตเรียบง่าย กินนอนไม่เป็นเวลา แข็งแกร่งในแบบของเขา ไม่เหมือนพวกเรา เลยเวลาอาหารมาหน่อยเดียว โรคกระเพาะพาลถามหา ดูสิ เดินป่าไม่ถึงวัน สภาพแต่ละคน ดูไม่จืด"

    คำพูดของกฤตธา ทำให้เพื่อนๆ ที่นั่งบนโขดหินคนละก้อน หันหน้าเข้าหากัน ต่างเริ่มมองสำรวจเนื้อตัวของอีกฝ่าย แล้วก็พบกับสภาพมอมแมม คลุกฝุ่น

    "ฮ่าฮ่าฮ่า..." เทอดศักดิ์หัวเราะก๊าก ชี้มือไปที่หัวรัญชนา ซึ่งรกรุงรังด้วยเศษไม้เศษหญ้าราวกับรังนก วิชชุนีย์ต้องโน้มตัวมาปัดออกให้ 

    "นี่ไง เขาเรียกว่า ยิ่งเลอะ ยิ่งเพิ่มประสบการณ์ คิดถูกแล้วโว้ยที่มา ได้เห็น "ดาวมหาลัย" สองปีซ้อน มอมแมมเป็นลูกเหมียว แค่นี้ก็บุญตาแล้ว คึก คึก"

    สาวสวยประจำมหาวิทยาลัย หยิบกิ่งไม้บนหัวปาใส่ตัวรุ่นพี่จอมหยอก

    "ตัวเองก็เละไม่ต่างกันแหละ ตาพี่เทอด" แลบลิ้นใส่ ก่อนหันมาทางรุ่นพี่ที่รักและเคารพ เสียงเปลี่ยนเป็นจริงจัง

    "ตอนที่เจองูในป่าด้านล่าง รันว่า คุณพรานของพี่กฤตทำไม่ถูกค่ะ"

    "หือ?" กฤตธาเงยหน้าจากห่อข้าว คนอื่นก็หันมอง

    "เขาอยู่ไกลกว่า ไม่น่าจะเห็นชัดว่าเป็นงูอะไร กลับตัดสินใจช่วยเหลือ โดยการขว้างมีด ตัดมันลงมาแทบเท้ารันซะงั้น ดีว่าเป็นงูไม่มีพิษ เกิดเป็นงูเห่า หรืองูชนิดอื่นที่ดุร้าย ไม่ไล่ควบหรือพ่นพิษใส่เอาหรือคะ รันว่า เขาแก้เก้อที่ตัดสินใจผิด บวกกับโชคดีที่เป็นงูแสงอาทิตย์ พี่กฤตน่าจะบอกเขา ว่าการช่วยคนในวินาทีฉุกเฉิน ต้องฆ่างู ไม่ใช่ปล่อยงูให้มาเสี่ยงดวงกับคน เพราะชีวิตคนสำคัญกว่า ที่เขาทำวันนี้ เหมือนเห็นคนไม่มีค่า เป็นห่วงงูมากกว่ารัน"

    เพื่อนๆ พากันอึ้ง วิชชุนีย์นั่งใกล้สุด เอานิ้วสะกิดมา บอกค่อยๆ

    "จริงจังไปรึเปล่า รัน เขาคงจะมองเห็นจริงแหละว่าเป็นงูแสงอาทิตย์ ฉันว่า เขาไม่โกหกหรอกนะ"

    "นั่นซี ถ้าเขาเห็นเป็นงูเห่า คงไม่ซัดมาจูบเท้าเธอหรอกน่า ตอนแรก ฉันก็ไม่เห็นด้วยนะ แต่พอมาคิดอีกที เออ เราจะรู้ดีกว่าพรานได้ไงล่ะเนอะ" เทอดศักดิ์ว่า

    "ทำตัวเอง ยังมีหน้าไปโทษคนอื่น" เสียงลอยมา จากคนที่ก้มหน้าทาน

    "หา? ทำตัวเองอะไร รันแค่ร้องหาความเป็นธรรม พูดดีๆ นะ พี่ชัช" รัญชนาร้องเสียงแหว พวกลูกหาบพากันหันมองกลุ่มนายจ้าง เพราะเสียงของหล่อน

    "โอ๊ย แม่คุ๊น โตจนป่านนี้ ไม่เคยมีใครเตือนหรือว่า เวลาเดินป่าให้ถอยห่างริมผา กับ ซอกไม้หนาทึบไว้ ก็เรามันอยากอวดเก่ง อวดดี กับพรานเขานี่นา เจอบทเรียนเข้าหน่อย ทำร้องโอดครวญเหมือนเด็กไปได้ กล้าพยศ แต่ไม่กล้ารับผลที่ตามมา เรื่องขี้ประติ๋วแค่นี้ โวยวายราวกับถูกช้างเหยียบ แล้วต่อไป จะลุยป่าดิบกว่านี้ได้ไง นี่ดีว่าเขาช่วย เป็นพี่จะปล่อยให้งูไล่ควบเสียให้เข็ด"

