ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก...อัญมณี

    ลำดับตอนที่ #9 : ออกเดินทางเข้าป่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 312
      5
      26 พ.ค. 59




     

    ณ สำนักอาคมของ ชาครีย์ เดชาวัต หมอผี และเจ้าอาคมไสยศาสตร์ ที่เก่งกาจสามารถ และมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองไทย รับปัดเป่าขจัดทุกข์ภัยต่างๆ ให้ชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคาถาอาคม เครื่องรางของขลัง โดนของ ถูกภูตผีปีศาจรบกวน เจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้ หรือดวงตกเคราะห์หนัก ชาครีย์ สามารถบันดาลให้กลายเป็นดีได้หมด จึงมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสมาใช้บริการเป็นอันมาก จึงร่ำรวยถึงขนาดสร้างเป็นตำหนักหลังใหญ่ หรูหรา โอ่อ่า และน่าเกรงขามมิใช่น้อย

    ขณะนี้ ในห้องลับด้านใน ชาครีย์วัยสี่สิบกว่าๆ กำลังนั่งพินิจ เพ่งกระแสจิตใส่ชายวัยห้าสิบที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นห้อง เขาสัมผัสได้ถึงไอพิษ พลังงานชั่วร้ายจากคุณไสย ครอบคลุมตัวชายผู้นั้นอยู่หนาทึบ

    “อืม...โดนของจริงๆ ด้วย”

    เจ้าอาคมหน้าเหี้ยม ดวงตาเจ้าเล่ห์ เอ่ยเสียงหนัก วิศาล ตบหัวเข่าฉาดใหญ่

    “พี่ก็เดาไว้แต่แรกแล้ว ทีแรกก็แค่สงสัย แต่ครั้งหลังสุดนี่มันแรงมากจริงๆ ปวดขาราวกับถูกมีดทิ่ม ชาครีย์ ต้องช่วยพี่ด้วยนะ เอาคืนมันให้เจ็บแสบ คนที่มันทำกับพี่ ต้องได้รับบทเรียนหนักกว่าร้อยเท่า”

    ประโยคหลัง กล่าวอย่างอาฆาตแค้น ความเจ็บปวดที่ได้รับมาตลอด ทำให้เขาไม่ยอมปล่อยคนชั่วที่ทำร้ายลับหลังอีกต่อไป ชาครีย์ยิ้มหึๆ มองพี่ชายแท้ๆ ของตน ด้วยแววตาสงสารปนสมเพศ

    “พี่วิศาลนี่ก็มีศัตรูเก่งใช่เล่นนะ ระดับอาคมของมันใช่ย่อยซะที่ไหน มนต์ดำขั้นสูงเชียวล่ะ แต่ฉันชอบนะ นานๆ ทีจะเจอคนฝีมือดีแบบนี้ ต้องทักทายกันสักหน่อย เดี๋ยวจะนึกว่าตัวเองเก่งไร้เทียมทานอยู่คนเดียว หึๆ”

    ชาครีย์พูดหยันๆ ส่งสารท้ารบต่อฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะหลับตา สำรวมจิต และเริ่มพิธีไสยเวทระดับสูง ที่สามารถส่งอาคมย้อนผ่านเนื้อหนังพี่ชายไปสู่เจ้าของวิชาได้อย่างน่าอัศจรรย์!
     


     

    ภายในป่าเพชร ป่าใหญ่ลึกลับที่ตั้งอยู่หลังหมู่บ้านผาแดง นักเดินทางทั้งสามคนกำลังมุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน หากหญิงสาวแสนสวย แข็งแรงปราดเปรียว ใบหน้าเย็นชา กลับเดินนำหน้า ก้าวพรวดๆ ด้วยความเร็วอย่างไม่รอใคร ส่วนคนทั้งสองที่ตามหลัง เดินเคียงข้างกันอย่างไม่รีบร้อน ท่ามกลางแสงตะวันสีทองสาดส่อง ยังพอรู้สึกอบอุ่นแจ่มใส เนื่องจากต้นไม้ใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์คอยให้ร่มเงา แดดอันแรงจ้า จึงลอดเข้ามาได้เพียงเล็กน้อย ทั้งสามเดินเข้ามาไกลพอประมาณแล้ว แต่ก็ยังไม่ลึกถึงใจกลางของป่าเลย

    “เชอะ เป็นผู้ตามแท้ๆ เดินนำหน้ายังกะผู้นำ นึกว่ารู้ทางรึไงกัน”

    สาวน้อยหน้าคม เปรี้ยวแก่น บ่นพำ มองหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้า ด้วยดวงตาขวางๆ

