ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก...อัญมณี

    ลำดับตอนที่ #8 : แผนยึดครองบริษัท

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 333
      3
      26 พ.ค. 59


     

     

    นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

    มุกตาภา คอลด์เวลล์ คุณหนูทายาทราชาจิวเวลรี่อันดับหนึ่งของสหรัฐ และติดอันดับท็อปเท็นในโลก ก้าวลงจากรถลีมูซีนคันหรู เหยียบลงบนพรมแดง ก้าวเดินอย่างสง่างามเข้ามาในตึกหรูหราสูงยี่สิบกว่าชั้น โดยมีพนักงานของบริษัทนั้น ยืนเรียงรายต้อนรับอยู่สองฟากทางอย่างเป็นระเบียบ และหน่วยรักษาความปลอดภัยคุ้มกันเข้มงวด

    “ยินดีต้อนรับค่ะ คุณหนูสเตเฟนี”

    พนักงานระดับสูงของบริษัทมอบช่อดอกไม้ และกล่าวคำต้อนรับเจ้าของบริษัทคนใหม่อย่างนอบน้อมนุ่มนวล การเจรจาเป็นภาษาอังกฤษ หญิงสาวพยักหน้ารับนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์ ขึ้นไปยังชั้นบนสุด

    ภายในห้องประธานบริษัท หล่อนเดินสำรวจไปทั่วห้องหรูหรานั้น ก่อนจะนั่งลงบนอาร์มแชร์ตัวใหญ่สีทอง หมุนไปมา

    “ตึกนี้ไม่เลว สวยงามโอ่อ่าดี เสียแต่การตกแต่งดูโบราณไปหน่อย”

    หล่อนเอ่ยขึ้นลอยๆ หนุ่มฝรั่งที่เป็นคนของหล่อน ยืนมือประสานกันอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงหน้า

    “คุณหนูอยากจะจัดหาอะไรเพิ่ม หรือออกแบบเสียใหม่ ก็สั่งมาได้เลยครับ”

    “ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบเพิ่มเติมทับของมือสอง ครอบครัวมิสเตอร์แฟรงค์เป็นไงบ้าง”

    “เห็นว่าระเห็จไปอยู่เมืองเล็กๆ ที่ไหนสักแห่งในเอเชียแล้วล่ะครับ”

    “น่าสงสาร ครอบครัวล้มละลาย หนี้สินไม่มีจ่าย จากเศรษฐีกลายเป็นยาจกในชั่วพริบตา คนเรานี่ไม่แน่ไม่นอนจริงๆ ออกไปได้แล้ว”

    หล่อนขี้เกียจรำพึงรำพันกับคนอื่นจึงไล่ไป ผู้ช่วยเดินออกไปแล้ว ชายหนุ่มชาวอเมริกันแท้วัยไล่เลี่ยกับหล่อนก็เดินเข้ามาทันที ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

    “สเตเฟนี ดีจังเลย คุณกลับมาแล้ว”

    หญิงสาวหันขวับมามอง ทำสีหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที ลุกจากเก้าอี้ ไปยืนไพล่หลัง มองวิวที่หน้าต่างแทน

    “คุณจะบริหารที่นี่เหรอ สวยดีนะ ผมก็ชอบ”

    เพื่อนชายที่เติบโตมาด้วยกัน พูดร่าเริงสดใส แต่หล่อนกลับรู้สึกรำคาญ

    “ใครบอกล่ะ”

    “อ้าว ที่นั่นก็ไม่ใช่ ที่นี่ก็ไม่ใช่ ตกลงสเตเฟนี คุณจะเอาบริษัทไหนกันแน่”

    “ตอนนี้ฉันเบื่อ ไม่อยากทำงานเข้าใจไหม เพิ่งเรียนจบ จะให้รีบทำอะไรนักหนา ฉันอยากเที่ยว”

    หล่อนบอกห้วนๆ คอร์แม็ค วอร์ทัน เคยชินกับนิสัยเผด็จการของหล่อนเสียแล้ว จึงรีบอาสาอย่างเอาใจ

    “งั้นผมพาทัวร์”

    “อเมริกาเบื่อจะแย่แล้ว”

    “ก็ไปท่องยุโรป?

    “มีประเทศไหนยังไม่ได้ไปอีกล่ะ”

    “ออสเตรเลียเป็นไง เมืองซิดนีย์สวยมากเลยนะ”

    “ไม่เอา ฉันจะไปกรุงเทพฯ”

    “ฮ้า ก...กรุงเทพ?

