ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ยอดขุนศึกสะท้านปฐพี 2

    ลำดับตอนที่ #9 : ความขมขื่น และการเดิมพัน

    • อัปเดตล่าสุด 31 ส.ค. 66





     

     


     

         

                   ร่างศพเดินได้ของหยางซื่อหลาง ลงบันไดมายังห้องใต้ดิน หมิงจูเดินพล่านอยู่อย่างร้อนใจ นึกว่าหัวคงได้หลุดจากบ่ากันคราวนี้แน่ หันมาเห็น เหมือนพระมาโปรด รีบเข้ามาถามหอบๆ


         "คุณชาย หายไปไหนมาคะ ข้าเกือบจะออกไปตามอยู่แล้ว"

         นายน้อยสี่ไม่ตอบ เงียบกริบ มึนชา ทั้งริมฝีปาก สีหน้า และแววตา หย่อนร่างลงนั่งบนแผ่นหิน แล้วล้มตัวลงนอนช้าๆ มือประสานไว้บนท้องตามเดิม ดวงตาเหม่อลอย นิ่งซึม เหมือนตอนเข้ามาทีแรกไม่มีผิด สาวใช้คนเก่งถึงกับงงงันวูบ

         กลับไปยืนประจำตำแหน่งเดิม พลางนึกหาวิธีในใจว่า หากนายน้อยสี่ลุกขึ้นมา ร้องจะออกไปข้างนอกอีก นางควรจัดการอย่างไรดีหนอ

         ใบหน้าของหยางซื่อหลางเอียงไปอีกทาง ตาปิดลง แล้วหยาดน้ำใสก็ไหลรินลงมาต่อเนื่อง กระทบแผ่นหินร้อนฉ่า ก่อนกลายเป็นอากาศธาตุไป!
     


     

         "ซื่อหลาง...ซื่อหลาง..."

         สองชั่วยามผ่านไป หยางซันหลางเดินตามหาน้องชายทั่วบ้านก็ไม่เห็นแม้แต่เงา มาพบหมิงจู ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ในสวน จึงเข้าไปหา

         "หมิงจู..."

         นางหันมา ทักทายด้วยรอยยิ้มแจ่มใส

         "คะ คุณชายสาม มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้"

         "ซื่อหลางล่ะ"

         รอยยิ้มสลายหายวับไปจากใบหน้า ร้องตาโต

         "อ้าว ไม่ได้ไปหาคุณชายสามหรือคะ"

         "เจ้าให้เขานอนครบสองชั่วยามรึเปล่า"

         นายน้อยสามถามเสียงร้อนใจ นางพยักหน้าหลายเที่ยว

         "ครบค่ะ คุณชายสี่ก็เพิ่งออกมาเมื่อกี้ ข้าก็นึกว่าอยู่กับพวกท่านซะอีก"

         งานเลยเข้าแม่ครัวสาวมือเอก ถูกเรียกตัวมาสอบสวนจากคนทั้งบ้าน

         "ซื่อหลางนอนครบสองชั่วยามจริงหรือ"

         ฮูหยินถามก่อน แววตาเคร่งเครียดทุกคู่ ต่างประสานมาที่นาง หมิงจูแทบอยากจะหายตัวไปเสียเดี๋ยวนั้น ...คุณชายสี่นะ คุณชายสี่ ทำกันได้ลงคอ...

         "ค่ะ ครบแน่นอน ข้าน้อยเฝ้าอยู่ในห้องนั้นเลย พอถึงเวลา คุณชายก็ออกมาพร้อมกับข้าน้อย"

         "แล้วพี่สี่บอกว่าจะไปไหนล่ะ"

         นายน้อยเจ็ดซักต่อ 

         "ข้าก็ไม่ได้ถามนะคะ แล้ว...คุณชายสี่ก็ไม่ได้พูดอะไรเลย"

         ทุกคนต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นอีก หยางซื่อหลางจึงหายตัวไปเช่นนี้ คุณชายสามไหวพริบดีที่สุด ฉุกใจคิด แล้วตั้งคำถามมาว่า

         "ตอนพวกเจ้าเข้าไปแล้ว ซื่อหลางได้ออกมาจากห้องบ้างรึเปล่า"

         หมิงจูตะลึงวูบ ...ไม่นะ งานนี้ซวยจริงๆ แน่..

         "เอ่อ..."

         "ออกมาเหรอ!"

         ฮูหยินร้องก้อง ตาโต พรวดลุกขึ้นยืน พี่น้องคนอื่นสบตากันอย่างไม่รู้เรื่อง แต่หยางเยี่ย กับหยางซันหลาง จ้องหน้าเครียดทีเดียว 

         "ค่ะ ตอนยังไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เอ่อ...คุณชายบอกว่าจะเข้าห้องน้ำ แล้วออกมานอกห้องพักหนึ่ง แต่ก็กลับมาเร็วมาก มานอนต่อตามปกติค่ะ"

         ฮูหยินทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ท้อใจจนมิอาจจะพูดอะไรต่อไปแล้ว พวกลูกๆ จ้องใบหน้ามารดา ที่เหมือนจะร้องไห้อย่างแปลกใจ หยางซันหลาง นิ่งขรึม อึ้งไปทีเดียว
     
         "ลูกห้า ลูกหก ลูกเจ็ด"

         หยางเยี่ย ที่ตลอดเวลานั่งหน้านิ่ง ไม่เอ่ยปาก เรียกลูกๆ ทั้งสามเสียงเข้ม

         "ครับ ท่านพ่อ"

         "ออกตามหาซื่อหลาง พบตัวให้พาเขากลับบ้าน"

         "ครับ"

         ลูกทั้งสามรับคำ แล้วเดินออกไปทันที หยางซันหลางฉุกใจคิด ก้าวเข้ามาคำนับบิดา

         "ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าจะไปตามน้องสี่ได้ที่ไหน"

         "เจ้าไม่ต้องไป อยู่วางแผนจัดการโจรกู้ชาติกับพ่อ"

         บิดาบอกปัดเสียงแข็ง 

         "แต่ว่า..."

         "นี่คือคำสั่ง!"