    “เราสองคนเดินช้านี่ คุณปิณฑิราคงจะรีบกระมัง”

    ชายหนุ่มรูปงามในชุดพรานซอมซ่อ กลับบอกยิ้มๆ อย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ สูดอากาศบริสุทธิ์ พร้อมชมนกชมไม้ไปเรื่อย

    “นี่ ตรงนั้นมีหลุมที่พรานขุดไว้ล่อสัตว์ หลอกยัยโหดไปตกหลุมเล่นกันดีไหม”

    “ถ้าเขาขึ้นมาได้ แล้วใช้พลังจิตซัดเธอไปกระแทกภูเขา อย่ามาร้องให้ช่วยละกัน”

    ปิญชาน์เบ้ปาก รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนชายไม่ยอมร่วมมือ เดินไปสักพัก ทันใดนั้นเอง รู้สึกเสียดท้องขึ้นมากะทันหัน ต้องยกมือกุมท้องน้อย แล้วร้อง

    “โอ๊ย!

    เพชรกล้าหันมาถามอย่างงุนงง จังหวะเดียวกับที่ปิณฑิราชะงักเท้า หันมาถามห้วนๆ

    “ทำไมไม่มาเดินนำหน้า”

    “ฮ้า! อ้าว ก็แล้วคุณจะเดินไปไหนล่ะครับ เห็นจ้ำเอา จ้ำเอา?

    เพชรกล้าแปลกใจที่หล่อนเพิ่งหันมาคุยเป็นครั้งแรก หลังจากออกเดินทางมาเกือบชั่วโมงเต็ม ปิณฑิราหน้าตึงอย่างหงุดหงิด

    “นายเป็นคนนำทาง ก็ต้องมาเดินนำหน้าสิ”

    “แต่คุณไม่หยุดเดินเลยนะ ตั้งแต่ออกเดินทางมานี่ ก็เดินนำหน้าลิ่วๆ มาแบบไม่รอ ไม่พูดไม่จา ไม่ซักไม่ถามสักคำ ผมก็นึกว่าคุณรู้ทางซะอีก”

    “อย่ามาเล่นลิ้นกวนประสาทนะ ถ้าฉันรู้ทางจะให้นายนำทางทำไม”

    เพชรกล้าระบายลมออกทางปาก ส่ายหน้าเล็กน้อย มองหล่อนอย่างทั้งขัน ทั้งระอาในความปากแข็ง

    “งั้นคราวหลังก็กรุณาบอกกันหน่อยสิครับ เห็นคุณเก่งกาจอย่างนั้น แถมเดินป่าคล่องแคล่วเหมือนเป็นมืออาชีพ ผมจะไปตรัสรู้ได้ยังไง”

    ปิณฑิราหงุดหงิดกับการต่อปากต่อคำของเขา อ้าปากจะเถียง ปิญชาน์ที่ยืนหน้าซีด กุมท้องมาพักใหญ่แล้ว ก็หวีดร้องดังลั่น พร้อมกับล้มลงไปนอนดิ้นพล่านกับพื้นอย่างทุรนทุราย เจ็บปวดทรมานถึงที่สุด เพชรกล้าตะลึงตัวแข็ง อุทานอย่างตกใจ จะเข้าไปจับตัวหล่อน แต่ปิณฑิราคว้าแขนไว้ บอกเสียงเรียบแต่เฉียบขาด

    "อย่าแตะต้อง! อาการแบบนี้ คงโดนคุณไสยเข้าแล้ว!

    “ฮ้า! คุณไสย! โดนของเหรอ

    “คนที่เล่นอาคม ก็ต้องมีวันถูกลองวิชาจากคนอื่น เป็นเรื่องปกติ”

    ปิณฑิรายกมือกอดอก บอกสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอาการแตกตื่นตกใจ ตรงข้ามกับชายหนุ่มที่ร้อนรนกระวนกระวายยิ่งนัก

    “ปิญชาน์! ทำไมยืนเฉยล่ะ ทำอะไรสักอย่างสิ คุณปิณฑิรา!

    เขาเร่งเร้าหล่อน หญิงสาวเลิกคิ้ว ถามหน้าตาเฉยว่า

    “ทำอะไร?

    “ก็ช่วยปิญชาน์ไงล่ะ คุณจะปล่อยให้เธอทรมานแบบนี้เหรอ”

    “ฉันไม่ได้ฝึกวิชาอาคม จะไปรู้วิธีแก้ได้ยังไง”

    “ฮ้า! คนฝึกแฟนซีไดมอนด์ อัญมณีระดับสูงขนาดนี้ จะไม่มีความรู้บ้างเชียวหรือ คุณเคยบอกว่าจะจับปิญชาน์ล้างอาคม จะไม่รู้วิธีแก้ได้ยังไง”

    “ถึงฉันรู้ แต่ไม่ช่วย มีอะไรไหม

    “คุณปิณฑิรา!

