ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไพรบรรพกาล

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 582
      15
      22 ก.พ. 62


    รุ่งเช้าวันต่อมา ขบวนที่จะออกเดินทางไปป่าพราก ต่างจัดเตรียมความพร้อมอยู่หน้าบ้านของพรานใหญ่ ฝ่ายผู้จ้าง คือ กลุ่มนักโบราณคดี ซึ่งสามารถตกลงเงื่อนไขกับเผ่าไทยได้ลงตัว เป็นเหตุให้เกิดการเดินทางครั้งนี้ขึ้น กำลังตรวจตราสัมภาระอยู่ในฝ่ายตนเอง เผ่าไทยเดินมาดูบ้างเป็นระยะ และช่วยแนะนำว่าสิ่งใดควรเอาไป สิ่งใดควรทิ้งไว้ เพื่อมิให้เป็นตัวถ่วง เหล่านักผจญภัยมือสมัครเล่น ต่างรับฟังและปฏิบัติตามดี มียียวนกวนประสาท เอาแต่ใจบ้าง คือ นางสาวรัญชนา อาจเพราะกว่าจะตกลงเจรจาเป็นผลสำเร็จ ฝ่ายของหล่อนต้องเปลืองน้ำลายไปมาก กลับแลกเงื่อนไขที่ไม่ค่อยพึงพอใจนัก

    "...ตกลง ผมรับงานนี้ มิใช่เพราะว่า เชื่อในเรื่องตำนาน หรือ เพราะชื่อ เสือเขี้ยวดาบ... ผมอยากจะไขความจริงถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับพวกคุณ นั่นเป็นเรื่องเดียวที่ผมเชื่อ แต่... ผมมีเวลาให้เพียงแค่สองสัปดาห์เท่านั้น หากภายในสองสัปดาห์ ไม่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ ขึ้นกับพวกคุณอีก ผมจะถือว่า การเดินทางตามหา "รากกายสิทธิ์" เป็นสิ่งไม่จำเป็นแล้ว และเราจะเดินทางกลับทันที โดยไม่มีข้อแม้ หากคุณรับเงื่อนไขนี้ได้ เราก็ go..."

    เมื่อถึงเวลา ทั้งหมดมายืนเรียงแถว เพื่อซักซ้อมแผนการเดินทางครั้งสุดท้าย โดยมี พรานใหญ่ ผู้ช่วย และลูกหาบ ร่วมขบวนไปกับเหล่าคณะด้วย



    ผาทรายดำ นับเป็นสถานที่สุดหฤโหดของนักผจญภัยที่รักความท้าทาย เป็นพื้นที่เสี่ยงตายของนักเดินป่ามืออาชีพ ที่นี่ ติดอันดับ "ป่าอันตราย" ที่สุดในประเทศไทย แม้จะไม่ใช่ที่ท่องเที่ยวยอดนิยมนัก เนื่องด้วย ภูมิประเทศเป็นป่าดิบรกชัฏ สลับกับภูเขาสูง พื้นที่แห้งแล้ง ทุรกันดาร ซับซ้อน ยากแก่การเดินเท้า แถมอากาศไม่ปลอดโปร่งเพราะกองใบไม้แห้งทับถมยาวนานหลายปี แต่ในแต่ละปี ก็รองรับผู้คนจำนวนไม่น้อย จุดขายของที่นี่ คือ แอ่งน้ำพุร้อนประหลาด กำเนิดจากกระบวนการรังสรรค์ใต้พื้นพิภพ มีลักษณะเป็นบ่อผุด มีสีสันสวยงาม เกิดจากแบคทีเรีย และพืชเซลล์เดียว จึงได้รับขนานนามเป็น เยลโลว์สโตน เมืองไทย

    ป่าแห่งนี้ มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี ก่อนที่ผู้คนจะเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐาน มันเคยเป็นพื้นที่ที่ชนเผ่าพื้นเมืองรุ่นแรกจารึกไว้ในศิลาโบราณว่า "หุบเขามนุษย์กินคน" จุดที่ว่านี้ อยู่ลึกกว่าผาทรายดำเข้าไปอีกมาก สันนิษฐานตามการคาดเดาของชาวบ้าน คือ บริเวณป่าพราก แน่นอนว่า เรื่องนี้ เป็นความเชื่อที่เล่าขานกันสืบต่อมา เท็จจริงประการใดนั้น ไม่อาจตรวจสอบได้

