ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไพรบรรพกาล

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 599
      23
      28 ก.ค. 64



    แสงอรุโณทัยส่องผ่านก้านซี่ไม้ไผ่ของฉากกั้น กระทบหนังสือเล่มหนาปึกที่กางอยู่บนโต๊ะไม้ นิ้วเรียวสวยพลิกหน้าถัดมา ดวงตาเป็นประกายตื่นตะลึง แสงตะวันส่องต้องรูปต้นไม้สีขาวดำ อันปรากฎอยู่เต็มหน้ากระดาษฝั่งขวา ไม่รู้ว่าหล่อนตาพร่า หรือ เพราะการหักเหของแสง จึงมองเห็น "ราก" ของต้นไม้ประหลาดกลางหน้าหนังสือนั้น ส่องแสงระยิบระยับ เป็นสีเงินยองใยสวยงาม!!

    "อรุณสวัสดิ์ครับ" 

    เสียงทักทายเบาๆ ทำหล่อนสะดุ้ง เพราะกำลังเคลิบเคลิ้ม เหมือนตกอยู่ในภวังค์ คนทักถึงกับเลิกคิ้ว

    "ขอโทษที่ทำให้ตกใจ อาหารเช้าพร้อมแล้ว"

    พรานใหญ่พูดสั้นตามนิสัย มือเขาถือแก้วน้ำ บอกจบก็หันหลังจะจากไป

    "พราก... เพี้ยนมาจาก คำว่า ราก... รึเปล่าคะ"

    เสียงใสดังขึ้น เผ่าไทยชะงักเท้า หันกลับมา "ว่าไงนะครับ?"

    รัญชนาเบือนหน้าจากหนังสือมาสบตา ในความเงียบเพียงชั่ววูบ เผ่าไทยรู้สึกว่า ในดวงตาคู่สวยนั้นมีความอัดอั้นตันใจซ่อนอยู่อย่างท่วมท้น

    "เปล่าค่ะ เดี๋ยวตามไป" หล่อนกลับไม่พูดต่อ ตอบอย่างเมินเฉย ปิดหนังสือลง แล้วลุกขึ้นยืน พรานใหญ่ทันเห็นหน้าปกหนังสือ ก่อนหล่อนจะหอบเก็บไป



    "เอาล่ะครับ ผมอยากทราบว่า เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อคืนแล้วนั้น พวกคุณยังตัดสินใจที่จะเข้าป่าพรากอีกรึเปล่า"

    หลังจบมื้อเช้า ทั้งหมดมาประชุมกันที่ห้องรับแขก กลุ่มอาคันตุกะได้รับเชิญให้นั่งเก้าอี้แล้ว ย้ายจากห้องแคบๆ เมื่อคืน มาเป็นห้องที่กว้างขึ้น กฤตธาค่อนข้างพอใจ แสดงว่า พรานใหญ่ให้เกียรติ และยอมรับฟังพวกเขามากขึ้น จากท่าทีที่ขบขัน แกมเยาะหยันในตอนแรก กลายเป็นเปิดอกคุยกันอย่างเข้าใจ

    "แน่นอน เรายืนยันคำเดิมว่าจะเข้าป่าพราก"

    หัวหน้าคณะตอบแทนความคิดของทุกคน เผ่าไทยอึ้ง

    "ผมไม่เข้าใจเลย..."

    "ผมทราบว่าคุณหวังดี ในการห้ามเราไม่ให้เข้าไปในนั้น ในฐานะคนที่รักชีวิต และกลัวเจ็บ กลัวตาย ไม่น้อยไปกว่าคุณ จากใจจริง เราทุกคนไม่ได้อยากมายืนอยู่ตรงจุดนี้เลย การผจญภัย อยากท้าทาย หรือลองดี ไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของพวกเราสักนิด"

    "งั้นเพราะอะไรครับ?"