    “คนเล่นไสยศาสตร์ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าต้องมีวันนี้ เมื่อเลือกเดินบนทางสายดำ ก็ต้องยอมรับสภาพ ทำคุณไสยใส่คนอื่นได้ ตัวเองโดนบ้าง ก็เป็นเรื่องยุติธรรมดีแล้ว จะมาอุทธรณ์อะไร”

    “คุณฝึกอัญมณีบริสุทธิ์ ก็เพื่อช่วยชีวิตคนไม่ใช่หรือ”

    “ฉันช่วยแต่คนดี คนเลวฉันไม่เคยช่วย”

    “ปิญชาน์ไม่ใช่คนเลว เธอฝึกสายดำก็จริง แต่เพื่อทำร้ายพวกคนชั่วเท่านั้น”

    “สายดำ ก็คือสายดำ ไม่ว่าจะทำร้ายคนดี คนชั่ว ก็ถือว่าผิดตั้งแต่แรกแล้ว ดีจริง ก็ควรฝึกสายขาวสิ”

    “นี่ คุณ!

    เพชรกล้าสุดจะทานทนกับความเย็นชา แล้งน้ำใจของหล่อน ปิญชาน์ร้องโอดครวญหนักขึ้น ความเจ็บปวดแผ่ซ่านรุนแรง ราวกับถูกของแหลมกรีดแทงไปทั่วร่าง เขาหลับตา อย่างไม่อาจทนดูสภาพของหล่อนได้

    “ให้ฉันช่วยก็ได้ แต่มีข้อแม้”

    สาวเย็นชาเสนอทางเลือกให้ เพชรกล้าลืมตา พูดเสียงเข้ม

    “ว่ามา”

    “ต้องพาฉันไปพบหลวงปู่นิลให้ได้”

    ชายหนุ่มอึ้ง สถานการณ์ที่บีบคั้นตรงหน้า ทำให้ไม่อาจโกหกต่อไป

    “บอกตามตรงนะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลวงปู่อยู่ที่ไหน”

    “อะไรนะ หลอกฉันอีกแล้วหรือ”

    “ไม่ใช่ หลวงปู่น่ะเป็นพระธุดงค์ ท่านอยู่ไม่เป็นที่ ท่านเดินทางไปเรื่อยในป่าเพชรแห่งนี้ ไม่มีที่อยู่ชัดเจน ผมเคยพบท่านแค่ห้าครั้ง แต่ทุกครั้ง ล้วนเป็นท่านที่มาพบผมเอง ดังนั้น ผมจึงไม่รู้ว่า จะไปหาท่านได้ที่ไหน”

    ปิณฑิราสะกดกลั้นความหงุดหงิด จ้องตาเขาอย่างระแวงสงสัย

    “งั้นอาสานำทางแต่แรกทำไม”

    “ก็ผมคิดว่ามีหวัง อาจจะเจอหรือไม่เจอก็ได้ แน่ใจเพียงว่าท่านอยู่ในป่า บางทีถ้าเราตั้งใจตามหาจริงจัง และมีศรัทธาประสงค์ดี ท่านอาจจะเมตตา ออกมาให้เราพบ มันก็มีโอกาสไม่ใช่เหรอ ขอร้องล่ะนะ ช่วยปิญชาน์ด้วยเถอะ ผมสัญญาว่าจะช่วยคุณสุดความสามารถ ไม่เจอไม่กลับก็ได้”

    เขายืนยันเสียงแน่นหนัก แววตาวิงวอน หญิงสาวอึ้ง นิ่งคิดอย่างหนักใจแล้วพบว่าไม่มีทางเลือกอื่น จึงเดินเข้ามาใกล้ร่างที่ดิ้นพล่านของปิญชาน์ หลับตา สำรวมจิต ใช้มือแตะรัดเกล้าบนศีรษะ เพ่งกระแสจิตแน่วนิ่ง แล้วลืมตา ยื่นมือมาแตะร่างถูกอาคม ส่งพลังธาตุอัญมณีบริสุทธิ์ออกไป

    ...ปะการัง ขับไล่อาคมคุณไสยได้ เราลืมไปสนิทเลย ดีที่เธอยอมช่วย ทำให้เราไม่ต้องลงมือช่วงชิง   

    ชายหนุ่มรำพึงอย่างเบาใจ หันมามองร่างของเพื่อนสาวที่ค่อยๆ สงบลง เนื้อหนังตามลำตัวที่ดำคล้ำ เริ่มกลับมาเป็นสีน้ำผึ้งอีกครั้ง เมื่อสงบลงเป็นปกติแล้ว เขาจึงพยุงหล่อนขึ้นมานั่ง สาวน้อยหอบเหนื่อย เหงื่อโทรมเต็มร่าง โกรธจนหน้าแดง ตวาดลั่น

    “ใคร? ใครมันทำคุณไสยใส่ฉัน ฉันจะไปฆ่ามัน!

