ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : แม่ทัพสามกลับบ้าน
สุ่ยหลิงหลงแยกทางไปแล้ว เมื่อมาถึงจวนเทียนปอ คุณชายทั้งสาม และหมิงจู เดินเข้าไปพร้อมกัน พอมาถึงลานว่าง หยางซื่อหลางก็กระตุกแขนน้องชาย บอกเสียงกังวล พาให้ทุกคนหยุดชะงัก
"เดี๋ยว น้องเจ็ด ข้าว่าเรื่องนี้...ไม่ต้องบอกให้พ่อรู้หรอก"
"อ้าว ได้ไงล่ะพี่สี่ นี่เป็นข่าวดีนะ พี่ใช้เพลงทวนตระกูลหยางแล้วไม่เป็นไร ธาตุอินไม่กำเริบ แสดงว่าฟ้าส่งเสริมพี่แล้ว พี่ไม่อยากเรียนวิชาอันดับหนึ่งของตระกูลเหรอ"
หยางซื่อหลางหน้าเครียด อ้าปากจะสั่งอย่างเฉียบขาด ให้น้องชายทั้งสอง และหมิงจูปิดเป็นความลับ เสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้นเบื้องหลัง
"ใครใช้เพลงทวนตระกูลหยาง!"
หยางเยี่ย ประมุธของบ้าน เดินออกมาหน้าบันไดพร้อมด้วยฮูหยิน และหยางลิ่วหลาง หยางฉี่หลาง กับหยางอู่หลาง ยืดตัวตรงแน่ว เรียกเสียงดังชัดเจน เข็มแข็งสมชายชาติทหาร
"ท่านพ่อ..."
หยางซื่อหลางไม่ได้เรียก ใช่ว่าจะแง่งอนทิฐิอันใดอีก หัวใจเขากระตุกวูบ เพราะความหวาดกลัวชั่วขณะ หลบสายตาที่จ้องมองมาอย่างอึดอัดลำบากใจ หมิงจูคำนับ เรียกฮูหยิน นายท่าน
"หมิงจู เจ้าส่งจดหมายถึงประมุขซุนรึยัง"
หยางฮูหยินถาม พร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
"เรียบร้อยแล้วค่ะ ท่านประมุขปลาบปลื้มยินดีมาก บอกว่าวันหลังจะมาเยี่ยมด้วยตัวเองค่ะ"
"แล้วงานประลองยุทธิ์ เป็นยังไง สนุกไหม ใครได้เป็นฑูตพิทักษ์ล่ะ"
คุณชายหกถามเสียงร่าเริง ยิ้มแจ่มใส
แม้จะมีความลับหนักอกหนักใจ หยางซื่อหลางยังรู้สึกผิดสังเกต ใบหน้าของคนทั้งสามที่ยืนเรียงหน้าอยู่บนบันไดยามนี้ ดูสดใส ผ่องแผ้ว คึกคัก มีชีวิตชีวา เปี่ยมรอยยิ้ม อารมณ์ดีกันทุกคน หยางลิ่วหลาง กับมารดาไม่น่าแปลกนัก แม้แต่บิดา ก็มีรอยยิ้มกับเขาด้วย เขานึกไม่ออกว่า เคยเห็นบิดายิ้มอย่างปลอดโปร่งสบายใจแบบนี้ ครั้งสุดท้ายเมื่อใด
"โอ๊ย พี่หก เรื่องนั้นไม่น่าสนใจเลย มาฟังเรื่องนี้ดีกว่า เซอร์ไพร์ท และน่าสนใจกว่าเยอะ คืออย่างนี้นะ พี่สี่..."
"เอ่อ เรียนนายท่าน..."
หมิงจูรีบก้าวเข้ามา ยกมือคำนับ พูดแทรกดักหน้านายน้อยเจ็ด จนเขางุนงง
"บนเวทีลานสยบมาร มีจอมยุทธิ์กักขฬะคนหนึ่ง ขึ้นไปประลองคัดเลือก เขาใช้เพลงทวนเหรินฉีขั้นที่สี่ ทำร้ายคู่ต่อสู้มากมาย และประกาศยกย่องเพลงทวนนั้นว่าเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ลบหลู่เพลงทวนตระกูลหยางว่าต่ำชั้นกว่า ข้าน้อยทนไม่ได้ ก็เลยขึ้นเวทีไป แสดงเพลงทวนตระกูลหยางให้เขาได้ชมค่ะ"
นางชิงตัดหน้าหยางฉี่หลาง เล่าตั้งแต่ต้นเรื่องก่อนอย่างคนละเอียดรอบคอบ เพราะรู้ดีว่า ขืนปล่อยให้นายน้อยเจ็ดโพล่งโต้งๆ ออกไปแบบนั้น เรื่องใหญ่อยู่แล้วก็อาจจะยิ่งใหญ่หลวงบานปลายหนักขึ้นไปอีก จำต้องช่วยป้องกันคุณชายสี่ไว้ก่อน
"อ๋อ มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ"
หยางฮูหยินครางอย่างแปลกใจ หยางเยี่ยถอนใจ มองสาวใช้ด้วยแววตาตำหนิ
"ทำไมจะต้องลงมือ ใครจะยกวิชาของใคร ใครจะข่มเพลงทวนของใคร ก็ปล่อยเขาไป ไม่ต้องไปสน ไปแจงแจงให้เสียเวลาหรอก ให้ผลงานในสนามเป็นเครื่องพิสูจน์ก็พอแล้ว เพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้มีไว้โอ้อวดผู้คน"
"หมิงจูทำเกินหน้าที่ ขอนายท่านอภัย"
นางก้มหน้า คำนับ หยางเยี่ยก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก นางกลอกตา ใช้ไหวพริบพลิกแพลง หมายจะอธิบาย เพื่อไม่ให้คุณชายสี่ต้องมีความผิดไปด้วย แต่ก็ไม่ทันเจ้าคนปากไว หยางฉี่หลาง
"โธ่เอ๊ย เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ท่านพ่อรู้ไหม หมิงจูขึ้นไปสู้ แต่ก็แพ้มันนะ มันเลยได้ใจข่มใหญ่ แถมจะทำร้ายหมิงจูด้วย ดีนะที่พี่สี่ขึ้นไปขวางไว้ทัน แถมช่วยกู้หน้าตระกูลหยาง ทำลายเพลงทวนเหรินฉีของมัน ซะจนหน้าแหกยับเยินไปเลย จนชาวยุทธิ์ที่มาร่วมงานนะ ต่างพากันโห่ร้องสดุดีเพลงทวนตระกูลหยางกันยกใหญ่ ว่าเป็นวิชาทวนอันดับหนึ่งในใต้หล้า!"
สามคนที่ยืนเรียงหน้ากระดานงงงันวูบ ขณะหยางฉี่หลางเท้าสะเอว หัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจ หยางอู่หลาง กับหมิงจูหันมาสบตากันอย่างสยอง คนถูกเปล่าประกาศถอนหายใจเซ็งๆ เตรียมใจรอรับลูกระเบิด
"ฉี่หลาง เจ้าพูดอะไร เพลงทวนเหรินฉีของซื่อหลาง ปราบเพลงทวนเหรินฉีของมันได้ เกี่ยวข้องอะไรกับเพลงทวนตระกูลหยางล่ะ"
มารดาเอ่ยถามงงๆ อย่างไม่เข้าใจ หากเป็นเวลาปกติ หมิงจูคงหัวเราะ และหยอกคุณชายเจ็ด ที่พูดจาไม่ละเอียดรอบคอบ จนคนฟังไม่รู้เรื่องอีกแล้ว แต่ยามนี้ ได้แต่ก้มหน้างุดอย่างเดียว
"โอ๊ย ไม่ใช่ ท่านแม่ พี่สี่น่ะ ใช้เพลงทวนตระกูลหยางต่างหากเล่า!!"