    เก้านาฬิกาของวันอังคาร แสงแดดยามเช้าเบาบางและแจ่มใส ฟ้าโปร่ง อากาศกำลังสบาย รองเท้าสิบสองคู่เหยียบย่ำบนเนินดิน ป่าที่ถูกถางไว้เป็นทางอยู่ก่อน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ทางสายแรกจึงเหมือนเดินในวนอุทยานแห่งชาติ ชื่นชมป่าไม้สดข้างทาง ปราศจากภัยร้ายคุกคาม

    พรานใหญ่ เผ่าไทย เดินนำหน้าขบวน เคียงข้างพรานผู้ช่วย เขาไม่ลืมทำพิธีเปิดป่าก่อนออกเดินทาง แม้จะคุ้นเคย หากินกับแหล่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว บางสิ่งที่ควรเคารพ ก็ยังคงไว้ซึ่งความเคารพ ถือคติ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ มีศีลมีธรรม ยึดมั่นในสัจจะวาจา ไม่ก้าวร้าว ล่วงเกิน ดูหมิ่นเจ้าที่เจ้าทาง

    เขาไม่ได้สั่งการเข้มงวดนัก ปล่อยลูกทีมเดินกันตามสบาย เพียงให้พรานผู้ช่วยอีกหนึ่งคน กับลูกหาบอีกสี่คนที่แบกของ เดินรั้งท้ายขบวน ชาวคณะอยู่ตรงกลาง ปลอดภัยจากอันตรายใดๆ ที่จะมากล้ำกราย ทั้งจากด้านหน้า ด้านหลัง หนุ่มสาวสองในห้าคนนั้นจึงค่อนข้างร่าเริง หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายเซลฟี่ ถ่ายป่า ถ่ายเพื่อน หัวเราะหยอกเย้าเล่นกันสนุกสนาน

    บัวขาว พรานอาวุโส มือขวาคนสนิท อายุห้าสิบห้า เหลียวหลังมองผู้จ้างวานเป็นระยะ เห็นเทอดศักดิ์ และวิชชุนีย์ กำลังเล่นซุกซนกัน ก็ขมวดคิ้ว

    "นาย เรากำลังจะไปไหนกันเนี่ย" หันกลับมาถามเสียงเบา ทำหน้าแปลกๆ

    "อ้าว ถามยังกะคนเพิ่งตื่นนอน เป็นไร บัวขาว เมาค้างจากกัญชารึ?"

    พรานใหญ่เลิกคิ้ว ในดวงตามีแววขัน  

    "โธ่ นาย เมื่อคืนไม่ได้ดูดสักบ้อง ใครจะมีกะใจ นั่งฟังไอ้เกี้ยงละเมอชื่อ เสือเขี้ยวดาบ ทั้งคืน ก็ขนลุกขนพอง นอนแทบไม่หลับแล้ว"

    บัวขาวสยิวกายหนาวเหน็บ เผ่าไทยตบบ่าพรานเฒ่าหนักๆ พูดเสียงเรียบ

    "อย่าเพ้อมากนัก มันโดนพิษไข้เล่นงาน เลยเกิดภาพหลอนนั่นแหละ"

    "แต่ขาวว่า... มันไม่ใช่นา นาย" พรานเฒ่าพึมพำเสียงอ่อน ก่อนเม้มปาก หน้าเครียด "บาดแผลเขี้ยวลึกแบบไม่เคยเห็นมาก่อน แถมคำพูดสุดท้ายของไอ้เกี้ยง... เสียดาย มันสติไม่สมบูรณ์ ไม่อย่างนั้น เราอาจรู้อะไรดีๆ ก็ได้" 

    เผ่าไทยจุ๊ปากลั่นอย่างขัดใจ ขมวดคิ้ว หันมองลูกน้องอย่างตำหนิ

    "เลิกบ้าสักทีน่า บัวขาว พูดเล่นอะไรก็อย่าให้เกินไปนัก เสือเขี้ยวดาบนะ ไม่ใช่ เบงกอล ไอ้สัตว์โลกดึกดำบรรพ์พรรค์นั้น มันสูญพันธุ์มาหลายล้านปีแล้ว และที่นี่เมืองไทย ไม่ใช่ แอฟริกา ถิ่นกำเนิดอยู่กันคนละโยชน์เลย มันจะเกิดใหม่ ก็คงไม่มาเกิดในป่าพรากหรอก เสียชื่อสัตว์ในตำนานหมด ฉันบอกแล้วว่าไอ้เกี้ยงมันโดนเสือโคร่งกัด ประจวบกับโดนไข้ป่าเล่นงาน ก็เลยมโนภาพไปเอง บัวขาวก็รู้ไม่ใช่เหรอ ไอ้เกี้ยงมันบ้าเรื่องสัตว์ประหลาด" 

