ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก...อัญมณี

    ลำดับตอนที่ #7 : ร่ายคาถาอาคม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 317
      4
      26 พ.ค. 59

     

     

    ณ หมู่บ้านผาแดง แม่บัวหิ้วหูหม้อผักต้มจากในครัวเดินออกมาหน้าบ้าน เพชรกล้าที่กำลังดูหม้อแกงที่ตั้งอยู่บนเตาถ่านอยู่ รีบเข้ามายกแทน

    “แม่ครับ ระวังนะ มันร้อน มา ผมยกให้ดีกว่า”

    เมื่อนำมาวางบนโต๊ะไม้ไผ่หน้าบ้านแล้ว เขาก็ตักผักใส่ชาม พร้อมตักแกงมาวางไว้บนโต๊ะ กับข้าวสองสามอย่าง มีปลาทูทอด น้ำพริกผักจิ้ม ก็เป็นอาหารอันโอชะของสองแม่ลูกแล้ว

    “กินแต่แบบเดิมๆ ลูกเบื่อไหม เพชร แม่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ช่วงนี้ตลาดไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆ เลย”

    “ไม่เบื่อหรอกครับ แค่นี้ก็อิ่มและอร่อยแล้ว เราอยู่ในที่กันดาร แห้งแล้ง แค่มีน้ำกับไฟใช้ ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เรื่องอาหารช่างมันเถอะครับ”

    “ลูกต้องมาลำบากเพราะแม่”

    แม่บัวพึมพำเสียงเศร้าอย่างสงสาร เพชรกล้าสบตา ยิ้มอ่อนโยน

    “ลำบากกับแม่ก็สมควรแล้วนี่ครับ ได้ลำบากพร้อมแม่ ผมถือว่ามันเป็นบุญนะ”

    “ลูกควรจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้ ถ้าเกิดว่า... เอ่อ ปีนี้ลูกอายุเท่าไหร่นะ”

    “ยี่สิบสามครับ”

    “โอ โตจนป่านนี้แล้ว ลูกจบแค่ม.6 แม่เป็นห่วงจริงๆ แม่อยากให้ลูกเรียนต่อมหาลัยในเมืองจัง”

    เพชรกล้าชะงัก ถือช้อนที่กำลังจะเข้าปากค้าง มองมารดาอย่างกังวล

    “แม่... แม่มีเงินหรือครับ”

    “แม่จะพยายามทำงานให้หนักขึ้น แล้วก็...ไปกู้ยืมมาบ้าง ส่งเป็นค่าเรียนให้ลูกก็คงพอได้”

    แม่บัวพูดอย่างกระตือรือร้น มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะให้ลูกชายได้มีอนาคตสูงๆ แต่เพชรกล้าถอนหายใจ ส่ายหน้า ยิ้มบางๆ

    “แม่ครับ ผมก็อยากเรียนนะ แต่...ถ้าต้องให้แม่ไปกู้หนี้ยืมสิน เป็นลูกหนี้เขา ผมขอไม่เรียนดีกว่า การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครได้ใบปริญญาหรอกนะครับ ความรู้ต่างๆ ที่ผมพากเพียรศึกษามา แม้จะไม่มีใบประกาศรับรอง ก็ถือว่าเป็นคนที่เจริญแล้วเหมือนกัน ไม่ใช่คนป่าเถื่อน ไร้การพัฒนา อีกอย่าง ผมชอบอยู่ที่นี่ ปลูกผักและสวนดอกไม้ หาของป่า ใช้ชีวิตชนบทแบบพอเพียง มันคือความสุขสงบ ผมไม่อยากดิ้นรนไปไหนแล้วล่ะครับแม่”

    คำตอบของเพชรกล้า ทำให้แม่บัวยิ้มอย่างยินดีและชื่นใจ ที่มีบุตรชายแสนดีอย่างนี้ ชีวิตของนางยังจะต้องการสิ่งใดอีกเล่า...
     


     

    “จะไม่ไปด้วยกันจริงๆ หรือ”

    เพชรกล้าถามย้ำปิญชาน์อีกรอบ เมื่อหิ้วกระบุงใส่ธนูขึ้นสะพายหลัง หล่อนส่ายศีรษะ หน้าซึมๆ

    “ไม่ล่ะ กลัวเห็นทองกล้าแล้วทำใจไม่ได้ หิ้วมันกลับมาเลี้ยงต่อ”

    “วางใจเถอะ ฉันจะหาทางให้พวกพรานเลิกล่ามัน ถ้ามันไม่เข้ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ก็คงไม่เป็นไร”

    “เพชรเก๊ ดูนี่สิ...”