    กฤตธานิ่งไปวูบ ก่อนตอบเสียงขรึม "เราโดนคำสาป"

    ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ หัวหน้าคณะสังเกตสีหน้าพรานใหญ่ ไม่เห็นอาการกลั้นหัวเราะ หรือตลกขบขัน หนุ่มใหญ่ตรงหน้าระงับกิริยาได้ดี

    "คำสาป? หรือครับ" มีเพียงแววตาเป็นเครื่องหมายคำถาม

    "หากคุณเปิดใจ โดยทิ้งอคติ ผมก็ยินดีจะเล่าความจริงทั้งหมด"

    พรานใหญ่เผ่าไทยกวาดมองหนุ่มสาวคนอื่น เห็นแต่ละคนสีหน้าจริงจัง แววตาลึกซึ้งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงพยักหน้า

    กฤตธาขยับนิดหนึ่ง โน้มตัวมาข้างหน้า และเริ่มต้นเรื่องราวนั้น

    "ผมกับเพื่อนๆ สี่คนนี้ เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน สนิทสนมกันมายาวนานตั้งแต่สมัยปริญญาตรี ผมแก่กว่าพวกเขาหลายปี จึงถูกยกให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ในปีสุดท้ายของภาคการศึกษา ผมต้องทำดุษฎีนิพนธ์ ส่วนคนอื่นทำวิทยานิพนธ์ เราจึงไปค้นคว้าที่ห้องสมุดในกรุงเทพพร้อมกัน และได้เจอเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง หลังจากนั้นมา เราก็เริ่มฝันร้าย... ไม่สิ จะว่าฝันร้ายก็ไม่ถูกนัก เป็นฝันประหลาดมากกว่า แต่ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า คือ ทุกค่ำคืนตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เราทั้งห้าคน ฝันแบบเดียวกันหมดโดยไม่ได้นัดหมาย ในความฝันนั้น โทนหลักเหมือนกัน คือ สถานที่ที่เรียกว่า ป่าพราก แตกต่างอยู่บ้างตรงรายละเอียดเล็กน้อย แต่ไม่ใช่แค่ความฝันที่ติดตามพวกเรายามค่ำคืน บางครั้ง ในเวลาเช้า กลางวัน หรือ เย็น เราทุกคนก็จะพบเห็นสิ่งแปลกๆ ภาพแปลกๆ แบบวูบวาบอยู่เสมอ ทั้งที่เหมือนในฝัน และไม่ใช่ในฝัน มันมาเป็นรูปลักษณ์ แต่บางคนรู้สึกทางประสาทสัมผัส... โปรดอย่าเข้าใจผิด เราไม่ได้เห็นผี หรือ โดนหลอกหลอนจากวิญญาณ ผมทราบดีว่าเรื่องที่พูดออกไปนี้ฟังเข้าใจยาก แต่พวกผมมั่นใจมากว่า มันเป็น "อำนาจลี้ลับ" หรือ "พลังงาน" บางอย่าง ที่มาปรากฏกายให้พบเห็น รวมถึงโน้มน้าวให้เราค้นหาคำตอบ ถึงความเกี่ยวข้องระหว่าง เราทั้งห้าคน กับ สถานที่ที่เรียกว่า ป่าพราก ผมกับเพื่อนๆ ปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ผมคิดว่า หากเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ความลึกลับนั้นอาจโจมตีหนักขึ้น ถึงขั้นไม่อาจดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติได้ ทุกคนเห็นด้วยกับผม ดังนั้น การดั้นด้นมาถึงที่นี่ ด้วยจุดประสงค์ข้อเดียว คือ คลี่คลายเหตุการณ์ประหลาดที่อธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้"

    พรานไพรฟังกฤตธาเล่าตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยสีหน้าพิศวง เขาค่อนข้างมั่นใจว่า หนุ่มดุษฎีบัณฑิตตรงหน้า ไม่ได้กล่าววาจาโกหก ลักษณะนิสัยสุขุมลุ่มลึก พูดน้อย และเยือกเย็นนั้น ดูเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของดอกเตอร์หนุ่มคนนี้

    "คุณกำลังจะบอกว่า... หนังสือเล่มนั้น เป็นชนวนเหตุให้เกิดเรื่องแปลกพิสดาร และถ้าผมเดาไม่ผิด เนื้อหาในหนังสือ เกี่ยวข้องกับป่าพรากถูกไหมครับ"