    “ตัวเองเกือบถูกฆ่าแล้วยังไม่สำนึก หากไม่ได้พลังอัญมณีของฉัน เธอคงทรมานถึงตาย”

    ปิณฑิรารำคาญในความอวดดีของสาวน้อยไสยมาร ปิญชาน์แค่นเสียง จ้องขุ่นเคือง

    “เฮอะ ฉันประมาทเองแหละ ไม่ได้พกเกล็ดหิมะดำมาด้วย ไม่งั้นมันทำอะไรฉันไม่ได้แน่”

    “เกล็ดหิมะดำวิเศษนักหรือ เธอฝึกอาคมแก่กล้าแบบนี้ อีกไม่นานมันคงแปรธาตุเป็นอัญมณีมาร!

    ปิณฑิราบอกเสียงกร้าวแกร่ง และเย็นชา ปิญชาน์ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะเอาเรื่อง เพชรกล้ารีบสงบศึกสองสาว ด้วยการเข้ามาขอบคุณปิณฑิราอย่างจริงใจ หล่อนมองหน้าเขานิ่ง ก่อนจะเดินหลบไปอย่างเซ็งๆ


     

    ด้านตำหนักของชาครีย์ วิศาลถามผลลัพธ์อย่างกระตือรือร้น เมื่อน้องชายเจ้าอาคมลืมตาขึ้นมา

    “เป็นยังไง ชาครีย์ มันตายรึเปล่า

    “มีคนมาช่วยมันไว้ แต่ก็ได้รับบทเรียนไปพอสมควร”

    “ถ้าเกิดว่ามันทำร้ายพี่อีกล่ะก็ พี่คงได้ตายจริงๆ แน่ ไม่มีของดีอะไร ไว้ให้พี่ได้ป้องกันตัวบ้างหรือ ขอหน่อยสิ”

    ชาครีย์จ้องหน้าพี่ชาย นิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะมอบ “เกล็ดหิมะดำ” ให้พกไว้ติดตัว
     


     

    ในป่าเพชร... เพชรกล้า กับปิญชาน์เปลี่ยนมาเดินนำหน้า ปิณฑิราเดินตามหลังมาเงียบๆ คอยสังเกตทั้งคู่อยู่บ่อยครั้ง ชายหนุ่มสำรวจสีหน้า และท่าทางของเพื่อนสาวข้างๆ ที่มีอาการนิ่งเงียบ เศร้าหมองไปตั้งแต่โดนของ

    “ปิญชาน์ เธอทำคุณไสยใส่ใครหรือ”

    เขาถามเบาๆ ไม่อยากให้คนข้างหลังได้ยิน สาวน้อยไม่ตอบ แต่มีสีหน้าอึดอัดใจ

    “ฉันเชื่อนะ ว่าเธอต้องมีเหตุผลถึงทำแบบนั้น เธอไม่ใช่คนเลวที่จะคิดทำร้ายใครก่อน คงเป็นคนชั่วใช่ไหม”

    “นายเชื่อเหรอ เชื่อว่าฉันไม่ใช่คนเลว

    หญิงสาวเงยหน้าถามเขา ด้วยแววตาเศร้าซึ้ง อย่างคนที่โหยหากำลังใจ

    “แน่นอน ฉันโตมากับเธอนะ จะไม่รู้จักเธอได้ยังไง และเมื่อครู่นี้ ฉันก็เป็นห่วงเธอมาก รู้รึเปล่า”

    “เพชรเก๊!