    หล่อนลังเล ก่อนจะถลกแขนเสื้อให้เขาดู บนผิวเนื้อของปิญชาน์ปรากฏรอยบวมแดงเป็นจ้ำขึ้นหลายจุด เพชรกล้าอุทานอย่างตกใจ หล่อนอธิบายเสียงอึกอัก อย่างไม่ค่อยกล้าพูด

    “ฉันไม่เคยร่ายมนต์ใส่อซูไรท์ พอร่ายคาถาไปแล้วกลับคลายมนต์สะกดไม่ออก ตอนเรียกฝูงผึ้งเมื่อเช้า มันเลยเข้าโจมตี ดีที่ใช้อาคมขับไล่มันไปได้ วานส่งให้หลวงปู่ ช่วยถอนอาคมออกให้หน่อยสิ”

    บอกอ้อนวอนพร้อมกับถอดสร้อยคอเม็ดกลมสีน้ำเงินปนฟ้าใส่ในมือเขา ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่สบายใจ

    “เรียนผูกแต่ไม่เรียนแก้ บอกแล้วว่าอาคมนั้นฤทธิ์ร้าย ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้เด็ดขาด อันตรายจริงๆ นะ เอาเถอะ จะช่วยขอหลวงปู่ให้ คราวหลังระวังหน่อยล่ะ”

    ปิญชาน์ยิ้มจืดๆ เพชรกล้าเดินจากไป โดยไม่รู้ตัวว่ามีสาวสวยคนหนึ่งแอบซุ่มมองพวกเขาอยู่ไกลๆ 
     


     

    เพียงก้าวเท้าเข้ามาในป่า ชายหนุ่มก็รู้สึกตัวทันทีว่ามีคนสะกดรอยตาม ด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบไวดุจพรานป่าเจนจัด เขาไม่ต้องหันไปก็พอเดาได้ไม่ยาก ภายนอกจึงแกล้งเดินเป็นปกติ คิดวิธีรับมือ...

    ฉึก!

    ธนูดอกหนึ่ง พุ่งดุจจรวดผ่านหน้าเข้าไปนิดเดียวปักกับต้นไม้ใหญ่ เพชรกล้าชะงักกึก ใจหายวาบ

    “อ้าว เพชรเองหรอกรึ ตกใจหมดเลย ปะโธ่ นึกว่าเสือ ย่องมาซะเบาเชียว เกือบไปซะแล้ว”

    พรานม่อง ที่เคยเข้าไปช่วยพรานมิ่งจากเสือ เดินถือด้ามธนูออกมา พร้อมพรานเดชอีกคน

    “อ๋อ ขอโทษที ไม่ได้ย่องหรอกครับ ผมเดินเบาเป็นปกติอยู่แล้ว พี่ม่องกับพี่เดช มาล่าสัตว์หรือครับ”

    เพชรกล้าถามยิ้มๆ ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองอะไร พรานป่าพวกนี้ฝีมือดี เมื่อครู่ก็เพียงยิงไล่เท่านั้น

    “ล่าเสือน่ะสิ! พรานมิ่งไปรักษาตัวในเมือง เราเลยต้องชำระแค้นแทน ว่าแต่นายเข้ามาทำอะไรในป่าลึกแบบนี้ ตั้งแต่มีเสืออาลวาท ทางหมู่บ้านก็ติดประกาศห้ามรุกล้ำเกินเชือกแดงที่ผูกไว้นะ นายข้ามเขตมาแล้ว”

    พรานเดชถามอย่างสงสัย และเตือนด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มยิ้ม แก้ต่างไม่ยาก

    “อ๋อ ผมมาหาสมุนไพรใหม่ๆ เอาไว้ให้หมอไทยใช้รักษาโรคคนป่วยในหมู่บ้านเราน่ะพี่”