    พรานเฒ่าเงียบกริบ ก้มหน้า เดินดุ่มๆ เคียงข้างเจ้านายต่อไป ใช่ว่าเถียงไม่ขึ้น แต่มันไม่ใช่เวลา

    "แล้วนายนึกยังไง ถึงพาพวกชาวกรุงไปทัวร์ป่าพรากล่ะนี่ ปกติ นายห้ามนักท่องเที่ยวทุกคนนี่นา คนพวกนี้ ดูแล้วเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไปถึงเยลโลว์สโตนก็น่าจะพอแล้วมั้ง จากลักษณะท่าทาง คงเข้าป่าพรากไม่ไหวหรอก นาย"

    "ไหว หรือ ไม่ไหว ขึ้นอยู่กับพวกเขา ฉันแค่รับหน้าที่นำทาง ถึงจุดนั้น จะกลับหรือไปต่อ เขาจะเลือกกันเอง ที่ฉันรับงานนี้ ไม่ใช่เพราะเงิน หรือชื่อเสียง มันมีความรู้สึกลึกๆ ว่า ถึงเวลาแล้ว... ที่ฉันต้องไปสักครั้ง"

    พรานใหญ่พูดเสียงต่ำลึก เหม่อลอยวูบหนึ่ง ก่อนกอดคอพรานเฒ่าเดินไปพร้อมกัน บัวขาวมองหน้านายตาปริบๆ 

    "นายพูดแปลก พูดเหมือนมีอะไรมาดลจิตดลใจ?"

    "ไม่มีอะไรหรอก แค่สร้างความฮึกเหิม..." 

    เขาหยุดพูด เมื่อสำเหนียกฝีเท้าใครบางคนที่ด้านหลัง จึงเอียงหน้าไป

    "ขอโทษนะครับ ผมคุยด้วยได้ไหม" ดร.กฤตธา หัวหน้าคณะนั่นเอง ที่เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ พร้อมทักทายด้วยรอยยิ้ม  "เชิญครับ" พรานใหญ่พยักหน้า แล้วบุ้ยปากกับพรานผู้ช่วย บัวขาวจึงก้าวยาวล่วงหน้าไปก่อน

    "คงไม่ผิดกฎ ที่ผมขึ้นมาเดินคู่กับคุณ?" ดอกเตอร์หนุ่มถามตามมารยาท

    "ป่าละแวกนี้ปลอดภัยครับ เดินยังไงก็ได้" เผ่าไทยตอบเรียบๆ แต่ให้ความเป็นกันเอง ด้วยการแตะหลังนิดหนึ่ง ทั้งสองก้าวไปพร้อมกัน เว้นระยะห่างจากผองเพื่อนที่เดินจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้านหลังสามสิบเมตร

    "คุณกับลุงบัวขาว คุยกันท่าทางซีเรียส มีเรื่องหนักใจรึเปล่าครับ"

    "มิได้ครับ ไม่ใช่เรื่องภัยอันตราย แกแค่กังวล กลัวเราจะไปไม่ถึงป่าพราก"

    เผ่าไทยตั้งใจเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย ด้วยรู้ว่า เรื่อง "เสือเขี้ยวดาบ" เป็นที่โจษจันในกลุ่มชาวบ้านผาทรายดำมาก ชาวคณะเมืองกรุงก็รับรู้เรื่องนี้ แม้จะไม่มีใครหัวเราะเยาะ หรือพูดอะไรออกมา แต่พรานไพรรู้ดีว่า เหล่าปัญญาชนหัวกะทิ ต้องรู้สึกตลกขบขันกันไม่น้อยทีเดียว