    ชายหนุ่มทำหน้าพิกล เกาหัวแกรกๆ มุกตาภาหันมาเน้นเสียงอย่างเซ็งๆ

    “กรุงเทพ...เมืองไทยน่ะ รู้จักไหม

    “เมืองไทย...ประเทศไร้ความเจริญ ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด สเตเฟนีจะไปทำไม ไม่เห็นน่าเที่ยวเลย”

    “แม้แต่เมืองที่เล็ก และไร้ความเจริญที่สุด ก็ยังมีสิ่งมหัศจรรย์ เลิศล้ำพิสดาร นายเป็นใคร ถึงมาดูถูกเมืองไทย? ประเทศไทยน่ะ เป็นดินแดนรักสงบ กำลังพัฒนา และตอนนี้เจริญมากแล้วด้วย ไม่ได้อยู่หลังเขา กันดารแล้งแค้นเหมือนประเทศส่วนใหญ่ในแอฟริกาสักหน่อย แถมสถานที่เที่ยวก็ชื่อดังติดอันดับโลกต้องหลายแห่ง ฝรั่งไปเที่ยวกันเยอะแยะ นายไปอยู่ไหนมา โลกทัศน์ถึงได้แคบอย่างนี้”

    หล่อนบอกเสียงห้วน ทั้งรำคาญและไม่พอใจในคำพูดของเพื่อนหนุ่ม คอร์แม็ครู้สึกตัว ยิ้มเก้อๆ

    “แหะ แหะ ผมก็ลืมไป ว่าสเตเฟนีมีเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่ง โทษทีนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะดูถูก”

    “อย่าลืมง่ายนักสิ แม่ฉันเป็นคนไทย ถึงฉันจะไม่ได้เกิดที่เมืองไทย แต่ที่นั่นก็เป็นแผ่นดินเกิดของแม่ ฉันอยากจะไปเที่ยว หรือไปอยู่แบบจริงๆ จังๆ สักครั้ง ไม่ใช่ไปขโมย...”

    “อะไรนะ!

    คอร์แม็คถามมาอย่างฟังไม่ชัด มุกตาภาเกือบหลุดปาก จึงรีบตัดบท

    “ไม่มีอะไร”

    “ถ้างั้น...ผมจะพาไปเอง อยากไปเมื่อไหร่บอกนะ ผมจะได้ไปเที่ยวเมืองแม่ของสเตเฟนีด้วย”

    หญิงสาวไม่ได้รับคำ และแน่นอนว่า มันเป็นรหัสที่คอร์แม็คต้องเตรียมใจเผื่อความผิดหวังไว้ได้เลย
     


     

    มุกตาภาเข้าห้องสมุด เพื่อมาอ่านหนังสืออัญมณีที่ตนเองโปรดปราน เป็นกิจวัตรที่ชอบทำในยามว่าง แต่แล้วเกิดอุบัติเหตุ ขาตู้หนังสือเกิดหัก เอนล้มลงมาจะทับเด็กที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ หล่อนเผลอผลักมือ ส่งพลังจิตไปต้านทานไว้ไม่ให้ล้ม แล้วดันขึ้นไปตามเดิม สร้างความงงงันพิศวงแก่คนทั้งห้อง หล่อนไม่สนว่าจะมีใครสงสัย แต่เกิดความรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา เพราะไม่ได้ออกแรงมานาน จึงยืมหนังสืออัญมณี แล้วเดินออกจากร้านไป มาหยุดยืนอยู่บนสะพายลอย มองรถที่แล่นสวนไปมาเพลินๆ แล้วนึกสนุก เคลื่อนไหวฝ่ามือเพียงด้านเดียว ส่งพลังไปกระแทกรถราที่แล่นอยู่ ให้หันซ้ายหันขวาตามใจชอบอย่างมันมือ จนเกิดการชนกันเป็นขบวนใหญ่ วุ่นวายปั่นป่วนไปทั่ว สาวจอมแก่นหัวเราะขบขัน เบิกบานใจที่ได้กลั่นแกล้งผู้คนเล่น ด้วยพลังเหนือธรรมชาติที่สุดภาคภูมิ แต่แล้วรอยยิ้มต้องเลือนหาย เมื่อเห็นเด็กวัยสิบขวบถูกรถที่หล่อนกลั่นแกล้งพุ่งมาชนจนบาดเจ็บ ร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวด หญิงสาวหน้ากร่อย และรู้สึกเสียใจมิใช่น้อย พึมพำเก้อๆ

    “มาเกะกะทำไมเล่า”