         หยางเอี๋ยนเจาถอนหายใจ ได้แต่น้อมรับ

         "รับบัญชา ท่านแม่ทัพ"
     


     

         ดึกแล้ว บนท้องถนนที่ว่างเปล่า มีบุรุษรูปงามชุดขาว เดินยกไหกรอกเหล้าเข้าปากอย่างเมามัน จนน้ำสุราชั้นดีหกรดใส่อาภรณ์ และกระจายเรี่ยราดตามพื้น ตัวของเขาเซไปเซมา หัวคลอน เดินแทบไม่ตรงทาง อยู่ในอาการเมามายอย่างหนัก

         สถานที่ครึกครื้นสุดยามราตรี อย่างไรก็ต้องเป็นหอโคมแดง ผานเจิ้ง นักเที่ยวสตรีชั้นเลิศ สำเริงสำราญจนอิ่มหนำ แล้วก็เดินออกมา พร้อมกับจางคุน และเหล่าลูกสมุนอีกเป็นโขยง ยืนอยู่หน้าหอ มันขยับเสื้อหรูให้เข้าที่ พลางกระดกไหล่ บอกหยิ่งๆ ว่า 

         "เฮอะ หอหงอี้นี่ นับวันจะมีแต่ราคาคุย บอกว่าเด็กสาวเอ๊าะๆ สวยอย่างนี้ เก่งอย่างนั้น ไม่เห็นจะดีเหมือนปากเล๊ย ยังดีนะ ที่มีน้องชิงถิง กับอี้เฟยอยู่ ไม่งั้น ข้าจะสั่งปิดที่นี่แน่"

         "แหะ แหะ นายน้อยไม่ต้องหงุดหงิด วันหลังข้าน้อยจะพาไปหอเหมยเซียง ที่เพิ่งเปิดใหม่อยู่เมืองข้างๆ นี้เอง สาวเด็ดๆ เพียบ ดีกว่าหอหงอี้สิบเท่า"

         จางคุนรีบทำให้ลูกพี่ใหญ่อารมณ์ดี นายน้อยตระกูลผานหันมาตบบ่ามันแรงๆ ยิ้มกริ่ม

         "อืม...ใช้ได้...ใช้ได้ รู้ใจข้าดี สมเป็นสุนัขเบอร์หนึ่งของข้าจริงๆ นะเนี่ย เจ้าเนี่ย"

         จางคุนแทบยิ้มไม่ออก เมื่อโดนเปรียบเป็นหมา ผานเจิ้งเซ็งแล้ว กำลังคิดจะกลับบ้าน เงาร่างหนึ่งก็โซซัด โซเซมาในความมืด มันต้องหรี่ตามอง เพราะรู้สึกคุ้นๆ พอคนเมานั้น เดินมาถึงหน้าหอหงอี้ ผานเจิ้งก็ตบมือดังฉาดใหญ่ ร้องลั่น

         "อะฮ่า เจอใครไม่เจอ มาเจอคุณชายสี่แห่งตระกูลหยาง ชะ ชะ เมามาเสียด้วย ถูกพ่อเตะตูด ไล่ออกจากบ้านรึไง ฮ้า หยางซื่อหลาง!"

         นายน้อยที่สี่แห่งตระกูลหยาง ที่กลายสภาพเป็นคนเมาจรจัดไปแล้วนั้น ชะงักกึก ยืนตัวโอนเอน หันมาจ้องนาน ก่อนจะจำได้ว่าเป็นใคร ชี้หน้า ร้องยานคางฟังแทบไม่รู้เรื่อง 

         "ผาน...เจิ้ง มา...เที่ยว...ผู้...หญิง...อีกแล้วเหรอ"

         ผานเจิ้งยกมือกอดอก ยิ้มเยาะ ยืนกระดกเท้าอย่างสบายใจเฉิบ 

         "เฮอะ แล้วจะทำไม ชีวิตของข้า ความสุขของข้า หนักหัวอะไรเจ้ามิทราบ ดูตัวเองซะก่อน สภาพเหมือนหมาขี้เรื้อนถูกทอดทิ้งเลย เป็นยังไง ทุกข์ใจเหรอ ปรับทุกข์กับข้าได้นะ เช่นว่า จะปรึกษาเรื่องพ่อไม่รักอ่ะ ทำยังไงดี ฮ่ะ ฮ่ะ"

         เสียงหัวเราะเยาะของผานเจิ้ง ประสานกับพวกสมุนจางคุนจนดังลั่นหน้าหอที่เปิดประตูกว้าง บรรดาหญิงนางโลม และพวกลูกค้า จึงพากันหันมามองอย่างสนใจ  

         "ผานเจิ้ง ชีวิต...ของเจ้า...มานช่างน่ารางเกียจ ร้ายค่าสิ้นดี วันๆ เอาแต่เที่ยว สำราญ ผลาญเงินของตระกูล เที่ยวซ่อง ก่อเรื่อง ชกต่อย เสเพล เจ้ามันต่ำยิ่งกว่าสุนัข ไร้ค่ายิ่งกว่าหมูหมา"

         หยางซื่อหลางระบายอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ ผานเจิ้งเดินมาเผชิญหน้าใกล้ๆ ใช้สายตาเหยียดหยามมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า หากเป็นเวลาปกติ มันคงไม่กล้าทำอย่างนี้ ตอนนี้เป็นโอกาสดี ที่จะได้เอาคืน สั่งสอนที่เคยถูกสยบด้วยวิชาฝีมือ

         "อย่างนั้นเหรอ ถึงข้าจะเสเพล แต่มันก็ชีวิตข้า ข้าไม่ได้ทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย หรืออับอายเหมือนเจ้านี่ หยางซื่อหลาง เจ้าน่ะเป็นถึงลูกหลานขุนศึก ทายาทนักรบตระกูลหยาง แต่ดูสภาพเจ้าสิ คนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง จะว่าเก่งก็เก่งอ่ะนะ แต่เก่งแล้วไง ไปออกรบไม่ได้ เป็นขุนศึกไม่ได้ วันๆ ต้องอยู่แต่บ้าน ทำงานเอกสารเหมือนกับผู้หญิง รู้ไหมทุกคน ว่าเพราะอะไร"

         เยาะเย้ยถากถางตัวต่อตัวไม่สะใจพอ มันหันไปร้องถามพวกหญิงในหอนางโลม ซึ่งทุกคนต่างเกรงกลัวบารมีตระกูลผาน มากกว่าตระกูลหยาง จึงพากันร้องถาม ช่วยสนับสนุนการข่มเหงของผานเจิ้ง

         "อยากรู้ใช่ไหม งั้นข้าจะบอกให้ ก็เพราะว่า หมอนี่มันขี้โรค มันป่วยเป็นโรคประหลาด โรคกลัวแสงจันทรา และอากาศที่หนาวเหน็บ ถูกไม่ได้เชียวนะ โดนลมนิดหน่อย ก็จะต้องร้องโอย...โอย...พ่อจ๋า แม่จ๋า ข้าหนาวจังเลย ข้าจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว ฮ่ะ ฮ่ะ น่าสมเพศไหมล่ะ ใครสมเพศ ช่วยส่งเสียงหน่อย"

         เสียงหัวเราะดังประสานเสียง หยางซื่อหลางรับรู้ถึงการเยาะเย้ย เหยียดหยามนั้น โทสะพวยพุ่งอย่างไม่อาจระงับ ชี้หน้า ตวาดก้อง

         "ผานเจิ้ง เจ้าคนเศษเดน คนอย่างเจ้ามัน...ทุเรศกว่าข้า"