    "อ๋อ..." กฤตธาครางเบาๆ "...แกคงหวั่นใจในตัวพวกผม จะสู้ไม่ไหวกระมัง พูดตามจริง ผมกับเพื่อนๆ ทั้งหมดนี้ ก็ล้วนเป็นนักเดินป่ามือใหม่ทั้งสิ้น ไม่แปลกกระไร ที่ภายนอกจะดูบอบบาง อ่อนแอ ไม่น่าเชื่อถือ"

    พรานหนุ่มหัวเราะเบาๆ ทำให้ใบหน้าหยาบกระด้างดูอ่อนลงอย่างประหลาด

    "ถ้าผมมองพวกคุณเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หรือทนรับความลำบากไม่ไหว ก็คงไม่รับจ้างพามาหรอกครับ ถึงรู้จักกันแค่ไม่กี่วัน สำหรับตัวผมแล้ว ค่อนข้างเบาใจ ตั้งแต่เห็นพวกคุณจัดห่อสัมภาระแล้ว มันแสดงถึงความ "เป็นงาน" แปลว่า พวกคุณก็ศึกษามาบ้าง ไม่ได้มานับหนึ่งใหม่หมด อันที่จริง เดินป่านั้นไม่ยาก ขอแค่เคารพกฎกติกาของธรรมชาติ มือเที่ยง และใจนิ่ง บนเส้นทางสายนี้ ไม่ต้องการคนเก่ง ต้องการคนที่เข้าใจ"

    "สั้นๆ กะทัดรัด แต่ได้ใจความ ขอบคุณที่แนะนำ..." กฤตธาตบบ่ามาอย่างถือสนิท "...ตอนแรก ผมค่อนข้างหนักใจ ด้วยความเป็นคนในเมืองใหญ่ อาจทำให้มีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับคนในพื้นที่ และก่ออคติเดียดฉันท์ พวกเราเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ทราบว่า ทัศนคติ และค่านิยม ระหว่างคนเมือง กับ คนป่า ต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยเฉพาะแถบภาคใต้ ที่ไม่ค่อยเปิดใจรับคนนอกเท่าไรนัก แต่ทว่า เมื่อเหยียบย่างเข้าหมู่บ้านหินขาว คนที่นั่นกลับให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี ไม่มีชนชั้น ไม่มีฐานะ มากีดกันเลย พวกเขาปฏิบัติต่อเราดีมาก เป็นก้าวแรกของการสัมผัสป่าที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผู้ใหญ่บุญมา กับ พรานล้วน กล่อมให้เราอยู่ต่อ เพื่อท่องเที่ยวพื้นที่ของเขา และเมื่อเราบอกว่าอยากเข้าป่าพราก พวกเขาก็เตือนด้วยความหวังดี ไม่มีเยาะเย้ยถากถาง แถมให้กำลังใจเมื่อเรายืนกรานมั่น จนมาสู่ผาทรายดำ คุณกับพวกชาวบ้าน ก็สร้างความประทับใจให้ไม่แตกต่างกันเลย เป็นเรื่องแปลกนะ ยังไม่สนิทสนมคุ้นเคยกัน แต่กลับรู้สึกผูกพัน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่แล้ว บางที...นิมิตประหลาดที่เห็น อาจเป็นพรหมลิขิต ชักนำให้พวกเรามาร่วมทางสายเดียวกันก็เป็นได้"

    พรานใหญ่นิ่งฟัง พลันรู้สึกใจวูบไหว ความจริง เรื่องเล่าของกฤตธามันตรงกับชีวิตจริงของเขา ซึ่งไม่เคยบอกกับใคร ...ภาพนิมิตป่าพราก

    "หมู่บ้านหินขาวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวครับ ผู้คนที่นั่นมีอัธยาศัยไมตรี เช่นเดียวกับ ผาทรายดำ หากทุกคนมาอย่างมิตร เราก็พร้อมต้อนรับ"

    เขาตอบกลับเรียบๆ ไม่เผยพิรุธภายในออกไป 

    "เรื่องป่าพราก ไกลตัวไปที่จะพูดถึง แต่ข้างหน้าอีกห้าร้อยเมตร เราจะเข้าสู่ "พื้นที่ป่าทรายดำ" ของจริงแล้ว ผมต้องขอความร่วมมือ ปิดอุปกรณ์ไอทีทุกชนิด และอยู่ในความสำรวมนะครับ ป่าไม่ต้องการรังสี และสัตว์ป่าก็ไวกับแสงเสียง เราจะเข้าไปอย่างสงบ เพื่อความราบรื่นในการเดินทาง"