    หล่อนหันมาสวมกอดเขาเต็มตัวอย่างซาบซึ้งตื้นตัน ร้องไห้ระบายความทุกข์อันอัดอั้นบนอกของเขา สาวสวยที่เดินตามหลังมาชะงักเท้า หัวใจกระตุกวูบ! รู้สึกหงุดหงิดขัดใจอย่างไรบอกไม่ถูก เมื่อเห็นภาพนั้น ชายหนุ่มตบบ่าหล่อนเบาๆ แล้วพูดปลอบโยน ปิณฑิราจึงเดินแซงไปนำหน้าแทน และเมื่อร่วมเดินทางกันนานเข้า สาวนักฝึกอัญมณีก็เริ่มเรียนรู้ถึงความสามารถของชายหนุ่ม

    ...เขาเดินป่าได้คล่องแคล่ว ทะมัดทะแมง เงียบกริบ และระมัดระวังตัวรอบด้านราวกับพรานป่า เขามีประสาทสัมผัสอันเฉียบไว กระทิงแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง เฝ้าลูกอยู่ในพุ่มไม้ หล่อนเดินเฉียดเข้าไปใกล้ เขาก็เป็นคนร้องเตือน แล้วพาหล่อนออกมา แถมยังยิงธนูไล่ควายป่าดุร้ายตัวหนึ่งให้หนีไปด้วย ฝีมือการยิงธนูของเขา แม่นยำและสง่างาม จนหล่อนยังแอบชื่นชม ต่อมาก็ได้เห็นฝีมือการยิงไรเฟิลไล่หมูป่า และการใช้มีดสั้นขว้างไปปักถูกงูเห่าดงตัวหนึ่งที่เลื้อยมาจะฉกหล่อนอย่างแม่นยำและเฉียบขาด เมื่อมีภัยอันตรายเกิดขึ้น จากเด็กหนุ่มธรรมดาท่าทางซื่อๆ เขากลายเป็นนักต่อสู้ผจญภัย ผู้เชี่ยวชาญชำนาญไพรเสียเหลือเกิน...

    “นายนี่น่าจะเป็นพรานป่านะ”

    หล่อนเอ่ยขึ้นลอยๆ น้ำเสียงไม่กระด้างเย็นชาเหมือนก่อน เพราะรู้สึกติดหนี้บุญคุณเขามาตลอดทาง แม้เขาจะทำเฉยๆ แต่นั่นยิ่งทำให้หล่อนยำเกรง และพอใจในความถ่อมตัวของเขามากขึ้น

    “ผมก็เติบโตมากับพวกพรานอยู่แล้ว พวกเขาสอนผมทุกเรื่อง ทั้งการเดินป่า และการใช้อาวุธ แต่ผมไม่ได้ครึ่งของพวกเขาหรอกนะ เพราะผมไม่ค่อยเข้าป่าลึกๆ เท่าไหร่ ถ้าเลียบๆ เคียงๆ ก็พอเอาตัวรอดได้”

    “แล้วอัญมณีของนายล่ะ ทำไมไม่เอาออกมาใช้ ช่วยผ่อนแรงบ้าง”

    เพชรกล้าสบตาหล่อน อยากรู้ว่าแกล้งหลอกถามรึเปล่า ก่อนจะส่ายหน้า ยิ้มขันๆ

    “คุณพลังสูงกว่าผม ผมยกให้คุณเป็นผู้นำตลอดทางสายนี้เลยล่ะ ส่วนผมจะจัดการในแบบฉบับของคนธรรมดา ช่วยกันสองทาง รับรองว่าป่าหฤโหดแค่ไหนก็ตะลุยได้หมด”

    “นี่ เพชรเก๊ ลืมไปรึเปล่า ฉันไม่มีอซูไรท์ ถ้าไปเจอทองกล้าเข้า...”

    ปิญชาน์สะกิดเขา กระซิบเตือนมาเบาๆ ปิณฑิราได้ยิน ตอบมาเสียงชาเย็น

    “มีคนพลังจิตอยู่ที่นี่ตั้งสองคน จะกลัวทำไมล่ะ ถ้ามันจะฆ่าเธอ เขาคงเอาตัวเข้าช่วยสุดชีวิตแน่!

     

     

     


     

     

     

    ณ หมู่บ้านผาแดง ชาวบ้านต่างพากันชี้พวกกลุ่มนักเลงลูกน้องมาเฟียใหญ่ที่ยืนรุมผู้ใหญ่บ้านคนเดียวอยู่บนเนินเขา ทางเข้าหมู่บ้าน ด้วยท่าทางอวดเบ่งวางกล้าม เหมือนมาข่มขู่ ลักษณะเดียวกับที่พวกเขาเคยเห็นมาสี่ห้ารอบแล้ว ได้แต่ยืนมองซุบซิบกันอย่างเป็นห่วง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหลายคนจับตาดูว่าพวกนั้นจะทำอะไรกันแน่

    “ว่ายังไง ผู้ใหญ่ ตกลงว่าจะยอมย้ายออกไปดีๆ หรือต้องให้ใช้กำลังบังคับ”