...พูดไปจนได้... หยางอู่หลาง กับ หยางหมิงจู ก้มหน้าถอนหายใจอย่างยอมรับชะตากรรม
"ฮ้า! ว่าไรนะ พี่สี่ใช้เพลงทวนตระกูลหยางเหรอ"
หยางลิ่วหลางตาโต ร้องก้อง
"เป็นไปได้ยังไง"
มารดาอุทานเสียงดัง
"เป็นไปแล้ว ท่านแม่ นี่เรียกว่า สวรรค์มีตา เปิดแสงสว่างทางสดใส ให้เราเหล่าทายาทตระกูลหยาง ได้ออกรบในสนามพร้อมกัน ฝากเพลงทวนตระกูลหยางอันเลื่องชื่อไว้ลือลั่นทั่วสมรภูมิ ไม่ว่าจะยาตราทัพไปที่ใด... เอ่อ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ เมื่อกี้ถึงไหนแล้ว อ๋อ ใช่ คุณชายสี่ผู้เก่งกาจของเราเนี่ยนะ ใช้เพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สาม อันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สยบเพลงทวนเหรินฉีขั้นที่สี่อันเหี้ยมโหด อำมหิตของมัน ต่อหน้าชาวยุทธจักรทั่วหล้า จนมันอับอายขายหน้าแทรกแผ่นดินหนีไปเลย"
หมิงจูถอนหายใจเฮือก ทำหน้าเพลีย คิดอย่างระอาใจ
...โม้ไม่ดูสถานการณ์เล๊ย ก่อนถึงจวนเทียนปอ น่าจับมัดตัวไว้ข้างนอกก็ดีหรอก หม้อกำลังร้าวอยู่แล้ว ดันทุบให้แตกเร็วขึ้นอีก...
"พี่ห้า จริงรึเปล่า"
หยางลิ่วหลางร้องถาม ด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจที่สุด
"เอ่อ...ชะ...ใช่"
"ไหน เรื่องมันเป็นมายังไง เจ้าเล่าไปให้ละเอียดซิ"
มารดาเค้นถามอย่างร้อนใจ ตลอดเวลาหยางเยี่ยยังสงบเงียบ มิปริปาก ยืนมือไพล่หลัง แววตาเคร่งขรึม รอยยิ้มสลายไปจากใบหน้า เยือกเย็นจนน่ากลัว
หยางอู่หลางพยายามใช้ความคิดเต็มที่ พูดเพื่อให้พี่สี่มีความผิดน้อยที่สุด แต่เขาก็ไม่มีความฉลาดในการใช้วาทศิลป์ แถมยังโกหกไม่เป็นอีกด้วย
"เอ่อ ตอนแรก ตั้งอิวเหลียงมันใช้เพลงทวนเหรินฉีขั้นที่สาม สู้กับเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สามของหมิงจู นางสู้ได้อย่างสูสี แต่พอมันเปลี่ยนเป็นขั้นที่สี่ หมิงจูก็เริ่มตกเป็นรอง จนในที่สุดก็เพลี่ยงพล้ำ มันชั่วร้ายมากไม่ยอมหยุดแค่รู้ผล จิ้มทวนจะแทงหมิงจู พี่สี่ก็เลยขึ้นไปช่วย มันพูดจาท้าทาย แล้วยังหยามพี่สี่ด้วย พี่สี่ก็เลย... เอ่อ...แล้ว...ก็เลยประลองกัน"
หมิงจูถอนหายใจอีกหน กัดฟันอย่างหงุดหงิด
...คนหนึ่งทื่อ อีกคนขี้โม้ คุณชายสี่จะตายสนิทก็คราวนี้...
หยางฉี่หลางยังไม่รู้ว่าฟ้าใกล้จะผ่า พล่ามต่อไปอย่างสุขสันต์
"ความจริง ที่หมิงจูสู้ไม่ได้ เพราะยังฝึกขั้นที่สามไม่สำเร็จ แต่พี่สี่น่ะ ดูแค่แวบเดียว ครั้งเดียว ก็รู้จุดอ่อน แล้วแก้ไขปรับปรุงด้วยปัญญาของตนเอง จนสมบูรณ์แบบ ปราบเพลงทวนเหรินฉีของเจ้าตั้งอิวเหลียงได้ พี่สี่เก่งไหมล่ะ ท่านพ่อ"
"ดูครั้งเดียว...ก็รู้จุดอ่อนงั้นหรือ!"
หยางเยี่ยเอ่ยเสียงเย็นเยียบเป็นประโยคแรก ดวงตาสาดรัศมีแข็งกร้าว หยางซื่อหลางหนาวเยือกไปถึงทรวงอก พาลนึกว่า หากเขาไม่ได้ประมุธซุน ช่วยขับไอเย็นออกมาก่อนในตอนแรก มาเจอสายตาของบิดายามนี้ คงต้องตัวกลายเป็นหินไปเลยแน่ๆ!
หมิงจู เตรียมใจไว้นานแล้ว ว่าต้องมาถึงคิวแน่ๆ รีบก้าวมา คุกเข่าคำนับต่อประมุธของบ้าน บอกด้วยเสียงสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง
"ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยขออภัยนายท่าน ที่ไม่ระมัดระวัง เผลอใช้เพลงทวนตระกูลหยางต่อหน้าคุณชายสี่ แต่เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุนะคะ ข้าน้อยยืนยันได้ มิได้เกิดจากความจงใจของใครทั้งสิ้น ตอนนั้น ข้าน้อยประลองอยู่บนเวที คุณชายสี่เพิ่งจะมา เผลอมองการต่อสู้เข้าไป จึงจดจำได้บางส่วน ข้าน้อยไม่ทันเห็น บวกกับคุณชายสี่ก็ไม่ทันนึก จึงได้พลั้งพลาดลงไปค่ะ"
หยางลิ่วหลางคิดตาม แล้วลอบยิ้ม นับถือในไหวพริบ สติปัญญาของสาวใช้ ที่แก้ตัวให้ตนเอง พร้อมแก้ต่างให้หยางซื่อหลางเสร็จสรรพในคราเดียว
หากมารดาไม่สนใจในการทำผิดกฏของบุตรชาย มากไปกว่าอาการป่วยของเขา ถามย้ำ
"หมายความว่า...ซื่อหลาง...แค่เห็นเจ้าใช้กระบวนท่า ก็สำเร็จขั้นที่สามงั้นหรือ"
"ค่ะ ฮูหยิน ข้าใช้ทุกกระบวนท่าในขั้นที่สาม ไปแค่รอบเดียวเท่านั้น แถมบกพร่องอยู่หลายจุด แต่คุณชายสี่มีไหวพริบ และสติปัญญาสูง สามารถปิดทับจุดอ่อนของข้าด้วยความคิดของตนเอง จนสมบูรณ์แบบเหมือนกับต้นตำรับของนายท่านไม่ผิดเพี้ยน จึงไม่น่าจะเรียกว่าเลียนแบบ แต่เป็นคิดได้เองโดยปุบปับค่ะ"
"ซื่อหลาง..."