    “นายนี่ ขยันเสมอเลยนะ แต่...ไม่ค่อยดีมั้ง มีเสืออาลวาทแบบนี้...”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ฝีมือธนูผมพอใช้ได้ แถมวิชาต่อสู้ก็มี ว่าแต่หาร่องรอยเสือร้ายเจอรึยังครับ”

    “ยังเลย หามาหลายวันแล้ว ไม่พบแม้แต่เงา”

    “มันคงจะหนี หรือย้ายไปอยู่ป่าแถบอื่นแล้วล่ะ ถ้ามันไม่มารุกรานเรา ก็ปล่อยมันไปเถอะครับ”

    เพชรกล้าพูดเกลี้ยกล่อมพรานทั้งสอง ผู้เป็นตัวแทนของหมู่บ้านในการออกล่าเสือครั้งนี้อีกพักใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มใจอ่อน ยุติการล่าเสือไว้ก่อน แล้วกลับออกจากป่าไป ชายหนุ่มยิ้มโล่งอก เดินลึกต่อไปเรื่อยๆ แสร้งเด็ดดอกไม้ ต้นพืชแปลกๆ ตามรายทางใส่ไว้ในกระบุงด้านหลัง ปิณฑิราที่แอบมองอยู่ รู้สึกขัดใจ พึมพำอย่างหงุดหงิด

    “ที่แท้ก็มาหาสมุนไพร เสียเวลาจริงๆ”
     


     

    ในกระท่อมเล็กๆ ห่างไกลจากหมู่บ้านออกมาหน่อย ด้านในเต็มไปด้วยธูปเทียน เครื่องราง ตุ๊กตาผี และตุ๊กตาเสียกบาล รูปปั้นประหลาดๆ ผ้ายันต์อาคม ของใช้ที่เป็นเครื่องประกอบพิธีทำอาคมคุณไสย ซึ่งล้วนเป็นไสยศาสตร์ทางสายดำทั้งสิ้น ใต้แสงเทียนแวววาว ปิญชาน์หยิบหุ่นขี้ผึ้งที่สลักชื่อคนไว้บนนั้นขึ้นมา จ้องมองด้วยสายตาเคียดแค้น ดุดัน  ก่อนจะหลับตา นั่งทำสมาธิ เพ่งกระแสจิต เปิดญาณสัมผัสด้านมืด ก่อนสวดคาถาสาปแช่งรัวเร็ว... เสียงพึมพำประหลาด ฟังแล้วน่าขนลุกขนพอง สยองเกล้ายิ่งนัก

    อีกด้านหนึ่ง ในเมืองศิวิไลซ์ วิศาลกำลังเดินลงบันไดหน้าตึกบริษัทมา ฉับพลันนั้น! ก็ทรุดฮวบลงกับพื้น ยกมือกุมหัวเข่า ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด พลอยไพลินที่อยู่ในตึกมองเห็น รีบวิ่งออกมา ประคองพ่อ ถามละล่ำละลักอย่างตกใจ

    “คุณพ่อ... เป็นอะไรคะ พี่มณี พี่โกเมน มาดูพ่อเร็ว...”

    มณีทิพย์ กับโกเมนวิ่งออกมา ร้องถาม และจับตัวพ่อที่ดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว

    “คุณพ่อ... เป็นอะไรครับ พ่อ...”

    “โอย! เจ็บเหลือเกิน ช่วยด้วย พ่อเจ็บ!

    ในกระท่อม หุ่นขี้ผึ้งของปิญชาน์ มีเข็มปักไว้บนหัวเข่าด้านขวาหนึ่งอัน หล่อนหยิบเข็มลนเทียนขึ้นมาอีกอันหนึ่ง เตรียมจะปักลงที่หัวเข่าด้านซ้าย ประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง หญิงสาวเงยหน้า มองตะลึง!

    “มีวิชาอาคมพอตัวนี่ มิน่า...ถึงตบตาอซูไรท์จากฉันได้!

    ปิณฑิราพูดเสียงเครียด จ้องหล่อนเขม็งด้วยแววตาดุดันน่ากลัว ปิญชาน์ร้องอย่างเหลืออด

    “เป็นหมารึไง กัดไม่ปล่อยเลย!