         ผานเจิ้งก็สุดทน ตะคอกดังลั่น 

         "เจ้าน่ะสิทุเรศ หัดดูสารรูปตัวเองซะบ้างว่าอนาจแค่ไหน พ่อก็ทิ้งเจ้า พี่น้องก็ทิ้งเจ้า ไปออกรบกันหมด เจ้าเป็นผู้ชายแท้ๆ ต้องมาช่วยแม่เฝ้าบ้าน หยางซื่อหลาง ข้าว่าเจ้าน่ะ ไปเอากระโปรงผู้หญิงมานุ่งดีกว่า แล้วเปลี่ยนเพศมาเป็นคุณหนูหยางซะ จะได้ไม่อายเขา ฮ่ะ ฮ่ะ"

         "ผานเจิ้ง เจ้ามันไม่ใช่ลูกผู้ชาย เจ้ามันเสียทีที่เกิดมาเป็นประชาชนต้าซ่ง แน่จริง ก็ไปออกรบเซ่ ไอ้ขี้ขลาดตาขาว ไอ้หน้าตัวเมีย เอาแต่สุขสบายอยู่ในบ้าน คนอย่างเจ้ามันหนักแผ่นดิน"

         "หนอย เมาแล้วยังปากดีอีก จัดการมัน!"

         ผานเจิ้งร้องสั่งอย่างเหลืออด จางคุนพาพวกสมุนเข้ารุมทันที ด้วยความเมามาย สติและความฉับไวจึงลดน้อยถอยลง แถมไม่มีกะใจจะสู้ หยางซื่อหลางจึงถูกพวกนักเลงอัด ต่อย ฝ่ายเดียวจนล้มลงไปกองกับพื้น คว่ำหมอบแทบเท้าผานเจิ้ง มันหันไปคว้าไม้จากกองขยะขึ้นมา ง้างขึ้นจะฟาดลงกลางหลัง

         เสียงหวีดร้องของหญิงนางโลม ช่วยให้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา เขากลิ้งตัวกับพื้น หลบไม้ที่ฟาดลงมาเป็นชุดๆ พอมันไม่ยอมหยุด เขาจึงยกเท้าเตะไม้นั้นทั้งนอน จนตัวมันเสียหลักถลาไป เขาลุกพรวดขึ้นมา วิ่งเข้าไปชกต่อยรัวเป็นชุด ด้วยวิชาเพลงหมัดทลายภูผา ปกติผานเจิ้งก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่แล้ว ยามนี้เพิ่มฤทธิ์ของโทสะเข้าไปอีก ทำให้คุณชายตระกูลผานกลายเป็นกระสอบทรายให้ต่อยยับข้างเดียว

         "นั่นไง พี่สี่ พี่สี่...อยู่นั่นเอง"

         น้องห้า น้องหก น้องเจ็ด ตามมาพบเข้า รีบเข้าไปจับตัวพี่ชายแยกออกมาจากการที่กำลังหน้ามืดตามัว รัวหมัดใส่ผานเจิ้งอย่างเมามัน จางคุนรีบเข้าไปดูนายน้อย ที่ล้มลงไปนั่งจุก น่วมไปหมดทั้งตัว 

         "พี่สี่ พอแล้ว พี่สี่ กลับบ้านกันเถอะ"

         หยางฉี่หลางร้อง เขาอาลวาท ดิ้นรนจากการจับตัวของน้องทั้งสาม

         "ปล่อยข้า ปล่อยข้า..."

         "พี่สี่ กลับบ้านได้แล้ว พ่อตามแล้วนะ"

         หยางอู่หลางร้องอีกคน เขายิ่งอาลวาทใหญ่

         "ข้าไม่กลับ ข้าไม่กลับ ข้าเกลียดบ้าน!"

         "พี่สี่ ข้ารู้ว่าท่านเสียใจ แต่พี่สามกลับมาแล้วนะ ท่านอย่าทำตัวแบบนี้สิ กลับบ้านไปหาพี่สามเถอะ"

         ยังเป็นหยางลิ่วหลางเข้าใจพูดกว่าใคร เขย่าตัว ร้องเตือนสติดังๆ พอได้ยินคำว่า "พี่สาม" ท่าทีดิ้นรนขัดขืนอย่างรุนแรง ก็ค่อยๆ บรรเทาลง ยืนหอบหายใจ ดวงตาแดงก่ำ ยกมือกุมสมองที่กำลังสับสน ปั่นป่วน

         "หยางซื่อหลาง เจ้าบังอาจทำร้ายข้า ข้าเป็นถึงลูกชายเสนาใหญ่ คอยดูนะ ข้าจะบอกท่านพ่อให้จัดการเจ้า"

         ผานเจิ้งลุกขึ้นมาได้ ยังประกาศชี้หน้าด้วยความแค้นสุดๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวฟกช้ำ แถมกระอักเลือด

         "ถ้าเจ้าไม่อยากถูกพวกเราตระกูลหยาง รุมทึ้งเนื้อเน่าๆ ก็รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย"

         หยางฉี่หลางตวาด มันเลยหันมาหาคู่ปรับอีกคน

         "หยางฉี่หลาง วันนั้นยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ อย่ามาทำโอหังไป สักวันข้าต้องให้เจ้ามากราบตีนข้าให้ได้"

         "ฝันไปอีกสิบชาติเถอะ"

         หยางลิ่วหลาง กับหยางอู่หลางประคองพี่ชายเดินไปก่อน หยางซื่อหลางยกมือกุมขมับ รู้สึกเวียนหัว มึนงง จนในที่สุดก็ล้มลงไปกองกับพื้น หมดสติ น้องๆ พากันร้องด้วยความตกใจ
     


     

         น้องชายทั้งสามหิ้วปีกพี่ชายที่สลบไสล ไม่ได้สติเพราะฤทธิ์สุรา เข้ามาทางประตูหลังบ้าน เพราะกลัวบิดารู้เข้า ทุกคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว ประคองไปนอนในห้อง หยางอู่หลางมองซ้ายขวา สำรวจว่าไม่มีใครเห็นแล้ว ก็ปิดประตู น้องทั้งสามมานั่งล้อมวงข้างเตียง ปรับทุกข์กัน

         "เฮ้อ สงสารพี่สี่จริงๆ เลย มีความทุกข์ก็ไประบายกับเหล้า"

         หยางฉี่หลางพึมพำ เอามือบีบนวดขาพี่ชายที่นอนราบอยู่

         "ข้าไม่เคยเห็นพี่สี่ ดื่มหนักจนเมามายขนาดนี้มาก่อน แปลว่า ต้องสุดจะทนแล้วจริงๆ"

         หยางลิ่วหลางพึมพำอย่างเข้าใจ พร้อมกับห่มผ้าห่มให้

         "พี่สี่คงช้ำใจเรื่องเพลงทวนตระกูลหยางนั่นแหละ เรื่องอะไรพี่สี่ก็ทนได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ เฮ้อ มันก็เกินจะรับไหวจริงๆ นะ"

         หยางอู่หลางพึมพำหน้าสลด

         "พี่ห้า ถ้าเป็นพี่น่ะ จะทำอย่างไรเหรอ"