มารดาร้องอย่างร้อนใจ ขยับตัวจะเดินไปหา เพื่อตรวจดูอาการของลูก แต่หยางเยี่ยกันแขนขวางไว้ ถามเขาเสียงขรึม
"ซื่อหลาง ที่พวกเขาพูด เป็นความจริงไหม"
นายน้อยสี่กวาดมองทุกคนอย่างอึดอัด ลำบากใจ ถึงตอนนี้จะไม่รับก็ไม่ได้
"จริงครับ"
หยางลิ่วหลางโผวิ่งมาหา จับแขนพี่ชายไว้ ร้องด้วยความยินดีสุดใจ
"พี่สี่ สุดยอดไปเลย ข้านึกอยู่แล้วว่าพี่ต้องทำได้ นี่เป็นข่าวดีที่สุดจริงๆ"
"ข้า...ข้าก็ไม่รู้หรอก อยู่ดีๆ มันก็...ใช้ออกไปเอง"
หยางซื่อหลางบอกอย่างมึนงง เป็นความจริง ตอนแรกแม้เขาจะจำได้บางช่วง แต่กระบวนท่าหลังๆ นั้น ทวนในมือมันพริ้วไหวไปเองตามใจปรารถนา แบบที่สมองไม่ต้องสั่งการ
เขายังสงสัยตัวเองจนถึงบัดนี้ว่า เขาฝึกเพลงทวนตระกูลหยางสำเร็จแล้วจริงๆ หรือ! เพราะไม่เคยเห็นต้นตำรับจากบิดา และบางช่วงเขาก็รู้สึกว่า มันลึกล้ำแยบยลเหลือกำหนด ย้อนคิดทบทวนกระบวนท่าอีกรอบ เขายังจำไม่ได้หมดด้วยซ้ำ!
"เพราะพี่สี่เป็นอัจฉริยะไง เขาถึงบอกว่า คนโง่ เรียนพันเที่ยวยังไม่เป็น คนฉลาดเห็นเพียงแวบก็เป็นเลย"
หยางฉี่หลางยกมือโอบไหล่พี่สี่ ยกย่องอย่างเลื่อมใส หยางลิ่วหลางยิ้มปลื้ม หยางอู่หลางเข้ามารวมกลุ่มอีกคน สี่พี่น้องยิ้มร่าอย่างมีความสุข แต่มารดาร้อนใจนัก
"โค่วฉา เอาทวนมา!"
หยางเยี่ยหันไปสั่งบ่าวไพร่เสียงเข้ม ฮูหยินตะลึงวูบ ร้อง
"ท่านพี่ จะทำอะไร"
สี่พี่น้องหันมามองพ่อฉงน บิดาไม่ตอบ รับทวนจากมือบ่าว แล้วโยนไปให้หยางซื่อหลาง หยางลิ่วหลางก้มหัวหลบทวนที่ลอยมาอย่างรุนแรง พี่สี่คว้าหมับ จ้องตาบิดาอย่างไม่เข้าใจ
"เจ้า...แสดงให้ดู เพลงทวนขั้นที่สามซิ!"
หยางเยี่ยสั่งเสียงกร้าว
"ท่านพี่..."
ฮูหยินร้องอย่างตกใจ
"ท่านพ่อ..."
หยางซื่อหลางร้องอย่างงงงัน ประสานเสียงกับน้องทั้งสามที่ร้องก้องอย่างยินดี มองพ่ออย่างปลาบปลื้ม ที่ยอมให้พี่ชายของพวกเขา ใช้เพลงทวนตระกูลหยางได้เป็นครั้งแรก
นี่ ท่านพ่อ... สั่งให้ข้าใช้เพลงทวนของตระกูล ทั้งที่เกิดมา แม้แต่อาวุธหลักของบ้าน ก็ยังไม่ยอมให้แตะ มันเป็นไปได้อย่างไร
"ในเมื่อเจ้าตั้งใจขโมยเรียน จะต้องกลัวเปิดเผยทำไม"
เสียงกร้าวที่ดังต่อมา ขยี้หัวใจที่พองโตของเขาจนป่นปี้ยับเยิน กลายเป็นโทสะที่พุ่งแทบกระอัก แววตาเกรี้ยวกราด สวนกลับด้วยเสียงกระด้างที่สุด
"ข้าไม่ได้ขโมย แค่เห็น ข้าก็เป็นแล้ว!"
"เจ้า! อวดดียะโส ถือว่าตัวเองเก่งนัก ก็สำแดงออกมาสิ"
หยางเยี่ยคุมอารมณ์ไม่อยู่ ตะคอกดังลั่น หยางซื่อหลางใจสั่น ทั้งเจ็บปวด และหัวใจสลาย ก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ สะท้านสะเทือนไปทั้งร่าง เขาเกิดความรู้สึก อยากจะร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรก! หันจ้องพ่อด้วยแววตาที่น้อยใจเกินบรรยาย
ทำไม ชายผู้นี้...ถึงไม่เคยมองเขาในด้านดีบ้างเลย
ทำไม ชายผู้นี้...ถึงไม่เคยคิดจะเชื่อ ในความสามารถของข้า
ทำไม ชายผู้นี้...ถึงชอบดูถูก โกรธเกรี้ยว และด่าว่าเขาอยู่ตลอดเวลา
ดวงตาหยางซื่อหลางเริ่มแดงก่ำ เขาเก็บกดอารมณ์ปวดร้าวไว้ให้อยู่ลึกที่สุด เพราะรู้ดีว่า ไม่มีประโยชน์จะมาแสดงความอ่อนแอ ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่ผู้ไร้หัวใจคนนี้
"ข้าไม่กล้าหรอก ประมุขของบ้านไม่เคยสอนข้า และไม่อนุญาติให้ข้าฝึก ข้าหยางซื่อหลาง ก็ไม่มีสิทธิ์ใช้เพลงทวนตระกูลหยาง!"
เขาพูดเสียงไม่แข็งพอ มันเจือสั่นเพราะความชอกช้ำ ใจสลายไปแล้ว มารดาน้ำตาคลอ รับรู้ถึงอารมณ์ของลูก อย่างผู้มีใจละเอียดอ่อน น้องห้า น้องหก น้องเจ็ด ยืนกลัดกลุ้ม ทุกข์ใจอย่างหนัก แม้แต่หมิงจู ก็พลอยสะอึกในอกไปด้วย
...ถึงคุณชายจะดื้อรั้น หัวแข็ง แต่วาจาของนายท่าน รุนแรงเกินไปแล้ว ผู้ใดจะไปรับไหว!
"นี่ เจ้า..."
หยางเยี่ยยังตะคอก จะต่อว่าอีก แต่แล้ว... ร่างหนึ่งพลิ้ววูบออกมาจากประตูห้องโถงใหญ่ ด้วยวิชาตัวเบาอันสูงส่ง และความเร็วเหลือประมาณ หยางซื่อหลางไม่ทันเห็นร่างชัด อาวุธก็จ่อมาถึงปลายคางแล้ว!