    "คุณอาจคิดว่ามันเหลือเชื่อ แน่นอน ถ้าเกิดขึ้นกับผมคนเดียว ผมคงคิดว่าตัวเองผิดปกติ แต่นี่... พวกเราทั้งห้าคนเผชิญเหตุการณ์แบบเดียวกันหมด มันต้องมีจุดเชื่อมโยง ผูกพันเราไว้ด้วยอำนาจบางอย่าง ผมไม่ได้เสียสติ ถึงขั้นคิดว่า "หนังสือมีชีวิต" หรอกนะ แต่หนังสือเล่มนี้มาหาพวกเราโดยมิได้นัดหมาย มันเหมือนต้องการถูกค้นพบ ด้วยพลังงานลี้ลับบางประการที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เพราะบอกตามตรง ตอนค้นหาในห้องสมุด มันติดรวมมากับหนังสือเล่มอื่นที่ผมเลือก ทั้งๆ ที่ผมมั่นใจว่าไม่ได้หยิบแน่นอน"

    "ผมไม่อาจตัดสิน จนกว่าจะได้เห็นของจริง เชื่อว่า พวกคุณคงพามันมาด้วยใช่ไหมครับ "หนังสือเล่มนั้น"?"

    หัวหน้าคณะ รวมถึงเพื่อนๆ หันมองรัญชนา หญิงสาวหน้านิ่ง เปิดซิปกระเป๋าหนังบนโต๊ะ หยิบออกมาส่งให้เทอดศักดิ์ เทอดศักดิ์ส่งต่อให้กฤตธาอีกที

    หนังสือเล่มหนาปึก ปกแข็ง หน้าปกเป็นรูปต้นไม้นูน แห้งแล้ง ไม่มีดอก ไม่มีใบ ออกแต่กิ่งก้านสาขา มีเถาวัลย์ระโยงระยางทอดลงมาเบื้องล่าง และลำรากที่ใหญ่โต แข็งแกร่ง ค่อนข้างโดดเด่น สะดุดตา ตัวอักษรสีทองเอียงขวา สลักอย่างสวยงามว่า "รากกายสิทธิ์"

    ขนาดผู้ที่อยู่กับป่าดงพงไพร รอบรู้พืชพันธุ์นานาชนิดอย่างเขา ยังไม่อาจตอบได้ว่า ต้นไม้ชนิดนี้ ชื่อว่าอะไร รู้สึกแต่ว่า มันไม่น่าจะอยู่บนโลกใบนี้

    "คุณคงเคยได้ยิน ตำนานเรื่อง "รากกายสิทธิ์" มาบ้างใช่ไหมครับ คุณเผ่าไทย"

    พรานใหญ่เงยหน้ามาสบตากฤตธา แววตาสีนิลแฝงแววครุ่นคิด

    "ครับ เคยฟังมาบ้าง จากพวกชาวป่าพื้นบ้านแถบนี้เอง ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นอาวุโส คนรุ่นใหม่ไม่มีใครรู้จักกันแล้ว สำหรับผม มันไม่ต่างจากนิทานปรัมปรา หรือ เรื่องเล่าข้างกองไฟ ผมเชื่อว่า ป่านั้นมีพลังงานจริง แต่ไม่ได้ทรงอิทธิฤทธิ์พิสดารถึงขั้นสร้างพลังพิเศษได้ ตำนานหรือเรื่องเล่าใด หากผ่านปากต่อปากมาหลายศตวรรษ ล้วนมีการแต่งเติมผิดเพี้ยนไปจากความจริง อีกทั้ง เป็นเรื่องที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ เพราะบริเวณที่เขาว่ากันว่า เป็นที่ตั้งของรากกายสิทธิ์ คือ ลึกกว่าป่าพรากเข้าไปอีก เป็นมิติหนึ่ง ซึ่งผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้"