    แม้จะรักสนุก และแก่นร้ายเกินลิมิตไปบ้าง แต่หล่อนก็ไม่ใช่คนเหี้ยมโหด จิตใจหยาบช้า ชนิดไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนถูกผิด การทำให้คนบริสุทธิ์เดือดร้อน ทำให้หล่อนไม่สบายใจนัก จึงแก้ตัวด้วยการไปหาพวกโจรโหดปล้นฆ่าข่มขืนผู้หญิง ที่เก็บตัวซ่องสุมกันอยู่ในโกดังร้างแห่งหนึ่ง พวกมันล้วนเป็นชายฉกรรจ์ มีจำนวนถึงสิบคน ฝีมือการต่อสู้ทั้งมือเปล่า และอาวุธล้วนเก่งกาจ หล่อนจึงจัดการระบายความคันไม้คืนมือได้อย่างสาสมใจ เอาชนะพวกมันด้วยวิชาการต่อสู้ธรรมดายังไม่พอ ทำให้พวกมันต้องร่ำร้องหวาดกลัวราวกับคนบ้าด้วยพลังจิตเคลื่อนย้าย ที่หล่อนบังคับควบคุมร่างพวกมันให้หมุนคว้าง เหวี่ยงซ้าย กระแทกขวาตามใจชอบ สั่งสอนคนเลว ตอบแทนความชั่วช้าของพวกมันแทนหญิงสาวจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อ ก่อนจะสั่ง ปีศาจพันปี สองตัว ที่เป็นองครักษ์พิทักษ์หล่อน ให้ลบความทรงจำพวกมันเสีย แล้วเดินจากไปด้วยความสะใจ
     


     

    รุ่งเช้า ที่หมู่บ้านผาแดง ปิณฑิรายืนรออย่างสงบในชุดแต่งกายเดิม ตรงหน้าทางเข้าป่า เมื่อถึงเวลา เพชรกล้า และปิญชาน์ก็มาถึง หล่อนใช้สายตามองสำรวจเรือนร่างพวกเขาแวบหนึ่ง ก่อนบอกง่ายๆ

    “ไปกันได้แล้ว...”

    “เดี๋ยวก่อน คุณปิณฑิรา จะไม่ค้นตัวพวกเราหรือ เผื่อว่าเราแอบพกอัญมณีมา เพื่อทำร้ายคุณ”

    เพชรกล้าถาม นึกสงสัยในความหละหลวมของหล่อน หญิงสาวเดินเข้ามาเผชิญหน้าเขา พูดเรียบๆ

    “ฉันไม่ใช่นักล่าอัญมณี ไม่มีสิทธิ์จะไปฉกชิงหรือล่วงเกินของๆ ใคร ถ้าเขาเป็นเจ้าของโดยชอบธรรม และมีคุณธรรมพอ ฉันก็จะไม่ยุ่ง เพราะอัญมณีบริสุทธิ์มีอยู่ไม่มากบนโลก ยังมีคนอื่นที่ครอบครองมันอีก ฉันรู้ดี ถ้าคนๆ นั้นเป็นคนดี มีคุณธรรม อยู่ฝ่ายธรรมะ ต่อต้านอาธรรม ก็สมควรจะพกติดตัวไว้”

    เพชรกล้านิ่ง มองแววตาหล่อนอย่างระแวงสงสัย แต่สาวน้อยข้างกายกลับโพล่งขึ้นมาในทันทีว่า

    “อ๋อ ไม่ต้องห่วง เพชรเก๊น่ะมีคุณธรรมแน่ และเขาก็เป็นคนดีด้วย

    “ปิญชาน์!

     เพชรกล้าสะดุ้ง จับไหล่คนปากไวไว้ แต่ไม่ทันเสียแล้ว หล่อนหันมาทำเหน้าเหวอ ปิณฑิรายิ้มดุๆ

    “หึ ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสินะ ว่านายก็มีเหมือนกัน”

    ชายหนุ่มทำหน้าซังกะตาย ปิญชาน์อุทานดังๆ เพิ่งรู้ตัวว่าหลงกล โดนหลอกให้พูดความจริงซะแล้ว

    “หนอยแน่ะ! เจ้าเล่ห์นักนะ ใช้คารมมาล่อให้เราเปิดเผยตัว ทำไมถึงร้ายกาจอย่างนี้”

    หล่อนโกรธจนไม่รู้จะด่าอย่างไรดี ปิณฑิรายิ้มเยาะสะใจ

    “อยากโง่เองช่วยไม่ได้ นายเป็นคนฉลาด แต่น่าเสียดาย คงจะเจอแต่เรื่องร้าย เพราะความอ่อนหัดไร้เดียงสาของคนข้างๆ ตัวนาย ไปกันได้แล้ว”

    พูดจบ ก็เดินนำหน้าไปอย่างสมใจ ปิญชาน์กัดฟันกรอด มองแผ่นหลังนั้นอย่างชิงชังที่สุด

    “หนอย! หาว่าฉันอ่อนหัดเหรอ”

    ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ จึงหยิบก้อนหินลูกเท่าส้มผลใหญ่ ขว้างไปสุดแรงเกิด

    “อย่า!