พลิกทวนขึ้นต้านรับมือเดียวตามสัญชาติญาณอันว่องไว เกร็งกำลังภายในสามส่วนปัดง่ามทวนคมกริบเบนไป ใจหายวาบ เมื่อทวนพู่สวยที่ควรจะเสียหลักถอยกลับไป กลับเหวี่ยงตัวหมุนกลางอากาศรอบเอวคนผู้นั้น สะบัดย้อนปลายด้ามกลับมาในชั่วพริบตา ด้ามจับกระแทกเข้าชายโครงเขาอย่างจัง ไวจนดูไม่ทัน หยางซื่อหลางเซ ถอยหลังไปสามก้าว
"ฮ้า เจ้าเป็นใครน่ะ"
หยางฉี่หลางขยับตัวจะเข้าไปจัดการชายชุดเทา ปิดหน้าคนนั้น แต่หยางลิ่วหลางจับไหล่ไว้
"ไม่เป็นไร น้องเจ็ด ดูเฉยๆ"
"นี่...มัน เพลงทวนต...!"
แม้แต่เวลาคิดยังไม่มี หยางซื่อหลางร้องในใจไม่ทันจบ ต้องผงะหน้าหลบไปด้านหลัง เมื่อปลายแหลมเฉี่ยวปาดหน้าไปอย่างหวุดหวิด คนผู้นั้นพลิกตัวกลับมาเร็วมาก วูบวาบราวกับภูติผี ลอยอยู่กลางอากาศ ยังตวัดทวนกลับมาพุ่งใส่กลางหลังอีก เขาต้องหมุนหลายตลบ พลิ้วไปด้านข้าง ทวนพู่แดงยังตามติด หมุนจี้ประสานแนบลำตัวระดับเอว หากเขาช้าแม้เพียงนิดเดียว ได้ถูกเสียบแทงทะลุหน้าท้องแน่
หยางอู่หลาง กับ หยางฉี่หลางร้องอย่างหวาดเสียว ตกใจกับการจู่โจมนั้น จนลืมสำเหนียกวิชาของมัน แต่หยางซื่อหลางย่อมรู้ คนผู้นั้นจู่โจมเขาด้วยกระบวนท่าที่เพิ่งผ่านตามาเมื่อบ่ายนี้ การโจมตีรุกต้อน ราวกับจะบีบให้เขาใช้เพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สามมารับมือ เพราะเพลงทวนเหรินฉีระดับสาม หรือสี่ มิอาจสู้ได้
การประลองเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สาม อันสวยงามและดุเดือด ของทั้งคู่จึงเริ่มต้นขึ้น!
หมิงจูจ้องตาไม่กะพริบ ถูกต้อง คนชุดเทาปิดหน้าคนนั้นใช้เพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สาม แต่ไม่เหมือนกับของนาง และก็ไม่เหมือนกับหยางซื่อหลางซะทีเดียว กระบวนท่าสมบูรณ์แบบนั้นใช่ แต่พละกำลัง การเคลื่อนไหว ท่วงท่า และความหนักเบาของฝีมือ ให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน สวยงามทั้งคู่ แต่คนชุดเทาสวยงามแบบนุ่มนวล ดูเยือกเย็นกว่า สง่างาม อ่อนน้อม และมั่นคง ขณะที่คุณชายสี่สวยงามแบบเร่าร้อน ดุดัน แข็งกร้าว ทระนง อาจเพราะธาตุหยางของเพลงทวนเหรินฉีซึมซับอยู่ในบุคลิก จึงไม่อาจเปล่งความอ่อนโยนออกมาได้เนียนตานัก
ทวนสองด้ามหมุนประสานกันอยู่เบื้องหน้า ต่างใช้พลังภายในอันเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ยันเอาไว้ คนชุดเทายิ้มมุมปาก ชักทวนออกมาก่อน แล้วใช้ท่าพิราบโบยบิน (หนึ่งในกระบวนท่าเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สี่) ขว้างคราเดียวโดยไม่ต้องมอง ทวนทั้งเล่มพุ่งดิ่งไป ปักฉึกอยู่ในราวอาวุธ เคียงข้างทวนเล่มอื่น โดยที่รางอาวุธนั้นไม่สั่น และทวนรอบข้างไม่กระดิกสักนิดเดียว หยางซื่อหลางคว้าทวนที่ตกลงมา หมุนแกว่งรักษาสมดุล ก่อนจะเอาขึ้นพาดหลัง
หมิงจูยิ้มชื่นชม ก้มหน้าคารวะ ทักทายเสียงใส
"คุณชายสาม...!"
"ฮ้า พี่สามเหรอ"
หยางอู่หลาง กับหยางฉี่หลางร้องพร้อมกัน พวกเขาดูออกว่าเป็นเพลงทวนตระกูลหยาง แต่คาดไม่ถึง ว่าจะเป็นพี่สามจริงๆ พอหยุดการต่อสู้ เห็นรูปร่างสูงโปร่ง ยืนนิ่ง มือไพล่หลังอย่างสง่างามแล้ว จึงเพิ่งรู้ว่าเป็นคนอื่นไปไม่ได้
หยางเอี๋ยนเจา (บุตรชายคนที่สามของตระกูล) ปลดผ้าคลุมหน้าออก ทอดสายตามองหยางซื่อหลางที่ยืนตะลึงอยู่ ยิ้มนุ่มนวล พูดเสียงกังวาน
"มิอาจไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าเมื่อครู่นี้เจ้ามีข้อบกพร่องแม้แต่นิดเดียว คงบาดเจ็บในทวนพี่ไปแล้ว ยินดีด้วย น้องสี่ เจ้าสำเร็จเพลงทวนตระกูลหยางขั้นที่สามแล้ว"
"พี่สาม...!"
น้องคนที่สี่ยังยืนตัวชาดิก ด้วยหัวใจพองโต น้องห้า กับน้องเจ็ดก็ร้องเรียก พร้อมวิ่งเข้ามาหา หยางอู่หลางจับแขนทั้งสองข้าง ยิ้มดีใจ ส่วนหยางฉี่หลางอาการหนักกว่า ด้วยความรัก และคิดถึง ที่ไม่ได้พบหน้ามาสองปี โผเข้ากอดทั้งตัว ร่ำร้องงอแงราวกับเด็ก
"พี่สามกลับมาแล้ว คิดถึงพี่สามจริงๆ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเนี่ย ดีใจสุดๆ เลย"
หยางซันหลางตบหลังน้องชายเบาๆ ทั้งเคืองทั้งขันจนต้องหัวร่อ หมิงจูพลอยยิ้มสดใส
"เอาล่ะ เอาล่ะ อย่าทำตัวเป็นเด็กนักเลย เมื่อไหร่จะยอมโตสักทีนะ น้องเจ็ด พี่เพิ่งกลับมาได้สักครู่นี้เอง มาถึงก็ได้ฟังข่าวดีเลย พวกเจ้าทำให้พี่ปลาบปลื้มใจมาก"
สามพี่น้องจะยืนทักทายถามไถ่ทุกข์สุขกันอย่างใด หยางเยี่ย กับฮูหยินไม่สน เดินมาประกบหยางซื่อหลางกันคนละด้าน แตะชีพจรบนมือทั้งสองข้าง ทำให้เขาต้องยืนกระอักกระอ่วน สะอึกในอก สมเพศตัวเองจับใจ
"ท่านพ่อ น้องสี่ เขา..."