    นายเส็ง หัวหน้ากลุ่มลูกน้องมาเฟีย เอ่ยเอื่อยๆ แต่แววตาโหด ผู้ใหญ่มุ่ยวัยเจ็ดสิบปี พูดอ้อนวอน

    “ปล่อยเราไปเถอะ หมู่บ้านนี้ตั้งมานานแล้ว ชาวบ้านตั้งรกรากมาหลายสิบปี ถึงเราจะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ในที่กันดาร ห่างไกลความเจริญ แต่เราก็รักสงบ และรักที่นี่มาก ได้โปรดอย่าขับไล่พวกเราเลย”

    “ผู้ใหญ่ก็รู้ดีว่าที่นี่มันกันดาร แล้วทำไมผู้ใหญ่ไม่ย้ายลูกบ้านไปอยู่รวมกับหมู่บ้านข้างๆ ที่มันเจริญกว่านี้เล่า จะมาทนลำบากอยู่ทำไม ฉันก็ขอผู้ใหญ่ดีๆ นะ ว่าพื้นที่ตรงนี้น่ะ ถ้าผู้ใหญ่ย้ายออกไป ให้เจ้านายฉันครอบครอง มันจะมีแต่ประโยชน์ เงินทองไหลมาเทมา แล้วหมู่บ้านผู้ใหญ่จะพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ย้ายเถอะนะ ฉันไม่อยากใช้ความรุนแรง เจ้านายอุตส่าห์เปิดทางให้แล้ว ผู้ใหญ่ก็อย่าทำร้ายพวกลูกบ้าน ให้ต้องมีบาดเจ็บล้มตายกันเลย”

    นายเส็งเกลี้ยกล่อมอย่างรำคาญ หลายครั้งแล้วที่มาพูด แต่ตาแก่หัวรั้นนี่ยังไงก็ไม่ยอมท่าเดียว เห็นทีว่าคงได้ใช้กำลังกันบ้าง ผู้ใหญ่มุ่ย ไอค่อกแค่ก ถึงจะแก่แล้วแถมโรครุมเร้า แต่ก็ยังใจเด็ด เปลี่ยนมาพูดเสียงกร้าว

    “ถ้าจะใช้พื้นที่ของเราไว้ทำกุศล ฉันก็ไม่ขวาง แต่ถ้าจะเอาไว้ซ่องสุมทำสิ่งผิดกฎหมาย ถึงฉันต้องตาย ก็ไม่ยอมขายแผ่นดินให้พวกแกแน่ ฝันไปเถอะ!

    “พูดดีๆ ไม่ชอบ เลือกทางฉิบหายเอง จะมาว่าโหดไม่ได้นะ ผู้ใหญ่ พรุ่งนี้ จะมีการสั่งสอนเบาะๆ ให้ดู เตรียมใจไว้ได้เลย!

    นายเส็งกล่าวคำขู่ไว้ แล้วพาพรรคพวกกลับไป ผู้ช่วยและชาวบ้านหลายคนขึ้นมาหาผู้ใหญ่มุ่ย สอบซักถาม พอได้ความ ก็ร้อนใจกันยกใหญ่ ผู้ใหญ่บ้านรีบสั่งประชุมลูกบ้านทันที


     

    ในป่าเพชร... สามนักเดินทางเข้ามาถึงใจกลางป่าใหญ่แล้ว เป็นเวลาเที่ยงพอดี เพชรกล้าจึงเลือกที่ร่มใต้ต้นไม้ใหญ่นั่งพักทานข้าว เขาเตรียมข้าวห่อใบตองมาเอง จะได้ไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตสัตว์ป่า เปิดข้าวหมกไก่ของตัวเองแล้ว จึงยื่นห่อข้าวสองห่อให้กับปิญชาน์ แล้วบุ้ยปากไปทางปิณฑิรา ที่ยืนหันหลัง กอดอกพิงต้นไม้ใหญ่อีกต้นอยู่ เป็นความหมายให้เอาข้าวไปให้หล่อนด้วย ปิญชาน์อ้าปากจะค้าน หน้ามุ่ย ไม่อยากเข้าไป แต่เพชรกล้าส่งสายตาบังคับ

    “เอ้า! ข้าว...”