         น้องหกถามความเห็น พี่ห้าลุกขึ้นยืน นิ่งคิด ด้วยสีหน้ายุ่งยาก

         "มันก็พูดยากนะ ฝึกก็เจ็บปวดทรมาน ไม่ฝึกก็ปวดร้าวสะเทือนใจ ข้าไม่ใช่คนเข้มแข็งเหมือนพี่สี่ ถ้าท่านพ่อสั่งห้ามข้าฝึก ข้าก็คงจะไม่ฝึกแน่ๆ แต่ก็คงจะไม่ไปสนามรบด้วย เพราะข้ามีความรู้สึก เหมือนที่พี่สี่เป็นอยู่นี่แหละ ให้เป็นขุนศึก กลับสำแดงเดชเพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้ สู้ไปมันก็ไร้ความฮึกเหิมนะ แล้วเจ้าล่ะ"

         "ข้าหัวอกเดียวกับพี่สี่ ถ้าฝึกไม่ได้ ยอมตายเสียดีกว่า!"

         น้องหกตอบกร้าวแกร่ง หยางฉี่หลาง ผู้มีวิชาเพลงทวนอ่อนที่สุดในบ้าน มองพี่ชายทั้งสองอย่างไม่ค่อยเข้าใจ เกาหัว ถามอ้อมแอ้มว่า

         "เอ่อ...ไม่ใช่ว่าข้าไม่รักดีนะ แต่...เพลงทวนตระกูลหยาง มัน...มันสำคัญกับพวกเราขนาดนั้นเลยหรือ ข้ายังเห็นว่า พี่สี่มีเพลงทวนเหรินฉี เก่งกาจขนาดนี้ รบศึกในสนามได้สบาย ไม่เห็นจะต้องดื้อรั้นฝึกเพลงทวนตระกูลหยางให้ได้เลย มันเพราะอะไรกัน"

         หยางอู่หลาง ขุนพลห้า ผู้เข้าสู่กองทัพเรียบร้อยแล้ว ถอนใจ อธิบายให้น้องฟัง  

         "ถ้าเจ้าอยู่ในสนามรบ น้องเจ็ด ท่ามกลางกองทัพตระกูลหยางที่เกรียงไกร ไม่ว่าจะภายใต้การนำของพ่อ หรือพี่ใหญ่ ถ้าเจ้าอ่อนหัดเพลงทวนประจำตระกูลล่ะก็ เจ้าจะรู้สึกอ่อนด้อย สิ้นค่า ต่ำชั้น ราวกับทหารเลวทีเดียว เพราะข้าเคยรู้สึกแบบนั้นมาแล้ว ทหารตระกูลหยาง น่าเกรงขามทุกคน เหี้ยมหาญคะนองศึก หนึ่งคนสู้สิบคน ทั้งที่ไม่มีเพลงทวนตระกูลหยาง ข้าอยู่ในฐานะผู้นำคนหนึ่ง มีศักดิ์เป็นขุนพลห้า ยังห้าวหาญเทียบพวกเขาไม่ติดเลย นับประสาอะไรกับอยู่ใต้บัญชาของพวกพี่ๆ"

         "ถูกต้อง น้องเจ็ด เจ้าเองก็ควรหันมาเอาจริงเอาจังได้แล้ว เลิกขี้เกียจฝึกวิชาสักที หากชายแดนคับขัน พวกเราต้องไปออกรบ เจ้าเข้าสังกัดพี่สาม กับพี่สองก็ดีไป แต่หากได้มาอยู่ค่ายพี่ใหญ่ แล้วเจ้ายังฝีมือแค่นี้ล่ะก็ แม่ทัพปราบสุริยัน (ฉายา) หยางเอี๋ยนปิง ได้เนรเทศเจ้าลงไปอยู่กับพวกทหารเลวแน่ พี่ใหญ่โหดแค่ไหน เจ้าก็รู้อยู่ อย่าทำเป็นเล่นไป!"

         หยางลิ่วหลางตักเตือนน้องเบาๆ น้องคนเล็กถึงกับหน้าม่อย ยิ้มแห้งๆ เพราะเกรงในบารมีของพี่คนโตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขณะนั้นเอง มารดาก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง

         "ท่านแม่..."

         ลูกๆ ทั้งสามลุกขึ้นยืน ร้องเรียกพร้อมกัน มารดามองสภาพของหยางซื่อหลางบนเตียง ถึงกับสะท้อนในอก หมิงจูถือถังน้ำใบเล็กยืนอยู่ข้างหลังด้วย แสดงว่านางทราบแล้วว่าลูกสี่กลับมาบ้าน 

         "พวกเจ้าไปนอนได้แล้ว แม่ดูแลซื่อหลางเอง หมิงจูวางถังน้ำไว้ แล้วไปนอนได้"

         "ค่ะ ฮูหยิน"

         สาวใช้วางถังลงข้างเตียง แล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมเหล่าคุณชาย

         "อือ...อือ...แม่...ท่านแม่..."

         หยางซื่อหลางส่ายหน้ากระสับกระส่าย พึมพำละเมอขึ้นมา ขณะนางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้

         "ซื่อหลาง...แม่อยู่ตรงนี้แล้ว แม่ขอโทษ แม่ผิดเอง ที่ดูแลเจ้าไม่ดี ทำให้เจ้าต้องระทมทุกข์ถึงเพียงนี้ ยกโทษให้แม่ด้วย"

         มารดาคว้าจับมือที่ลอยอยู่บนอากาศมาแนบอก สงสารลูกจนมิอาจบรรยาย น้ำตารินไหล

         "ท่านพ่อ อย่าไล่ข้า...อย่าไล่ข้าไปเลย ข้าผิดแล้ว ข้าไม่ดีเอง ข้าไม่คู่ควร...เป็นลูกของท่าน...ฆ่าข้าเถอะ...ฆ่าข้า...!"

         เสียงละเมอคร่ำครวญออกมาจากจิตใต้สำนึก หยางซื่อหลางร้องไห้ผสมครวญคราง ฟังไม่ได้ศัพท์ มารดาส่ายหน้าอย่างปวดร้าวใจ ยื่นมือลูบไล้ใบหน้าที่เปื้อนด้วยคราบน้ำตานั้น ปลอบขวัญเสียงอ่อนโยน

         "อย่าได้คิดอย่างนี้ ซื่อหลาง เจ้าเป็นลูกของแม่ แม่รักเจ้า พ่อก็รักเจ้า พี่น้องทุกคนล้วนรักเจ้า เจ้าคู่ควรแล้ว...คู่ควรจะเป็นลูกหลานตระกูลหยางทุกอย่าง พ่อภาคภูมิใจในตัวเจ้านะ ทุกเรื่องที่เจ้าทำ เขารู้ เพียงแต่เขาไม่พูดเท่านั้นเอง อภัยให้พ่อเถอะนะลูก ไม่มีใครทอดทิ้งลูกไปไหน ทุกคนจะยืนอยู่เคียงข้างเจ้า และช่วยเจ้าฝ่าฟัน ด่านนี้...เราต้องชนะ อย่ายอมแพ้นะ ลูกรักของแม่..."