หยางซันหลางผละจากน้องๆ เดินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
"หมิงจู"
หยางเยี่ยเรียกเสียงเครียด นางหันมาขานรับ
"คะ นายท่าน"
"พาคุณชายสี่ ไปนอนบนหินภูเขาไฟ!"
คำสั่งแข็งกร้าวนั้น ทำให้หยางซื่อหลางต้องหลับตา ร้องสะอึ้นในอกอีกครั้ง
"ท่านพ่อ..."
หยางอู่หลาง หยางลิ่วหลาง หยางฉี่หลาง ร้องพร้อมกันอย่างตกใจ
"จำไว้ ต้องนอนให้ครบสองชั่วยาม ถ้าไม่ครบ ข้าจะตัดหัวเจ้า!"
หมิงจูสะดุ้ง ใจหายวาบ ไม่เคยเห็นนายท่านเฉียบขาด จริงจัง เท่านี้มาก่อน จึงรีบยกมือคำนับ รับคำสั่ง
"ค่ะ ข้าน้อยทราบแล้ว"
มารดาบอกกับเขาด้วยสีหน้าร้อนใจอย่างที่สุด
"ซื่อหลาง ทำตามที่พ่อสั่ง อย่าดื้อนะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกัน"
บุตรชายผู้อาภัพ น้ำตาคลอเบ้า อย่างมิอาจกล้ำกลืนได้อีก พี่สามจับไหล่ปลอบ ก่อนที่เขาจะถูกพาตัวมายังห้องใต้ดิน
หยางซื่อหลางนอนลืมตาโพลง ทอดร่างสงบนิ่งอยู่บนแผ่นหินภูเขาไฟ มือทั้งสองประสานวางบนท้อง มองเพดานอย่างเหม่อลอย เซื่องซึม ปล่อยพิษไอเย็นในร่างให้พลุ่งพล่านกำเริบ โดยไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงแต่ประการใดแล้ว เพราะหัวใจนั้นตายด้าน!
หมิงจู ยืนมือไพล่หลัง ถอยห่างออกมาหน่อย จ้องเฝ้าเขาแน่วนิ่ง แม้จะเศร้าแค่ไหน ก็มิอาจพูดจาปลอบโยนใดๆ ได้แต่ลอบถอนในในโชคชะตาอันโหดร้าย
หมิงจู ยืนมือไพล่หลัง ถอยห่างออกมาหน่อย จ้องเฝ้าเขาแน่วนิ่ง แม้จะเศร้าแค่ไหน ก็มิอาจพูดจาปลอบโยนใดๆ ได้แต่ลอบถอนในในโชคชะตาอันโหดร้าย
หยางเยี่ย ฮูหยิน และแม่ทัพสาม หยางเอี๋ยนเจา ประชุมกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ในห้อง
"ท่านพ่อ อาการของน้องสี่..."
หยางซันหลางไต่ถาม บิดาถอนใจ
"ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังไม่หนักมาก เขาฝึกแค่ขั้นที่สาม ยังไม่รุนแรงเท่าไหร่"
"ตอนข้าจับชีพจรของเขา รู้สึกปั่นป่วนสับสน มือเขาเย็นเฉียบ พิษเย็นกำลังพลุ่งพล่าน แต่กลับมีพลังลมปราณสายร้อน ไหลเวียนตีกันอยู่ด้านใน ประหลาดมาก"
ฮูหยินพึมพำอย่างไม่เข้าใจ หยางเยี่ยจึงเฉลยให้ฟัง
"มีคนใช้ลมปราณธาตุหยาง ขับพิษไอเย็นออกจากตัวเขา ก่อนจะมาถึงนี่"
"หรือว่าจะเป็นประมุขซุน..."
"ถ้าไม่ได้ประมุขซุน เขากลับมาไม่ถึงจวนเทียนปอแล้ว!"
หยางเยี่ยบอกเสียงกร้าว แล้วถอนใจ หยางซันหลางสังเกตพ่อ แล้วบอกอย่างสุขุม
"ท่านพ่อ เมื่อครู่ข้าอยู่ในห้องโถง ได้ยินหมดแล้ว น้องสี่ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางโดยไม่ตั้งใจ เพราะหมิงจูไม่ทันระวัง เขาไม่ได้ขโมยแอบฝึก ท่านพ่อโปรดอย่าตำหนิน้อง"
มารดาก็กำลังแค้นใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว พอได้ยินเช่นนั้น จึงหันมาต่อว่าเสียงขุ่นทันที
"ใช่แล้ว ตอนนั้นทำไมท่านต้องว่าซื่อหลางขโมยฝึกวิชา ท่านทำให้เขาเสียใจมากรู้ไหม รู้อยู่แล้ว ว่าซื่อหลางเปราะบางกับเรื่องนี้แค่ไหน ยังจะพูดทำร้ายจิตใจอีก"
สามีทอดถอนใจอีกครั้ง หากเขาคิดไปคนละด้านกับภรรยา
"เขาขโมยฝึกหรือไม่ ตัวเขาที่รู้ดี หากใจบริสุทธิ์ ยึดมั่นในคำสั่งของพ่อ เขาก็ควรจะหลับตา ไม่ดูหมิงจูใช้วิชา แต่นี่เขากลับตั้งใจดู แปลว่ามีเจตนาเรียนรู้ จะไม่ผิดได้ยังไง"
"อ๋อ แล้วยังไง ตอนนี้เขาฝึกสำเร็จแล้ว ท่านจะทำลายวรยุทธ์เขาเสียเลย ให้หมดเรื่องหมดราวไป ดีไหมล่ะ!"
ฮูหยินประชดอย่างดุเดือด แถมตบโต๊ะให้อีกหนึ่งที แสนแค้นในความใจจืดใจดำของสามี
หยางซันหลางเข้าใจความรู้สึกของมารดา หากก็เข้าใจความรู้สึกของบิดาเช่นกัน ถอนใจ ปลอบมาเบาๆ
"ท่านแม่ อย่าเพิ่งโกรธ ท่านพ่อแค่เป็นห่วงน้องสี่ ไม่มีเจตนาจะดุด่าหรอก แต่จากที่ข้าประลองกับเขา น้องสี่นั้น มีพรสวรรค์ในเพลงทวนตระกูลหยางระดับสูงทีเดียว บางที...อาจสูงกว่าเพลงทวนเหรินฉี ที่เขาฝึกซะอีก มีคุณสมบัติโดดเด่น จะไปถึงจุดสูงสุดได้"
"มีพรสวรรค์ไปก็เท่านั้น ยังไงเขาก็ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้!"
หยางเยี่ยทำลายความฝันของบุตรชาย ด้วยการกระแทกเสียงพูดอย่างจริงใจ แม้รู้ดีว่าเป็นเช่นนั้น แต่หยางซันหลางกลับเกิดความเชื่อมั่นบางอย่างขึ้นมา...ที่แตกต่างไปจากพ่อ
"ท่านพ่อ อาการของน้องสี่..."