    เสียงร้องห้ามของเพชรกล้า ทำให้ปิณฑิราหันขวับ ส่งพลังจิตหยุดก้อนหินให้ลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้าอย่างฉิวเฉียด และด้วยโทสะ หล่อนสั่งให้มันย้อนกลับไปด้วยความเร็วสูง ปิญชาน์ผงะ ชายหนุ่มข้างตัวก้าวเข้ามาขวางหน้า ก้อนหินนั้นเจอกับแรงปะทะก่อนถึงใบหน้าเขา มันชะงักค้างวูบหนึ่ง ก่อนตกลงสู่พื้น เพชรกล้าเงยหน้าช้าๆ มองปิณฑิรา แววตาเครียดเข้ม

    “ถ้าคุณไม่ให้เกียรติพวกเรา งั้นก็อย่าเดินทางเลย”

    “เพื่อนของนายทำฉันก่อนนะ”

    “ปิญชาน์ ขอโทษคุณปิณฑิราซะ”

    สาวน้อยอ้าปากจะเถียง แต่พอเห็นแววตาแข็งกร้าวของเขาแล้ว ก็เกรงขึ้นมา อุบอิบ

    “ขอโทษ”

     อย่างจำใจ ปิณฑิรามีสีหน้าเย็นชา เดินฉับๆ นำหน้าไปอย่างเหินห่าง ไว้ตัวเช่นเดิม เพชรกล้าถอนหายใจลึก นึกสังหรณ์ใจว่า เข้าป่าครั้งนี้ หัวสมองของเขาอาจต้องระเบิด เพราะแรงปะทะห้ำหั่นกันระหว่างสองสาวนี้ก็เป็นได้!

    “เพชรเก๊ เอาฮอว์คอายมาด้วยเหรอ!

    ปิญชาน์กระซิบถามเขาอย่างตื่นเต้น เพชรกล้าแววตาขุ่นเขียว บอกมาอย่างรำคาญ

    “ก็รู้แล้วนี่”
     


     

    นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

    ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์หรูหรา เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการจิวเวลรี่อันดับหนึ่งในยุโรป วัยห้าสิบต้นๆ นายวิลเลียม คอลด์เวลล์ ตัวไม่สูงใหญ่ แต่รูปร่างอ้วนท้วม เปี่ยมสง่าราศี นั่งอยู่บนโซฟา ข้างๆ คือชายหนุ่มหน้าตาดี ร่างกายบึกบึนกำยำ ตัวใหญ่แข็งแรง วัยยี่สิบแปดปี นายริชาร์ด คอลด์เวลล์ บุตรชายคนโตของเขา และคนที่ยืนสงบเสงี่ยม ประสานมือนอบน้อมอยู่ตรงหน้า คือ ไตรทศ วิชยุตม์ เลขา และผู้ช่วยเรื่องทั่วไปของวิลเลียม ขณะนี้ กำลังประชุมปรึกษาเรื่องสำคัญกันอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องการกว้านซื้อบริษัทนอกอาณาจักรเพื่อขยายอำนาจอีกตามเคย

    “อืม...ฟังที่ไตรทศพูดมา รู้สึกน่าสนใจไม่น้อย เมืองก็ไม่ใหญ่มาก แต่มีชื่อเสียงในด้านการค้าจิวเวลรี่เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย แสดงว่ายิ่งใหญ่พอตัวเหมือนกัน”

    วิลเลียมลูบเครา พูดอย่างสนอกสนใจในข้อเสนอของไตรทศ นั่นทำให้ชายหัวล้านเร่งกระตุ้นขึ้นอีก

    “คุณวิลเลียม สองบริษัทนี้ต่างก็ยิ่งใหญ่พอกัน มีคนเก่งบริหารงาน ซึ่งก็เป็นคนในครอบครัวทั้งนั้น จัดการไม่ยาก ถ้าเรายึดมาได้ นอกจากจะได้ขยายฐานในเอเชียแล้ว ยังมีโอกาสได้อัญมณีล้ำค่าเป็นผลพลอยได้ด้วย”

    “เอาเลย พ่อ ลูกได้ยินมานานแล้วว่าเมืองไทยมีทรัพยากรหิน แร่ธาตุต่างๆ มากมาย เราอาจจะได้ใช้โอกาสนี้ รวบมาเป็นของเราให้หมด และลูกก็จะขอเป็นประธานบริษัทสักแห่งหนึ่งด้วย”

    ริชาร์ดเห็นด้วยเต็มที่ ก่อนที่ทั้งสามจะชะงักการสนทนา เมื่อใครคนหนึ่งเดินลงบันไดมา หล่อนอยู่ในชุดนอน หัวยุ่งๆ ลักษณะท่าทางแปลว่าเพิ่งตื่น แต่งกายยังไม่เรียบร้อยดีนัก แต่กลับเปล่งประกายความงามเจิดจรัสน่ามองแม้จะยังไม่ได้แต่งหน้าเลยสักนิด หล่อนมองคนในห้องโถงอย่างฉงน ก่อนจะโผเข้าไปนั่งหอมแก้มบิดา