         มารดาสะอึกสะอื้น ฟุบตัวลงกอดร่างบุตรชายไว้ หยางซื่อหลางสงบลงแล้ว หากมีหยดน้ำรินไหลจากหางตา ดั่งว่าจะรับรู้ในถ้อยวาจานั้น!
     


     

         รุ่งเช้า หยางฮูหยินลงทุนเข้าครัวแต่เช้า เพื่อต้มโจ๊กให้บุตรชายทานด้วยตัวเอง ขณะเดินถือถ้วยเข้ามาในห้อง ก็ต้องพบกับเตียงที่ว่างเปล่า นางงงงันวูบ เดินออกมาข้างนอก เจอลูกหก ลูกเจ็ด เดินเข้ามาพอดี

         "ลิ่วหลาง ฉี่หลาง"

         "อรุณสวัสดิ์ ท่านแม่"

         ทั้งสองทักทายพร้อมกัน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

         "เห็นซื่อหลางบ้างไหม"

         "อ้าว ไม่ได้อยู่ในห้องเหรอ พวกเราเพิ่งตื่น ว่าจะมาหาพี่สี่อยู่เหมือนกันครับ"

         หยางลิ่วหลางตอบ แล้วทั้งสามคน ก็จ้องหน้ากันอย่างร้อนใจอีกครั้ง
     


     

         ที่เนินใบไม้ร่วง อากาศแจ่มใส ไร้ลมพัดโชย มีเพียงแสงแดดอ่อนๆ บุรุษรูปงาม แต่หัวใจหมอง เดินถือทวนเข้ามากลางกลุ่มต้นไม้ใหญ่อย่างแช่มช้า ก่อนหยุดชะงัก เงยหน้ามอง 

         ...อ๋อ ข้ารู้แล้ว เคยได้ยินเหมือนกัน ว่ามีบุตรชายคนหนึ่งของหยางเยี่ย เป็นโรคประหลาด ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้ หรือว่าจะเป็นเจ้า หยางซื่อหลาง แกะดำตัวนั้น...

         เสียงเยาะหยันอันร้ายกาจ ลอยมาอีกครั้ง หลอกหลอนราวกับภูติผี ใบหน้าเคร่งขรึม เย็นชา ฟาดแขนออกไปด้านข้างอย่างรุนแรง พลั่ก! เสียงต้นไม้ใหญ่หักเป็นสองท่อน เมื่อถูกปลายทวนสุดแหลมคม และพลังลมปราณสูงส่ง ซัดออกไปพร้อมกับความโกรธเกรี้ยวของอารมณ์  

         "ข้าไม่ใช่แกะดำ!"

         เสียงร้องก้อง พร้อมกับร่างที่หมุนเหวี่ยงอย่างรวดเร็ว สะบัดทวนไปทั่วทุกทิศ เกิดเสียง เฟี้ยว เฟี้ยว ดังต่อเนื่องติดต่อกัน เพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่หนึ่ง สำแดงอานุภาพ แม้ระดับต่ำสุด แต่ลมปราณสุดคาดหยั่ง เขาหักโหมใช้ออกไปถึงสี่ส่วน ฟาดฟันต้นไม้หักล้มเป็นระนาว
     
         ...ซื่อหลางกำเนิดจากธาตุอินล้วน ที่จริง สมควรตายตั้งแต่เกิด...

         "ไม่! ไม่!"

         กระบวนท่ายิ่งมายิ่งรุนแรง บ้าบิ่น ลมปราณยิ่งใช้ออก ยิ่งกราดเกรี้ยว เพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สอง ไม่ต่างอะไรกับเพลงทวนเหรินฉีขั้นที่สี่ ฟาดฟันทุกสิ่งย่อยยับพินาศ ลมเริ่มกรรรโชกแรง ราวกับพลอยสะเทือนถึงความเจ็บปวดนั้น 

         ...เขาไม่ต่างอะไรไปจากคนพิการ...

         "ข้าไม่ใช่ ข้าไม่ใช่"

         เพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สาม เปล่งแสนยานุภาพสุดๆ จากผู้ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ โกรธเกรี้ยว แค้นใจ อัดอั้น ปวดร้าว ถูกขับออกจากปลายทวนทั้งหมด ระบายความเจ็บปวดที่ไม่อาจบอกเป็นคำพูดได้ ไร้ความอ่อนโยน นุ่มนวล กลายเป็นพลังธาตุหยาง ที่ใช้อย่างหักดิบ ไม่สมดุลกับธาตุหยิน กระบวนท่าจึงมีแต่ความรุนแรง ก้าวร้าว ฝุ่นดินลอยฟุ้งตลบอบอวล ลมแรงพัดกระหน่ำราวกับพิโรธ ต้นไม้ใหญ่สั่นไหวสะเทือนเลือนลั่น บ้างหัก บ้างโอนเอน เกิดเสียงดังคำรามราวกับฟ้าร้อง 

         ...ถ้าจำเป็นก็ต้องฆ่า ข้าจะไม่ยอมให้เขาเดินบนทางสายนี้ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่าได้หวังเลย ว่าเขาจะเป็นอย่างที่อยากเป็นได้

         "อย่าบังคับข้า อย่าบังคับข้า"

         การหักดิบ ทุ่มเทพลังธาตุหยางออกไปอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นพลังที่บกพร่อง ไม่สมบูรณ์ เมื่อหักโหมต่อไปแล้ว จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนสับสนภายในได้ และก่อนที่เขาจะต้องบาดเจ็บเพราะการใช้เพลงทวนตระกูลหยางผิดแบบ ร่างหนึ่งก็วูบลงที่เบื้องหน้า ควับหมับกลางทวนของเขาไว้ จนมิอาจกระดิกกระเดี้ย ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด 

         "หยุดนะ!!"

         "ปล่อยข้า!"

         หยางซื่อหลางเสียสติไปแล้ว หน้ามืดตามัว มองไม่เห็นสิ่งใด เพราะดวงตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำ ชักทวนกลับมาทีเดียวหลุดจากการคร่ากุม เพราะใช้ลมปราณถึงขีดสุด โดยไม่สนว่าผู้ที่ยึดจับอยู่ จะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แถมยังเหวี่ยงกวาดเข้าให้ระดับศีรษะอย่างเกรี้ยวกราดอีกด้วย คนผู้นั้นก้มหัวหลบ วูบไปด้านข้าง หยางซื่อหลางจะจู่โจมต่อเนื่อง เขาจึงต้องพิชิตด้วยกระบวนท่ามังกรตะครุบฟ้า หนึ่งในวิชาเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่ห้า คว้าจับกลางทวนได้อีกครั้ง คราวนี้ต่อให้ลมปราณสูงส่งแค่ไหน ก็มิอาจสลัดหลุด

         "หยางเอี๋ยนหลาง เจ้าดูให้ดีๆ ว่า ข้าเป็นใคร!"