หยางซันหลางไต่ถาม บิดาถอนใจ
"ไม่เป็นไร ตอนนี้ยังไม่หนักมาก เขาฝึกแค่ขั้นที่สาม ยังไม่รุนแรงเท่าไหร่"
"ตอนข้าจับชีพจรของเขา รู้สึกปั่นป่วนสับสน มือเขาเย็นเฉียบ พิษเย็นกำลังพลุ่งพล่าน แต่กลับมีพลังลมปราณสายร้อน ไหลเวียนตีกันอยู่ด้านใน ประหลาดมาก"
ฮูหยินพึมพำอย่างไม่เข้าใจ หยางเยี่ยจึงเฉลยให้ฟัง
"มีคนใช้ลมปราณธาตุหยาง ขับพิษไอเย็นออกจากตัวเขา ก่อนจะมาถึงนี่"
"หรือว่าจะเป็นประมุขซุน..."
"ถ้าไม่ได้ประมุขซุน เขากลับมาไม่ถึงจวนเทียนปอแล้ว!"
หยางเยี่ยบอกเสียงกร้าว แล้วถอนใจ หยางซันหลางสังเกตพ่อ แล้วบอกอย่างสุขุม
"ท่านพ่อ เมื่อครู่ข้าอยู่ในห้องโถง ได้ยินหมดแล้ว น้องสี่ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางโดยไม่ตั้งใจ เพราะหมิงจูไม่ทันระวัง เขาไม่ได้ขโมยแอบฝึก ท่านพ่อโปรดอย่าตำหนิน้อง"
มารดาก็กำลังแค้นใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว พอได้ยินเช่นนั้น จึงหันมาต่อว่าเสียงขุ่นทันที
"ใช่แล้ว ตอนนั้นทำไมท่านต้องว่าซื่อหลางขโมยฝึกวิชา ท่านทำให้เขาเสียใจมากรู้ไหม รู้อยู่แล้ว ว่าซื่อหลางเปราะบางกับเรื่องนี้แค่ไหน ยังจะพูดทำร้ายจิตใจอีก"
สามีทอดถอนใจอีกครั้ง หากเขาคิดไปคนละด้านกับภรรยา
"เขาขโมยฝึกหรือไม่ ตัวเขาที่รู้ดี หากใจบริสุทธิ์ ยึดมั่นในคำสั่งของพ่อ เขาก็ควรจะหลับตา ไม่ดูหมิงจูใช้วิชา แต่นี่เขากลับตั้งใจดู แปลว่ามีเจตนาเรียนรู้ จะไม่ผิดได้ยังไง"
"อ๋อ แล้วยังไง ตอนนี้เขาฝึกสำเร็จแล้ว ท่านจะทำลายวรยุทธ์เขาเสียเลย ให้หมดเรื่องหมดราวไป ดีไหมล่ะ!"
ฮูหยินประชดอย่างดุเดือด แถมตบโต๊ะให้อีกหนึ่งที แสนแค้นในความใจจืดใจดำของสามี
หยางซันหลางเข้าใจความรู้สึกของมารดา หากก็เข้าใจความรู้สึกของบิดาเช่นกัน ถอนใจ ปลอบมาเบาๆ
"ท่านแม่ อย่าเพิ่งโกรธ ท่านพ่อแค่เป็นห่วงน้องสี่ ไม่มีเจตนาจะดุด่าหรอก แต่จากที่ข้าประลองกับเขา น้องสี่นั้น มีพรสวรรค์ในเพลงทวนตระกูลหยางระดับสูงทีเดียว บางที...อาจสูงกว่าเพลงทวนเหรินฉี ที่เขาฝึกซะอีก มีคุณสมบัติโดดเด่น จะไปถึงจุดสูงสุดได้"
"มีพรสวรรค์ไปก็เท่านั้น ยังไงเขาก็ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางไม่ได้!"
หยางเยี่ยทำลายความฝันของบุตรชาย ด้วยการกระแทกเสียงพูดอย่างจริงใจ แม้รู้ดีว่าเป็นเช่นนั้น แต่หยางซันหลางกลับเกิดความเชื่อมั่นบางอย่างขึ้นมา...ที่แตกต่างไปจากพ่อ
ในห้องใต้ดิน ผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หยางซื่อหลางกลับลุกขึ้นมานั่งช้าๆ ใบหน้าเหม่อซึม แล้วหันข้าง พาตัวเองลงมาจากแผ่นหิน หมิงจูที่กำลังเคลิ้มหลับ สะดุ้งเฮือก เบิกตากว้าง
"คุณชาย ย้งไม่ถึงสองชั่วยามค่ะ!"
นางร้อง หัวใจเต้นแรง ...เอาแล้วไง คุณชายจอมแหกกฏ จะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย..
.
"...ข้าจะไปห้องน้ำ"
เขาตอบซึมๆ จะเดินไป แต่สาวใช้เอาตัวเข้าขวาง
"เอ่อ..."
อ้ำอึ้งพูดไม่ออก สงสารก็สงสาร แต่ถ้าละเลยหน้าที่ ตัวนางก็ต้องหัวขาด
"เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไป ใครก็ขวางไม่ได้!"
คุณชายสี่ยังคงพูดซึมๆ แววตาหม่นหมองคู่นั้น อับแสงจนน่าใจหาย สาวใช้กลั้นหายใจ
"คุณชาย ท่านจะฆ่าหมิงจูเชียวนะคะ"
เขาจับไหล่นาง บอกเสียงล่องลอย
"ข้าจะกลับมา"
แล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า หมิงจูยืนนิ่ง ถอนใจอย่างหนักอกเหลือประมาณ
"คุณชาย ย้งไม่ถึงสองชั่วยามค่ะ!"
นางร้อง หัวใจเต้นแรง ...เอาแล้วไง คุณชายจอมแหกกฏ จะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย..
.
"...ข้าจะไปห้องน้ำ"
เขาตอบซึมๆ จะเดินไป แต่สาวใช้เอาตัวเข้าขวาง
"เอ่อ..."
อ้ำอึ้งพูดไม่ออก สงสารก็สงสาร แต่ถ้าละเลยหน้าที่ ตัวนางก็ต้องหัวขาด
"เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไป ใครก็ขวางไม่ได้!"