    “แดดดี้... กุดมอร์นิ่งค่ะ แปลกจัง วันนี้แด๊ดอยู่บ้านได้ด้วย วันหยุดอย่างนี้ ไม่ตะลอนๆ ออกไปเที่ยวไหนรึคะ”

    วิลเลียมหัวเราะกว้างอย่างอารมณ์ดี สวมกอดบุตรสาวสุดที่รักอย่างชื่นใจ

    “ฮะ ฮะ พ่อมีงานน่ะสิ ถึงได้อยู่นี่ ว่าแต่วันนี้ตื่นเช้าได้นะลูกไข่มุก”

    “อาจารย์ กับพี่ใหญ่ก็อยู่ด้วย? ประชุมอะไรกันอยู่หรือคะ”

    “เรื่องกว้านซื้อบริษัทจิวเวลรี่ไง น้องมุก ยังไม่เบื่อใช่ไหม คราวนี้ควบสองเลยนะ!

    พี่ชายต่างมารดาของหล่อนตอบมาใบหน้ายิ้มแย้ม มุกตาภาเลิกคิ้วแปลกใจ แต่ก็ไม่ตื่นเต้นอะไรมากนัก

    “โอ้โห! ยิ่งใหญ่มากสิคะเนี่ย ที่ไหนคะ ยุโรป อเมริกาเหนือ หรือว่าออสเตรเลีย

    “เมืองไทยน้องมุก!

    “เมืองไทย?

    หญิงสาวทวนงงๆ ยังนึกว่าตนเองหูฝาด ริชาร์ดหัวเราะร่า

    “ใช่แล้ว เราจะยึดเอาบริษัทจิวเวลรี่ยักษ์ใหญ่ทั้งสองแห่งของเมืองไทย!!

    “แด๊ด! แดดดี้เปลี่ยนแนวตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แต่ก่อนไม่เห็นสนใจทางเอเชียเลยนินา”

    มุกตาภาขยับมานั่งตัวตรง เริ่มรู้สึกสนใจโปรเจคใหม่อย่างจริงจัง วิลเลียมบอกยิ้มๆ

    “ก็เพราะว่าเราไม่เคยมี เลยน่าจะลองมีไว้สักแห่งสองแห่ง เห็นว่าตลาดทางด้านโน้นคึกคักพอตัว และไตรทศก็นำเสนอ พ่อเลยสนใจขึ้นมา”

    “ที่แท้เป็นความคิดของอาจารย์... ทำไมถึงเป็นเมืองไทยล่ะคะ”

    หล่อนหันไปถามไตรทศ เขาก็น้อมตัวตอบอย่างสุภาพและฉาดฉาน

    “ตลาดอัญมณีในเมืองไทย ถือว่าเป็นการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของเอเชียมานานยี่สิบปีแล้ว ถ้าเรายึดมาได้ จะสามารถขยายฐานบริษัทอย่างกว้างขวางขึ้นไปอีก และเมืองไทยก็มีทรัพยากรอัญมณี แร่ธาตุสมบูรณ์พร้อม ช่วยลดทอนค่าใช้จ่ายในการนำเข้าได้มาก เพียงใช้ทรัพยากรคนสักหน่อย ก็สามารถดูดมาใช้ได้เลย”

    “แล้วทำไมถึงเป็นสองแห่ง ไม่ใช่หนึ่งล่ะ?

    “เพราะว่าตอนนี้ วัน สกาย ไดมอนด์ และ เดอะ แฟนซี จิวเวลรี่ คือบริษัทค้าอัญมณีอันดับหนึ่ง และสองของเมืองไทย และของเอเชียด้วย พวกเขายิ่งใหญ่มีชื่อเสียงพอๆ กัน บริหารแบบวงศ์ตระกูลเหมือนกัน เป็นคู่ปรับกันมายาวนานแล้ว แต่ก็ไม่มีใครปราบใครได้อย่างราบคาบ จึงได้รับฉายาว่า สองยอดมณีแห่งสยาม”

    มุกตาภาลุกขึ้นยืน เอ่ยช้าๆ อย่างใช้ความคิดแบบเยือกเย็น สุขุม

    ยอดมณีแห่งสยาม... บริษัทครอบครัว แบบนี้จะไม่ยากเหรอ ผู้บริหารเป็นเครือญาติ ต้องมีเรื่องหุ้น เรื่องอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ยิ่งใหญ่ระดับเอเชียต้องมีพื้นฐานการเงินแน่นปึก ชื่อเสียงก็ดี กำลังรุ่งโรจน์ขีดสุด ความสัมพันธ์ในวงศ์ตระกูลเดียวกันก็ต้องแนบแน่น น่าจะไม่ยอมขาย หรือยกให้ใครง่ายๆ”

    “ผมถึงต้องไปดูลู่ทาง และศึกษาโครงสร้างไว้ก่อนไงครับ คุณหนู”

    “ตกลง ฉันรับงานนี้เอง!