    ด่าเพียงแค่นั้น ก็กระโจนพรวดออกทางหน้าต่าง วิ่งหนีเข้าไปในป่าทันที ปิณฑิราร้อง

    “อย่าหนีนะ”

    หันมาคลายมนต์คุณไสยหุ่นอาคมด้วยอิทธิฤทธิ์อัญมณีของหล่อนก่อน แล้วรีบไล่ตามไป

    “คุณพ่อ เป็นยังไงบ้างคะ

    พลอยไพลินประคองบิดา ที่ลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว เหงื่อโทรมเต็มตัว หลังจากความเจ็บปวดมลายหายไป

    “ค...ค่อยยังชั่วแล้ว ไม่เจ็บแล้วล่ะ”

    “ผมว่า พ่อหาหมอตรวจหน่อยดีกว่านะครับ ช่วงหลังมานี้ พ่อเจ็บแบบนี้บ่อยๆ เลยนะ”

    โกเมนพูดอย่างเป็นห่วง พลอยไพลินพยักหน้าเห็นด้วย วิศาลยิ้มฝืนๆ ปลอบใจลูกๆ ให้คลายกังวล ว่าไม่เป็นอะไร แต่เมื่อเข้ามานั่งในรถแล้ว เอามือกุมหัวเข่าอย่างเจ็บแค้น ใบหน้าทั้งเครียด และโกรธจัด

    “ฮึ่ม ใครกันแน่นะ หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว!


     

    “หยุดนะ อย่าหนี”

    ปิณฑิราวิ่งตามปิญชาน์เข้ามาในป่า สาวน้อยนักอาคมรู้ว่าหนีไม่รอดแน่ จึงหันกลับมาเผชิญหน้า ตะคอกหน้าเขียว

    “เธอนี่ เป็นบ้าอะไรหา วิ่งไล่จับคนอื่นเขาอยู่ได้ ไม่มีงานทำรึไง”

    ปิณฑิราจ้องเขม็ง ดวงตามีโทสะ

    “เธอใช้เวทมนตร์คุณไสยทำร้ายคน แถมร่ายอาคมใส่อัญมณีบริสุทธิ์ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”

    “นึกว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าหรือ ฉันฝึกอาคมไปหนักหัวอะไรเธอ”

    “ฉันเป็นนักฝึกอัญมณีบริสุทธิ์ จะไม่ยอมปล่อยคนชั่วที่ฝึกไสยดำ แล้วใช้พลังของอัญมณีไปพร้อมๆ กันด้วยแน่ ส่งอซูไรท์มา”

    หล่อนแบมือออก สั่งน้ำเสียงเอาจริง

    “พูดไปพูดมา ก็จะแย่งอัญมณีคนอื่นเขา น่าไม่อาย”

    ปิญชาน์ต่อปากต่อคำเพื่อถ่วงเวลา ใจเต้นตึกตัก เพราะไม่รู้ว่า “เขา” จะกลับมาทันเวลารึเปล่า

    “เธอมีคุณสมบัติอะไรครอบครองมัน”

    “ชะ อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยข่มขู่ แย่งชิงมันมาจากใครเหมือนเธอก็แล้วกัน”

    “คนที่เป็น “มาร” อย่างเธอ ไม่มีสิทธิ์ใช้ของศักดิ์สิทธิ์ทางธรรมอย่างอัญมณี”

    ปิญชาน์ตาลุกวาว กำมือแน่น โมโหจนแทบกรีดร้อง ตวาดสวนกลับ

    “เธอน่ะสิ มาร!

    “คนฝึกไสยศาสตร์มนต์ดำ ที่บ้านฉันเขาเรียกว่า มาร!

    “คนหน้าด้าน ไร้ยางอาย ที่ชอบตามกัดคนอื่น แถวบ้านฉัน เขาเรียกว่า หมา!

    ปิณฑิรากำมือแน่น ชักจะหมดความอดทนกับนางมารร้ายตรงหน้าเต็มที บัดนั้นเอง เงาหนึ่งเดินเข้ามาในบริเวณช้าๆ เพชรกล้าที่กลับมาจากในป่าชะงักกึก มองภาพหญิงสาวสองคนประจันหน้ากันอย่างตกใจ

    “ทำไม? จะใช้พลังจิตเหรอ นึกว่ามีแฟนซี ไดมอนด์ แล้วจะข่มขู่คุกคามคนอื่นได้ง่ายๆ รึไง ฉันไม่กลัวเธอหรอก แน่จริงลองใช้ดูสิ ฉันจะเรียกชาวบ้านมาช่วยกันจับปีศาจไปย่างไฟ พวกเขาต้องเห็นเธอเป็นอมนุษย์แน่”

    ปิณฑิราพรวดเข้ามาถึงตัว กระชากแขนปิญชาน์อย่างแรง บีบเค้นจนกระดูกแทบหัก

    “กับคนอย่างเธอ ไม่ต้องถึงพลังจิตหรอก...”