คุณชายสี่ยังคงพูดซึมๆ แววตาหม่นหมองคู่นั้น อับแสงจนน่าใจหาย สาวใช้กลั้นหายใจ
"คุณชาย ท่านจะฆ่าหมิงจูเชียวนะคะ"
เขาจับไหล่นาง บอกเสียงล่องลอย
"ข้าจะกลับมา"
แล้วเดินขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า หมิงจูยืนนิ่ง ถอนใจอย่างหนักอกเหลือประมาณ
ในห้อง สามคนพ่อแม่ลูก ยังคงช่วยกันคิดหาหนทางช่วยหยางซื่อหลางอย่างเต็มที่ โดยหารู้ไม่ว่า ตอนนี้ บุตรชายผู้อ่อนแอ ไม่ได้นอนอยู่บนหินภูเขาไฟแล้ว
"น้องสี่มีธาตุอินล้วนแต่กำเนิด ทำให้ฝึกวิชาที่ต้องใช้พลังหยินไม่ได้ แต่ถ้าเราหักดิบ สอนแบบทางเดียว ไม่ต้องดึงลมปราณสายนั้นมาใช้ มันน่าจะพอมีหนทาง ให้น้องสี่ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางได้ หรือไม่ท่านพ่อ"
หยางซันหลางเสนอความเห็น หยางเยี่ยส่ายหน้า
"เจ้าพูดง่ายราวแยกทรายออกจากน้ำ เพลงทวนตระกูลหยาง หยินหยางต้องสมดุล เกื้อหนุนกัน หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะฝึกไม่สำเร็จ ฝึกไม่สำเร็จ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนครึ่งผี คือจะดีก็ไม่ดี จะเลวก็ไม่เลว มีจุดแข็ง แต่ก็เต็มไปด้วยจุดอ่อนนับไม่ถ้วน"
"แต่ซื่อหลางฝึกวิชาธาตุหยางมาตั้งแต่เด็ก เขาน่าจะมีพลังลมปราณสายร้อนมากพอระดับหนึ่งแล้ว หากมีธาตุอินกล้ำกรายบ้าง ก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรมากนัก"
ฮูหยินลองออกความเห็นบ้าง สามีถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เจ้าลืมคำที่นักพรตหยูเฉินบอกแล้วหรือ ฮูหยิน"
ร่างของหยางซื่อหลางมายืนนิ่งอยู่หน้าประตู โดยที่คนข้างในไม่รู้ และไม่มีผู้ใดพบเห็น เขายืนเหม่อซึม ราวกับไร้วิญญาณ ปล่อยให้เสียงของคนในห้องดังกระทบโสต
"ซื่อหลางกำเนิดจากธาตุอินล้วน ที่จริงสมควรตายตั้งแต่เกิด แต่เพราะข้าได้ฝืนชะตา ช่วยเขาไว้ จึงทำให้เขาไม่ต่างอะไรไปจากคนพิการ! คือชีวิตนี้ ต้องมีด้านเดียวเท่านั้น นักพรตสอนลมปราณ และกระบี่ธาตุหยางให้กับเขา สั่งว่า นับจากนี้ต่อไป ห้ามให้มีธาตุอินกล้ำกรายในร่าง ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงไหน ก็เจ้าดูเอาเถอะ ขนาดเขาฝึกแต่ธาตุไฟ ตอนพระจันทร์เต็มดวง อาการยังสาหัสขนาดนั้น มันไม่ได้ช่วยบรรเทาพิษเย็นในร่างเลย แล้วถ้าให้เขาฝึกเพลงทวนตระกูลหยาง จะไม่ต้องรอคืนวันเพ็ญ ทุกครั้งที่ใช้ เขาจะเหมือนเป็นน้ำแข็งทุกเวลา แล้วเจ้าจะทนเห็นลูกต้องเจ็บปวดทรมาน อยู่ในสภาพนี้ได้หรือ"
คนข้างนอกค่อยๆ ก้มหน้าลง แววตาซึมเศร้า อับแสงลงเรื่อยๆ มารดาร้องอย่างช้ำใจ
"ท่านพี่ แต่ข้าสงสารลูก ข้าสงสารซื่อหลาง เขาเกิดเป็นคนตระกูลหยาง เป็นลูกของเรา แต่กลับเป็นคนเดียวในพี่น้อง ที่ฝึกวิชาของตระกูลไม่ได้ เขาจะรู้สึกยังไง จะเจ็บปวดเพียงไหน ท่านเคยคิดบ้างไหม"
"แล้วทำไมข้าจะไม่เจ็บ ทำไมข้าจะไม่ปวดใจ ถ้าเลือกได้ ข้ายอมเห็นเขาเป็นคนไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง โง่เง่าเต่าตุ่น ดีกว่าเป็นคนเก่ง ฉลาด เพียบพร้อม แต่มีธาตุอินล้วนในร่าง เขาเป็นลูกหลานตระกูลหยาง แต่เราไม่ได้มีแต่เพลงทวนที่เชิดหน้าชูตา เขายังสามารถเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล และทำประโยชน์เพื่อสังคมได้ ในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่แบบนี้"
หยางเยี่ยระบายอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในเบื้องลึกออกมา แม้แต่ภรรยา และลูกสามก็คาดไม่ถึง ว่าเขาจะมีสีหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าวได้เพียงนี้ แสดงให้เห็นว่า ความขมขื่นในใจของหยางเยี่ย นั้นมีมากกว่าผู้ใดจะคาดถึงเสียอีก
หยางซันหลางก้มหน้า ถอนใจ นิ่งคิด แล้วในที่สุด ก็กล้าจะบอกกับพ่ออย่างจริงจัง
"ไม่ได้หรอก ท่านพ่อ น้องสี่เป็นทายาทตระกูลหยาง สายเลือดขุนศึกเข้มข้นที่สุด ในใจเขา ดำเนินตามรอยเท้าพ่อ และพี่ๆ ทุกอย่าง ท่านจะให้เขาเลือกเดินทางอื่น เท่ากับฆ่าเขาทั้งเป็น"
"ถ้าจำเป็นก็ต้องฆ่า!"
หยางเยี่ยตวาดลั่น มันสะเทือนวาบไปถึงหัวใจคนด้านนอก หยางซื่อหลางหายซึม หากแต่ช็อกแทน ยืนตัวแข็งเหมือนหิน ชาหมดความรู้สึกไปทั้งร่าง
เสียงประกาศิตของผู้พิพากษาชีวิตตน บินมาปลิดขั้วหัวใจของเขาจนสลาย
"ข้าจะไม่ยอมให้เขาเดินบนทางสายนี้ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่าได้หวังเลยว่า เขาจะเป็นอย่างที่อยากเป็นได้!"