    เพื่อนๆ มองหน้ากันตาปริบๆ ในบรรดาสมาชิกกลุ่ม... กฤตธาเป็นคนตรง แต่ถนอมน้ำใจ เทอดศักดิ์เป็นคนโผงผาง แต่สนุกสนาน ส่วนชัชวาลนั้น ดิบเถื่อน และขวานผ่าซากสุดๆ เข้าใจยาก รักสันโดษ เย่อหยิ่ง ชัชวาลอาจเข้าได้ดีกับพี่ใหญ่ของกลุ่ม ซึ่งเป็นคนใจเย็น ประนีประนอม รับฟังความคิดเห็น แต่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัญชนา เพราะหญิงสาวมีความเป็นเพศหญิงสูง ปากจัด จู้จี้ ยะโส อวดดี เจ้าระเบียบ และจุ้นไปทุกเรื่อง ทั้งสอง คือ คู่ปรับประจำมหาวิทยาลัย

    พอได้ยินดังนั้น มีหรือ หญิงเฮี้ยวอย่างรัญชนาจะเงียบ

    "เป็นพรานก็ต้องช่วยนายจ้างสิ ไม่ใช่ไปช่วยงู ใครใช้ให้เขาโยกโย้ กวนโมโหก่อนล่ะ ถามดีๆ ดันมาย้อนกลับ ก็แค่ถามว่า ทำไมฝั่งโน้นเดินไม่ได้ ถึงกับขุดอาชีพฉันมาลองภูมิ ก็นักโบราณคดีมันต้องรู้ไปซะทุกเรื่องเหรอ สงสัยมีปมกับพวกคนเมือง หน้าตาไม่รับแขก แล้วยังปากดี ชอบยียวนอีก"

    "รัน พูดให้น้อยๆ หน่อย" เสียงหนักจากปากพี่ชายหัวหน้าคณะ หยุดอารมณ์ร้อนของรัญชนาโดยพลัน หล่อนทำหน้าจืด กลุ่มลูกหาบที่นั่งอยู่แถวนั้นต่างได้ยินถนัดชัดเจน พากันทำหน้าเหรอหรา สุมหัวกระซิบกระซาบกัน

    "ก็ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ เราถึงรอดมานั่งจ้ออยู่นี่ ไม่ขอบคุณดันจับผิดอีก ถ้าพี่เป็นพรานใหญ่จะเสียน้ำใจเอา เขาเห็นงูนอนอยู่แต่แรกแล้ว สายตาของพรานไม่เหมือนกับเรา เขาผ่านสัตว์ป่ามานับไม่ถ้วน เห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นงูอะไร ถ้ารันไม่เชื่อเขา ก็เท่ากับดูถูกความสามารถของเขาด้วย วิธีการช่วยคนแตกต่างตามสถานการณ์ เมื่อเรารอดมาได้ ก็แปลว่าเขาคิดถูก แล้วจะย้อนหาความเพื่ออะไรกัน เขาไม่เคยว่ารันที่แหกกฎ รันก็ไม่ควรคิดเล็กคิดน้อย ไม่ง่ายหรอกนะ ที่จะแยกคนกับงูออกจากกันให้ปลอดภัยทั้งสองฝ่าย โดยใจจริงแล้ว พี่ก็รู้ว่าเขาไม่อยากฆ่ามัน และพี่ว่าเขาทำถูกแล้ว มันใช่เรื่องไหม ที่สัตว์ตัวหนึ่งต้องมาตายอย่างไร้ความผิด เพราะความอวดดีของเรา"

    รัญชนาสะอึก คำสั่งสอนตักเตือนของรุ่นพี่ ที่หล่อนเคารพบูชาเหมือนพี่ชายแท้ๆ เรียกสำนึกกลับคืนมาได้เหมือนกัน ยอมรับว่า เพราะความไม่ถูกชะตาในครั้งแรก ทำให้หญิงสาวผูกอคติกับเขา พาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผล

    "ตอนนี้ เราต้องเดินทางร่วมกัน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า มิตรภาพและความเชื่อใจเป็นสิ่งสำคัญ ลดทิฐิ และความเอาแต่ใจลงบ้าง พี่เชื่อว่าคุณเผ่าไทยไม่คิดร้ายกับเราหรอก เขาเป็นคนสงบเสงี่ยม เงียบขรึม อย่างนั้นเอง แต่เขาก็สุภาพ จริงใจดีไม่ใช่เหรอ คนตรงน่ะน่าคบกว่าพวกปากหวานก้นเปรี้ยวนะ"

    รัญชนายอมสงบศึกแต่โดยดี กินข้าวไปเงียบๆ บัวขาว กับ บุญหมาย กลับมาจากสำรวจ นั่งลงใต้โคนต้นไม้ แกะห่อใบตอง กินข้าวเหนียวปิ้งแทนข้าว ส่วนพรานไพรหายเงียบไปเลย จนกระทั่ง ทุกคนทานเสร็จ จึงได้เห็นเผ่าไทยเดินดุ่มๆ ลับพุ่มไม้ออกมา เขาเข้าไปทางหนึ่ง กลับออกมาอีกทางหนึ่ง พอมาถึง ก็เรียกสองพรานเฒ่าตามเข้าไปในพงรกอีกครั้ง ไม่มีคำพูดใดกับนายจ้าง ทั้งหมดนั่งรออย่างฉงน สักพัก พรานใหญ่กลับออกมาคนเดียว

    "พักผ่อนตามอัธยาศัยนะครับ ผมกับผู้ช่วยต้องขอตัวสักครู่"

    สีหน้าพรานใหญ่เรียบเฉยตามบุคลิก แต่กฤตธาสังเกตออกว่าในประกายตาไม่ปกติ

    "เกิดอะไรขึ้น คุณเผ่า"

    เผ่าไทยนิ่งไปวูบหนึ่ง ก่อนตอบเสียงขรึม "มี... เจ้าป่า ล้ำถิ่น ครับ!!"




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×