    "แต่คุณบอกเองว่า ตัวคุณก็ยังสำรวจป่าพรากไม่ทั่ว แล้วคุณจะกล้ายืนยันได้ยังไงว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง" วิชชุนีย์แย้ง

    "ผมไม่เชื่อในสิ่งที่ยังไม่ได้พิสูจน์ และแน่นอนว่า การพิสูจน์ต้องทำบนพื้นฐานของความเป็นไปได้ด้วย ไม่ใช่เลื่อนลอย ไร้เหตุผล" เผ่าไทยตอบเรียบๆ

    "คุณพอจะรู้จักเจ้าของนามปากกา ผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาไหม" เทอดศักดิ์ถาม

    "ไม่ทราบครับ ผมเพิ่งจะรู้ว่า เรื่องนี้ถูกทำเป็นหนังสือ ก็เดี๋ยวนี้เอง"

    "ในฐานะที่คุณก็เป็นพรานอาชีพ ฝีมือดีเป็นที่ประจักษ์ ใยไม่คิดแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ นอกจากเป็นประสบการณ์แล้ว ยังอาจได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกดินแดนลี้ลับแห่งแรก ผมว่า ในชีวิตของคนเป็นพราน คงไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจมากไปกว่า ได้เป็นผู้ค้นพบป่าแห่งใหม่เป็นคนแรก" 

    เผ่าไทยมองแววตาคนพูด เขารู้สึกได้เจตนาของชัชวาล จึงเพียงยิ้มบางๆ

    "โดยใจจริงแล้ว ผมสนใจป่าพราก เพียงแต่ ไม่มีเหตุผลมากพอที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงในนั้น เพราะแม้ผมจะเป็นคนตัวลำพังคนเดียว แต่ก็ไม่ทะเยอทะยาน มีเลือดนักผจญภัยแบบบ้าบิ่น โปรดบอกเหตุผลดีๆ มาสักข้อ ว่าทำไม ผมต้องนำทางพวกคุณเข้าไป ในป่าที่เรียกว่า "อาถรรพ์" ที่สุดในโลก"

    "เพื่อพิสูจน์ว่า รากกายสิทธิ์ มีอยู่จริง ไม่ใช่แค่นิทานหลอกเด็ก" รัญชนาตอบทันควัน พรานใหญ่หัวเราะน้อยๆ หล่อนค้อนอย่างหมั่นไส้

    "เพื่อช่วยเหลือพวกเรา ที่ถูกอำนาจลี้ลับครอบงำ..." กฤตธาตอบ "...ผมเชื่อว่า หากเข้าไปในนั้น เราจะค้นพบคำตอบ และสามารถปลดปล่อยตัวเองให้หลุดพ้น คุณเผ่าไทย ผมมีความศรัทธา และนับถือในประสิทธิภาพของคุณอย่างเต็มเปี่ยม ไม่ได้ยกยอ อวยเพื่อหลอกใช้ มันเป็นความรู้สึกลึกๆ ที่ผมอธิบายไม่ถูก ผมสังหรณ์ว่า เรามี "ชะตากรรม" ที่จะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน"

    พรานใหญ่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ บุคคลตรงหน้าปราศจากเล่ห์เหลี่ยม ไร้ลับลมคมใน แสดงถึงความเป็นคนจริง และเหตุผลนั้น ก็ชวนให้น่าเห็นใจ แต่ว่า...

    "นาย... นาย... นาย... แย่แล้ว..."

    จู่ๆ ลุงแก่คนหนึ่งก็วิ่งตึงตังขึ้นบันไดบ้านมา 

    "ข้างนอกโหวกเหวกโวยวายอะไรกัน" พรานใหญ่ถาม

    "ไอ้เกี้ยงที่เข้าป่าพรากไปเมื่อสัปดาห์ก่อน กลับออกมาพร้อมแผลเต็มตัวเลยนาย บนเปลมันละเมอด้วยพิษไข้ พ...พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ประโยคเดียวเท่านั้น"

    "อะไร?" เผ่าไทยขมวดคิ้วถาม

    "ส... เสือเขี้ยวดาบ...!!"



    B
    E
    R
    L
    I
    N
    ?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×