    เผ่าไทยสั่งการอย่างสุภาพ แล้วเร่งเท้ายาวขึ้นหน้าไปตามพรานผู้เฒ่ากลับมารวมกลุ่ม กฤตธาเดินชะลอให้เพื่อนๆ ตามมาถึง ก่อนถ่ายทอดคำสั่งของจอมพราน เทอดศักดิ์ กับ วิชชุนีย์ เก็บมือถือลงกระเป๋าอย่างเสียดาย ส่วนชัชวาล ซึ่งสะพายกล้องคล้องคอ กระดกไหล่นิดหนึ่งอย่างไม่ยี่หระ ไม่มีใครเห็นเขาปิดฝากล้อง แต่ก็ไม่เห็นยกขึ้นกดชัตเตอร์อีก รัญชนาถามถึงบทสนทนากับพรานใหญ่อย่างสนใจ กฤตธาตอบตามจริง ทั้งหมดยังเดินเกาะกลุ่มกัน แต่เร่งฝีเท้าขึ้น เพื่อให้ทันคนข้างหน้า

    พอมาถึงจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ เป็นทางลาดลงเนินเขา ช่องทางแคบความกว้างแค่สองเมตร สองฟากทางเต็มไปด้วยต้นสนหนาทึบ และก้อนหินระเกะระกะ มันเป็นเส้นทางที่ตัดจากทางหลัก มีป้ายไม้เก่าๆ สลักว่า "ป่าทรายดำ" 

    พรานใหญ่ เผ่าไทย สั่งการทันที เมื่อขบวนลูกหาบเดินมาถึง

    "ผมจะนำหน้า ต่อด้วยชาวคณะ บัวขาวจะอยู่ข้างหลังพวกคุณ คอยระวังกลางขบวน ตามด้วยลูกหาบ โต้ง มัด ปาด และพืช ส่วน บุญหมาย ปิดท้าย... เส้นทางหลังจากนี้ จะค่อนข้างขรุขระหน่อย มีต้นไม้หนาทึบ ก้อนหินมากมาย เถาวัลย์และพืชระโยงระยาง ทางเดินมีสายเดียว ผมไม่บังคับให้เรียงเดี่ยว แค่อย่าออกนอกกิ่งไม้ที่วางไว้ก็พอ ป่าแถบนี้ไม่อันตราย สัตว์ใหญ่จะอยู่ลึกเข้าไปอีก ที่ต้องระวังมีสองอย่าง หนึ่ง ส่วนแง่งคมของเหลี่ยมหิน พยายามเดินห่างไว้จะได้ไม่โดนบาด สอง สัตว์ประเภทเลื้อยคลานที่อาจขดตัวอยู่ในรู หรือโพรงหิน ควรหลีกเลี่ยงอย่าเฉียดใกล้ หากเจอให้นิ่งไว้ เรียกผม หรือ บัวขาว ห้ามจัดการเองโดยพลการ มีคำถามไหม"

    พรานใหญ่กล่าวรวดเดียวจบ แล้วเปิดโอกาสให้ซักถาม คนอื่นเหมือนจะเข้าใจดี ยกเว้น...

    "ยังไม่มีสัตว์ใหญ่ ทำไมต้องปิดเครื่องมือสื่อสาร ทางข้างหน้าไม่ได้ดงดิบมากมาย จะให้เราเสพสุข ชื่นชมกับธรรมชาติรอบกายหน่อยไม่ได้เชียวรึ"

    คนที่โพล่งขึ้นมา คือ รัญชนา... เผ่าไทยยิ้มนิด ดูเหมือนหญิงสาวคนนี้ จะชอบมีคำถาม และคัดค้านไปซะทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะสั่งอะไร

    "ผมให้ปิดมือถือ เพราะอยากให้มีสติ... มีสติกับเรื่องใด? คำตอบก็อยู่ในคำเตือนสองข้อแรกของผมที่พูดไปแล้ว ย้อนกลับไปทบทวนได้"

    รัญชนาอ้าปากค้างน้อยๆ เมื่อถูกเขา "หักหน้าแบบนิ่มๆ" มา

    "เชิญตามผมมาครับ" เผ่าไทยพยักหน้ากับกฤตธา แล้วลงเนินไปก่อนเป็นคนแรก...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×