    มุกตาภาเอ่ยง่ายๆ แต่น้ำเสียงเด็ดขาด ทุกคนรู้ดีว่า คำพูดของหล่อนนั้นน่าเชื่อถือ และจริงจังปานใด

    “อ้าว น้องมุก นี่มันงานพี่นะ พี่เอาก่อน”

    ริชาร์ดประท้วง หญิงสาวหันมามอง เถียงอย่างดื้อรั้น แต่คงความน่ารักแบบน้องสาว

    “อะไรล่ะ พี่ต้องดูแลบริษัทที่สเปนไม่ใช่เหรอ มายุ่งอะไรกับเรื่องนี้ มุกอยู่ว่างๆ จะทำงานนี้เอง นะคะ แดดดี้ นะ มุกจัดการมาหลายบริษัทแล้ว แค่นี้เอง สบายมาก เชื่อมือมุกเถอะ”

    “ว่ายังไง ไตรทศ ลูกสาวฉันพอไหวไหม

    วิลเลียมขอความเห็นจากเลขา ไตรทศก้มหน้า แอบซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    “ผมก็คิดว่า คุณหนูมุกตาภาเหมาะสมที่สุดแล้วครับ”

    “ดีแล้ว งั้นจะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ”

    ภาวะความเป็นผู้นำที่ห้าวหาญ เด็ดเดี่ยวเหมือนผู้ชายของคุณหนูสเตเฟนีทำงานทันที เมื่อรู้ว่ามีภาระใหญ่มาให้จัดการอีกแล้ว ซึ่งก็เข้าทางไตรทศที่จะเดินเกมขั้นต่อไปทันที

    “งานนี้ไม่ง่ายนัก จะบุ่มบ่ามรวบรัดเหมือนที่อื่นไม่ได้ ต้องไปสำรวจดูลาดเลา ทำความรู้จักกับเหยื่อซะก่อน”

    “อาจารย์จะไปเมืองไทยหรือ”

    หล่อนถามอย่างตื่นเต้น ดวงตาเป็นประกายวาววับ ริชาร์ดตอบแทนให้

    “ใช่ พี่ก็จะไปด้วย”

    “ดีจริง งั้นมุกไปด้วย มุกเป็นหัวหน้างานครั้งนี้ ก็ต้องไปดูด้วยตัวเอง งั้นเราไปกันสามคนนี่แหละ”

    ทุกอย่างเข้าแผนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ไตรทศขานรับ พร้อมกับรอยยิ้มลึกลับอันพึงพอใจอย่างยิ่งยวด
     

     

    ณ บริษัท วัน สกาย ไดมอนด์

    รักตกันตท์เดินเข้ามาในห้องของท่านประธานบริษัทที่นั่งหน้าเครียดขรึมอยู่

    “เอ่อ คุณอาคะ...”

    สาวน้อยหน้าใสเรียกอย่างเกรงๆ เมื่อเห็นอาหนุ่มนั่งเหม่อลอยอยู่บนอาร์มแชร์ เขาได้สติ หันมายิ้มนุ่ม

    “อ้าว ว่าไง ลูกแก้ว มาหาอามีอะไรหรือ นั่งก่อนสิ”

    รักตกันตท์ทรุดนั่งลงตรงหน้า ถามอย่างอึกอัก ด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก

    “เอ่อ แก้ว...แก้วคุยได้ไหมคะ เรื่อง...พินัยกรรม”

    “ได้สิ เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คุยกันได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ลูกแก้วไม่สบายใจหรือ”

    หิรัณย์ถามน้ำเสียงอ่อนโยน แสดงความเป็นห่วงอย่างอบอุ่น ทำให้สาวน้อยไร้เดียงสาค่อยกล้าพูด

    “แก้ว...แก้วเป็นห่วงน่ะค่ะ บ้านของเราเวลานี้... เอ่อ อาจะตามหา...พี่พัชรไหมคะ”

    อาหนุ่มยิ้มนุ่มนวล และตอบทันทีโดยไม่คิดมาก

    “แน่นอนอยู่แล้ว เขาเป็นหลานคนหนึ่งของอานะ และก็เป็นพี่ชายของลูกแก้วด้วย”

    “แต่ว่า ถ้าหาเขาเจอ อาก็ต้อง...”