    หล่อนจำต้องยื่นห่อข้าวให้อย่างไม่เต็มใจ ปิณฑิราบอกเรียบๆ โดยไม่หันมา

    “ฉันไม่หิว”

    “ไม่หิวก็ต้องกิน เดี๋ยวก็ไม่มีแรงเดินหรอก”

    “ฉันอดข้าวสามวันยังเดินได้ ไม่ตายหรอกน่า”

    คนอย่างปิญชาน์มีหรือจะทนง้อใครได้นาน สะบัดหน้าเดินกลับมาอย่างไม่ใยดี ยื่นห่อข้าวกลับให้เขา

    “คนเก่งเขาบอกว่า อดข้าวสามวันก็ไม่ตาย สงสัยจะกินอัญมณีแทนข้าวซะล่ะมั้ง”

    เพชรกล้าไม่สนใจคำประชด รับห่อข้าวจากมือหล่อน แล้วเดินไปหาบ้าง ปิญชาน์ลงนั่งทาน แล้วจ้องตาขวางอย่างหงุดหงิด

    “คุณปิณฑิรา คุณไม่หิวหรือ เดินป่ามาตั้งนานแล้ว นอกจากน้ำ ผมไม่เห็นคุณทานอะไรเลยนะ”

    เขาถามเสียงอ่อนโยน นั่นทำให้หญิงสาวเสียงอ่อนตามโดยไม่รู้ตัว

    “ฉันยังไหว”

    “แต่ถ้าคุณไม่ทาน อีกไม่นานคุณจะไม่ไหวแล้วล่ะ นับจากนี้เราจะเข้าสู่ป่าลึกของจริง ข้างหน้านั้นเป็นป่ารกทึบ บุกฝ่าลำบาก หนทางทุรกันดารกว่านี้อีก คุณจะทั้งเหนื่อยทั้งหิว อาจถึงกับเป็นลมได้เลย ถ้ากำลังไม่พอ”

    “นายเป็นห่วงฉันหรือ

    จู่ๆ หล่อนก็หันมาถามด้วยแววตาแปลกๆ เพชรกล้าชะงัก งุนงงวูบ ก่อนจะยิ้ม

    “เราร่วมเดินทางมาด้วยกันแล้ว ก็ควรจะห่วงใยดูแลกันบ้างมิใช่หรือ คุณยังช่วยปิญชาน์ได้เลยนี่ครับ”

    ปิณฑิราไม่พูดอะไรอีก รับห่อข้าวมา แล้วนั่งลงรับประทานอย่างว่าง่าย เพชรกล้ายิ้มโล่งใจ เดินกลับมานั่งข้างเพื่อนสาว ปิญชาน์ที่คอยจับตาดูอยู่ ร้องออกมาอย่างหมั่นไส้ เริ่มรู้สึกตงิดๆ กับท่าทางของหญิงสาว  

    “เฮอะ ต้องให้เพชรเก๊ไปพูด ถึงจะกิน เธอเนี่ย...ฟังแต่เพชรเก๊แล้วสินะ!”

    “ปิญชาน์ กินข้าวไปเถอะน่า”

    เพชรกล้าหันมาปรามเสียงดุ ก่อนเหลือบมองสาวงามอย่างกริ่งเกรง ปิญชาน์ค้อนปิณฑิรา รู้สึกไม่ถูกชะตามากขึ้น

     

     

     


     

     

     

    ณ สนามบิน... มุกตาภา คอลด์เวลล์ บุตรสาวทายาทเจ้าของบริษัทไพรม์ จิวเวลรี่ ริชาร์ด คอลด์เวลล์ พี่ชาย และไตรทศ วิชยุตม์ พร้อมคนใช้ และบอดี้การ์ดจำนวนหนึ่ง เดินทางสู่เครื่องบินส่วนตัว เพื่อโดยสารไปยังประเทศไทย จุดหมายอยู่ที่ เมืองกรุงเทพ โดยหญิงสาวแสนงามเลือกจะนั่งข้างหน้าต่าง เพื่อชมวิวด้านนอก

    ...แม่คะ หนูจะได้ไปเหยียบแผ่นดินเกิดของแม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว สิบปีแล้วสินะ ที่ไม่ได้ไปสัมผัสเลย ครั้งที่แล้วก็ไปแค่สองวัน เพื่อขโมยไทเกอร์อาย ครั้งนี้หนูจะเที่ยวให้สมใจ รำลึกความหลังที่เคยอยู่กับแม่ด้วย...