    “คุณปิณฑิรา อย่าครับ!

    แม้ใบหน้าจะบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ปิญชาน์ก็ยิ้มออกมาได้ เมื่อสวรรค์ส่งเขามาช่วยหล่อนเสียที

    “โอย...เพชรเก๊ ช่วยฉันด้วย เขาจะฆ่าฉัน”

    “ปล่อยปิญชาน์เถอะครับ มีอะไรค่อยๆ คุยกันได้ไหม”

    เพชรกล้าขอร้องเสียงนุ่มนวลที่สุด แต่หญิงสาวหันขวับมาตวาดเขาอย่างโกรธจัดพอกัน

    “นายก็อีกคน! เจ้าเล่ห์กลอกกลิ้งดีนัก ไว้ฉันจัดการยัยนี่ก่อน ค่อยคิดบัญชีกับนาย”

    “นี่มันเรื่องอะไรกัน คุยกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้กำลังเลย”

    เพชรกล้าพูดเสียงห้วน เริ่มจะไม่สบอารมณ์บ้างเหมือนกัน เขาพยายามใจเย็นกับหล่อน ถนอมน้ำใจ ให้เกียรติและเป็นมิตรเสมอมา หล่อนกลับรุนแรงก้าวร้าว และอารมณ์ร้อนใส่เขาไม่ยั้ง ตั้งท่าเหมือนจะเป็นศัตรูให้ได้

    “ถูกจับได้ ลายออกแล้วล่ะสิ เผยธาตุแท้แล้วใช่ไหม นายกับปิญชาน์เป็นพวกไสยมารด้วยกันทั้งคู่”

    ปิณฑิรารู้สึกผิดหวัง เมื่อเห็นเขาหงุดหงิดกับหล่อน พอได้ยินคำว่า “ไสยมาร” เพชรกล้าก็เข้าใจในบันดล ถอนใจลึก จ้องหน้าปิญชาน์ที่ก้มหน้างุดอย่างเกรงๆ ชายหนุ่มรู้สึกปวดหัวกับปัญหาของเพื่อนสาวจริงๆ

    “เอาล่ะ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมว่า...เรามานั่งคุยกันดีๆ ดีกว่าครับ พวกผมไม่เคยคิดร้ายกับคุณเลยนะ ปล่อยปิญชาน์เถอะครับ แล้วผมจะค่อยๆ อธิบายให้คุณฟัง”

    เขายื่นมือมาจับแขนหล่อน หวังจะโน้มน้าวให้ใจอ่อน หากแต่หญิงสาวตกใจ นึกว่าเขาจะลงมือ เลยเผลอใช้พลังจิต ผลักเขาลอยพุ่งไปชนต้นไม้ใหญ่ดัง ปึก! ก่อนร่างร่วงหล่นลงมากระแทกกับพื้นซ้ำ คว่ำกองหมอบราบอยู่ตรงนั้น ปิณฑิราใจหายวาบ แต่ปิญชาน์ใจหายกว่า ดิ้นสลัดหลุดจากจากการคร่ากุม วิ่งไปประคองเขาขึ้นมา เพชรกล้าหน้าเหยเก ยกมือกุมท้อง จุกจนพูดไม่ออก

    “เพชรเก๊ เพชรเก๊ เป็นไงบ้าง นี่ ทำไมโดนเขาผลักออกมาได้ล่ะ ฮอว์ค อาย สู้ไม่ได้เหรอ!