    ความแสนซื่อ ไร้เดียงสาของเด็กสาวตรงหน้า ทำให้หิรัณย์แสดงบทบาทคนใจงามได้อย่างไม่ยากเย็น

    “ฮะ ฮะ ลูกแก้วคิดว่าอาจะหวงทรัพย์สมบัติ และตำแหน่งประธาน จนไม่ยอมสละให้พัชรอย่างนั้นใช่ไหม”

    “เปล่านะคะ แก้วไม่ได้คิดแบบนั้น แก้วแค่...เห็นใจคุณอา กับพวกพี่ๆ”

    หล่อนรีบอธิบายอย่างซื่อๆ หิรัณย์ยืนขึ้น เดินไปที่หน้าต่างบนตึกสูงยี่สิบกว่าชั้น มองออกไปข้างล่าง และพูดลอยๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

    “อาน่ะ เป็นประธานมาตั้งสิบปีแล้ว ทำทุกอย่างเพื่อบริษัทมาตลอด จนตอนนี้รู้สึกอิ่มตัวแล้วล่ะ ที่จริงก็ตั้งใจว่าจะสละตำแหน่ง ยกบัลลังก์ให้กับไพฑูรย์ หลานชายคนโตได้ปกครองต่อเสียที แต่มาเกิดเรื่องพินัยกรรมขึ้นเสียก่อน อาก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากรักษาเก้าอี้ไว้ เพื่อรอพัชรกลับมา กลัวก็แต่ว่า...เขาจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วก็เท่านั้น!

    รักตกันตท์สะดุ้งเฮือก มองหน้าอาหนุ่มอย่างตกใจ

    “ตายหรือคะ! ทำไมอาถึงคิดแบบนั้น”

    “ผ่านมายี่สิบสามปีแล้ว เมขลาก็ตายไปแล้ว ญาติที่ไหนก็ไม่มีอีก เด็กคนเดียวเร่รอนอยู่ในโลกกว้าง ไร้ญาติขาดมิตร จะมีคนเลี้ยงดูรึเปล่า จะใช้ชีวิตอยู่ยังไง เติบโตมาในสภาพแบบไหน อากลัวจริงๆ กลัวว่าพัชรอาจจะอายุสั้น...”

    “แต่อากำธรบอกว่า ตอนที่คุณพ่อทำพินัยกรรม พี่พัชรยังมีชีวิตอยู่ อายุสิบสามขวบ ผ่านมาสิบปี งั้นตอนนี้เขาก็ต้องอายุยี่สิบสามแล้ว ถ้าเขาผ่านช่วงเวลายากแค้นในวัยเด็กมาได้ ตอนนี้ก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่นะคะ”

    บทสนทนาถูกขัดจังหวะจากเสียงเคาะประตูห้อง หิรัณย์อนุญาต เหมรัตน์ก้าวเข้ามา มองน้องสาวต่างมารดาอย่างฉงน

    “อ้าว มาคุยกับคุณอาเหมือนกันเหรอ แก้ว”

    “เอ่อ งั้นแก้วขอตัวกลับไปทำงานต่อนะคะ เชิญพี่รัตน์เถอะค่ะ”

    รักตกันตท์รีบขอตัวจากไป เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับพี่ชายที่หล่อนทั้งหวาดกลัว และรังเกียจในนิสัย เหมรัตน์มองน้องสาว ด้วยแววตาหยิ่งๆ เบ้ปาก ยักไหล่ ไม่แคร์ที่หล่อนทำตัวห่างเหิน ทรุดนั่งลงตรงหน้า จ้องใบหน้าอาอย่างสำรวจ ถามเสียงเข้ม

    “ตกลงอาจะเอายังไงครับ เรื่องพินัยกรรม”

    “ก็ต้องทำตามนั้น ตามหาตัวพัชรก่อนอันดับแรก เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”

    เหมรัตน์เบิกตากว้าง เลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจสุดขีด

    “นี่อาพูดเล่นใช่ไหม จะผายมือต้อนรับเจ้าพัชรมันมานั่งตำแหน่งประธานบริษัทจริงๆ เหรอ อายอมสละเก้าอี้ที่อาต้องใช้หยาดเหงื่อแรงกาย ทุ่มเทเพื่อให้ได้มา ให้ใครก็ไม่รู้มาชุบมือเปิบเป็นเจ้าของง่ายๆ แบบนี้เหรอ”

    “อย่าลืมข้อความในพินัยกรรมสิ เราไม่มีทางเลือกมากนักหรอกนะ”

    หลานชายทุบโต๊ะอย่างโมโห อารมณ์โกรธ เกลียด พุ่งขึ้นมาอีก สบถอย่างดุเดือด

    “พินัยกรรมทุเรศ! พินัยกรรมเห็นแก่ตัว! ตอนพ่ออยู่ เกลียดขี้หน้าผมกับพี่ใหญ่จะตาย นึกไม่ถึงเลย ตายไปแล้ว ยังทำพินัยกรรมมากลั่นแกล้งกันอีก พ่อไม่เคยเห็นผมเป็นลูก”