    มุกตาภารำพึงถึงมารดา ซึ่งเสียชีวิตไปสิบกว่าปีแล้วด้วยอุบัติเหตุ หล่อนเคยอยู่เมืองไทยตอนเป็นเด็ก แค่ไม่กี่ขวบเท่านั้น แต่หญิงสาวก็รู้สึกชอบ และผูกพันกับที่นั่นมาก ใฝ่ฝันว่าจะได้ไปอยู่อาศัยสักครั้งหนึ่ง บัดนี้ โอกาสนั้นมาถึงแล้ว



     

     ณ ป่าเพชร... ระหว่างนั่งทานข้าวกันอยู่เงียบๆ ปิญชาน์ก็โพล่งขึ้นลอยๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า

    “นี่ เธอมีแฟนรึยัง”

    เพชรกล้าเงยหน้าขึ้นจากห่อข้าว ปิณฑิราช้อนสายตาคมขึ้นมอง ตอบเสียงเย็นชา

    “ไม่ใช่เรื่องของเธอ”

    “หน้าตาสวยๆ แบบนี้ น่าจะมีผัวแล้วนะ มีลูกกี่คนแล้วล่ะ!

    ปิญชาน์ถามยั่ว ตั้งใจกวนประสาท เพชรกล้ากระซิบเสียงเข้ม ปวดหัวตุบๆ

    “ปิญชาน์ อย่าหาเรื่องน่า”

    “ฉันไม่ใช่คนไวไฟ เหมือนสาวบ้านป่าอย่างเธอหรอก”

    คนงามย้อนเข้าให้อย่างเจ็บแสบ จ้องตากลับอย่างดุ สาวน้อยนักอาคมแค่นหัวเราะ

    “เฮอะ แล้วเมื่อกี้ไม่เรียกไวไฟเหรอ เห็นเพชรเก๊เข้าหา ก็ใจอ่อนระทวย!

    “อย่าให้ฉันหมดความอดทนกับเธอนะ!

    ปิณฑิราลุกพรวดขึ้นยืน พอพูดชื่อ “เพชรกล้า” หล่อนก็ชักจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ นึกแปลกใจตัวเองที่รู้สึกเหมือนถูกจี้แทงใจดำ ปิญชาน์ก็ลุกขึ้นโต้อย่างไม่เกรงกลัว เพราะตั้งใจหาเรื่องอยู่แล้ว

    “แล้วจะทำไมล่ะ!

    “คุณปิณฑิรา...”

    เพชรกล้าลุกขึ้นบ้าง อยากจะห้าม แต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่ยืนปวดหัวกับเรื่องไร้สาระที่เพื่อนสาวขยันหันมาให้ จะหันไปปรามเพื่อนสาว เสียงร้องคำราม

     “โฮก!

    ก็ดังก้องขึ้นสะท้านป่า ปิญชาน์เรียกชื่อ “ทองกล้า” อย่างดีใจ แล้วจะวิ่งไปตามทิศทางของเสียง แต่ชายหนุ่มคว้าข้อมือไว้ พูดเร็วปรื๋อ

    “อย่า! ปิญชาน์ นั่นไม่ใช่ทองกล้าของเธอแล้ว ถ้ามันเจอเธอตอนนี้ ได้ขย้ำใส่แน่”

    สาวน้อยชะงักรู้สึกตัว ยืนอึ้ง แววตาเปลี่ยนเป็นหมองเศร้า

    “หึ ถ้ามันออกมา ฉันจะฆ่ามันซะ!

    ปิณฑิราพูดหยันๆ ปิญชาน์ตะลึงวูบ ร้องลั่นอย่างโมโห

    “ถ้าเธอฆ่ามัน ฉันก็จะฆ่าเธอด้วย”

    “คุณปิณฑิรา คนมีพลังจิตน่ะ ควบคุมพลังได้ ถ้าเจอทองกล้า แค่ไล่มันไปก็พอนะครับ”

    เพชรกล้าขอร้อง เสียงนุ่มนวลอ่อนโยนของเขา มันทำให้หล่อนหงุดหงิด เพราะกลัวว่าจะใจอ่อน

    “นายเองก็คุมมันได้ จะต้องมาขอฉันทำไม แต่ถ้ามันกระโจนใส่ฉันเมื่อไหร่ ฉันไม่เอาไว้แน่”

    เลยต้องแข็งใจทำเสียงเย็นชาใส่ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปเป็นการตัดบท ปิญชาน์ขยี้เท้าอย่างขุ่นเคือง

    “นับวันฉันยิ่งเกลียดขี้หน้ายัยนี่”

    “สักวัน ฉันต้องอกแตกตายเพราะเธอแน่ ปิญชาน์!

    เพชรกล้าสวนเข้าให้อย่างหงุดหงิดพอกัน หล่อนช่างถนัดหาแต่เรื่องยุ่งมาให้เขาเสียเหลือเกิน พอเห็นแววตาค้อนๆ ของเขา หล่อนก็งอนใส่ แต่ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้หล่อนเล่นตัวอีก ฉุดข้อมือพาออกเดินไปโดยเร็ว

    © themybutter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×