    ประโยคหลังหล่อนกระซิบถามอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มส่ายหน้า กระซิบตอบ

    “ฉันไม่ได้พกมา”

    “นี่ เธอทำเกินไปแล้วนะ จะฆ่าพวกเรารึไง”

    ปิญชาน์ยืนขึ้น ตวาดลั่นด้วยอารมณ์โกรธดุเดือด เพชรกล้าค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองหล่อนอย่างวิงวอน ปิณฑิรายืนอึ้ง

    “ฉันแค่ต้องการอซูไรท์ ไม่ได้คิดฆ่าใคร”

    “ฟังผมก่อนนะ คุณปิณฑิรา ผมรู้ว่า อซูไรท์ คืออัญมณีบริสุทธิ์ และผมได้นำมันกลับคืนสู่ป่าแล้ว ผมสัญญาว่าจะไม่ครอบครองมันนานไปอย่างเด็ดขาด เราไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของอัญมณีศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ ผมรู้ดี คุณวางใจได้ ส่วน...อาคมของปิญชาน์ ผมรู้ว่า ไสยดำนั้นเป็นทางผิด แต่เธอแค่ฝึกไว้ใช้ป้องกันตัว ไม่ได้ทำร้ายใคร”

    “เหอะ ไม่ทำร้ายใคร เมื่อกี้นี้เธอเพิ่งใช้หุ่นขี้ผึ้งฆ่าคนไปหยกๆ”

    เพชรกล้าตะลึงวูบ หันขวับมาจ้องหน้าเพื่อนสาว ถามเสียงเข้ม

    “ปิญชาน์ เธอฆ่าคนหรือ!

    “บ้า! ไม่ดูให้ดีแล้วมาพูดมั่ว แค่ทำร้ายเท่านั้น ฆ่าที่ไหนเล่า”

    “เริ่มจากทำร้าย สุดท้ายก็ฆ่า วัฏจักรของพวกฝึกไสยมาร เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น”

    ปิณฑิราดักคออย่างรู้เท่าทัน ปิญชาน์จ้องหล่อนตาเขียวขุ่น แทบอยากจะตัดลิ้นออกมาเฉือนนัก

    “บอกว่าไม่ฆ่า ก็ไม่ฆ่าสิ คนที่ฉันอยากฆ่ามีแค่คนเดียวเท่านั้น คือ เธอนั่นแหละ”

    “ฉันไม่ไว้ใจ ต้องสลายอาคมของเธอก่อน!

    ปิณฑิราสืบเท้าเข้าหา สาวนักฝึกไสยดำถอยหลังกรูด เพชรกล้าขยับตัวมาขวางไว้ พูดน้ำเสียงจริงจัง

    “เอาอย่างนี้ดีไหม คุณปิณฑิรา ผมจะพาคุณไปพบหลวงปู่นิลตามที่คุณต้องการ แลกกับการที่คุณไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย และไม่แตะต้องพวกเรา แล้วผมจะพาคุณไปพบกับคนที่คุณตามหา”

    หญิงสาวเบิกตากว้าง อุทานลั่น 

    “ไหนบอกว่าไม่รู้จัก!

    “ตะคอกอยู่ได้ ยิ่งใหญ่นักรึ นึกว่ามีพลังจิต แล้วเจ๋งกว่าคนอื่นรึไง”

    “ปิญชาน์ หุบปาก!!

    เสียงเข้มของเขา ทำเอาสาวน้อยนักอาคมเงียบกริบในบันดล เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นเขาเครียดขรึมเอาจริงขนาดนี้ ดูน่าเกรงขามใช่หยอก เพชรกล้าระบายลมหายใจยาว ปัญหาอันใดก็ไม่วุ่นวายเท่า...อารมณ์ของอิสตรี!

    “คุณปิณฑิรา เรามาทำข้อตกลงกัน ผมจะพาคุณไปพบหลวงปู่ แต่คุณต้องไม่ยุ่งกับพวกเรา ไม่ว่าเรื่องใดทั้งนั้น ไว้เจอหลวงปู่นิลเมื่อไหร่ คุณจะเข้าใจทุกอย่างเอง ทั้งเรื่อง อซูไรท์ และเรื่องของผมด้วย ตกลงไหม”

    ปิณฑิรามองเขาอย่างชั่งใจ ความเยือกเย็น น่าเชื่อถือของเขา ละลายความร้อนแรงของฤทธิ์โทสะลงได้ ถึงกระนั้นก็มิวายถามอย่างลองเชิง

    “ทำไมฉันต้องพึ่งพานาย?”