    “ถ้าเป็นการกลั่นแกล้ง ทำไมเพทายกับลูกแก้วถึงโดนไปด้วยล่ะ ใจเย็นๆ คิดดูให้ลึกๆ หน่อย รัตน์ นี่น่ะไม่ใช่พินัยกรรมที่เขียนขึ้นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เพียงแค่อยากจะสั่งสอนพวกเธอเท่านั้นหรอกนะ อาว่า ลึกๆ ในใจของพี่เหมราช มีสังหรณ์ หรือความหวังอะไรบางอย่างกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน อันเกิดจากเมขลา เขาถึงตั้งใจเลือกให้มาเป็นทายาทบริษัทจิวเวลรี่โดยเฉพาะ และถ้าหมอนั่นมีคุณสมบัติอย่างที่พ่อของเธอมองเห็นจริงๆ ล่ะก็ เราก็คงจะ...เพิกเฉยต่อผู้ชายที่ชื่อ พัชร ไม่ได้แล้วล่ะนะ!

    “ไอ้พัชร!! แค่ได้ยินชื่อก็เกลียดแล้ว ไอ้ลูกเมียน้อย ไอ้ลูกกากี ไอ้มารหัวขน ตัวสูบเลือด!

    “ยิ่งโมโห ก็จะยิ่งเสียเปรียบนะ รัตน์ เราต้องใช้สติ คิดวางแผนให้ดี ใช้อารมณ์ไม่ได้เด็ดขาด ทนายกำธรรักษาพินัยกรรมอยู่ ต้องเดินตามเกมไปก่อน เดี๋ยวพอมีช่องทางค่อยพลิกแพลงก็ได้ เชื่ออาสิ”

    เหมรัตน์ไม่ค่อยเข้าใจบทบาทของอาหิรัณย์นัก ไม่แน่ใจว่าตกลงเขาอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ แต่อาก็เป็นแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว ดูยาก ลึกลับซ่อนคม ตัวเขาไม่เคยเข้าถึง แต่ช่างเถอะ เขามีพี่ไพฑูรย์เป็นพวกก็พอแล้ว
     


     

    ในสตูดิโอถ่ายแบบของเดอะ แฟนซี จิวเวลรี่ มณีทิพย์ นางแบบสาวเบอร์หนึ่งของบริษัท และของเมืองไทย กำลังกำกับการเดินแบบของน้องสาวต่างมารดาที่ฝึกหัดเดินบนเวทีอยู่อย่างงกๆ เงิ่นๆ ประหม่า และกังวล จนน่ารำคาญเป็นที่สุด เอ็ดตะโรดังลั่นจนพนักงานที่ทำงานอยู่ในห้องนั้นหันมามอง

    “เอาอีกแล้ว ชักเบื่อแล้วนะ สอนเท่าไหร่ไม่รู้จักจำสักที”

    พลอยไพลินชะงัก หันมามองอย่างเกรงๆ ด้วยไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด โกเมนที่ยืนกอดอกดูอยู่อย่างชื่นชม หันมาถาม

    “พี่มณี น้องพลอยทำอะไรผิดอีกล่ะ”

    “ผิดไปหมดนั่นแหละ ทั้งท่าเดิน ทั้งสีหน้า เดินแบบนะไม่ใช่เดินทหาร เดินยังกะหุ่นยนต์ แข็งทื่อยังกะผีดิบ ไม่มีจริตจะก้านเอาเสียเลย หน้าตาก็เหมือนกัน ทำหน้ายังกะคนไม่ได้ถ่าย ซีดเซียวป่วยเป็นโรคร้ายอย่างนั้นแหละ”

    “แต่ผมว่า น้องพลอยเดินดีแล้วนะ แค่ยังประหม่าอยู่บ้างเท่านั้นเอง”

    โกเมนเถียงแทนอย่างรำคาญ ในความอคติและเข้มงวดเกินไปของพี่สาว มณีทิพย์หันมาตวาด

    “ดีกะผีน่ะสิ ดรัมเมเยอร์ม. ต้น ยังเดินสวยกว่านี้อีก ฉันล่ะเบื่อจริงๆ ขี้เกียจฝึกแล้ว หัดเดินเองละกัน”

    พลอยไพลินมองพี่สาวที่เดินฉับๆ จากไปอย่างไม่ใยดี พวกพนักงานหันมาซุบซิบนินทากันจนรู้สึกอับอาย โกเมนเห็นหน้าน้องสาวต่างมารดาแล้ว ให้รู้สึกสงสาร เดินเข้ามาตบไหล่ปลอบใจ

    “อย่าไปใส่ใจเลยน้องพลอย รู้อยู่แล้วว่าพี่มณีเป็นคนยังไง อย่ากดดันตัวเองนะ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น”

    สาวงามที่สวยหวานแต่หน้าเศร้าพยักหน้านิดหนึ่ง ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้ดีที่สุด เพื่อบริษัทของตนเอง

    © themybutter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×