         เสียงตะคอกลั่น ส่งผลให้สติกลับคืนมาบ้าง เขาเงยหน้าช้าๆ แล้วถึงกับตะลึงลาน

         "ซื่อหลาง..."

         "พี่สี่..."

         มารดา น้องทั้งสาม รวมถึงพี่สาม หยางเอี๋ยนเจา พากันวิ่งมาถึง ก่อนจะชะงักอยู่ตรงนั้น มองภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแตกตื่น ตกใจ

         หยางซื่อหลางยืนตัวแข็ง ใบหน้าชาดิก ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น

         "ตอนนี้ เจ้าหายบ้ารึยัง"

         หยางเยี่ยคำรามลั่น กระชากทวนออกมาจากมือบุตรชาย ใบหน้าแดงจัดด้วยฤทธิ์ของอารมณ์ จากตะลึงเปลี่ยนเป็นซึม หยางซื่อหลางก้มหน้า พึมพำเหม่อลอย

         "...ขอทวนให้ข้า"

         "เจ้าจะทำไม"

         "...ทวน...ของข้า"

         "ทวนของเจ้า แต่วิชา...ไม่ใช่ของเจ้า!"

         "ท่านพ่อ เมตตาน้องสี่ด้วย"

         หยางเอี๋ยนเจา รีบคำนับขอร้อง ทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวนกับท่าทางของหยางเยี่ยยามนี้ 

         "เมตตา เพราะข้าเมตตา ถึงต้องบอกกับเจ้าให้เด็ดขาด ซื่อหลาง นับจากนี้ไป ลืมเพลงทวนตระกูลหยางซะ! เจ้าเป็นคนเก่ง เฉลียดฉลาด มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธิ์เป็นเลิศ ฝึกเพลงทวนเหรินฉีขั้นที่ห้าได้ ในแผ่นดินก็มีแต่เจ้าคนเดียว นี่คือสิ่งที่เจ้าควรยึดจับ วิชาสายหยาง ยังมีอีกมากมาย รอให้เจ้าไปสร้างตำนาน อย่าได้คิดสั้น ทำร้ายตัวเอง กับสิ่งที่เจ้าไม่มีทางครอบครองมันได้"

         คนอื่นอาจคิดว่าเขากำลังโมโหสุดระงับ แต่หยางเยี่ยย่อมรู้ตัวเอง ตอนนี้เขามีสติดียิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต!

         และเขาได้ตัดสินใจในฉับพลันนั้นเองว่า อาจต้องยอมเดิมพันกับด่านนี้สักครั้ง!

         หยางซื่อหลางส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาเศร้าซึมทุกข์ระทมถึงที่สุด พูดอย่างเหม่อลอย

         "ข้าครอบครองมันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ควรเปลี่ยนชื่อแซ่ ไปใช้แซ่อื่นซะ และเดินออกจากจวนเทียนปอ ตัดขาดความสัมพันธิ์กับท่าน เลิกเป็นลูกหลานตระกูลหยางตลอดไป!"

         หัวใจของสมาชิกครอบครัวถูกกรีดร้าว หยางเยี่ยรู้สึกผิดหวังสุดๆ ฟาดทวนลงกับพื้น

         "เจ้าพูดอะไร กับแค่เพลงทวนตระกูลหยาง เจ้ายอมทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือ เจ้ามองว่าตระกูลหยาง มีดีแค่เพลงทวนอย่างนั้นรึไง"

         ลูกที่เจ็บช้ำ เดินเชื่องช้าไปหยิบทวนบ้านตระกูลหยางขึ้นมา ลูบคลำ แล้วพูดอย่างเซื่องซึม

         "ถูกแล้ว เกิดเป็นนักรบ อาวุธหักก็เหมือนตาย เกิดเป็นลูกหลานตระกูลหยาง ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้ ก็สมควรตายไปซะ ท่านพ่อ ท่านตัดลูกออกจากตระกูล หรือไม่ ก็ฆ่าลูกเสียเถิด ถ้าท่านจะให้ลูกลืม...เพลงทวนตระกูลหยาง ลูกขอหยุดหายใจเสียแต่ตอนนี้"

         "ซื่อหลาง...อย่าพูดอย่างนั้น"

         มารดาร้องอย่างใจจะขาด

         "พี่สี่ อย่าทำแบบนี้เลย"

         หยางลิ่วหลางจะร้องไห้ตาม

         "ตระกูลหยางต้องการพี่นะ"

         หยางฉี่หลางช้ำใจที่สุด

         "เรายังมีทางเลือกอื่นนะ พี่สี่"

         หยางอู่หลางขมขื่น ว้าวุ่นใจ

         "..."

         หยางซันหลางนิ่งซึม แต่ดวงตาไม่หดหู่ เขาไม่อาจปล่อยให้อารมณ์เศร้าโศกเข้าครอบงำเหมือนคนอื่น สถานการณ์ยามนี้ อันตรายนักแล้ว!

         มือที่ถือทวนอยู่ ค่อยๆ หมุนพลิกอย่างแช่มช้า คว้าจับในท่าจู่โจม! เหตุการณ์ตรงหน้า คาดประเมินไม่ได้ แม้จะเป็นพ่อลูก แต่อารมณ์ของหยางเยี่ย ไม่อาจคาดเดา เรื่องราวมาถึงจุดใกล้แตกหัก ได้แต่จ้องบิดาอย่างอย่างระแวดระวัง เผื่อเหตุฉุกเฉิน จะได้เข้าขวางทันท่วงที!

         "หมายความว่า เจ้ายอมตาย แต่ไม่ยอมเลิกฝึก...เพลงทวนตระกูลหยางใช่ไหม"

         เสียงเข้มเอ่ยเย็นเยียบ หยางซันหลางสะท้านเฮือก แววตาของพ่อผิดปกติ!

         "...ถ้าท่านเอาทวนไปจากมือลูก ก็โปรด...ใช้ทวนนี้...ตัดหัวลูก...ออกไปด้วย!!"

         หยางซื่อหลางกางแขน ยื่นมือที่ถือทวนออกไปช้าๆ หลับตา และรอคอยการตัดสิน อย่างไม่ใยดีต่อชีวิตอีกต่อไปแล้ว

         "ซื่อหลาง อย่านะ!"

         เสียงมารดากรีดร้องลั่น

         "พี่สี่...!"

         น้องทั้งสามประสานเสียง หัวใจหยุดเต้น

         หยางเยี่ยจ้องเขม็ง ยื่นมือออกไปช้าๆ แล้วในที่สุด ก็กระชากออกมา!