    “คุณต้องพึ่งผมแน่ เพราะผมเป็นคนเดียวที่รู้ว่าหลวงปู่นิลอยู่ที่ไหน และในป่านั้น ทั้งลึกลับซับซ้อน และอันตราย ถ้าไม่มีผมนำทาง คุณอย่าหวังว่าจะเข้าไปแล้วหาพบ โชคร้ายอาจเจอกับเภทภัยระหว่างทางก่อน จนถึงกับชีวิตดับสิ้นได้”

    ในเมื่อปราศจากทางเลือกอื่น นักฝึกอัญมณีอย่างหล่อนจึงจำต้องรับปาก
     


     

    “นี่ เพชรเก๊ โกรธฉันเหรอ...”

    ปิญชาน์ถามอย่างใจคอไม่ดี ช่วงกลางดึกหลังรับประทานอาหารที่บ้านของเขาเสร็จ เขาก็เดินมาส่งหล่อน แต่หลังจากที่กลับมาจากในป่าเมื่อตอนบ่ายนั้น เขาเงียบขรึม และไม่พูดจาสักคำเดียว จนหล่อนนึกกลัวขึ้นมา

    “ก็น่าอยู่หรอก ฉันมันไม่ดีนี่ ทั้งโง่ทั้งสะเพร่าสารพัดจนถูกเขาจับได้หลายหน ใส่อซูไรท์ ทำให้รู้ว่าพูดกับสัตว์ได้ แล้วยังใช้อาคม จนถูกจับได้อีก ฉันมันตัวหาเรื่องให้นายจริงๆ”

    สาวน้อยด่าตัวเองเพื่อหวังว่าเขาจะหายเคืองขุ่น แอบเหล่นิดหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าเขายังนิ่ง เลยยอสักหน่อย

    “แหม แต่นายนี่ก็ฉลาดเกินคนนะ ดีที่ตอนนั้นไม่ใส่ฮอว์คอายติดตัว ไม่งั้นถูกจับได้อีกคนแน่ๆ”

    “เห็นปิณฑิราอยู่กับเธอแล้ว ฉันเดาได้เลยว่าต้องเกิดเรื่อง เฮ้อ! อยู่มายี่สิบกว่าปี เพิ่งจะเจอคนใช้พลังเหมือนกัน แต่กลับเป็นผู้หญิงเข้าใจยาก ทำตัวลึกลับ ใจร้อนมุทะลุ เอะอะก็จะใช้กำลัง”

    เพชรกล้าถอนใจอย่างรู้สึกผิดหวัง ปิญชาน์พยักหน้าเห็นด้วย

    “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ทำตัวเหมือนโจรไม่มีผิด เอ่อ แล้วนายจะพาเขาไปพบหลวงปู่จริงเหรอ”

    “ไม่หรอก ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าจะช่วยเธอยังไงดี ก็เลยหลุดปากไป”

    “ฮ้า! แล้วจะทำยังไงดีล่ะ ขืนเบี้ยว แม่ฆ่าตายแน่”

    “ก็คงต้องพาไป แต่...คงไม่พบหลวงปู่”

    ชายหนุ่มพึมพำ ด้วยสีหน้ากังวล คิดหนักว่าจะเอาอย่างไรดี ปิญชาน์กลับยิ้มเหี้ยมๆ 

    “ดี ไม่เห็นจะยากเลย ป่านั้นพวกเราคุ้นเคยเป็นอย่างดี ล่อเข้าไปลึกๆ จัดการฆ่าซะก็หมดเรื่อง!

    “บ้าเหรอ! อยู่ดีๆ จะฆ่าคนทำไม”

    เพชรกล้าสะดุ้ง หันขวับมาจ้องหน้า ร้องอย่างตกใจ ปิญชาน์หน้าตาตื่น

    “อ้าว ขืนปล่อยไว้ เธอก็จะเอาอซูไรท์ของฉันไป ทำลายพลังอาคมฉัน แถมถ้าจับได้ว่านายมีพลัง ก็คงจะเอาฮอว์คอายของนายไปด้วยแน่ๆ เลยนะ”

    เพชรกล้าส่ายหัวอย่างระอา ไม่รู้จะเคืองโกรธ หรือขำขันกับความคิดของเพื่อนสาวดี

    “ปิญชาน์ เขาเป็นนักฝึกอัญมณีนะ ไม่ใช่นักล่าอัญมณี! ถ้าเขาคิดจะช่วงชิงของจากเราแค่นั้น จะพูดพร่ำกับเราทำไมให้มากความ ฆ่าเราทิ้ง ชิงไปซะก็หมดเรื่องแล้ว เธอก็อย่ามองเขาในแง่ร้ายนักเลย”

    “ไม่รู้ล่ะ ถ้าจะเอาอซูไรท์ หรือทำลายพลังคาถาของฉัน ข้ามศพฉันไปก่อน! เออ แล้วอซูไรท์ล่ะ?