ฮูหยิน กับหยางซันหลางตกตะลึง สำหรับหยางซื่อหลาง ไม่มีสิ่งใดต้องฟังอีกแล้ว ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ จิตวิญญาณหลุดออกจากร่าง เท้าค่อยๆ ขยับ ถอยหลังกลับช้าๆ ออกมา แล้วลับหายไปจากระเบียง
มารดานั่งร้องไห้ แต่หยางเอี๋ยนเจาส่ายหน้าช้าๆ มองพ่อด้วยแววตาปวดร้าวสุดแสน เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้เป็นเช่นไร ทั้งเข้าใจพ่อ ทั้งขุ่นเคืองพ่อ จนปั่นป่วนในทรวงอก สะกดอารมณ์ให้เย็น ยกมือคำนับ กล่าวแช่มช้าจากหัวใจ
"ท่านพ่อ ท่านอาจควบคุมลูกๆ ทุกคนได้ แต่ท่านไม่อาจควบคุมหยางเอี๋ยนหลางได้ ลูกคนนี้ อาจอ่อนแอที่สุดในสายตาของท่าน แต่เขา...เป็นคนแข็งแกร่งที่สุด ในสายตาของลูก และพี่ใหญ่ ฉะนั้น ขอให้ท่านพ่อโปรดตัดสินใจให้ดี ก่อนขีดอนาคตให้กับเขา"
พูดเสียงเครือเพียงเท่านั้น ก็มิอาจทนอยู่ไหวอีก ต้องหลบหน้า เดินออกจากห้องไป
"น้องสี่มีธาตุอินล้วนแต่กำเนิด ทำให้ฝึกวิชาที่ต้องใช้พลังหยินไม่ได้ แต่ถ้าเราหักดิบ สอนแบบทางเดียว ไม่ต้องดึงลมปราณสายนั้นมาใช้ มันน่าจะพอมีหนทาง ให้น้องสี่ฝึกเพลงทวนตระกูลหยางได้ หรือไม่ท่านพ่อ"
หยางซันหลางเสนอความเห็น หยางเยี่ยส่ายหน้า
"เจ้าพูดง่ายราวแยกทรายออกจากน้ำ เพลงทวนตระกูลหยาง หยินหยางต้องสมดุล เกื้อหนุนกัน หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะฝึกไม่สำเร็จ ฝึกไม่สำเร็จ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนครึ่งผี คือจะดีก็ไม่ดี จะเลวก็ไม่เลว มีจุดแข็ง แต่ก็เต็มไปด้วยจุดอ่อนนับไม่ถ้วน"
"แต่ซื่อหลางฝึกวิชาธาตุหยางมาตั้งแต่เด็ก เขาน่าจะมีพลังลมปราณสายร้อนมากพอระดับหนึ่งแล้ว หากมีธาตุอินกล้ำกรายบ้าง ก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรมากนัก"
ฮูหยินลองออกความเห็นบ้าง สามีถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เจ้าลืมคำที่นักพรตหยูเฉินบอกแล้วหรือ ฮูหยิน"
ร่างของหยางซื่อหลางมายืนนิ่งอยู่หน้าประตู โดยที่คนข้างในไม่รู้ และไม่มีผู้ใดพบเห็น เขายืนเหม่อซึม ราวกับไร้วิญญาณ ปล่อยให้เสียงของคนในห้องดังกระทบโสต
"ซื่อหลางกำเนิดจากธาตุอินล้วน ที่จริงสมควรตายตั้งแต่เกิด แต่เพราะข้าได้ฝืนชะตา ช่วยเขาไว้ จึงทำให้เขาไม่ต่างอะไรไปจากคนพิการ! คือชีวิตนี้ ต้องมีด้านเดียวเท่านั้น นักพรตสอนลมปราณ และกระบี่ธาตุหยางให้กับเขา สั่งว่า นับจากนี้ต่อไป ห้ามให้มีธาตุอินกล้ำกรายในร่าง ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงไหน ก็เจ้าดูเอาเถอะ ขนาดเขาฝึกแต่ธาตุไฟ ตอนพระจันทร์เต็มดวง อาการยังสาหัสขนาดนั้น มันไม่ได้ช่วยบรรเทาพิษเย็นในร่างเลย แล้วถ้าให้เขาฝึกเพลงทวนตระกูลหยาง จะไม่ต้องรอคืนวันเพ็ญ ทุกครั้งที่ใช้ เขาจะเหมือนเป็นน้ำแข็งทุกเวลา แล้วเจ้าจะทนเห็นลูกต้องเจ็บปวดทรมาน อยู่ในสภาพนี้ได้หรือ"
คนข้างนอกค่อยๆ ก้มหน้าลง แววตาซึมเศร้า อับแสงลงเรื่อยๆ มารดาร้องอย่างช้ำใจ
"ท่านพี่ แต่ข้าสงสารลูก ข้าสงสารซื่อหลาง เขาเกิดเป็นคนตระกูลหยาง เป็นลูกของเรา แต่กลับเป็นคนเดียวในพี่น้อง ที่ฝึกวิชาของตระกูลไม่ได้ เขาจะรู้สึกยังไง จะเจ็บปวดเพียงไหน ท่านเคยคิดบ้างไหม"
"แล้วทำไมข้าจะไม่เจ็บ ทำไมข้าจะไม่ปวดใจ ถ้าเลือกได้ ข้ายอมเห็นเขาเป็นคนไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง โง่เง่าเต่าตุ่น ดีกว่าเป็นคนเก่ง ฉลาด เพียบพร้อม แต่มีธาตุอินล้วนในร่าง เขาเป็นลูกหลานตระกูลหยาง แต่เราไม่ได้มีแต่เพลงทวนที่เชิดหน้าชูตา เขายังสามารถเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล และทำประโยชน์เพื่อสังคมได้ ในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่แบบนี้"
หยางเยี่ยระบายอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในเบื้องลึกออกมา แม้แต่ภรรยา และลูกสามก็คาดไม่ถึง ว่าเขาจะมีสีหน้าที่เจ็บปวดรวดร้าวได้เพียงนี้ แสดงให้เห็นว่า ความขมขื่นในใจของหยางเยี่ย นั้นมีมากกว่าผู้ใดจะคาดถึงเสียอีก
หยางซันหลางก้มหน้า ถอนใจ นิ่งคิด แล้วในที่สุด ก็กล้าจะบอกกับพ่ออย่างจริงจัง
"ไม่ได้หรอก ท่านพ่อ น้องสี่เป็นทายาทตระกูลหยาง สายเลือดขุนศึกเข้มข้นที่สุด ในใจเขา ดำเนินตามรอยเท้าพ่อ และพี่ๆ ทุกอย่าง ท่านจะให้เขาเลือกเดินทางอื่น เท่ากับฆ่าเขาทั้งเป็น"
"ถ้าจำเป็นก็ต้องฆ่า!"
หยางเยี่ยตวาดลั่น มันสะเทือนวาบไปถึงหัวใจคนด้านนอก หยางซื่อหลางหายซึม หากแต่ช็อกแทน ยืนตัวแข็งเหมือนหิน ชาหมดความรู้สึกไปทั้งร่าง
เสียงประกาศิตของผู้พิพากษาชีวิตตน บินมาปลิดขั้วหัวใจของเขาจนสลาย
"ข้าจะไม่ยอมให้เขาเดินบนทางสายนี้ ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่าได้หวังเลยว่า เขาจะเป็นอย่างที่อยากเป็นได้!"
ฮูหยิน กับหยางซันหลางตกตะลึง สำหรับหยางซื่อหลาง ไม่มีสิ่งใดต้องฟังอีกแล้ว ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ จิตวิญญาณหลุดออกจากร่าง เท้าค่อยๆ ขยับ ถอยหลังกลับช้าๆ ออกมา แล้วลับหายไปจากระเบียง
มารดานั่งร้องไห้ แต่หยางเอี๋ยนเจาส่ายหน้าช้าๆ มองพ่อด้วยแววตาปวดร้าวสุดแสน เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้เป็นเช่นไร ทั้งเข้าใจพ่อ ทั้งขุ่นเคืองพ่อ จนปั่นป่วนในทรวงอก สะกดอารมณ์ให้เย็น ยกมือคำนับ กล่าวแช่มช้าจากหัวใจ
"ท่านพ่อ ท่านอาจควบคุมลูกๆ ทุกคนได้ แต่ท่านไม่อาจควบคุมหยางเอี๋ยนหลางได้ ลูกคนนี้ อาจอ่อนแอที่สุดในสายตาของท่าน แต่เขา...เป็นคนแข็งแกร่งที่สุด ในสายตาของลูก และพี่ใหญ่ ฉะนั้น ขอให้ท่านพ่อโปรดตัดสินใจให้ดี ก่อนขีดอนาคตให้กับเขา"
พูดเสียงเครือเพียงเท่านั้น ก็มิอาจทนอยู่ไหวอีก ต้องหลบหน้า เดินออกจากห้องไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น