         ร่างหยางซันหลางวูบคราเดียว ถึงตัวน้องชาย ผลักไหล่เบาๆ ร่างของหยางซื่อหลางก็หมุนไปสามตลบ ถอยออกมาข้างหลัง ลืมตาขึ้นอย่างตะลึง พบพี่สามเอาตัวยืนบังอยู่ด้านหน้า หมุนทวนท่าเฉียง กางแขนออก ป้องกันเขาไว้ เป็นจังหวะเดียวกับที่หยางเยี่ยกระชากทวนมา แล้วสะบัดออกไป หยางซันหลางงงงันวูบ แม้ทิศทางจะใช่ แต่เป้าหมายไม่ใช่หัวของน้องสี่!

         ประมุขของบ้าน ทำในสิ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง เขากวัดแกว่งทวน ร่ายรำกระบวนท่าเลิศล้ำ แปลกพิสดารออกมา อย่างห้าวหาญ สง่างาม วิชาที่ใช้ออก ไม่คุ้นสำหรับลูกๆ คนเล็กทั้งสามเลย แต่หยางซันหลางเบิกตากว้าง ตะลึงงัน ร้องออกมา 

         "นี่...เพลงทวนตระกูลหยาง ขั้นที่สี่!"

         "ฮ้า...!"

         น้องทั้งสามร้อง อ้าปากค้าง จ้องพ่อตาโต 

         "ซื่อหลาง ห้ามดูนะ"

         มารดาเข้ามายืนขนาบ จะฉุดแขนเขาให้หันไป แต่...

         "ให้เขาดู!"

         หยางเยี่ยตะโกนมา ทั้งที่ยังร่ายรำอยู่เช่นนั้น หยางซื่อหลางจ้องตะลึง

         ภาพการเคลื่อนไหว จังหวะ และลีลา เป็นเหมือนกระแสคลื่น ไหลบ่าผ่านเข้าดวงตาสู่สมองเป็นฉากๆ อย่างลื่นไหล ทุกสิ่งดูง่ายดาย แต่แฝงความล้ำลึก อ่อนหยุ่น เยือกเย็น ปนแข็งกร้าว สวยงาม แต่ก็น่าเกรงขาม ดุดัน แต่ก็อ่อนโยน

         ทวนพู่แดงหมุนวนอยู่รอบตัว คล้ายส่วนหนึ่งของอวัยวะในร่าง ใช้ออกได้ตามสบาย ไม่ว่าจะเสียบ ทิ่มแทง จ้วง เหวี่ยง ฟาด หรือย้อนกลับ กลายเป็นกระบวนท่าที่สอดคล้อง ประสานหนุนกันเป็นจังหวะเดียว ต่อเนื่องมิได้หยุด ไหลเชี่ยวดุจน้ำตกสูง ที่โถมทะลักลงมา และแข็งแกร่งดุจภูผา ปราการที่ใครหากอยู่ใกล้บริเวณ ก็ยากจะหลบพ้น หรือบุกเข้ามาประชิดถึงตัวได้ เพลงทวนเหรินฉี ต้องสู้ในระยะประชิด ถึงจะได้เปรียบ แต่เพลงทวนตระกูลหยางเป็นคนละด้าน ต้องสร้างพื้นที่ของตนเองขึ้นมา เป็นจุดยุทธิ์ศาสตร์การรบ ทวนต้องเปิดกว้าง กวัดแกว่งทุกทิศ และเมื่อศัตรูบุกเข้าใส่ ก็จะถูกฟาดฟันพินาศยับชั่วพริบตา ทั้งหน้า ข้าง กลาง หลัง มีพลานุภาพล้างผลาญในคราเดียว นั่นคือ กระบวนท่าเดียว สามารถฆ่าได้นับสิบคน แม้จะถูกรุมล้อมเป็นวงกลมเข้ามา ปราศจากช่องโหว่ ใครก็มิอาจบุกเข้าประชิดตัวได้

         หยางซื่อหลางเพิ่งจะเห็นฝีมือเพลงทวนตระกูลหยางของพ่อชัดกับตาก็ครานี้ ตะลึงมองอย่างหลงไหล (ครานั้นที่สู้กัน พ่อใช้เพลงทวนเหรินฉี) แจ้งประจักษ์เลยว่า เหตุใดกองทัพตระกูลหยางถึงไม่เคยพ่าย เหตุใดแม่ทัพใหญ่แห่งต้าซ่ง ถึงไม่เคยแพ้ แม้ลมปราณเขาจะสูงส่ง (ตอนฝึกขั้นที่สาม) แต่หากไร้ซึ่งความฮึกเหิม ในการใช้กระบวนท่า จะมิอาจเปล่งอานุภาพสุดยอดได้เลย

         หยางซันหลาง ยืนมือไพล่หลัง มองอย่างสงบนิ่ง แม้ตัวเขาจะสำเร็จเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สี่แล้ว ยังยอมรับว่า ฝีมือของบิดาเหนือกว่า ในแง่ของการใช้พลังธาตุหยางอันดุดัน 

         "เจ้า...ทำเงื่อนไขกัน"

         หยางเยี่ยหมุนทวนในมือเป็นการจบกระบวน แล้วโยนให้หยางซื่อหลาง

         "เงื่อนไขอะไรเหรอ"

         เขาคว้าหมับ ถามอย่างงุนงง

         "ถ้าเจ้าฝึกเพลงทวนขั้นที่สี่ได้ โดยธาตุอินไม่กำเริบ ข้าจะให้เจ้าเรียนเพลงทวนตระกูลหยาง แถมยังจะรับเจ้าเป็นขุนพลในกองทัพด้วย"

         "ฮ้า..."

         น้องๆ ร้องอย่างตื่นเต้นแกมยินดี แต่หยางซันหลางหน้าเครียด

         "แต่หาก...เจ้าฝึกไม่จบ แล้วอาการกำเริบ หยุดคิดถึงเรื่องนี้อีก...ตลอดกาล"

         น้องๆ หุบปาก หน้าม่อย ถอนใจเฮือก กลับมาห่อเหี่ยวตามเดิม

         "ว่าไง จะเดิมพันไหม"

         บิดาเท้าสะเอว ตวาดถามลูกที่ยืนนิ่งอึ้ง หยางฮูหยินโกรธสามีจนแทบกระอักเลือด หันมาร้องสั่งเสียงเข้ม

         "ซื่อหลาง อย่าทำ เชื่อแม่ เจ้าจะตายนะ!"

         "นั่นสิ พี่สี่ อย่าทำเลย..."

         "อย่านะ พี่สี่..."

         หยางซื่อหลางมองทวนในมืออย่างเซื่องซึม เหม่อลอย แล้วกำแน่น ค่อยๆ พลิกมือมาอยู่ในท่าจับ ยกทวนขึ้นช้าๆ แต่มือหนึ่งคว้าจับปลายด้ามทวนไว้ให้หยุดแค่นั้น

         "แต่ไหนแต่ไรมา พี่ไม่เคยขัดขวางเจ้าสักครั้ง แต่ครั้งนี้ขอเถอะ ขั้นที่สี่ธาตุหยินแข็งแกร่งมาก เจ้าฝึกไม่ถึงสิบกระบวน ไอเย็นจะเข้าสู่ชีพจร ฝึกไปยี่สิบเพลง จะหนาวเหน็บจนเป็นตะคริว ฝึกจนจบ เจ้าจะกลายเป็นมนุษย์แช่แข็ง!!"