    หล่อนนึกขึ้นได้ แบมือต่อหน้าเขา ชายหนุ่มถอนใจนิดหนึ่ง เงยหน้ามองดวงจันทร์ แล้วส่ายหน้า

    “วันนี้ฉันไม่ได้ไป คุณปิณฑิราสะกดรอยตามมา อซูไรท์ของเธอเลยยังติดคุณไสยอยู่ ใช้ไม่ได้แล้วล่ะ”

    “ฮ้า! ยัยปิณฑิรา ยัยบ้าเอ๊ย เกลียดจะตายอยู่แล้ว อยากเรียกทองกล้ามากัดให้ตายนัก”

    ปิญชาน์ขยี้เท้าอย่างเจ็บใจสุดขีด พอพูดคำว่า “ตาย” อีกครั้ง เพชรกล้าเลยนึกขึ้นได้ ถามเสียงกร้าว

    “ปิญชาน์ วันนี้เธอใช้อาคมทำร้ายคนหรือ

    “เอ่อ...”

    สาวน้อยกระอึกกระอัก หลบสายตา ชายหนุ่มจ้องเขม็ง พอเห็นท่าทีหล่อนก็กังวลใจขึ้นมา

    “ไหนบอกว่าจะเอาไว้ใช้ป้องกันตัว? หลวงปู่ก็บอกแล้ว คาถาอาคมที่เธอฝึกเป็นสายมาร ถ้าเธอใช้อัญมณีบริสุทธิ์ก็ไม่ควรจะฝึกมัน มันจะทำลายธาตุอัญมณีให้เปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างให้เห็นก็ อซูไรท์ ไง ความจริงอัญมณีระดับสูงอย่าง อซูไรท์ ไม่น่าจะต้องอาคมใดๆ ได้ แต่เธอก็ทำได้ แสดงให้เห็นว่า พลังอาคมของเธอสูงมาก ขณะที่พลังของอซูไรท์อ่อนลง ถ้ายังเห็นภาพไม่ชัด ก็นึกถึงตอนที่เธอเรียกเจ้าทองกล้ากลับเข้าป่าสิ เห็นท่าทีและแววตาของมันรึเปล่า เหมือนไม่ค่อยจะเชื่อฟังเธอแล้ว ตอนนั้นฉันก็นึกเอะใจขึ้นมา ว่าต่อไปเธออาจคุมมันไม่อยู่ พลังด้านบวกกับด้านลบน่ะเข้ากันไม่ได้ จะขัดแย้งและโจมตีกันเอง หากพลังหนึ่งชนะก็จะครอบงำพลังอีกฝ่าย ตอนที่เธอขอตัวไปห้องน้ำ ฉันก็รู้แล้วว่า เธอต้องใช้อาคมสะกดอซูไรท์ ฉันกลัวว่าเธอจะทำไม่สำเร็จ จึงตามไป แต่พอเธอทำสำเร็จ ฉันกลับใจหาย มันไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจเลยนะ เพราะเราอยู่ฝ่ายอัญมณีบริสุทธิ์ ไม่ใช่ไสยมาร"

    ชายหนุ่มพูดจายาวเหยียด เพื่อหวังกล่อมเพื่อนสาวไม่ให้ฝักใฝ่ในไสยศาสตร์มนต์ดำมากนัก จนละเลยความสำคัญของอัญมณีวิเศษที่พกพาอยู่ ปิญชาน์หน้าเจื่อน ยิ้มจืดๆ กร่อยไปถนัด รีบให้คำมั่นสัญญากับเขา

    “รู้แล้ว รู้แล้ว ก็ไม่ได้จะใช้ตลอดไปนี่นา ยังไงฉันก็เลือกอัญมณีอยู่แล้วล่ะ"

    © themybutter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×