         หยางซันหลางเตือนจริงจัง ด้วยเสียงร้อนใจ หยางซื่อหลางชะงัก แต่ก็ออกแรงขยับทวนต่อ คราวนี้พี่สามยึดจับไว้แน่น เกร็งลมปราณขั้นที่สามตรึงไว้ ถามด้วยน้ำเสียงปวดร้าวที่สุด

         "ซื่อหลาง เสียสละแบบนี้มันคุ้มหรือ"

         "พี่ ข้าไม่มีทางเลือกอีกแล้ว..."

         เขาตอบเศร้าๆ แล้วแผ่ลมปราณกระแทกมือพี่สามจนต้องปล่อย โถมไปข้างหน้า แล้วสะบัดทวนออก เริ่มต้นใช้กระบวนท่าที่หนึ่ง ด้วยความคึกคัก ห้าวหาญ มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง

         "ซื่อหลาง หยุดนะ แม่บอกให้หยุด เจ้าจะทำร้ายตัวเองทำไม เจ้าตายไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เลิกฝึกนะ อย่าทำแบบนี้"

         มารดาร่ำร้องราวกับใจจะขาด จะโถมเข้าไป แต่ลูกสามฉุดยื้อไว้ 

         "ท่านแม่ ใจเย็นไว้ ฟังข้าก่อน เรายังมีหินภูเขาไฟ ท่านพ่อไม่ปล่อยให้น้องสี่ตายหรอก"

         "ซื่อหลาง..."

         มารดายืนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด หยางซันหลางพร่ำพูดปลอบ แต่สีหน้าเครียด ใจเต้นระทึกเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ หันมองพ่อที่ยืนดูอย่างสงบเยือกเย็น ต้องเม้มปากคิดในใจ

         ...เดิมพันด้วยชีวิตแบบนี้ ไม่เลือดเย็นจริง ทำไม่ได้เลย ท่านพ่อ ท่านคงเตรียมใจรับความเสี่ยงไว้แล้วนะ...

         หยางฉี่หลางก้าวมาด้านหน้า มองกระบวนท่าซ้ำเดิม เหมือนย้อนกลับมาฉายใหม่ แม้ความดุดัน ฮึกเหิม จะเป็นรองอยู่เล็กน้อย ร้องอย่างตื่นตะลึง  

         "สุดยอด พี่สี่ดูแค่ครั้งเดียว ก็จำกระบวนท่าได้หมดเลย"

         หยางลิ่วหลางขยับตามมา ถอนใจหนักอก แต่สายตาชื่นชม

         "พี่สี่มีความจำเป็นเลิศที่สุด ในบรรดาพวกเราพี่น้องนะ"

         หยางอู่หลางขยับมาด้วย ยิ้มและจินตนาการ

         "พี่สี่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ดูเวลาเขาร่ายรำสิ อย่างกับนกโผบินอย่างอิสระเสรี ไม่มีใครหยุดได้ ถ้าไปอยู่ในสนามรบ ต้องได้ยืนเคียงข้างพี่ใหญ่แน่"

         หยางซันหลางก้าวมา วิเคราะห์สังเกตอย่างลึกซึ้งเยือกเย็น หาได้มองแค่กระบวนท่าผิวเผินเหมือนน้องทั้งสาม ดวงตาแหลมคมมองทะลุไปถึงพลังภายในของเขาด้วย

         "ใช้ธาตุหยางมาประคองธาตุหยิน แปรเปลี่ยนหมุนเวียน สลับต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว เคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ให้ลมปราณเย็นค้างอยู่นาน แถมข่มให้เป็นรองธาตุหยางหน่อยๆ เซนส์อัจฉริยะจริงๆ น้องสี่ ไหวพริบเจ้าสูงส่งมาก"

         พี่สามปรากฏรอยยิ้มชื่นชม ถอนหายใจโล่งอกชั่วขณะ หันไปมองพ่อ หยั่งรู้ได้ทันทีว่าบิดามีความคิดเหมือนกับเขา แม้จะไม่ยิ้ม แต่แววตานั้น สื่อความหมายทุกอย่าง และเป็นสิ่งที่น้องชายผู้อาภัพของเขาอยากเห็น แต่ไม่เคยได้เห็น แววตาแห่งความยกย่อง!

         "เย้ สำเร็จแล้ว พี่สี่ฝึกสำเร็จ"

         "เก่งมากเลย พี่สี่..."

         น้องๆ กระโดดโห่ร้องไชโย ดีใจกันสุดฤทธิ์ มารดา และหยางซันหลางไม่ดีใจ รีบมายืนขนาบเขาทั้งสองด้าน แตะชีพจร แล้วสบตากันอย่างตกใจ

         "ท่านพ่อ ข้า...ชนะ...แล้ว"

         หยางซื่อหลางพูดตะกุกตะกุก เขารู้สึกแปลกๆ ไม่เหมือนเคย ไม่หนาวเหน็บอย่างที่คาดไว้ หากแต่มันเคว้งคว้าง เหมือนวิญญาณกำลังล่องลอย ไม่รู้สึกถึงการมีเลือดเนื้ออยู่ในร่าง!!

         หยางเยี่ยจ้องนิ่ง ก่อนจะพูดเสียงเข้ม

         "ได้ เจ้าแน่มาก เพลงทวนตระกูลหยาง...เป็นของเจ้า!"

         หันหลังเดินไปได้สองก้าว เสียงร้องอย่างตระหนกตกใจก็เริ่มบรรเลง

         "ฮ้า ซื่อหลาง ซื่อหลาง..."

         "พี่สี่ พี่สี่..."

         "น้องสี่..."

         เมื่อหันกลับมา ภาพที่เห็น เป็นสิ่งที่เขาประเมินไว้อยู่แล้ว บุตรชายผู้ต้องคำสาป นอนตัวแข็งทื่อ ไอเย็นพวยพุ่งออกมารอบกาย โถมวูบเดียว ถึงร่างหยางซื่อหลาง กระแทกไหล่ลูกๆ ที่รุมล้อมอยู่ออกไป แล้วหิ้วปีกบุตรชายผู้เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะลอยบนอากาศ

         "ซื่อหลาง แข็งใจไว้ พ่อยอมรับเจ้าแล้ว ได้ยินไหม เจ้าคือลูกของพ่อ"

         ท่ามกลางสติที่เลือนลาง ใกล้จะดับวูบลงเต็มที เขาได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน วูบสุดท้ายของความรู้สึก เขาคิดว่า ...ถึงตาย ก็คุ้มค่าแล้ว... 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×